เล่ห์สวาทกามเทพ
คำโปรย... “ผมคือเจ้าของน้ำเชื้อ....ดังนั้นเด็กในท้องของคุณก็คือลูกของผม....ผมจะรับผิดชอบคุณและเด็กในท้องเอง” “ไม่...ฉันไม่ต้องการให้คุณมารับผิดชอบฉัน ลูกคนเดียวฉันเลี้ยงได้!....” นาวาอากาศโท เหมราช ธรรมรงค์สิน อายุ32ปี หนุ่มไฮโซทายาทธุรกิจสายการบินชื่อดังที่สาวๆพากันคลังไคล้ เพราะความหล่อและความรวยของเขาที่มักจะมีดาราและนางแบบเข้ามาเกี่ยวพันกับเขาแทบไม่ซ้ำหน้า แต่ความจริงเขาก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่มีความต้องการทางเพศสูงเท่านั้นเอง....แค่มีคนให้ปลดปล่อย จบแล้วก็แยกย้าย...นั่นคือสิ่งที่เขาทำมาตลอด แต่ใครจะคิดล่ะว่าชีวิตอีกด้านหนึ่งของเขากลับเป็นถึงทหารอากาศยศผู้พันเลยทีเดียว และเป็นด้านที่เขาจะมีวินัยให้ตัวเองเสมอ...แต่แล้วชีวิตของเขาก็ต้องมาวุ่นวายเมื่อมีผู้หญิงที่ไหนไม่รู้ท้องลูกของเขาจากการผสมน้ำเชื้อที่ผิดพลาด จากที่จะเอาแค่เด็กมาเลี้ยงเอง พอเห็นหน้าแม่ของลูก ความคิดที่เขาอยากจะมีเมียมันก็ผุดขึ้นมา เมื่อผู้หญิงคนนั้น คือนางฟ้าคนสวยที่เขาชอบ....แล้วเสืออย่างเขาจะปล่อยเหยื่อสุดแสนอร่อยอย่างเธอให้หลุดรอดไปได้ยังไงล่ะ...... น้ำอิง อันทิกา รัตนพรเลิศ อายุ 27 ปี สาวสวยสุดแซ่บเจ้าแม่แห่งวางการเอเจนซี่ที่ใครๆต่างก็อยากได้ตัวเธอไปร่วมงานด้วย เพราะความฉลาดและมีไหวพริบของเธอ ซึ่งต่างจากเรื่องความรักที่ไม่เอาไหนซะเลย เพราะจนอายุป่านนี้เธอก็ยังคงเป็นสาวพรหมจรรย์ที่รอให้เจ้าชายมารับเธอลงจากคาน แต่แล้วสวรรค์กลับกลั่นแกล้งให้เธอท้องจากความผิดพลาดทางการแพทย์ และพ่อของลูกเธอก็ดันหล่อและมีเสน่ห์ยั่วเพศแบบสุดๆ ทำให้ใจที่สงบนิ่งของเธอนั้นลุกโชนไปด้วยไฟราคะ เธอจึงปฎิบัติการเอาพ่อของลูกมาทำสามีจริงๆซะเลย....แต่เสือร้ายอย่างเขามีสาวๆมารุมล้อมแบบนั้น เธอจึงต้องใช้เสน่ห์และความหื่นของเธอจัดการกับเขา...เพื่อให้เขากลายมาเป็นลูกไก่ในกำมือของเธอคนเดียวเท่านั้น.... เนื้อเรื่องย่อ.... “ทำไมยังไม่นอนอีก หรือว่าเจ็บท้อง” เหมราชพูดออกไปเมื่อเห็นร่างบางเดินมาหาเขาในห้องนอนด้วยท่าทางแปลกๆ “เปล่าๆ คือฉันแค่ อ่อ แค่อยากดมกลิ่นตัวคุณอ่ะ ขอฉันนอนกับคุณได้ไหมคืนนี้” อันทิกาเอ่ยพูดไปอย่างใจกล้า เพราะเธอทนไม่ไหวแล้ว เธออยากดมตัวเขา อยากกอดเขา อยากหอมเขา และอยากทำอะไรต่อมิอะไรเขาจะบ้าตายอยู่แล้ว “ห้ะ อะไรนะ คุณจะนอนกับผมเนี่ยนะ ไม่ดีมั้ง ผมเป็นผู้ชายนะคุณ” เหมราชพูดบอกไปอย่างไม่ไว้ใจตัวเอง เพราะอันทิกาก็ใช่ว่าจะขี้เหล่ เธอทั้งสวยหวานและน่ารักขนาดนี้ ขืนนอนด้วยกันคืนนี้เขาคงได้จับเธอทำเมียจริงๆเข้าให้ “นะคะคุณเหม ถ้าฉันไม่ได้กลิ่นตัวคุณ คืนนี้ฉันก็คงนอนไม่หลับเหมือนกัน ถือว่าสงสารลูกนะคะ นะคะ” อันทิกาเอ่ยพูดไปก็ทำหน้าออดอ้อนไปอย่างน่ารัก จนเหมราชถอนหายใจยาวแล้วมองเธออย่างเลี่ยงไม่ได้ “อะฮึ่ม แปะๆ งั้นก็ขึ้นมา” เหมราชกระแอมออกมาเบาๆ แล้วเอามือตีที่นอนข้างๆเขาแบบเกร็งๆ ก่อนจะมองอันทิกายิ้มหน้าบาน แล้วเดินปรี่เข้ามาบนเตียงของเขา “เย้ ขอบคุณนะคะ งั้นขอฉันกอดคุณหน่อยนะคะ” อันทิกาพูดบอกไปก็ขึ้นไปนั่งบนเตียงข้างๆเขา ก่อนจะกอดแขนของเหมราชไว้ แล้วเธอก็สูดดมกลิ่นตัวของเขาอย่างฉ่ำปอดราวกับว่าขาดหายจากเขามานาน เหมราชก็ตัวเกร็งหนักกว่าเดิม เพราะเขาเองก็ต้องห้ามใจตัวเองไม่ให้ทำอะไรเกินเลยเธอ เพราะสัญญาที่เขาและเธอทำร่วมกัน มันค้ำคอของเขาอยู่ รู้แบบนี้เขาไม่หน้าโง่ทำสัญญาบ้าๆนั่น มาทำให้ตัวเองทรมานแบบนี้เลย
ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายเลี้ยงครอบครัวสามียุค70
นอนอ่านนิยายอยู่ดี ๆ ถิงถิงก็ไปโผล่ในนิยายที่ไม่เคยได้อ่าน นอกจากไม่เคยได้อ่านแล้ว สามีเจ้าของร่างก็พึ่งเสียไปหลายวันก่อน ลูกสาวก็พึ่งจะเดือนเศษ แม่สามีก็ป่วย อีถิงถิงคนนี้สุดจะงง
เพลิงร้ายซ่อนรัก
คิดว่าจะหลอกกินเพลิงฝ่ายเดียวได้เหรอ พอเห็นว่าเธอเมาได้ที่มือหนาก็ล้วงอาวุธลับออกมา ไม่ออกไปข้างนอกด้วยก็ได้ แค่มุมมืดมุมนี้ก็เกินต้านทานแล้ว เขาไม่ได้ทำอะไรมากแค่แหวกกางเกงชั้นในของเธอที่นั่งอยู่บนตักออกเล็กน้อย ก่อนที่จะจัดท่าให้เธอเพื่อไม่ให้มันเข้าลำบาก ความคิดผู้ชายร้อยทั้งร้อยมาเที่ยวสถานที่แบบนี้ และเจอผู้หญิงบริการ ก็คิดไปในแนวทางเดียวกันหมด ว่าเธอคงจะไม่บริสุทธิ์แล้ว และแถมเธอคนนั้นก็พร้อมที่จะมอบกายถวายให้แก่คนที่มีเงินมากพอที่จะทุ่มให้กับพวกเธอๆ เหล่านั้น "โอ๊ย" หญิงสาวที่ถูกฤทธิ์แอลกอฮอล์ครอบครองจนไม่รู้สติ เกร็งสุดตัวเมื่อถูกของแข็งส่งเข้ามาในร่างกาย ไม่ใช่ว่าเพลิงไม่เคยทำแบบนี้ในสถานที่เที่ยว ในห้องน้ำยังเคยพาผู้หญิงเข้าไปมาแล้ว เพลิงคิดว่าแบบนี้มันได้อารมณ์กว่าอยู่ในที่แคบสองต่อสอง และผู้หญิงที่จะถูกใจเขาก็ไม่ใช่ว่าเจอได้บ่อยๆ _______________ ผู้กองเพลิงซึ่งได้รับภารกิจพิเศษมาจากท่านผู้พัน ให้ตามหาน้องสาวต่างมารดาที่ท่านพลเอกคนเป็นพ่อได้ทิ้งขว้างไป และเพลิงก็สืบทราบมาว่าน้องสาวของท่านผู้พันเติบโตมาที่บาร์เบียร์แห่งนี้ แต่พอก้าวเข้ามาเขาก็เจอสาวที่ถูกใจ เรียกมานั่งด้วยก่อน เธอคนนี้เป็นใครต้องตามอ่านได้ที่เพลิงร้ายซ่อนรักค่ะ
เหมยฮวาบัญชาการ
ม้าเร็วกำลังเร่งฝีเท้าควบผ่านแผ่นดินกว้างใหญ่โดยไม่คิดแม้แต่จะหยุดพัก วันเวลามิอาจคอยท่า สารด่วนมิอาจรอช้า ‘ฝูซิ่นเล่อ’ แม่ทัพใหญ่แห่งทัพไป๋หู่หรือกองทัพพยัคฆ์ขาว ต้องพิษหมื่นบุปผาของข้าศึกศัตรู เป็นเหตุให้ทัพใหญ่ที่กำลังกรำศึกอยู่ชายแดนไร้ซึ่งผู้นำ ความนี้ต้องส่งถึงองค์ฮ่องเต้โดยไวที่สุด หาไม่ ทัพไป๋หู่ที่ได้ชื่อว่ากองทัพไร้พ่าย อาจประสบกับความพ่ายแพ้ได้ “รายงาน!” พลทหารถือสารด่วนวิ่งเข้ามาในท้องพระโรง ขณะที่ฮ่องเต้กำลังประชุมกับเหล่าขุนนางอยู่ “สารด่วนจากทัพไป๋หู่พ่ะย่ะค่ะ!” “ว่ามา” ฮ่องเต้จินหยางหลงรับสั่ง “ทูลฝ่าบาท แม่ทัพฝูถูกทำร้ายด้วยพิษหมื่นบุปผาของต้าเจา บัดนี้ทัพไป๋หู่ไร้ผู้นำทัพ ขอฝ่าบาททรงพิจารณาแต่งตั้งแม่ทัพคนใหม่เป็นผู้นำทัพไป๋หู่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” “ฝูซิ่นเล่อถูกพิษเรอะ!” ไม่เพียงแต่จินหยางหลงเท่านั้นที่นั่งไม่ติด เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างก็พากันอกสั่นขวัญแขวน ที่ผ่านมาทัพไป๋หู่ไม่เคยพ่ายแพ้ ฝูซิ่นเล่อแม้บาดเจ็บมามาก แต่ก็ไม่เคยสาหัสถึงขั้นต้องส่งพลทหารมาขอให้ฮ่องเต้แต่งตั้งแม่ทัพคนใหม่ไปนำทัพ “ยามนี้ใครเป็นผู้บัญชาการทัพไป๋หู่” จินหยางหลงถาม “ทูลฝ่าบาท เป็นกุนซือฝูพ่ะย่ะค่ะ” องค์ฮ่องเต้ครุ่นคิดด้วยความหนักใจ มีเพียงกุนซือแต่ไร้ซึ่งแม่ทัพ แม้กุนซือเก่งกาจเพียงใดก็มีโอกาสที่จะพ่ายแพ้แก่ศัตรูได้ ท้องพระโรงจึงตกอยู่ในความเงียบครู่ใหญ่ แต่ในที่สุดจินหยางหลงก็เงยพระพักตร์ขึ้น “เว่ยหยางอ๋อง!” “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เว่ยหยางอ๋องหรือ ‘จินเกาหยาง' อนุชาร่วมสายโลหิตของฮ่องเต้ขานรับ ขณะก้าวออกมาข้างหน้า “เจ้าเคยเป็นแม่ทัพทหารม้ามาก่อน ประสบการณ์ในการรบก็มีมาก ศึกครั้งนี้คงต้องพึ่งเจ้าแล้ว” จินหยางหลงว่า “พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร หากข้าจะแต่งตั้งให้เว่ยหยางอ๋องเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งทัพไป๋หู่ นำทัพออกศึกกับแคว้นต้าเจา จนกว่าฝูซิ่นเล่อจะหายเป็นปกติ” “ฝ่าบาททรงปรีชา ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี” บรรดาขุนนางต่างพากันถวายคำนับ เมื่อไม่ผู้ใดคัดค้าน ฮ่องเต้จึงพระราชทานป้ายหยกตราพยัคฆ์อันเป็นตราประจำตัวแม่ทัพให้จินเกาหยาง “จงรีบเตรียมตัวไปชายแดน แล้วนำชัยชนะมาสู่ต้าจินให้จงได้!” “รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ!” จินเกาหยางและผู้ติดตามออกเดินทางติดต่อกันโดยแทบไม่ได้หยุดพักเป็นเวลาสิบวันสิบคืน เขาเลือกใช้การเปลี่ยนม้าแทนการพักม้า แม้เป็นยอดอาชาฝีเท้าว่องไวเพียงใด ก็ยังไวไม่เท่ากับใจของจินเกาหยางที่ต้องการไปถึงที่ตั้งทัพไป๋หู่ให้เร็วที่สุด เพราะไม่รู้ว่ายามนี้กองทัพที่ไร้ซึ่งแม่ทัพจะเป็นเช่นไรบ้าง ในที่สุดเช้าของวันที่สิบเอ็ด จินเกาหยางก็มาถึงที่ตั้งทัพไป๋หู่ แม่ทัพคนใหม่ได้รับการต้อนรับจากเหล่าพลทหารเป็นอย่างดี ชายหนุ่มร่างสูงสง่าลงจากหลังม้าแล้วมองไปรอบ ๆ ทุกอย่างในกองทัพยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อย ทหารมิได้แตกตื่นเสียขวัญที่แม่ทัพใหญ่ได้รับบาดเจ็บ ทุกคนยังปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ตามปกติ จนจินเกาหยางอดไม่ได้ที่จะชื่นชม ‘กุนซือฝู’ ผู้ซึ่งพลทหารรายงานว่าเป็นผู้บัญชาการทัพไป๋หู่อยู่ในขณะนี้ ‘เขา’ ผู้นั้นคงเป็นผู้ที่มีความสามารถในการบัญชาการเป็นอย่างดีเลยทีเดียว “ยามนี้กุนซือฝูอยู่ที่ใด” จินเกาหยางถาม “เรียนท่านแม่ทัพ ขณะนี้ท่านกุนซือกำลังวางกลศึกกับนายกองคนอื่น ๆ อยู่” พลทหารตอบ “ท่านกุนซือกล่าวว่า หากท่านแม่ทัพมาถึงแล้ว ให้เชิญท่านไปเข้าร่วมการประชุมด้วยขอรับ” “เช่นนั้นจงนำทางข้าไปพบกุนซือฝู” “ขอรับ” จินเกาหยางเดินตามพลทหารไป พลางกวาดสายตามองรอบ ๆ ค่ายทหารแห่งนี้ หลายปีที่ผ่านมา ทัพไป๋หู่กรำศึกอยู่ชายแดนมาโดยตลอด นานทีพลทหารจะได้ผลัดเปลี่ยนกันกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดของตน ก่อนจะกลับเข้ากองทัพโดยไม่มีใครคิดหนีทัพแม้แต่คนเดียว ไม่รู้ว่าแม่ทัพและกุนซือฝูทำให้ทหารจงรักภักดีถึงเพียงนั้นได้อย่างไร พูดถึงเรื่องที่พลทหารผลัดเปลี่ยนกันกลับบ้านเกิดแล้ว จินเกาหยางก็อดคิดถึงแม่ทัพและกุนซือแห่งทัพไป๋หู่ไม่ได้ พี่น้องสกุลฝูแทบไม่เคยกลับเข้าเมืองหลวงเลย ยามที่ฮ่องเต้พระราชทานรางวัล ก็ทำได้เพียงส่งไปที่จวนสกุลฝู โดยผู้ที่ได้รับปูนบำเหน็จไม่เคยกลับมารับรางวัล หรือกลับมาใช้ทรัพย์สินเงินทองที่ได้รับพระราชทานแต่อย่างใด นับตั้งแต่อดีตแม่ทัพฝูหานบิดาของทั้งสองเสียชีวิตในสงคราม เมื่อสิ้นแม่ทัพฝูหาน ฝูซิ่นเล่อก็ขึ้นเป็นแม่ทัพแทนบิดา แม้เขาจะอายุยังน้อย แต่ก็มากด้วยฝีมือและเปี่ยมด้วยความสามารถ ชายหนุ่มวัยเพียงสิบเจ็ดปีสามารถนำทัพต่อสู้กับข้าศึกศัตรูตามกลศึกที่กุนซือฝูผู้เป็น ‘พี่ชาย’ วางไว้ จนได้รับชัยชนะนับครั้งไม่ถ้วน ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วแคว้น ผู้คนต่างเคารพยกย่อง แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะไม่เคยพบหน้าทั้งสองมาก่อนเลยก็ตาม “ถึงแล้วขอรับ” พลทหารพาจินเกาหยางมาถึงกระโจมสีขาวขนาดใหญ่ที่มีทหารเฝ้ายามอยู่ด้านหน้า “เข้าไปเรียนท่านกุนซือว่าท่านแม่ทัพคนใหม่มาถึงแล้ว” พลทหารคนเดิมบอกกับทหารยาม ทหารยามเดินหายเข้าไปในกระโจม จินเกาหยางรออยู่ครู่หนึ่ง ทหารคนเดิมก็เดินออกมาเชิญเขาเข้าไปด้านใน “เชิญท่านแม่ทัพขอรับ” ทหารผู้น้อยแหวกผ้าม่านให้ จินเกาหยางเดินเข้าไปในกระโจม เหล่านายกองในชุดสีกรมท่าต่างมองมาที่เขาเป็นตาเดียว จินเกาหยางไม่คิดว่าเขาจะได้รับความศรัทธาจากคนเหล่านี้ตั้งแต่วันแรกที่มาถึง นายกองย่อมภักดีต่อแม่ทัพของตน และแม่ทัพของนายกองเหล่านี้คือฝูซิ่นเล่อ หาใช่ตัวเขา แต่เพื่อต้าจิน เขาจะต้องเป็นผู้นำทุกคน ณ ที่แห่งนี้ในฐานะแม่ทัพคนใหม่ให้ได้ ระหว่างที่จินเกาหยางกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น สายตาของเขาก็สะดุดกับผู้ที่ยืนอยู่ในตำแหน่งประธาน สองเท้าของชายหนุ่มพลันหยุดชะงัก สายตาจับจ้องไปยังสตรีรูปร่างบอบบางในชุดขาวเรียบง่าย ท่าทางของนางดูอ่อนแอขี้โรค ใบหน้าขาวซีดคล้ายคนป่วย หากดวงตาที่มองมายังเขานั้นกลับเปี่ยมด้วยอำนาจอย่างไม่น่าเชื่อ สตรีในกองทัพเป็นเรื่องต้องห้ามมิใช่หรือ แล้วสตรีผู้นี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน!? “ท่านแม่ทัพ” ทั้งหมดหันมาประสานมือคำนับจินเกาหยาง รวมทั้งสตรีชุดขาวด้วย “ยินดีที่ได้พบทุกท่าน” จินเกาหยางประสานมือตอบ ก่อนจะก้าวเดินต่อ โต๊ะสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่มีแผนที่กางไว้ และมีการปักธงรวมถึงทำสัญลักษณ์ต่าง ๆ มากมาย จินเกาหยางมองแผนที่อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาสนใจกับเหล่านายกองและสตรีตรงหน้า “ข้าจินเกาหยาง รับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้มาร่วมทำศึกกับพวกท่าน ขอพวกท่านโปรดรับข้าเป็นพี่น้อง เพื่อร่วมต่อสู้กับพวกท่านด้วยเถิด” เมื่อแรกที่ได้ยินข่าวว่าฮ่องเต้ส่ง ‘เว่ยหยางอ๋อง’ มาเป็นแม่ทัพแทนฝูซิ่นเล่อ เหล่านายกองต่างก็พากันคิดไปต่าง ๆ นานาว่าเขาจะเป็นคนเช่นไร จะถือตัวดังเช่นเชื้อพระวงศ์ทั่วไปหรือไม่ หากจินเกาหยางกลับพูดจาเป็นกันเอง เขากล่าวทุกถ้อยคำด้วยความอ่อนน้อม แต่ก็ดูน่าเกรงขาม ทั้งยังเรียกแทนตัวเองว่า ‘ข้า’ ไม่ใช่ ‘อ๋องอย่างข้า’ ทำให้เหล่านายกองรู้สึกดีต่อเขามากขึ้นกว่าตอนที่ได้สดับนามเป็นครั้งแรก สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของจินเกาหยางจับจ้องไปยังสตรีชุดขาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้า นางอาจไม่ใช่หญิงงามสะคราญโฉม แต่ก็นับว่าเป็นหญิงงามคนหนึ่ง แม้ว่าใบหน้านั้นจะขาวซีดไปสักหน่อยก็ตาม ราวกับรู้ตัวว่ากำลังถูกจ้องมองด้วยความสงสัย สตรีชุดขาวประสานมือขึ้นแล้วจึงเอ่ยแนะนำตัว “หม่อมฉันฝูซิ่นฮวา กุนซือแห่งทัพไป๋หู่ ยินดีที่ได้รู้จักท่านอ๋อง” จินเกาหยางนิ่งอึ้ง แทบไม่เชื่อในสิ่งได้ยิน และไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น! กองทัพทหารม้าสองแสนนายอย่างทัพไป๋หู่ อยู่ภายใต้การบัญชาการของสตรีอ่อนแอท่าทางขี้โรค เป็นไปได้อย่างไรกัน!
ทะลุมิติไปเป็นแม่สามีในยุค 70
เมษา เกิดใหม่ในร่างของแม่สามีปากร้าย ที่กดขี่ลูกสะใภ้ รักหลานชายมากกว่าหลานสาว แถมยังอยู่ในยุคข้าวยากหมากแพง แต่ยังดีที่มี"มิติ"ตามมาด้วย
ฉุดท่านหมอมาเป็นสามี
ท่านหมออู๋ชวิน...ถูกลักพาตัว เพื่อให้ไปรักษาคนป่วย แต่พอจับตัวท่านหมอผู้ไร้วรยุทธ์ ไปถึงค่ายหลบซ่อนตัว หรูเฉินขุนพลหนุ่มผู้ห้าวหาญ กลับพบว่า...เหยื่อที่จับมา ที่แท้ก็คือเสือตัวหนึ่ง!
หยาดน้ำตาแห่งฤดูใบไม้ร่วง
เมื่อวันที่ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี้ แห่งสหรัฐอเมริกา ถูกลอบสังหารในดัลลัสนั้น หยาดน้ำตาแห่งฤดูใบไม้ร่วง หล่นพราวลงทั่วแผ่นดินอเมริกา และนับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ยังไม่มีใครช่วยขับหยาดน้ำตานั้นให้เดือดแห้งลงได้.....และหยดน้ำตาหยาดหนึ่งนั้น ได้จารึกไว้ในหนังสือเล่มนี้ "เธอะ เทียร์ส ออฟ ออตั้ม” “...ท่านครับ มันเป็นฤดูใบไม้ร่วงในอเมริกาจริง ๆ เสียด้วย ในวาระที่ท่านประธานาธิบดีเคนเนดี้ถูกลอบสังหาร...วันที่ 22 พฤศจิกายน...คําว่า “เธอะ เทียร์ส ออฟ ออตั้ม” นั้น ทําให้ประชาชนชาวอเมริกันต้องเสียน้ำตาไปมากมายสักเพียงไหนสําหรับฤดูใบไม้ร่วงปีนั้น ท่านก็คงทราบแล้ว..... “...คุณจะเห็นได้ว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในดัลลัสครั้งนั้น เราได้มองเห็นน้ำใจของคนอเมริกันครั้งใหญ่หลวง คือความร่วมอยู่ในความทุกข์อันเดียวกันนั่นแสดงว่าประชาชาติอเมริกันนั้นมิได้แตกแยก...ซึ่งผมขอย้ำอย่างภาคภูมิใจ...” -------------------------------
ดวงใจพยัคฆ์ (แฟนตาซีโรมานซ์)
หลังพุทธกาลห้าร้อยปีกว่า ปรากฏหมู่คนจำนวนมากบนแผ่นดินที่ไม่ระบุแน่ชัดว่าประเทศเขตแคว้นใดเมื่อเทียบกับปัจจุบัน แต่เป็นดินแดนที่สวยงาม อยู่ท่ามกลางภูมิประเทศที่ห้อมล้อมด้วยภูเขาและแม่น้ำ มีทะเล มีการสัญจรไปมา ค้าขาย มีทะเลทราย ผู้คนต่างสีผิวต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม แต่ท่ามกลางผู้คนมากมายนั้น มีบุคคลที่ถูกขนานนามและยกย่องอย่างยิ่งใหญ่กว่าบุรุษใด เขาคือ เมธัสอัปราชัย มหาบุรุษผู้ไม่เคยพ่าย ไม่มีคำว่าพ่ายแพ้มากล้ำกราย จอมกษัตริย์ที่ต่อตีเพื่อรวบรวมแผ่นดินให้หลอมรวมเป็นหนึ่งเพื่อความเป็นปึกแผ่นของอนาคต แต่ก็มีแผ่นดินที่ปรารถนาจะเป็นเอกเทศคือแผ่นดินของเธอ ผู้ที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นจอมสตรีที่เก่งกล้าสามารถทัดเทียมบุรุษ อีกทั้งยังงดงามด้วยพรอันวิเศษที่เลอเลิศกว่าสตรีใด แต่เหตุการณ์ต่าง ๆ ก็พลิกผันให้เป็นเรื่องราวเนื่องมาจากการช่วงชิงทั้งแผ่นดินและองค์ประกันซึ่งก็คือเธอ..อชิรญาณี..และองค์เอกบุรุษที่เป็นสาเหตุของเรื่องให้สตรีมากมายต่างหลงใหลแล้วยอมที่จะเป็นอามิษบรรณาการ ที่ทำให้ผู้เป็นพระบิดาต้องปวดใจเมื่อพระธิดาปรารถนาจะเป็นชายาของจอมกษัตริย์หนุ่มผู้ไม่เคยพ่าย ยกเว้นเพียงเธอเท่านั้น..อชิรญาณี..ที่หาวิธีเพื่อแย่งชิงแผ่นดินกลับคืนแม้เกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคือหัวใจรักของเขาที่เธอปรารถนาจะได้ไม่น้อยไปกว่าแผ่นดิน... เธอจะไขว่คว้าแผ่นดินและหัวใจของเขาได้หรือไม่.. อชิรญาณี . หมายเหตุ นิยายเรื่องนี้เหมาะสำสหรับบุคคลทั่วไป อายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไปนะคะ อาจมีฉากและบทที่โฉ่งฉ่างไปบ้างค่ะ คำศัพท์ยาก พี่เจี๊ยบจะแปลไว้ให้ในประโยคถัดไปนะคะ
รักเร่าร้อนของพลทหารสุดเลิฟ
ตายๆๆ ฉันดันไปเผลอตัวมีอะไรกับพลทหารของพ่อตั้งแต่วันแรกที่เจอ ก็เขาทั้งหล่อทั้งล่ำทำเอาฉันอดใจไม่ไหวนี่นา