เหมยฮวาบัญชาการ

195.0K · จบแล้ว
จิ้นอิ๋ง
97
บท
20.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ม้าเร็วกำลังเร่งฝีเท้าควบผ่านแผ่นดินกว้างใหญ่โดยไม่คิดแม้แต่จะหยุดพัก วันเวลามิอาจคอยท่า สารด่วนมิอาจรอช้า ‘ฝูซิ่นเล่อ’ แม่ทัพใหญ่แห่งทัพไป๋หู่หรือกองทัพพยัคฆ์ขาว ต้องพิษหมื่นบุปผาของข้าศึกศัตรู เป็นเหตุให้ทัพใหญ่ที่กำลังกรำศึกอยู่ชายแดนไร้ซึ่งผู้นำ ความนี้ต้องส่งถึงองค์ฮ่องเต้โดยไวที่สุด หาไม่ ทัพไป๋หู่ที่ได้ชื่อว่ากองทัพไร้พ่าย อาจประสบกับความพ่ายแพ้ได้ “รายงาน!” พลทหารถือสารด่วนวิ่งเข้ามาในท้องพระโรง ขณะที่ฮ่องเต้กำลังประชุมกับเหล่าขุนนางอยู่ “สารด่วนจากทัพไป๋หู่พ่ะย่ะค่ะ!” “ว่ามา” ฮ่องเต้จินหยางหลงรับสั่ง “ทูลฝ่าบาท แม่ทัพฝูถูกทำร้ายด้วยพิษหมื่นบุปผาของต้าเจา บัดนี้ทัพไป๋หู่ไร้ผู้นำทัพ ขอฝ่าบาททรงพิจารณาแต่งตั้งแม่ทัพคนใหม่เป็นผู้นำทัพไป๋หู่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” “ฝูซิ่นเล่อถูกพิษเรอะ!” ไม่เพียงแต่จินหยางหลงเท่านั้นที่นั่งไม่ติด เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างก็พากันอกสั่นขวัญแขวน ที่ผ่านมาทัพไป๋หู่ไม่เคยพ่ายแพ้ ฝูซิ่นเล่อแม้บาดเจ็บมามาก แต่ก็ไม่เคยสาหัสถึงขั้นต้องส่งพลทหารมาขอให้ฮ่องเต้แต่งตั้งแม่ทัพคนใหม่ไปนำทัพ “ยามนี้ใครเป็นผู้บัญชาการทัพไป๋หู่” จินหยางหลงถาม “ทูลฝ่าบาท เป็นกุนซือฝูพ่ะย่ะค่ะ” องค์ฮ่องเต้ครุ่นคิดด้วยความหนักใจ มีเพียงกุนซือแต่ไร้ซึ่งแม่ทัพ แม้กุนซือเก่งกาจเพียงใดก็มีโอกาสที่จะพ่ายแพ้แก่ศัตรูได้ ท้องพระโรงจึงตกอยู่ในความเงียบครู่ใหญ่ แต่ในที่สุดจินหยางหลงก็เงยพระพักตร์ขึ้น “เว่ยหยางอ๋อง!” “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เว่ยหยางอ๋องหรือ ‘จินเกาหยาง' อนุชาร่วมสายโลหิตของฮ่องเต้ขานรับ ขณะก้าวออกมาข้างหน้า “เจ้าเคยเป็นแม่ทัพทหารม้ามาก่อน ประสบการณ์ในการรบก็มีมาก ศึกครั้งนี้คงต้องพึ่งเจ้าแล้ว” จินหยางหลงว่า “พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร หากข้าจะแต่งตั้งให้เว่ยหยางอ๋องเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งทัพไป๋หู่ นำทัพออกศึกกับแคว้นต้าเจา จนกว่าฝูซิ่นเล่อจะหายเป็นปกติ” “ฝ่าบาททรงปรีชา ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี” บรรดาขุนนางต่างพากันถวายคำนับ เมื่อไม่ผู้ใดคัดค้าน ฮ่องเต้จึงพระราชทานป้ายหยกตราพยัคฆ์อันเป็นตราประจำตัวแม่ทัพให้จินเกาหยาง “จงรีบเตรียมตัวไปชายแดน แล้วนำชัยชนะมาสู่ต้าจินให้จงได้!” “รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ!” จินเกาหยางและผู้ติดตามออกเดินทางติดต่อกันโดยแทบไม่ได้หยุดพักเป็นเวลาสิบวันสิบคืน เขาเลือกใช้การเปลี่ยนม้าแทนการพักม้า แม้เป็นยอดอาชาฝีเท้าว่องไวเพียงใด ก็ยังไวไม่เท่ากับใจของจินเกาหยางที่ต้องการไปถึงที่ตั้งทัพไป๋หู่ให้เร็วที่สุด เพราะไม่รู้ว่ายามนี้กองทัพที่ไร้ซึ่งแม่ทัพจะเป็นเช่นไรบ้าง ในที่สุดเช้าของวันที่สิบเอ็ด จินเกาหยางก็มาถึงที่ตั้งทัพไป๋หู่ แม่ทัพคนใหม่ได้รับการต้อนรับจากเหล่าพลทหารเป็นอย่างดี ชายหนุ่มร่างสูงสง่าลงจากหลังม้าแล้วมองไปรอบ ๆ ทุกอย่างในกองทัพยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อย ทหารมิได้แตกตื่นเสียขวัญที่แม่ทัพใหญ่ได้รับบาดเจ็บ ทุกคนยังปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ตามปกติ จนจินเกาหยางอดไม่ได้ที่จะชื่นชม ‘กุนซือฝู’ ผู้ซึ่งพลทหารรายงานว่าเป็นผู้บัญชาการทัพไป๋หู่อยู่ในขณะนี้ ‘เขา’ ผู้นั้นคงเป็นผู้ที่มีความสามารถในการบัญชาการเป็นอย่างดีเลยทีเดียว “ยามนี้กุนซือฝูอยู่ที่ใด” จินเกาหยางถาม “เรียนท่านแม่ทัพ ขณะนี้ท่านกุนซือกำลังวางกลศึกกับนายกองคนอื่น ๆ อยู่” พลทหารตอบ “ท่านกุนซือกล่าวว่า หากท่านแม่ทัพมาถึงแล้ว ให้เชิญท่านไปเข้าร่วมการประชุมด้วยขอรับ” “เช่นนั้นจงนำทางข้าไปพบกุนซือฝู” “ขอรับ” จินเกาหยางเดินตามพลทหารไป พลางกวาดสายตามองรอบ ๆ ค่ายทหารแห่งนี้ หลายปีที่ผ่านมา ทัพไป๋หู่กรำศึกอยู่ชายแดนมาโดยตลอด นานทีพลทหารจะได้ผลัดเปลี่ยนกันกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดของตน ก่อนจะกลับเข้ากองทัพโดยไม่มีใครคิดหนีทัพแม้แต่คนเดียว ไม่รู้ว่าแม่ทัพและกุนซือฝูทำให้ทหารจงรักภักดีถึงเพียงนั้นได้อย่างไร พูดถึงเรื่องที่พลทหารผลัดเปลี่ยนกันกลับบ้านเกิดแล้ว จินเกาหยางก็อดคิดถึงแม่ทัพและกุนซือแห่งทัพไป๋หู่ไม่ได้ พี่น้องสกุลฝูแทบไม่เคยกลับเข้าเมืองหลวงเลย ยามที่ฮ่องเต้พระราชทานรางวัล ก็ทำได้เพียงส่งไปที่จวนสกุลฝู โดยผู้ที่ได้รับปูนบำเหน็จไม่เคยกลับมารับรางวัล หรือกลับมาใช้ทรัพย์สินเงินทองที่ได้รับพระราชทานแต่อย่างใด นับตั้งแต่อดีตแม่ทัพฝูหานบิดาของทั้งสองเสียชีวิตในสงคราม เมื่อสิ้นแม่ทัพฝูหาน ฝูซิ่นเล่อก็ขึ้นเป็นแม่ทัพแทนบิดา แม้เขาจะอายุยังน้อย แต่ก็มากด้วยฝีมือและเปี่ยมด้วยความสามารถ ชายหนุ่มวัยเพียงสิบเจ็ดปีสามารถนำทัพต่อสู้กับข้าศึกศัตรูตามกลศึกที่กุนซือฝูผู้เป็น ‘พี่ชาย’ วางไว้ จนได้รับชัยชนะนับครั้งไม่ถ้วน ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วแคว้น ผู้คนต่างเคารพยกย่อง แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะไม่เคยพบหน้าทั้งสองมาก่อนเลยก็ตาม “ถึงแล้วขอรับ” พลทหารพาจินเกาหยางมาถึงกระโจมสีขาวขนาดใหญ่ที่มีทหารเฝ้ายามอยู่ด้านหน้า “เข้าไปเรียนท่านกุนซือว่าท่านแม่ทัพคนใหม่มาถึงแล้ว” พลทหารคนเดิมบอกกับทหารยาม ทหารยามเดินหายเข้าไปในกระโจม จินเกาหยางรออยู่ครู่หนึ่ง ทหารคนเดิมก็เดินออกมาเชิญเขาเข้าไปด้านใน “เชิญท่านแม่ทัพขอรับ” ทหารผู้น้อยแหวกผ้าม่านให้ จินเกาหยางเดินเข้าไปในกระโจม เหล่านายกองในชุดสีกรมท่าต่างมองมาที่เขาเป็นตาเดียว จินเกาหยางไม่คิดว่าเขาจะได้รับความศรัทธาจากคนเหล่านี้ตั้งแต่วันแรกที่มาถึง นายกองย่อมภักดีต่อแม่ทัพของตน และแม่ทัพของนายกองเหล่านี้คือฝูซิ่นเล่อ หาใช่ตัวเขา แต่เพื่อต้าจิน เขาจะต้องเป็นผู้นำทุกคน ณ ที่แห่งนี้ในฐานะแม่ทัพคนใหม่ให้ได้ ระหว่างที่จินเกาหยางกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น สายตาของเขาก็สะดุดกับผู้ที่ยืนอยู่ในตำแหน่งประธาน สองเท้าของชายหนุ่มพลันหยุดชะงัก สายตาจับจ้องไปยังสตรีรูปร่างบอบบางในชุดขาวเรียบง่าย ท่าทางของนางดูอ่อนแอขี้โรค ใบหน้าขาวซีดคล้ายคนป่วย หากดวงตาที่มองมายังเขานั้นกลับเปี่ยมด้วยอำนาจอย่างไม่น่าเชื่อ สตรีในกองทัพเป็นเรื่องต้องห้ามมิใช่หรือ แล้วสตรีผู้นี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน!? “ท่านแม่ทัพ” ทั้งหมดหันมาประสานมือคำนับจินเกาหยาง รวมทั้งสตรีชุดขาวด้วย “ยินดีที่ได้พบทุกท่าน” จินเกาหยางประสานมือตอบ ก่อนจะก้าวเดินต่อ โต๊ะสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่มีแผนที่กางไว้ และมีการปักธงรวมถึงทำสัญลักษณ์ต่าง ๆ มากมาย จินเกาหยางมองแผนที่อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาสนใจกับเหล่านายกองและสตรีตรงหน้า “ข้าจินเกาหยาง รับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้มาร่วมทำศึกกับพวกท่าน ขอพวกท่านโปรดรับข้าเป็นพี่น้อง เพื่อร่วมต่อสู้กับพวกท่านด้วยเถิด” เมื่อแรกที่ได้ยินข่าวว่าฮ่องเต้ส่ง ‘เว่ยหยางอ๋อง’ มาเป็นแม่ทัพแทนฝูซิ่นเล่อ เหล่านายกองต่างก็พากันคิดไปต่าง ๆ นานาว่าเขาจะเป็นคนเช่นไร จะถือตัวดังเช่นเชื้อพระวงศ์ทั่วไปหรือไม่ หากจินเกาหยางกลับพูดจาเป็นกันเอง เขากล่าวทุกถ้อยคำด้วยความอ่อนน้อม แต่ก็ดูน่าเกรงขาม ทั้งยังเรียกแทนตัวเองว่า ‘ข้า’ ไม่ใช่ ‘อ๋องอย่างข้า’ ทำให้เหล่านายกองรู้สึกดีต่อเขามากขึ้นกว่าตอนที่ได้สดับนามเป็นครั้งแรก สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของจินเกาหยางจับจ้องไปยังสตรีชุดขาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้า นางอาจไม่ใช่หญิงงามสะคราญโฉม แต่ก็นับว่าเป็นหญิงงามคนหนึ่ง แม้ว่าใบหน้านั้นจะขาวซีดไปสักหน่อยก็ตาม ราวกับรู้ตัวว่ากำลังถูกจ้องมองด้วยความสงสัย สตรีชุดขาวประสานมือขึ้นแล้วจึงเอ่ยแนะนำตัว “หม่อมฉันฝูซิ่นฮวา กุนซือแห่งทัพไป๋หู่ ยินดีที่ได้รู้จักท่านอ๋อง” จินเกาหยางนิ่งอึ้ง แทบไม่เชื่อในสิ่งได้ยิน และไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น! กองทัพทหารม้าสองแสนนายอย่างทัพไป๋หู่ อยู่ภายใต้การบัญชาการของสตรีอ่อนแอท่าทางขี้โรค เป็นไปได้อย่างไรกัน!

นิยายแอคชั่นนิยายจีนโบราณนิยายรักแม่ทัพพระเอกเก่งพระชายานิยายย้อนยุคอัจฉริยะนิยายทหารนักรบ

บทที่ 1 กุนซือฝู

“เจ้าคือกุนซือฝู?” จินเกาหยางทวนถามเพื่อความแน่ใจ

“มิผิด หม่อมฉันคือผู้ที่ทุกคนเรียกว่ากุนซือฝู” ฝูซิ่นฮวาตอบ

เสียงของนางไม่ดังนัก ทว่ากลับเป็นน้ำเสียงที่หนักแน่นน่าเชื่อถือ จินเกาหยางมองนางอย่างประเมินชั่วครู่ จากนั้นจึงหันมาสนใจนายกองคนอื่น ๆ ที่เริ่มแนะนำตัวต่อจากฝูซิ่นฮวา

เมื่อทำความรู้จักกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดก็มุ่งความสนใจไปยังแผนที่และกุนซือที่กำลังวางกลศึก จินเกาหยางมองฝูซิ่นฮวาตาแทบไม่กะพริบ คำพูดคำจาของนางฉะฉานหนักแน่น นายกองทุกคนก็ดูเหมือนจะตั้งใจฟังทุกคำที่นางพูดเป็นอย่างดี จนจินเกาหยางใคร่อยากรู้นัก สตรีผู้นี้มีดีอะไร จึงสามารถบัญชาการกองทัพทหารม้าที่ยิ่งใหญ่อย่างทัพไป๋หู่ได้

“กลที่เราจะใช้เรียกว่ากลพยัคฆ์หมอบ” ฝูซิ่นฮวากล่าวขณะวางธงลง “ก่อนกรีธาทัพ ฝ่ายเราจงแสดงตัวเป็นคนเขลา จากนั้นจึงล่าถอยให้ข้าศึกได้ใจ ชักนำเข้ามาในพื้นที่ส่วนนี้...”

“ช้าก่อน!” จินเกาหยางขัดขึ้น “พื้นที่ที่เจ้าว่าจัดเป็นพื้นที่แขวน หากข้าศึกเตรียมตัวพร้อมที่จะเข้ามาต่อสู้กับเราในพื้นที่นี้ เราอาจเป็นฝ่ายปราชัยได้”

“พื้นที่ที่ว่าจัดเป็นพื้นที่แขวนก็จริงเพคะ แต่หม่อมฉันได้ให้ทหารทำกับดักและเตรียมทางหนีทีไล่ไว้แล้ว” ฝูซิ่นฮวาใช้พู่กันขีดเส้นกากบาทลงบนแผนที่

“จุดนี้เป็นช่องทางที่ฝ่ายเราจะสามารถหนีออกจากพื้นที่แขวนได้ ส่วนบริเวณนี้” มือบางจับพู่กันลากยาว “หม่อมฉันเห็นว่าควรขุดสนามเพลาะ แล้วปักไม้แหลมไว้”

“หากขุดสนามเพลาะตรงนี้ แล้วคนของเราจะหนีอย่างไร”

“หม่อมฉันจะให้ทำสะพานสองฝั่งซ้ายขวาของสนามเพลาะ สำหรับให้ทหารของเราข้ามมา เมื่อทหารของเราข้ามมาหมดแล้วก็ให้ระเบิดสะพาน เทน้ำมันลงสนามเพลาะแล้วจุดไฟ จากนั้นทหารอีกกองที่ซุ่มอยู่ด้านนอกจะปิดทางออกของศัตรูแล้วโจมตีอีกฝั่ง”

“เท่ากับว่าเราปิดล้อมข้าศึกแล้วบุกโจมตี”

“เพคะ” ฝูซิ่นฮวาตอบ แล้วจึงอธิบายกลศึกต่อ “จุดที่ข้าศึกถูกล้อม หม่อมฉันขอเรียกว่า ‘ภายใน’ ส่วนจุดที่เราอยู่เรียกว่า ‘ภายนอก’ เราจะโจมตีจากภายนอกเท่านั้น จะไม่บุกเข้าภายในเป็นอันขาด ทหารกองหน้าควรมีโล่กำแพงที่แข็งแกร่ง เหล็กแหลม หอก หลาว ต้องเตรียมให้พร้อม กองกลางคอยสนับสนุนกองหน้า กองหลังโจมตีด้วยธนูเพลิง คำนวณจากทิศทางลมแล้ว เราอยู่เหนือลม เป็นฝ่ายได้เปรียบ”

“แล้วคนของเราที่อยู่หลังสนามเพลาะล่ะ ฝั่งนั้นเป็นทิศใต้ลมมิใช่หรือ”

“อย่างที่หม่อมฉันได้ทูลไปก่อนหน้านี้ เราได้เตรียมทางหนีออกจากพื้นที่นั้นไว้แล้ว ดังนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องทหารที่อยู่หลังสนามเพลาะเพคะ”

จินเกาหยางคิดภาพตามที่ฝูซิ่นฮวาวางแผน เขาต้องยอมรับว่าแผนการของนางไม่เลวเลย ไม่น่าเชื่อว่าสตรีท่าทางเปราะบางราวคุณหนูในห้องหอจะรู้จักวางกลเช่นนี้ได้

“หลังจากชนะศึกครั้งนี้ หม่อมฉันคิดว่าเราควรเดินหน้าโจมตีเมืองเล็กสิบหกเมืองที่กระจัดกระจายของต้าเจาก่อน จากนั้นจึงค่อยบุกยึดเมืองหลวง”

จินเกาหยางมองสตรีตรงหน้าที่ดูท่าทางมั่นใจในกลศึกของตนถึงขั้นวางแผนชนะก่อนรบ

เป็นสตรีที่ไม่ธรรมดาจริง ๆ !

“ดี” จินเกาหยางตอบสั้น ๆ โดยไม่ละสายตาจากฝูซิ่นฮวาที่มีใบหน้าเรียบเฉยเย็นชา

ภายใต้ท่าทางอ่อนแอ แท้จริงหญิงผู้นี้ดุดันราวนางพญาเสือโคร่ง สตรีเช่นนี้หาได้ยากนัก ไม่คิดเลยว่าสกุลฝูจะมีบุตรีที่งดงามและชาญฉลาดถึงเพียงนี้

นางคือบุปผาที่เบ่งบานกลางสนามรบอย่างแท้จริง

หลังจากประชุมเสร็จ ทั้งหมดจึงไปร่วมรับประทานอาหารมื้อเที่ยงกับเหล่าทหารคนอื่น ๆ แม้แต่ฝูซิ่นฮวาที่เป็นกุนซือใหญ่ก็กินอาหารแบบเดียวกับพลทหาร จินเกาหยางลอบสังเกตนางอยู่เงียบ ๆ เห็นได้ชัดว่าทหารในกองทัพให้ความเคารพยำเกรงนางไม่น้อย ทั้งที่นางเป็นสตรีเพียงคนเดียวในกองทัพ

“ท่านอ๋อง ข้าวพ่ะย่ะค่ะ” มู่จิ่ว คนสนิทของจินเกาหยางที่ตามมาจากเมืองหลวงนำชามข้าวมาให้เขา

จินเกาหยางรับชามข้าวมา พลางมองตามฝูซิ่นฮวาว่านางจะกินอาหารที่ใด

ร่างระหงในชุดขาวเดินไปยังกลุ่มพลทหารที่นั่งล้อมวงกันอยู่ ทหารเหล่านั้นรีบขยับให้นางลงนั่งด้วยทันที จากนั้นทั้งหมดจึงกินข้าวและพูดคุยกันอย่างออกรส ฝูซิ่นฮวามีรอยยิ้มบาง ๆ ประดับบนใบหน้า ต่างจากยามประชุมที่ดูสุขุม เย็นชา และจริงจัง

กว่าจะรู้ตัวอีกที จินเกาหยางก็พบว่าตัวเขาเดินมาหยุดอยู่ตรงบริเวณที่ฝูซิ่นฮวากำลังกินข้าวกับเหล่าทหารแล้ว

“ข้าขอร่วมวงด้วยคนได้หรือไม่” จินเกาหยางถาม

“เชิญขอรับท่านแม่ทัพ” พลทหารรีบหลีกทางให้จินเกาหยางนั่งข้าง ๆ ฝูซิ่นฮวา

เมื่อจินเกาหยางนั่งลงข้าง ๆ ฝูซิ่นฮวาก็หาได้มีทีท่าขัดเขิน นางคงอยู่ในกองทัพที่เต็มไปด้วยบุรุษจนชินเสียแล้ว เรื่องจะมาทำท่าทีเอียงอายดังเช่นเหล่าคุณหนูในเมืองหลวงคงจะเป็นไปได้ยาก

“กุนซือฝู ตอนนี้ฝูซิ่นเล่อเป็นอย่างไรบ้าง” จินเกาหยางถาม

“ทูลท่านอ๋อง พิษหมื่นบุปผาต้องใช้เวลาในการถอนพิษนานหลายเดือน ยามนี้ซิ่นเล่ออาการยังไม่ดีนัก หม่อมฉันจึงให้คนพากลับไปที่จวนพร้อมทหารคนอื่นที่ถูกพิษ เพื่อให้หมอที่เชี่ยวชาญการรักษาทำการถอนพิษให้เพคะ”

จินเกาหยางเลิกคิ้วน้อย ๆ เขาสังเกตมาตั้งแต่ตอนประชุมแล้ว นายกองคนอื่น ๆ เรียกเขาว่า ‘ท่านแม่ทัพ’ เหล่าพลทหารก็เช่นกัน มีเพียงฝูซิ่นฮวาเท่านั้นที่เรียกเขาว่า ‘ท่านอ๋อง’ ทุกคำ

ดูท่าว่านางจะยังไม่ยอมรับเขาเป็นแม่ทัพคนใหม่

“ขอให้แม่ทัพฝูหายโดยไว”

“เพคะ” นางตอบรับสั้น ๆ

ระหว่างมื้ออาหาร จินเกาหยางลอบสังเกตฝูซิ่นฮวาอยู่ตลอดเวลา นางเข้ากันได้ดีกับทหารในกองทัพ ตั้งแต่ทหารชั้นผู้น้อยไปจนถึงระดับนายกอง ทุกคนให้ความเคารพนางในฐานะกุนซือ โดยไม่มีการดูถูกเหยียดหยามที่นางเป็นสตรีอ่อนแอแม้แต่น้อย

เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ฝูซิ่นฮวาก็เดินกลับเข้าไปในกระโจมที่ประชุม นางมองแผนที่แล้วใช้ไม้ด้ามเล็กเรียวยาวลากจากจุดนี้ไปจุดนั้น ราวกับกำลังคำนวณอะไรบางอย่างอยู่ในใจ กระทั่งรู้สึกได้ว่าจินเกาหยางกำลังจ้องมองอยู่ ฝูซิ่นฮวาจึงเงยหน้าจากแผนที่มาคุยกับเขา

“ท่านอ๋องมีธุระอะไรกับหม่อมฉันหรือเพคะ” ฝูซิ่นฮวาถาม

“ข้ามีคำถามในกลศึกของเจ้าสองข้อ”

“เชิญท่านอ๋องถามมาได้”

“ข้อแรก เหตุใดเจ้าจึงตั้งชื่อกลศึกครั้งนี้ว่ากลพยัคฆ์หมอบ”

“ท่านอ๋องเคยเห็นพยัคฆ์ก่อนล่าเหยื่อหรือไม่เพคะ”

“ไม่”

ฝูซิ่นฮวายิ้มจาง ๆ ก่อนอธิบาย “ก่อนเวลาที่เสือจะกระโจนเข้าตะครุบเหยื่อ... มันจะหมอบจนติดดิน!”

น้ำเสียงตอนท้ายของนางเยือกเย็นยิ่งนัก อีกทั้งแววตายังดุดัน ขัดกับภาพลักษณ์อ่อนแอของนางโดยสิ้นเชิง

“ข้อต่อไปล่ะเพคะ” ฝูซิ่นฮวาถาม

มุมปากของจินเกาหยางยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย หากนางแก้ปมสงสัยครั้งนี้ได้ เขาจะไม่ตั้งแง่ใด ๆ กับสตรีผู้นี้อีกต่อไป