


นิยาย


ใต้เท้าเสิ่น เจ้าซ่อนสิ่งใดเอาไว้
เสิ่นเฉิงแฝดผู้พี่หายตัวไประหว่างเดินทางไปเจียงซี เสิ่นต้าเหนิงแฝดน้อง จำต้องปลอมตัวใช้ชีวิตแทนพี่ชาย จนกว่าจะหาตัวพี่ชายพบ


เพียงเพราะข้าเป็นบุตรอนุหรือ ถึงได้รับบทร้าย
“คุณหนูผิดที่เกิดมาเป็นบุตรอนุ หากภพหน้ามีจริง คุณหนูท่านเกิดมาเป็นบุตรภรรยาเอกเถิดเจ้าค่ะ” แม่นมจินทรุดตัวคุกเข่าลงร้องไห้อยู่ข้างกายซีเยว่ไม่มี ภพหน้าไม่มีจริง ข้าผิดที่เป็นบุตรอนุเพียงเท่านี้รึ


ข้าคือ เจ้าของหอเหว่ยซิน
สายฝนที่กระหนำลงมาราวกับว่าสวรรค์กำลังพิโรธอยู่ ทำให้ร่างของสตรีที่กำลังสลบไสลไม่ได้สติ ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามองรอบด้าน ดวงตาสีดำสนิทหรี่ลงเมื่อน้ำฝนตกกระทบลงมา นางค่อยๆ ชันตัวลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก “อูยยย จะ เจ็บ เจ็บชะมัด” นางคำรามออกมาเสียงเบา ความประหลาดใจเริ่มฉายชัดในแววตา เมื่อสภาพแวดล้อมที่เห็นไม่ชัดในตอนนี้ ไม่ใช่สถานที่ก่อนหน้าที่นางอยู่ เยี่ยนอิง คลานไปหลบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ที่อยู่ไม่ไกลจากตำแหน่งที่นางเพิ่งฟื้นเมื่อครู่ สายฟ้าที่ฟาดลงมา ส่งผลให้ทั่วบริเวณแสงวาบขึ้นมาเพียงชั่วอึดใจ “ที่ไหน ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ย” นางเริ่มจะตื่นตระหนกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รอบด้านที่เป็นป่าเขา มิใช่สถานเริงรมย์ที่นางเป็นเจ้าของ นางจำได้ว่า ก่อนหน้านี้นางเข้าไปตรวจงานที่ร้านเช่นทุกวัน เสียงโวยวายของลูกค้าที่เข้ามาดื่มกินทำให้เยี่ยนอิงลุกออกจากห้องทำงานเพื่อไปดู นางคิดจะออกไปตำหนิผู้จัดการร้าน ว่าทำไมถึงปล่อยให้ลูกค้าก่อเรื่องได้ ปัง ปัง ปัง เสียงปืนสามนัดดังขึ้นภายในไนต์คลับสุดหรู ย่านใจกลางกรุงเซี่ยงไฮ้ ที่เยี่ยนอิงได้รับเป็นมรดกมาจากคุณพ่อของนาง ร่างของเยี่ยนอิงที่กำลังเดินพ้นประตูห้องทำงานออกมาได้เพียงไม่กี่ก้าว ทรุดลงไปกองอยู่ที่พื้น เสียงความวุ่นวายดังอยู่ภายในหูของนาง พร้อมกับสติที่ค่อยๆ จะเลือนรางลงทุกที ตระกูลฟู่ของเยี่ยนอิง ครองกิจการในเมืองเซี่ยงไฮ้มากถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของธุรกิจการค้า แต่งานที่ให้ความสำคัญที่สุดเห็นจะเป็นไนต์คลับ ที่นางปรับปรุงจนขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งในเซี่ยงไฮ้ ด้วยระยะเวลาเพียงสองปีเท่านั้น เบื้องหลังตระกูลฟู่ ผู้ใดจะไม่รู้บ้างว่าคุณพ่อของเยี่ยนอิง เป็นถึงมาเฟียมีอิทธิพลในอันดับต้นๆ ของเซี่ยงไฮ้เลยก็ว่าได้ นางคิดให้ตายก็ไม่เข้าใจว่าลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการจะพกอาวุธเข้ามาได้อย่างไร ในเมื่อหน้าร้านมีพนักงานตรวจค้นอาวุธก่อนจะปล่อยตัวเข้ามา คงไม่พ้นฝ่ายต้องข้ามที่ต้องการจะกำจัดนางอย่างแน่นอน หากเยี่ยนอิงรู้ตัวเสียก่อน นางคงไม่เดินออกมาดูโดยที่ไม่ถืออาวุธปืนติดตัวมาด้วย “บ้าจริง กล้าเอาฉันมาทิ้งในป่าเหรอ” นางกัดฟันคำรามออกมา เรื่องที่คิดไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน ในเมื่อเป็นไนต์คลับของนาง ลูกน้องที่มีหลายสิบคนอยู่ภายในร้าน ไม่มีทางปล่อยให้คนชิงตัวนางออกไปได้แน่ อย่างน้อยก็ต้องรีบพาตัวนำส่งโรงพยาบาลก่อน เยี่ยนอิง ปวดหัวจนคิดสิ่งใดไม่ออก นางมองหาที่หลบฝนที่ใหม่ หากยังนั่งอยู่ตรงนี้ต่อ นางได้ตายลงเพราะพิษไข้ หรือไม่ก็ต้องหนาวตาย นางค่อยๆ ประคองร่างที่บาดเจ็บ คลำทางเดินเข้าไปด้านในอย่างช้าๆ จากแสงสายฟ้าที่ผ่าลงมาเป็นระยะ ทำให้มองเห็นถ้ำที่อยู่ไม่ไกลออกไป เยี่ยนอิงกัดฟันแข็งใจอีกครั้ง นางใช้พลังที่มีทั้งหมดเร่งฝีเท้าออกเดินไปที่ถ้ำตรงหน้าโดยเร็วที่สุด “เหนื่อยเป็นบ้า” ภายในถ้ำมืดสนิท แม้แต่แสงของฟ้าผ่าก็ส่องเข้ามาไม่ถึง เยี่ยนอิงจะถอดเสื้อผ้าออกเผื่อผึ่งลม นิ้วมือของนางก็ต้องชะงักค้างอยู่กับสาบเสื้อ สายตาของนางเลื่อนลงมาที่เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ ก่อนจะเห็นว่าฝ่ามือของนางตอนนี้เล็กราวกับเด็กสาวที่เพิ่งจะเติบโต “กรี๊ดดดดดด” นางกรีดร้องออกมาสุดเสียง พร้อมทั้งถอยตัวเข้าไปจนติดผนังถ้ำ “ปะ ปะ เป็นไปได้ยังไง” นี่ไม่ใช่ตัวนางแน่นอน


ทะลุมิติมาเป็นสาวน้อยในหมู่บ้านหนานชุน
ลู่จื้อ อาศัยอยู่ในไต้หวัน เธอเป็นเจ้าของกาสิโนขนาดใหญ่ ที่ส่งต่อมาจากพ่อบุญธรรมที่รับเธอมาเลี้ยงจากบ้านเด็กกำพร้า เธอวางมือคืนอำนาจให้ญาติพี่น้องของพ่อบุญธรรม แต่พวกเขากลับตามฆ่าเธอ เธอตื่นขึ้นมาอีกครั้งในร่างของเด็กหญิง14หนาวที่ครอบครัวถูกลุงใหญ่จางเสียนบังคับให้แยกบ้านเพราะบิดาได้รับบาดเจ็บจากการขึ้นเขาทำให้หมดประโยชน์ จางลู่จื้อถูกญาติผู้พี่ผลักตกน้ำจนเสียชีวิต วิญญาณของลู่จื้อจึงเข้ามาแทนที่ เธอลืมตาขึ้นมาเห็นสภาพบ้านที่ใกล้จะพัง ทั้งข้าวสารในบ้านก็แทบไม่มีเหลือแล้ว ในเมื่อมีโอกาสได้ใช้ชีวิตอีกครั้ง ลู่จื้อจึงต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ของครอบครัวใหม่ให้ดีขึ้น


ข้าทะลุมิติมา ได้สามีไร้ค่าคนหนึ่ง
กริ๊งๆ ๆ เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นเป็นรอบที่สามแล้ว ที่หญิงสาวบนที่นอนกดปิดแล้วนอนต่อ หว่านหนิงเธอคงลืมไปเสียสนิทว่าวันนี้เธอมีงานเปิดตัวเสื้อผ้า ปัง ปัง เสียงทุบประตูห้องพร้อมตะโกนเรียกชื่อของเธอเสียงดังลั่นไปทั่วบ้าน “หนิงหนิง หนิงหนิง ตื่นหรือยัง ลูกจะไปไม่ทันงานเอานะ” แม่ของหว่านหนิงร้องเรียกอยู่ที่หน้าห้อง “ห๊า” เธอลุกพรวดขึ้นมาหยิบนาฬิกาข้างหัวเตียงขึ้นมาดู “ตายแล้ว จะทันไหมเนี่ย ตื่นแล้วค่ะแม่” เธอร้องตะโกนบอกผู้เป็นแม่ พร้อมทั้งพุ่งตัวเข้าไปล้างตาล้างตาทันที ต้องบอกเลยว่า เธอไม่ได้อาบน้ำ ถ้าอาบคงไม่ทันแน่ ๆ ไหนจะการจราจรที่ติดขัด และเธอยังต้องไปดูนางแบบใส่ชุดก่อนจะเดินโชว์อีก หว่านหนิงแต่งตัวเสร็จ เธอหยิบกระเป๋าได้ก็พุ่งตัวออกจากห้องวิ่งลงบันไดอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ลืมที่จะคว้าขนมปังมากัดไว้ที่ปากและแก้วกาแฟที่ผู้เป็นแม่เตรียมไว้ให้ขึ้นไปบนรถด้วย “ขับรถดีๆ นะลูก” เธอร้องตะโกนบอกลูกสาว เมื่อเห็นว่าหว่านหนิงโบกมือให้อย่างกระตือรือร้นก็อดที่จะส่ายหัวไม่ได้ นิสัยที่นอนตื่นสายของเธอ เมื่อไหร่ถึงจะแก้ได้เสียที หว่านหนิง เกิดในครอบครัวที่มีแต่ช่างปักผ้า ครอบครัวของเธอสืบทอดวิธีการปักโบราณมาได้หลายร้อยปีแล้ว ทั้งยังมีชื่อเสียงในเมืองจีนอยู่ไม่น้อย เธอจึงซึมซับทั้งวิธีการปักและการออกแบบมาตั้งแต่เล็ก เมื่อโตขึ้นเธอจึงเลือกที่จะเรียนศิลปกรรมศาสตร์ การออกแบบเครื่องแต่งกาย ผลงานสร้างชื่อของเธอ คงเป็นเสื้อผ้าที่นำเอกลักษณ์การปักลายโบราณเข้ามาผสมผสานกับยุคใหม่ได้อย่างลงตัว จนทำให้มีบริษัทชั้นนำเชิญตัวไปรวมงานด้วยหลายแห่ง หว่านหนิงที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการแฟชั่นมาหลายปีก็เลือกที่จะเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง วันนี้เป็นงานเปิดตัวสินค้าคอลเลคชั่นใหม่ในปีนี้ของเธอ จึงไม่สมควรที่จะไปสายอย่างยิ่ง “อาเยว่ ฉันใกล้ถึงแล้ว เธอให้นางแบบใส่ชุดไว้ได้เลย” หากจะมีงานแก้ เมื่อไปถึงเธอจะได้ลงมือแก้ไขได้ทัน “ทุกคนแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอไม่ต้องรีบมากก็ได้ ฉันเป็นห่วง”เสียงอาเยว่ปลายสายรีบบอกด้วยความเป็นห่วง เพราะกลัวว่าหว่านหนิงจะเกิดอุบัติเหตุได้ “ขอบใจเธอมาก” หว่านหนิงตัดสายไป หากเธอไม่ได้อาเยว่มาคอยเป็นผู้ช่วยก็ไม่รู้ว่าตัวเธอเพียงผู้เดียวจะตั้งบริษัทขึ้นมาได้ไหม หว่านหลินมาถึงสถานที่จัดงาน เธอรีบเร่งฝีเท้าเข้าไปที่ห้องแต่งตัวของนางแบบทันที เมื่อเข้าไปด้านในก็พบว่าเป็นอย่างที่อาเยว่เธอบอกไว้ นางแบบแต่งตัวพร้อมเรียบร้อยแล้ว งานแก้ก็ไม่ได้มีมากมายอย่างที่คิด เพียงเย็บช่วงเอวเก็บรายละเอียดความยาวชุดให้เข้าที่ทุกอย่างก็เตรียมพร้อมกับการเดินโชว์ “คุณหว่านหนิงคะ นักข่าวขอสัมภาษณ์คุณก่อนงานจะเริ่มค่ะ” ลูกน้องของเธอเดินเข้ามาตามเธอ “ได้ค่ะ ไปอาเยว่” เธอเข้าไปคล่องแขนเพื่อนสาวก่อนจะเดินออกไปส่วนด้านหน้าของงาน การสัมภาษณ์ พูดถึงผลงานของเธอในวันนี้ ทั้งเรื่องแรงบันดาลใจที่ได้รับ ชุดที่เป็นตัวเอกของงาน เกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้านในยุคโบราณ งานปักที่บรรจงทำมานานหลายเดือน ทุกรายละเอียดที่ออกมาบนเสื้อผ้าดูสมจริง ราวกับผู้คนบนผืนผ้ามีชีวิต และกำลังเล่าเรื่องราวการใช้ชีวิตของพวกเขาบทผืนผ้าที่หว่านหนิงเธอถักทอ ผู้คนที่อยู่ในนาข้าวช่วยกันเก็บเกี่ยวผลผลิต ทั้งป่าเขา แม่น้ำ แม้แต่สายลมและแสงแดด ทำให้ผู้คนที่เข้าร่วมงานในวันนี้ต่างประทับใจ และเป็นที่พูดถึงบนโซเซียลมีเดีย “ขอบคุณทุกคนมากค่ะ วันนี้ฉันเลี้ยงเอง” หว่านหนิงบอกกับทีมงานทุกคนที่ช่วยงานเธอในวันนี้ เธอพาทีมงานทุกคนมากินฉลองที่ห้องอาหารภายในโรงแรมที่จัดการ ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม คาราโอเกะ หว่านหนิงเลี้ยงอย่างใจกว้าง เกือบห้าทุ่มกว่างานเลี้ยงจะเลิก เธอที่ดื่มเข้าไปไม่น้อยก็เริ่มจะเดินทรงตัวไม่ค่อยจะอยู่แล้ว “หนิงหนิง เธอกลับได้แน่นะ” อาเยว่มองเพื่อนสาวอย่างเป็นห่วง “ไม่ต้องห่วง ฉันเรียกรถมารับ เธอวางใจได้” หว่านหนิงโบกมือไล่ให้อาเยว่รีบกลับไปพร้อมแฟนหนุ่มของเธอ “เห้อ ปีหน้าอาเยว่ก็จะแต่งแล้ว แล้วฉันล่ะ สวรรค์ไม่เห็นท่านจะส่งเนื้อคู่มาให้ฉันเลย” เธอเงยหน้าชี้ขึ้นไปบนฟ้าแล้วต่อว่าออกมาเสียงดัง ปี๊ดดดดดด เสียงบีบแตรรถที่ลากยาว ทำให้หว่านหนิงที่กำลังต่อว่าเทพชะตาอยู่หันไปมองอย่างตกใจ เธอเห็นเพียงแสงไฟหน้ารถที่สว่างจนแสบตาส่องมาทางเธอเท่านั้น “กรี๊ดดดดด” เสียงกรีดร้องของหว่านหลินดังเพียงแค่ช่วงสั้นๆ เท่านั้น เธอที่เดินเซไปอยู่ทางเดินรถ หันมาอีกทีก็ไม่อาจจะหลบรถที่พุ่งมาด้วยความเร็วได้ทันแล้ว ร่างของหว่านหนิงที่ถูกรถชนด้วยความแรงตกลงมากระแทกพื้น เธอหมดสติไปแทบจะในทันที เสียงสุดท้ายที่ได้ยินคงเป็นเสียงกรีดร้องเรียกชื่อเธอของอาเยว่ ที่เห็นเหตุการณ์เข้าพอดี “กรี๊ดดด หนิงหนิง”


พ่อบัณฑิตหน้าขาว ข้าจะเลี้ยงดูท่านเอง
“คุณหลินเยว่ ยินดีด้วยค่ะ กับยอดขายสินค้าตัวใหม่” “ขอบคุณมากเลยค่ะ ฉันตั้งใจทำอย่างมากหวังว่าสินค้าตัวใหม่จะเป็นที่ถูกใจพวกคุณทุกคนค่ะ” หลินเยว่ยิ้มหวานให้กล้อง พร้อมทั้งก้มหัวขอบคุณลูกค้าที่ให้ความสนใจสินค้าตัวใหม่ของเธอ เพียงเปิดขายในวันแรก ยอดสั่งซื้อจากทุกช่องทางก็ทำให้สินค้าหมดลงในเวลาไม่ถึงสองนาทีด้วยซ้ำ นับว่าผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของเธอ ไม่ว่าจะเป็นน้ำหอม ครีมทาผิว ครีมอาบน้ำ หรือแต่เครื่องสำอางที่เพิ่งผลิตออกมาจำหน่าย ล้วนแต่ขึ้นเป็นสินค้าขายดีเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ นอกจากกลิ่นหอมที่ติดทนแล้ว สินค้าของเธอยังนับว่าช่วยอุดหนุนเกษตรกรในประเทศอีกด้วย วัตถุดิบทั้งหมดของเธอใช้ของที่ปลูกในประเทศไม่นำเข้า ทุกขั้นตอนการผลิตเธอเข้าไปควบคุมด้วยตนเอง เป็นการถ่ายคลิปโปรโมตสินค้าของเธอไปในตัว และวิดีโอที่เธอนำมาเผยแพร่ยังดึงดูดความสนใจของคนทั่วประเทศได้มากมาย เธอนำวิธีการทำเครื่องหอมในยุคโบราณมาประยุกต์เข้าด้วยกัน บางกลิ่นจึงให้คนที่ติดตามร่วมสร้างสรรค์ไปกับเธอด้วย เพียงเท่านี้ ผลิตภัณฑ์ของเธอก็ครองใจผู้คนไปได้มากกว่าที่จะคาดคิด คืนนี้เธอจึงจัดงานเลี้ยงฉลองให้กับพนักงานทุกคน ที่เหน็ดเหนื่อยมานับเดือน เพื่อที่จะทำให้สินค้าตัวใหม่ออกวางขายได้ตามกำหนด นอกจากจะเลี้ยงขอบคุณพนักงานแล้ว เธอยังให้พนักงานได้ร่วมสนุกจับรางวัล ภายในงานแต่ละคนสนุกสนานรวมทั้งมึนเมาไม่น้อย “คุณหลินเยว่คะ เรียกรถให้เรียบร้อยแล้ว ฉันจะออกไปส่งคุณที่หน้าร้านนะคะ” เลขาคนสนิทของหลินเยว่ เดินไปส่งเธอที่หน้าร้าน เพราะดื่มไปไม่น้อย แม้จะไม่ถึงกับเมาไม่ได้สติ แต่เธอก็ไม่อยากเสี่ยงขับรถกลับบ้านด้วยตัวเอง คิดว่าเรียกรถรับจ้างให้มารับน่าจะดีที่สุดแล้ว แต่ใครจะคิดว่าคนจะซวยยังไงก็ซวย อีกเพียงไม่นานหลินเยว่เธอก็จะถึงบ้านแล้ว แต่รถรับจ้างที่เธอเรียกมาเกิดเสียหลัก พุ่งเข้าไปชนกับรถที่สวนมาอย่างแรง ทำให้เธอหมดสติไปทันที “โอวโยว ข้าบอกแล้วว่าเจ้าเป็นตัวซวย เจ้าสาวมาถึงเรือนก็ตายเสียแล้ว” นางฮั่วซื่อกรีดร้องพร้อมทั้งชี้หน้าตาว่าหลายชายของนาง “...” จางเลี่ยงรุ่ยเม้มปากแน่น ตอนที่เขาเดินไปรับนางลงจากเกี้ยวเจ้าสาวที่หน้าเรือน นางก็ไม่ได้สติแล้ว ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่านางเป็นตายร้ายดีเช่นไร แต่ท่านย่าก็เอาแต่ต่อว่าเขาไม่จบสิ้น ทั้งที่ไม่ใช่ว่าเขาเป็นผู้ทำร้ายนางเสียหน่อย “ซวย ซวย งานมงคลแท้ๆ ข้ารึ อุตส่าห์เสียเงินแต่งบุตรสาวคหบดีเข้าเรือน แล้วจะทำเช่นไรดี” นางฮั่วซื่อยังไม่ยอมที่จะหยุดโทษหลานชาย ทั้งๆ ที่นางก็รู้ดีว่า เกาหลินเยว่ นางโดนแม่เลี้ยงวางยาก่อนจะจับขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว นางยังรับเงินมาจากนางเจินซื่อถึงร้อยตำลึงทอง แล้วจะบอกว่าเสียเงินไปได้อย่างไร หลินเยว่ตอนนี้เธอรู้สึกตัวแล้ว เพียงแต่ยังไม่กล้าลืมตา เธอนอนฟังมานานพอดูแล้ว จึงได้รู้ว่าเธอทะลุมิติมาอยู่ในร่างของสตรีที่มีชื่อเดียวกับเธอ แล้วถูกมารดาเลี้ยงร่วมมือกับนางฮั่วซื่อผู้เป็นย่าของเจ้าบ่าวของนางเอง เกาหลินเยว่ นางสิ้นใจลง เพราะยาที่ถูกนางเจินซื่อให้กินเมื่อคืน ตอนที่ถูกจับแต่งตัวยัดเข้าเกี้ยวนางจึงได้สิ้นใจระหว่างการเดินทาง นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย หลินเยว่ได้แต่นอนคิดทบทวน เรื่องต่างๆ ที่เข้ามาในหัวของเธอ เกาหยวนผู้เป็นบิดา นับตั้งแต่มารดาของเกาหลินเยว่สิ้นใจลงก็เลี้ยงดูนางมาอย่างทิ้งขว้าง ยิ่งเจอมารดาเลี้ยงเช่นนางเจินซื่อด้วยแล้ว ในจวนก็ราวกับนรกดีๆ นี่เอง คงมีเรื่องเดียวที่นางคิดว่าโชคดี ก็คงเป็นสัญญาหมั้นหมายที่มารดาจัดการไว้ก่อนที่นางจะสิ้นใจ แต่นางไม่เคยคิดเลยว่า เรื่องดีๆ ที่นางคิดว่าโชคดี จะเลวร้ายกว่าเรื่องที่เคยพบเจอมา เมื่อตู้ฮุ่ยเหอคู่หมั้นของนาง แอบปันใจให้น้องสาวต่างมารดา จนถึงขั้นคิดแผนการเช่นนี้มาจัดการตัวนาง ทั้งเรื่องที่โดนวางยาและเรื่องความเสียใจในโชคชะตา ทำให้เกาหลินเยว่ตรอมใจจนเสียชีวิต วิญญาณของหลินเยว่ที่อยู่อีกภพจึงเข้ามาสวมร่างแทน “สวรรค์ ท่านกลั่นแกล้งกันเกินไปแล้ว” หลินเยว่กัดฟันแน่นอย่างแค้นใจ ชีวิตหน้าที่การงาน ชื่อเสียงของเธอกำลังไปได้ด้วยดี แต่มาเกิดเรื่องเช่นนี้หมายความว่ายังไง


ข้าไม่เป็นแล้วภรรยาผู้แสนดี
หลิวเยว่ชิง สาวงามของเมืองหลวง บุตรสาวของท่านหมอหลวงหลิว ความงามของนางเป็นที่ประจักษ์ ทั้งเรื่องความสามารถเรื่องการรักษานางก็เก่งไม่แพ้ผู้เป็นบิดา แต่เพราะด้วยที่นางเป็นสตรี นางจึงมิอาจเดินตามรอยเท้าของบิดาได้ ทำได้เพียงรักษาให้กับสตรีที่ต้องการความช่วยเหลือจากนาง นางยังคิดจะเปิดโรงหมอ เพื่อรักษาให้กับสตรีโดยเฉพาะ แต่เพราะคู่หมั้นของนาง กงหลี่เฉียงมิเห็นด้วย นางจึงได้เลิกล้มไปเสีย นางแต่งให้กงหลี่เฉียงท่ามกลางความเสียดายของบุรุษมากมายในเมืองหลวง งานมงคลของนางเป็นที่พูดถึงนานหลายเดือน เพราะสินเดิมที่บิดาจัดเตรียมให้ เรียกได้มามากมายจนไม่ต้องทำสิ่งใดอีกแล้ว นางใช้ชีวิตเป็นฮูหยินของกงหลี่เฉียง ดูแลจวน ทั้งยังดูแลแม่สามีที่เจ็บป่วยอยู่เสมอ จนมีแต่คนเอ่ยชมกงหลี่เฉียงที่ได้ภรรยาเช่นนางไปครอบครอง ในวันแต่งงาน เรื่องที่ไม่อาจไม่พูดถึงไม่ได้คือเรื่องคำสาบานของกงหลี่เฉียง “ข้ากงหลี่เฉียง ขอสาบานต่อฟ้าดิน ว่าชีวิตนี้จะมีเพียง หลิวเยว่ชิงเป็นภรรยาเพียงผู้เดียว” เรื่องนี้ยังสร้างความอิจฉาให้กับเหล่าสตรีในเมืองหลวงอยู่นานหลายเดือน หากบุรุษบ้านใดที่รับอนุเพิ่ม จะถูกเปรียบเทียบกับกงหลี่เฉียงในยามนั้นทันที แต่แล้วความสุขของนางก็อยู่ได้ไม่นาน หลังแต่งงานได้เพียงสองปี กงหลี่เฉียงที่เพิ่งจะได้รับตำแหน่ง รององครักษ์เสื้อแพรมาหมาดๆ ก็พาญาติผู้น้องของเขา ตู้ซิงเยียน เข้าจวนในตำแหน่งฮูหยินรอง เรื่องนี้สร้างข่าวลือไปทั่วเมืองหลวง เพราะไม่คิดว่า กงหลี่เฉียงที่กล้าเอ่ยคำสาบานในวันงานแต่งเช่นนั้น จะกล้ารับสตรีเข้าจวนได้อีก “ท่านทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร” หลิวเยว่ชิงดวงตาแดงก่ำ มองกงหลี่เฉียงประคองตู้ซิงเยียนอยู่หน้าเรือนของนาง น้ำตาค่อยๆ ไหลออกมาจากดวงตาคู่งามของนาง บ่าวไพร่ที่รู้จักฮูหยินน้อยว่านางแสนดีเพียงใด ก็อดจะเห็นใจนางไม่ได้ “บุรุษใดเล่าในเมืองหลวงที่ไม่มีสามภรรยา สี่อนุ” กงหลี่เฉียงเอ่ยออกมาอย่างหน้าด้านๆ โดยที่ตัวเขาก็หลงลืมเรื่องคำสาบานในวันแต่งงานไปแล้ว “หึ เช่นนั้นรึ ท่านคงหลงลืมไปแล้วกระมังเรื่องคำสาบาน” “แล้วอย่างไรเล่า ชิงชิง เจ้าแต่งเข้าจวนข้ามาสองปี ท้องเจ้ายังมิได้เรื่อง หากข้ารับเยียนเออร์เข้าจวนจะผิดอันใดเล่า” “อ้อ เพราะเรื่องนี้อย่างนั้นรึ” นางยิ้มเยาะตนเอง เป็นนางที่คิดแทนผู้เป็นสามี ไหนจะเรื่องภายในจวน ที่ค่าใช้จ่ายทั้งหมดล้วนต้องควักมาจากสินเดิมของนาง ไหนจะเรื่องของอาการป่วยของแม่สามีที่แทบจะเรียกหานางทุกหนึ่งชั่วยาม นางและเขาจึงคิดตรงกันเรื่องที่ยังไม่อยากมีบุตร ทุกครั้งที่ร่วมรักกันนางจึงกินยาห้ามครรภ์มาตลอด แต่การที่หวังดีต่อเขาเช่นนี้ ไม่คิดเลยว่าเขาจะกล้าหักหาญน้ำใจของนาง “หากท่านดึงดันจะรับนางเข้าจวน เช่นนั้นก็หย่าขาดจากข้าเสีย” “เพ้ย ไม่หย่า เจ้าอย่าได้ใจแคบนักเลย เยียนเออร์ย่อมเชื่อฟังเจ้าอย่างดี ไม่ดีหรือที่จะมีคนมาช่วยดูแลเรือนเพิ่มอีกคน” “วาจาของท่านช่างน่าขันนัก หากข้าไม่รับน้ำชาของนาง นางรึจะเข้ามาอยู่ในจวนได้” “หึ ต่อให้เจ้าไม่รับน้ำชาของนาง นางก็เข้ามาอยู่ในจวนได้ เพราะเยียนเออร์นางตั้งครรภ์แล้ว” คำพูดของกงหลี่เฉียง เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางศีรษะของเยว่ชิง นางเกือบจะล้มไปกองกับพื้น ยังดีที่สาวใช้ของนางเข้ามาประคองนางไว้เสียก่อน เขาให้นางกินยาห้ามครรภ์มาโดยตลอด แต่กลับพาญาติผู้น้องที่ตั้งครรภ์กลับเข้ามาในจวน นางจะทนฟังเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร “อาอิง เจ้าไปเก็บของข้าจะกลับจวนตระกูลหลิว” นางเอ่ยสั่งสาวใช้ที่ติดตามนางมาจากบ้านเดิม “หยุด!!! หากเจ้าจะไปก็กลายเป็นศพออกไปเสีย แต่งเข้าตระกูลกงแล้ว ถึงตายก็ต้องเป็นผีตระกูลกง” กงหลี่เฉียงตวาดออกมาเสียงดัง แต่ที่น่าขันที่สุดเห็นจะเป็นแม่สามีของนาง กลับลุกออกมาจากเรือนของนางได้ ทั้งๆ ที่ในแต่ละวันล้วนแต่นอนป่วยอยู่บนเตียง “ใช่แล้ว อาเฉียงพูดถูก หากเจ้าจะออกไปก็ต้องกลายเป็นวิญญาณเท่านั้น” นางเดินเข้าไปจับมือของซิงเยียนราวกับปลอบใจนางที่ได้รับความไม่ยุติธรรม "หึหึ ท่านแม่ ท่านหายป่วยแล้วรึเจ้าคะ” นางจ้องมองพวกเขาอย่างโกรธแค้น ไม่ว่ายาดีอันใดที่นางเพียรหามารักษา สมุนไพรราคาแพงนางก็ยอมจ่ายเงินซื้อ ก็ไม่อาจทำให้แม่สามีของนางลุกขึ้นมาจากเตียงได้ เห็นทีคงเป็นเพียงละครงิ้วบทหนึ่งเท่านั้น “ข้าเป็นอันใดอย่างงั้นรึ” นางมองเยว่ชิงด้วยใบหน้าที่ใสซื่อ ราวกับว่ากำลังถูกเยว่ชิงใส่ร้าย “ข้าเข้าใจแล้ว เป็นข้าที่โง่เขลามาตลอด ทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายในจวนที่มาจากสินเดิมของข้า และเรื่องรักษาท่าน เพื่อให้หลี่เฉียงมีเวลาไปอยู่กับแม่นางตู้ หึหึ ตัวข้าช่างน่าขันนัก” ใบหน้าของสองแม่ลูกเบ้อย่างไม่น่ามอง เมื่อถูกเยว่ชิงเปิดโปงเรื่องที่พวกเขานำสินเดิมของนางมาใช้จ่าย นางหัวเราะออกมาราวกับคนเสียสติ ก่อนจะกระซิบสั่งสาวใช้ที่อยู่ข้างกาย “ฮูหยิน” นางเอ่ยเรียกเสียงสั่น “ไปเอามา” นางเอ่ยเสียงเบา พร้อมกับผลักสาวใช้เบาๆ อาอิงรู้ดีว่าคุณหนูของนางใจกล้าเพียงใด แต่ไม่คิดว่านางจะเลือกหนทางนี้ แต่ก็ยังไปทำตามคำสั่งอยู่ดี ทั้งสามไม่รู้ว่า สองนายบ่าวกระซิบกระซาบอันใดกัน ได้แต่มองอาอิงหมุนตัวกลับเข้าไปในเรือนอย่างสงสัย เมื่อนางกลับมาพร้อมมีดสั้นในมือ ทั้งสามก็มีใบหน้าที่ซีดขาวอย่างเห็นได้ชัด “เจ้าจะทำอันใด” กงหลี่เฉียงดันตัว">ตู้ซิงเยียนไปไว้ด้านหลัง ยิ่งทำให้เยว่ชิงปวดใจมากกว่าเดิม บุรุษที่นางเลือกเองกับมือ กล้าทำร้ายจิตใจของนางมากถึงเพียงนี้ แต่เรื่องนี้จะโทษใครได้ หากเขาไม่เอาใจใส่นางตลอดหลายปีก่อนที่จะแต่งงาน นางจะเลือกเขาได้อย่างไร ทั้งหน้ากากบุรุษแสนดีที่เขาสวมไว้ ทำให้นางเชื่อหมดใจว่าเขารักนางมากจริงๆ เยว่ชิงเดินเข้าไปหาทั้งสามคนช้าๆ พร้อมทั้งกำมีดในมือแน่น “กง หลี่ เฉียง ท่านฟังคำข้าให้ดี” นางยิ้มเย็นออกมาอย่างน่ากลัว “เจ้า เจ้า อย่าได้คิดบ้าๆ เด็ดขาด” ต่อให้เขาจะได้เป็นรององครักษ์เสื้อแพร แต่ทั้งหมดก็เป็นเพราะบารมีของพ่อภรรยา เรื่องวรยุทธ์ของเขาก็เรียนรู้มาเพียงงูๆ ปลาๆ เท่านั้นจะไปสู้ผู้ใดได้ “ข้า หลิวเยว่ชิง ชาตินี้คิดผิดที่เลือกบุรุษเช่นท่านเป็นสามี หากมีชาติหน้าจริง ขออย่าได้พบเจอท่านอีก หากพบเจอก็ให้นึกรังเกียจราวกับพบเดรัจฉาน ข้าขอให้ท่านมิได้สิ่งใดหรือสมหวังเรื่องใดอีกเลย” เยว่ชิงใช้มีดสั้นในมือของนางปักเข้าที่หัวใจของนางทันที เลือดจำนวนมากพุ่งเข้าไปโดนใบหน้าและลำตัวของคนทั้งสามที่ยื่นตกตะลึงอยู่กับที่ เสียงกรีดร้องของบ่าวในจวนดังกึกก้องไปทั่วจวนตระกูลกง เยว่ชิงล้มทรุดตัวลงช้าๆ ก่อนที่นางจะจบชีวิตลง ได้ยินเสียงร้องเรียกราวกับจะขาดใจของผู้เป็นบิดา ที่รู้เรื่องกงหลี่เฉียงรับสตรีเข้าจวน จึงได้รีบเร่งรุดมาหาบุตรสาว และอีกเสียงที่นางได้ยินไม่ชัดเจน เขากำลังจัดการกับกงหลี่เฉียง นางรับรู้เพียงเท่านั้น ก่อนที่ทุกอย่างจะจบสิ้นลง


ซูเจิน นายหญิงแห่งพฤกษา
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง


ปราบพยัคฆ์ แม่ทัพตัวร้าย
ซุนเหยา เธอเรียนจบด้านการตลาด และด้วยความชื่นชอบด้านอาหาร เธอจึงเลือกที่จะเปิดร้านอาหาร ทั้งรสชาติอาหารที่ถูกปากทุกช่วงวัย ภายในร้านของเธอยังตกแต่งได้อย่างสวยงาม มุมต่างๆ ของร้านจึงดึงดูดใจให้คนเข้ามานั่งกินและถ่ายรูปลงโซเซียล เพียงไม่กี่เดือนร้านของเธอก็เป็นที่พูดถึง จนทำให้เกิดสาขาอื่นๆ ตามมา ซุนเหยาเธอจึงต้องเดินทางไปตรวจร้านตามสาขาต่างๆ เพื่อคงมาตรฐานเดิมไว้ได้มากที่สุด วันนี้ซุนเหยารู้สึกมึนหัว แต่ผู้จัดการโทรมาหาเธอ เรื่องให้เข้ามาตรวจสินค้าที่สั่งซื้อมาตุนไว้ในโกดัง เธอจำต้องแบกสังขารขึ้นรถไปที่โกดังนอกเมืองปักกิ่งทันที ภายในโกดังขนาดใหญ่ ซุนเหยาเดินตามผู้จัดการ เพื่อดูสินค้าที่สั่งมาว่ามีคุณภาพหรือไม่ หากพบว่าไม่ได้คุณภาพจะได้แจ้งเปลี่ยนได้ทัน เธอไม่ได้มีเพียงโกดังเดียว เมื่อมีสาขาจำนวนมาก ย่อมต้องมีหลายโกดัง เพื่อกักตุนสินค้าให้เพียงพอกับทุกสาขา “โอ๊ยย” ซุนเหยาร้องออกมาเบาๆ เมื่อข้อมือของเธอไปเกี่ยวเข้ากับชั้นวางของจนเลือดไหลซึมออกมา “คุณเหยา ทำแผลก่อนไหมครับ” ผู้จัดการมองข้อมือขาวงามอย่างเป็นห่วง “ไม่เป็นไรค่ะ ตรวจงานให้เสร็จก่อน แผลแค่นี้ ไม่เป็นไรมากค่ะ” เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมามัดข้อมือไว้ ซุนเหยาเธอไม่ได้สังเกตเลยว่ากำไลหยกที่ได้มาจากคุณย่ามันเปล่งแสงออกมาวูบหนึ่งก่อนจะหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อเดินตรวจของจนเสร็จ ซุนเหยาก็บอกลาผู้จัดการ แล้วขึ้นรถกลับบ้านทันที ยังดีที่เธอมีคนขับรถ ไม่เช่นนั้นวันนี้เธอคงขับรถเองไม่ไหว หลายวันที่ผ่านมา ซุนเหยามัววุ่นวายอยู่กับการเปิดร้านสาขาใหม่ที่ปักกิ่ง สาขานี้เธอตั้งใจอย่างมาก เพราะมีขนาดใหญ่กว่าทุกสาขาที่เปิดมา เธอตรวจงานด้วยตนเอง ทำให้หลายวันที่ผ่านมาเธอแทบจะไม่ได้พักผ่อนเลยสักนิด เมื่อขึ้นรถได้ เธอก็หลับเป็นตาย ซุนเหยาขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อเธอได้ยินเสียงเพลงแปลก ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน “คุณโจว คุณช่วยปิดเพลงให้ฉันหน่อยค่ะ” เธอพูดสั่งคนขับรถ เพราะตอนนี้เขากำลังกวนเวลานอนของเธออยู่ “...” ซุนเหยาเริ่มจะทนไม่ไหว กับเสียงเพลงที่ไม่ได้เบาลงเลย เธอจึงลืมตาขึ้นมาอย่างโมโหคิดจะต่อว่าคุณโจวเสียหน่อย แต่แล้วดวงตาคู่งามกลับเบิกกว้างอย่างตกตะลึง ความจริงเธอต้องอยู่ในรถหรูที่กำลังเดินทางกลับบ้าน แต่ในตอนนี้ เธอกำลังนั่งอยู่ในกล่องสีแดง ซุนเหยารีบเปิดผ้าม่านเพื่อมองออกไปด้านนอก เธออยากจะรู้ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน แล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมเธอถึงได้ใส่ชุดแดงที่เหมือนจะเป็นชุดเจ้าสาว “คุณหนูห้ามเปิดผ้าม่านเจ้าค่ะ” เสียงร้องตำหนิซุนเหยาดังขึ้น จนเธอต้องหดมือกลับอย่างทำตัวไม่ถูก ไม่สิ ไม่ใช่ ต้องมีคนแกล้งเธอแน่นอน หรือจะเป็นเพื่อนสนิทของเธอ ที่เห็นเธอยุ่งกับงานจนไม่หาแฟนเสียที แต่เธอก็ไม่น่าจะไม่รู้ตัวถึงขนาดที่คนแต่งตัวแต่งหน้าให้แล้วยังหลับได้อีก แม้กระทั่งเกี้ยวหยุดลง มีคนเข้ามาประคองซุนเหยาลงจากเกี้ยวจนไปถึงทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน ซุนเหยาเธอก็ยังไม่ได้สติ เหมือนกับว่าเธอล่องลอยตามการชักจูงของผู้ที่ประคองเธออยู่เท่านั้น เมื่อเข้ามานั่งรออยู่ในห้องหอ เธอก็ยังมึนงงอย่างไม่เข้าใจ พอได้ยินเสียงเปิดประตูห้อง ซุนเหยากำลังจะอ้าปากถามว่าที่นี่ที่ไหน แล้วเธอมาอยู่ในที่แบบนี้ได้อย่างไร เสียงเย็นชาก็เอ่ยขึ้นกับเธอเสียก่อน “ในเมื่อเจ้าแต่งเข้ามาเป็นฮูหยินของข้าแล้ว ก็จงอยู่ดูแลจวน ดูแลมารดาของข้าให้ดี ข้ายังมีเรื่องที่ต้องจัดการที่ชายแดน” ซุนเหยายังไม่ทันได้อ้าปากถาม เขาก็ปิดประตูแล้วเดินออกไปเสียแล้ว แม้แต่ผ้าคลุมหน้าที่ปิดบังใบหน้าของเธออยู่ก็ยังไม่ถูกเปิด ซุนเหยามึนงง จนแปรเปลี่ยนเป็นความโมโห “เป็นใครมาพูดกับฉันแบบนี้” เธอดึงผ้าคลุมหน้าออกแล้วปาลงพื้น ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้งแล้วถอดเครื่องประดับออกทั้งหมด “เล่นบ้าอะไรกัน ออกมาเฉลยได้แล้ว ฉันชักไม่สนุกด้วยแล้ว” เธอตะโกนร้องออกมาอย่างหัวเสีย คำพูดของชายคนเมื่อครู่ทำให้เธออยากจะวิ่งเข้าไปข่วนหน้าของเขา กล้าดียังไงมาให้เธออยู่ดูแลบ้านดูแลแม่ของเขา เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน เขาพูดว่าจวนไม่ใช่บ้าน ซุนเหยาเหมือนได้สติ เธอมองสำรวจไปรอบๆ ตัวอย่างตื่นตกใจ เครื่องเรือนไม่ใช่แบบที่เธอเคยเห็น แม้กระทั่งผนังห้องก็ยังเป็นดินแบบเรือนโบราณที่เธอเคยไปเที่ยวดูตอนเด็กๆ เธอรีบวิ่งไปที่ประตู เพื่ออยากจะดูให้แน่ชัดว่าเธออยู่ที่ไหนกันแน่ หรืออยู่ที่เมืองโบราณ แต่เพื่อนของเธอไม่น่าจะสามารถพาเธอเข้ามาแกล้งในสถานที่ประวัติศาสตร์เช่นนั้นได้ ด้านหน้าประตูห้อง มีสาวใช้ยืนขวางอยู่ เมื่อเห็นซุนเหยาที่ผมหลุดลุ่ย ทั้งใบหน้าตื่นตระหนกนางก็ร้องถามออกมาอย่างเป็นห่วง “เกิดอันใดขึ้นเจ้าคะฮูหยิน ออกไปไม่ได้เจ้าค่ะ” สาวใช้ขวางซุนเหยาไว้ ทั้งยังดันตัวนางเข้าไปให้อยู่แต่ในห้องหอ เพราะเจ้าสาวที่แต่งงานในวันแรกมิอาจออกมาจากห้องหอได้ คงเป็นเพราะความตกใจที่ได้รับ ซุนเหยาหมดสติไปทันที สาวใช้จำต้องพาเธอกลับมาที่เตียงนอน ทั้งยังไปแจ้งหลีซื่อแม่สามีของซุนเหยาเรื่องที่นางหมดสติไป


หวังจินเหยา แพทย์สาวข้ามภพ
เหยาเหยา มองไปรอบๆ ตัวอย่างสับสนมึนงง รอบตัวมืดมิดเกินกว่าจะเห็นสิ่งใดชัดเจนได้ เธอไม่เข้าใจว่าในตอนนี้เธออยู่ที่ใด ก่อนหน้านี้ เธอเข้าไปช่วยผู้บาดเจ็บทางรถยนต์ ระหว่างที่เดินทางกลับที่พัก เธอเป็นศัลยแพทย์ทั่วไป เวลาทั้งหมดจึงหมดไปกับการผ่าตัดในโรงพยาบาล เหยาเหยา เพียงต้องการช่วยยื้อผู้บาดเจ็บหนักเท่านั้น แต่ไม่คิดว่ารถบรรทุกที่วิ่งมาด้วยความเร็วจะเกิดเสียหลักพุ่งเข้าชนเธอที่กำลังเดินข้ามถนนไปหาผู้บาดเจ็บ ตอนที่เหยาเหยากำลังมึนงงกับเรื่องทั้งหมดอยู่นั้น เธอก็พบแสงสว่างจากช่องทางเล็กๆ จนขยายใหญ่ขึ้น เธอจ้องมองผู้คนตรงหน้าอย่างตกตะลึงรอบตัวของเธอในตอนนี้มีคนสามสี่คนกำลังมองมาที่เธออย่างตื่นตระหนก เหยาเหยาที่ยังไม่รู้ว่าบุคคลตรงหน้าทำไมถึงได้แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ประหลาดนัก เหมือนเธออยู่ท่ามกลางถ่ายหนังหรือซีรีส์สักเรื่องหนึ่ง ฝ่ามือของสตรีก็ตีลงมาที่ก้นของเธออย่างไม่เบาไม่แรง เหยาเหยามองกลับไปด้วยแววตาที่โกรธจัด เธออยากจะร้องถามว่าตีเธอด้วยเรื่องอะไร แต่เสียงที่เปล่งออกมากลายเป็นว่า เธอพูดได้เพียง อ้อแอ้ เท่านั้น ‘เกิดอะไรขึ้น’ เหยาเหยาเริ่มหวาดกลัวอยู่ในใจ แต่สตรีผู้นั้นก็ยังตีลงมาที่ก้นของเธออีกครั้ง เหยาเหยาทนไม่ไหวจึงร้องออกมาเสียงดัง เธอมองสำรวจใบหน้าของทุกคนไปด้วย ก็พบว่าทุกคนต่างยิ้มออกมาอย่างยินดีเมื่อเห็นเธอร้องไห้ “อุแว้ อุแว้” ไม่จริง เสียงที่ร้องออกมาทำไมถึงเป็นเพียงแค่เด็กทารก เหยาเหยาเริ่มเสียสติ เธอจึงร้องออกมาอย่างไม่ยินยอม “คุณหนูน้อยเจ้าค่ะ ฮูหยิน ร้องเก่งยิ่งนัก” เหยาเหยาถูกส่งตัวให้สตรีใบหน้าซีดขาว แต่ยังคงความงามแม้ใบหน้าไร้สีเลือด เธอลูบแก้มของเหยาเหยาอย่างรักใคร่ เหยาเหยาหยุดโวยวายแล้วจ้องมองเธออย่างสนใจ “ดูสิเจ้าค่ะ เพียงฮูหยินอุ้ม คุณหนูก็เงียบทันที ช่างรู้ความยิ่งนักเจ้าค่ะ” “หึหึ บุตรสาวของข้า” เหยาเหยานางไม่อาจฝืนเปลือกตาเพื่อสำรวจรอบตัวได้อีก เธอหลับไปในอ้อมกอดที่อบอุ่นของสตรีงดงามอย่างเป็นสุข


ข้าเป็นระบบที่ช่วยเหลือตัวร้าย
ตึก ตึก เสียงหัวใจ ของเฉินซีซี ดังจนคนที่ยืนด้านข้างมองเธออย่างเป็นห่วง “ซีซี เธอตื่นเต้นขนาดนี่เลยหรอ” อาผิง เพื่อนสนิทของเธอถามขึ้น “เธอก็รู้ว่าฉันอยากเข้าร่วมการทดลองครั้งนี้” “เธอไม่กลัวว่าจะเกิดเรื่องผิดพลาดเลยหรือไง นี่เป็นครั้งแรกที่จะได้ทดลอง ฉันว่าเธอเปลี่ยนใจดีกว่า ไว้ค่อยเข้าร่วมครั้งใหม่แทน” “ไม่ ไม่ ฉันว่าครั้งนี้ล่ะ มันไม่น่าจะมีเรื่องที่ผิดพลาด คนที่ควบคุมโปรแกรม ถูกเชิญมาจากทั่วโลก เธอไม่เปลี่ยนใจเข้าสมัครพร้อมฉันหรอ” “ไม่ ฉันกลัวจะเกิดเรื่องผิดพลาด” อาผิงส่ายหัวอย่างเอาเป็นเอาตาย การทดลองครั้งนี้ จะมีผู้โชคดีเพียงห้าคนเท่านั้น และทั้งห้าจะถูกสุ่มไปเปลี่ยนชะตาของเล่าตัวละครในนิยายที่เลวร้ายให้เปลี่ยนใจกลับมาเป็นคนดี เรียกให้เข้าใจง่ายๆ คือเธอเป็นระบบที่จะสุ่มไปอยู่ตามมิติต่างๆ ทั้งห้ามิติ ที่เชื่อมต่อได้ โดยที่ทั้งห้าผู้ถูกรับเลือกก็ไม่รู้ว่าจะได้อยู่ในมิติใด นี่คือความท้าทายที่ซีซีเธออย่างจะลิ้มลอง ระหว่างที่รอประกาศผลอยู่ในห้องจัดงานเลี้ยง ซีซีบีบมือแน่นด้วยหัวใจที่เต้นแรง เสียงพิธีกรที่ขึ้นไปกล่าวเปิดงาน เธอฟังไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำว่าเขากล่าวว่าอย่างไร อาผิง อ้าเบิกค้าง เธอตัวแข็งทื่อ สติการรับรู้หลุดลอย ไม่ต่างจากซีซี ที่เธอตกตะลึงนิ่งค้างไปแล้ว เพราะรายชื่อ คนที่ได้รับคัดเลือกมีซีซีอยู่ในรายชื่อที่สาม อาผิงเขย่าตัวเรียกเพื่อนสาว “ซีซี ชื่อเธอ ไปเร็วเข้า” อาผิงผลักตัวซีซีให้ลุกขึ้นไปบนเวที เธอเดินไปอย่างมึนงง เพราะผู้ที่เข้าร่วมการคัดเลือกครั้งนี้ ไม่ต่ำกว่าห้าพันคน เมื่อได้รับเลือกเธอจึงตกใจไม่น้อย ซีซีเดินไปที่กล่องตรงหน้า เพื่อหยิบเลือกว่าเธอจะได้ไปเป็นระบบให้กับมิติใด มือขาวเอื้อมลงไปหยิบซองกระดาษด้านในกล่อง เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อรอฟังว่าเขาจะประกาศให้เธอไปมิติใด “ยุค60 ยุค60” ซีซีพึมพำออกมาเบาๆ เธออยากได้มิติในยุค60 เพราะน่าจะมีเรื่องตื่นเต้นให้นางได้ช่วยเหลืออยู่ไม่น้อย ผู้ที่ได้รับเลือกให้ระบบช่วยเหลือจะต้องทำภารกิจ เพื่อจะแลกเปลี่ยนเรื่องที่ขอให้ระบบช่วย เธอจึงรู้สึกว่ายุค60 เป็นช่วงที่ประเทศจีนขาดแคลนทรัพยากรมากที่สุด ผู้คนอดยาก หิวโหย ข้าวของแพง ต้องใช้คูปองที่ได้จากรัฐบาลเพื่อแลกอาหาร “ยุคโบราณ” เสียงประกาศของพิธีกร และเสียงโห่ร้อง ทำให้ซีซีนางยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยความตกตะลึง เธอไม่เคยศึกษาถึงสภาพแวดล้อม การใช้ชีวิตของคนยุคโบราณอย่างลึกซึ้ง เพียงรู้แค่ในหลักสูตรการสอนของทางโรงเรียน แต่นี่มันยุค ค.ศ. 2526 ประวัติศาสตร์ที่ควรจะเรียนรู้ก็เริ่มจะถูกลืมเลือน ซีซีเธอไม่รู้ว่าถูกพาตัวไปด้านหลังห้องจัดการเลี้ยงตั้งแต่เมื่อไร แต่ด้านในมีคนอีกห้าคนที่ได้รับเลือกนั่งรออยู่แล้ว ทั้งห้าคนล้วนแต่เป็นคนที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน เมื่อได้เจอก็เพียงแค่ทักทายเล็กน้อยเท่านั้น ไม่นานก็มีคนพาทั้งห้าคนไปแต่ละห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้ ซีซี มองไปรอบห้องอย่างสนใจ ตามความเข้าใจของเธอ เธอคิดว่า เธอจะได้นั่งอยู่ในห้องนี้ เพื่อติดต่อสื่อสารกับคนในยุคโบราณที่ได้รับเลือก แต่พอนักทดลองเข้ามา เธอจึงได้รู้ว่าเธอเข้าใจผิด พวกเขาฝั่งชิปลงไปที่ก้านสมองของเธอ และปล่อยให้เธอได้กลับบ้าน เธอเดินออกมาจากห้องอย่างมึนงง เพราะไม่มีใครที่จะบอกว่า ต่อจากนี้ เธอต้องทำอะไรต่อ หรือต้องไปที่ใด “เป็นยังไงบ้าง” อาผิงเดินเข้ามาหาซีซี แล้วสำรวจเธออย่างสนใจ “ไม่ ไม่เป็นยังไง” “แล้วเธอไม่รู้หรอว่าต้องทำอะไรต่อ” “ไม่ ไม่มีใครบอกอะไรฉันเลย” “ห๊า มันบ้ามาก ฉันบอกเธอแล้วว่าให้สมัครหลังจากครั้งนี้” อาผิงตวาดออกมาอย่างหัวเสีย “เอาเหอะ ถ้ายังไงฉันจะโทรหาเธอคนแรกแล้วกัน” ซีซีกับอาผิงแยกย้ายกันกลับที่พัก ซีซีเมื่อกลับมาถึงที่พัก เธอก็ล้มตัวลงนอนทันที แม้เรื่องที่ได้รับการคัดเลือกเธอจะดีใจมาก แต่เพราะความที่ไม่รู้อะไรเลยในตอนนี้ ทำให้เธอปวดหัวมากเช่นกัน ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ซีซีรู้สึกตัวอีกที่ก็เพราะว่าเธอหิวเสียแล้ว แต่เมื่อจะจะลุกออกจากเตียงไปหาอะไรกิน ก็ต้องตกใจ เพราะเธอไม่ได้อยู่ในห้องพักเช่นเดิมอีกแล้ว “ที่ไหนวะเนี้ย” เธอเกาหัวอย่างไม่เข้าใจ แต่ก่อนที่จะเดินสำรวจดู เธอก็ได้ยินเสียงที่หน้าจอคอมที่อยู่ในห้อง “เริ่มงานระบบของคุณได้” เธอเดินเข้าไปที่หน้าคอม ก็เห็นข้อมูลด้านในที่บอกราคาสินค้าที่ผู้ได้รับคัดเลือกต้องจ่าย แต่ไม่ใช่เงิน เป็นภารกิจที่ผู้ถูกเลือกต้องทำ มีตั้งแต่ง่ายไปจนถึงยาก เธอเพียงต้องนั่งอยู่หน้าคอม เพื่อสื่อสารกับผู้ถูกเลือก “แล้วทำไม ฉันถึงได้อยู่ที่นี่ได้” เธอไม่เข้าใจ ความเข้าใจสุดท้ายคือเธออยู่ที่ห้องพักไม่ใช่หรอ ทำไมถึงได้มาที่นี่ได้ ใครพาเธอมา แล้วจะไม่รู้สึกตัวได้ไง ข้อมูลด้านในบอกสิ่งที่ซีซีต้องทำให้สำเร็จเช่นกัน เธอถึงจะสิ้นสุดกับงานในครั้งนี้ ต้องช่วยให้ผู้ถูกเลือก เปลี่ยนบทบาทที่ชั่วร้ายให้กลายเป็นคนดี หากผู้ถูกเลือกทำสิ่งที่ผิดต่อหลักคุณธรรมต้องชักจูงให้เขาเปลี่ยนใจ ซีซีขมวดคิ้วอย่างมึนงง คนคิดเลว เธอจะพูดยังไงให้เขาเป็นคนดีได้ แต่สิ่งที่ทำให้ซีซีต้องลุกพรวดขึ้นก็คือ คำเตือนที่อยู่มุมล่างสุด หากไม่สังเกตให้ดี เธอเชื่อว่าคงไม่มีใครเห็นแน่ หากทำภารกิจล้มเหลว ผู้ที่เป็นระบบจะต้องอยู่ที่นี่ตลอดไป “เฮ้ยยยย” ซีซีร้องออกมาเสียงดัง


หวนคืนฐานะเดิม
จ้าวเหยียนหญิงสาวที่ใช้ชีวิตอย่างปกติเหมือนเพื่อนวัยเดียวกัน เธอมีครอบครัวที่อบอุ่นเรียนจบเป็นพยาบาลในโรงพยาบาลชั้นนำ แต่ในชีวิตเธอเหมือนขาดสิ่งใดไป ตั้งแต่ยังเด็กเธอจะฝันเห็นบุรุษยุคโบราณที่กำลังเรียกหาเธอด้วยเสียงที่สั่นเครืออย่างเศร้าสร้อย เมื่อเธอตื่นทุกครั้งจะมีน้ำตาที่เปื้อนอยู่บนใบหน้า พอเธอเริ่มโตขึ้น เธอก็มักจะฝันเห็นเด็กผู้หญิงและผู้ชายที่เรียกหาเธออย่างน่าสงสาร มันเป็นความฝันที่กวนใจเธออย่างมาก จนเธอได้อ่านนิยายเรื่อง 'ตกหลุมรักแม่สื่อตัวร้าย' ตอนที่ร่างเดิมของนางเอกตายลง เธอก็เหมือนหัวใจของเธอถูกบีบจนล้มลงไปนอนที่เตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง ยิ่งอ่านเรื่องที่นางเอกฟื้นมาเปลี่ยนเป็นคนละคน และโดนทำร้ายจากคนที่เรียกว่าลุงและป้าสะใภ้ จ้าวเหยียนก็เจ็บปวดจนนางร้องไห้โฮออกมา เหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของเธอเอง พออ่านจนจบแม่ของนางเอกที่มีชื่อเหมือนเธอ และเรื่องราวที่เหมือนกับความฝันของเธอทุกประการก็ทำให้สติของเธอแทบหลุดลอย เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นไม่อาจเล่าให้ใครฟังได้ ทุกคนคงได้คิดว่านางเป็นบ้าไปแล้วแน่ จึงได้เก็บไว้เอง หลังจากนั้นเรื่องในความฝันก็ยิ่งเด่นชัดเหมือนเธอยืนมองเหตุการณ์ต่างๆด้วยตัวเอง แต่ไม่มีใครเห็นเธอ วันหนึ่งเมื่อจ้าวเหยียนไปเบิกยาและอุปกรณ์ที่ต้องใช้ ตอนที่เธอยกกล่องเพื่อกลับวอร์ดของตนเอง มีคนวิ่งด้วยความเร็วมาชนจ้าวเหยียนจนเธอล้มไปข้างถนนที่มีรถกำลังจะออกจากโรงพยาบาลพุ่งชนเธอจนเธอหมดสติไป


ตกหลุมรักแม่สื่อตัวร้าย
"ฮัลโหล" จือลู่งัวเงียตื่นขึ้นมารับโทรศัพท์ "ลู่ลู่ เธอถึงไหนแล้ว อย่าบอกนะว่าเพิ่งตื่น" เสียงตวาดอย่างโมโหดังทะลุออกมาจากโทรศัพท์ จือลู่ที่หรี่ตามองเวลาที่โทรศัพท์ก็ลุกพรวดขึ้นจากที่นอน "หลันหลัน ฉันถึงทันเวลาแน่เธอไม่ต้องห่วง" วันนี้เธอมีนัดแต่งหน้าให้เพื่อนสนิทที่ต้องไปถ่ายพรีเวดดิ้ง แล้วเธอยังต้องรีบกลับมาแต่งหน้าให้ลูกค้าในตอนเย็นอีกด้วย จือลู่แทบจะโยนโทรศัพท์ในมือทิ้งแล้ววิ่งอย่างเร็วเพื่อไปอาบน้ำ ก่อนจะรีบร้อนออกจากบ้าน ยังดีที่เครื่องมือแต่งหน้าทั้งหมดเพียงยกกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นรถก็ออกเดินทางได้เลย กว่าจือลู่จะแต่งหน้าให้เพื่อนสนิทเสร็จเธอยังต้องอยู่ช่วยเปลี่ยนชุด และแต่งหน้าเพิ่มให้ว่าที่เจ้าสาวอีกสองรอบถึงจะกลับไปงานในตอนเย็นได้ จะทิ้งเพื่อนกลางคั่นก็ไม่ได้ เพราะทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทของเธอและเป็นเธอที่แนะนำให้ทั้งสองคนรักกัน เวลาที่กระชั้นชิดทำให้ลู่จือขับรถด้วยความเร็วเพราะกลัวจะไปงานในตอนเย็นไม่ทัน ระหว่างทางรถของเธอเสียหลักตกลงไปข้างทาง เมื่อเธอฟื้นขึ้นอีกครั้งก็พบว่าอยู่ในร่างของ จางจือลู่ หญิงสาววัยสิบสี่ปี ที่กำลังจะถูกท่านลุงกับท่านป้าสะใภ้จับให้แต่งงานกับชายวัยกลางคนที่เป็นพ่อหม้าย จางจือลู่ บิดามารดาของนางเสียชีวิต ต้องอาศัยอยู่กับน้องชายวัยสิบสองหนาวเพียงลำพัง แต่ท่านลุงท่านป้าสะใภ้ที่เพิ่งจะรับพวกนางมาอยู่ด้วยหลังจากบิดามารดาเสียชีวิตก็คิดจะขายนางออกไปเพื่อลดค่าใช้จ่าย แล้วจือลู่จะใช้ชีวิตเช่นไร นางจะทนแต่งออกไปกับพ่อหม้ายหรือไม่


ภรรยาลับ ขุนนางร้าย
พระราชโองการคุมตัว โจวเว่ยหลง เสนาบดีกรมโยธา ทำให้ตรอกเหนือสะเทือน บ่าวไพร่ในจวนกรีดร้องอย่างเสียขวัญ เมื่อต้นไม้ใหญ่ของจวนถูกลากตัวไป โจวรั่วอินกอดน้องชายวัยเจ็ดหนาวแน่น แม้ตัวนางจะสั่นเทาไปด้วยความกลัว แต่ก็ต้องปกป้องน้องชายอย่างสุดความสามารถ คนของตุลาการไม่ได้จับตัวผู้ใด นอกจากโจวเหว่ยหลงเพียงผู้เดียว เพราะคำสั่งที่ได้รับมาเพียงแค่คุมตัวไปสอบสวน ยังไม่มีการตัดสินโทษ แต่เพียงแค่นี้ก็เพียงพอให้ญาติสนิท สหายที่เคยเข้าออกจวนอยู่เป็นประจำ ต่างเก็บตัวเงียบไม่กล้ายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เรื่องเมื่อสิบปีก่อนถูกรื้อขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเขื่อนที่โจวเหว่ยหลงไปควบคุมการสร้าง เกิดข่าวลือเรื่องขึ้นภาษีโดยไม่แจ้งราชสำนัก ทำให้หัวหน้าหมู่บ้านที่จะนำเรื่องมาแจ้งเมืองหลวง ถูกดักจับตัวไว้พร้อมทั้งลงโทษจนตาย เรื่องเช่นนี้ไม่มีผู้ใดอยากจะหาเรื่องใส่ตัว กลัวว่าจะถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แม้กระทั่งท่านอาของรั่วอิน ยังไม่เปิดประตูจวนต้อนรับนาง เมื่อนางได้ขอร้องให้เขาช่วยให้นางได้พบหน้าบิดา รั่วอินกำมือแน่น อย่างเจ็บปวดใจ ก่อนหน้านี้ตำแหน่งที่ท่านอานั่งอยู่ ไม่ใช่เพราะบิดานางหรือ เขาถึงได้มาไม่ยาก แต่นางเพียงต้องการพบหน้าบิดา เพื่อสอบถามเรื่องราวกับไม่คิดแม้แต่จะเปิดประตูจวนให้นางได้เข้าไปพูดคุย เสี่ยวจิน มองคุณหนูตนเองอย่างเห็นใจ ก่อนหน้านี้นางเป็นคุณหนูใหญ่ที่ได้รับทะนุถนอมอย่างดี เรื่องหนักใจแม้เพียงน้อยก็ไม่เคยได้รับ เมื่อเจอเรื่องใหญ่เช่นนี้นางจะทนได้อย่างไร แผ่นหลังของรั่วอินแข็งเกร็ง เมื่อชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมาต่อว่านาง ถึงความผิดของตัวบิดา แม้ทางการยังไม่ตัดสินโทษ แต่นางก็ถูกชาวบ้านถ่มน้ำลายจนอับอายเสียแล้ว เหมือนสวรรค์ยังซ้ำเติมตระกูลโจวไม่หนำใจ เมื่อโรงจำนำ นำใบทวงหนี้มาหานางถึงจวน “เป็นไปไม่ได้” เมื่อนางอ่านจบแล้วเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่อยากเชื่อ จำนวนหนึ่งนับแสนตำลึงที่ประทับตราบิดาของนางเป็นผู้กู้เงิน จะเป็นไปได้อย่างไร ถึงตระกูลโจวไม่ได้ร่ำรวยจนใช้เงินได้อย่างมือเติบ แต่เงินที่มีก็ทำให้นางกับน้องชายใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายไปจนตาย แล้วบิดาของนางมีเหตุผลใดที่ต้องกู้เงินมามากมายเพียงนี้ ทั้งยังดอกเบี้ยที่เพิ่มจนน่าตกใจหากต้องขายทรัพย์สินพร้อมบ้านที่มีทั้งหมดก็คงจะไม่พอใช้หนี้อย่างแน่นอน “หึ คุณหนูโจว ใบทวงหนี้ในมือท่านเป็นของจริง ทั้งยังมีตราประทับของนายท่านโจว เรื่องนี้ตรวจสอบกับทางการได้” หลงจู๊หาน จ้องมองนางอย่างเจ้าเล่ห์ “แต่หากคุณหนูยอมประทับลายมือขายตัว สัญญาแผ่นนี้จะเป็นโมฆะ” หลงจู๊หานเอ่ยเกลี้ยกล่อมรั่วอิน เพราะนายของเขาต้องการตัวของนาง ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด สาวงามเช่นนี้ผู้ใดจะไม่อยากได้ แต่เหมือนนายของเขาจะไม่สนใจความงามของนาง แต่ไม่รู้ว่าต้องการตัวนางไปด้วยเหตุใด “ไร้เหตุผลสิ้นดี ข้าจะไปสอบถามบิดาให้รู้เรื่อง หากเป็นดั่งที่ท่านว่า ข้าจะหาเงินมาใช้ให้ท่านด้วยตนเอง” นางจะยอมประทับตราลงในสัญญาขายตัวได้อย่างไร “หึ ตุลาการมีคำสั่งไม่ให้ผู้ใดเข้าพบนายท่านโจว แล้วท่านจะเข้าไปได้อย่างไร อีกอย่างเงินจำนวนมากเพียงนี้ ภายในเจ็ดวัน ท่านจะหามาจากที่ใด” เขายิ้มที่มุมปากอย่างดูแคลน แต่สุดท้ายก็ยอมกลับไป เมื่อครบกำหนดเจ็ดวันค่อยมาใหม่ก็ยังไม่สาย รั่วอินทรุดนั่งลงอย่างหมดแรง แม่นมโจวกับเสี่ยวจินวิ่งเข้ามาประคองนางกลับเข้าไปด้านในห้องโถง เป็นจริงดั่งที่หลงจู๊หานว่า เงินมากเพียงนี้นางจะหามาจากที่ใด “คุณหนูท่านหนีออกจากเมืองหลวงไปหาคุณชายสวีที่ชายแดนเถิดเจ้าค่ะ” แววตาของรั่วอินวูบไหว เมื่อแม่นมโจวเอ่ยถึงคู่หมั้นของนาง เขาเดินทางไปจัดการเรื่องทหารที่ชายแดนเหนือได้หนึ่งปีแล้ว ทั้งยังบอกเมื่อกลับมาเมืองหลวงอีกครั้งจะแต่งนางเข้าจวนในทันที เพราะสวีกงจวิ้น ไม่อาจพาสตรีที่เขารักไปลำบากถึงชายแดนด้วยได้ จึงคิดจะจัดการเรื่องทางชายแดนให้เรียบร้อยแล้วค่อยแต่งนางเข้าจวน ตอนที่สวีกงจวิ้นหมั้นหมายกับรั่วอิน ไม่มีบุรุษใดในเมืองหลวงที่ไม่ปวดใจ เพราะความงามของนางที่ราวกับนางจิ้งจอก เพียงปรายตาบุรุษก็แทบจะมาสยบแทบเท้าของนางแล้ว “ข้าจะทิ้งท่านพ่อไปได้อย่างไร” นางเอ่ยเสียงแผ่วเบา


ชะตารักลิขิตด้ายแดง
ใบฟาง นักโจรกรรม เธอโดนทิ้งไว้ในบ้านเด็กกำพร้าตั้งแต่เมื่อไหร่ตัวเธอก็ไม่ทราบ อาจจะพูดได้ว่าเมื่อเธอจำความได้เธอก็คิดว่าที่นี่คือบ้านของเธอแล้ว เมื่ออายุได้ห้าขวบ มีสองสามีภรรยาชาวจีนรับตัวเธอไปเลี้ยงดูในฐานะบุตรบุญธรรม ทั้งคู่เป็นนักธุรกิจที่เดินทางไปทั่วโลกเพื่อทำการค้า แต่ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศจีนเป็นส่วนใหญ่ นี่คือสิ่งที่คนภายนอกรับรู้ผ่านเอกสารที่ปลอมแปลงมาเรียบร้อยแล้ว แต่ความจริงทั้งคู่คือนักโจรกรรมที่ตำรวจทั่วโลกต้องการตัว ทุกครั้งที่ออกทำภารกิจสองสามีภรรยาจะปลอมแปลงหน้าตาและบุคลิกของตนเองทุกครั้ง ทำให้ไม่มีใครจับผิดทั้งคู่ได้ แม้กระทั่งลายนิ้วมือทั้งคู่ก็สามารถเปลี่ยนได้ทุกครั้ง เมื่อใบฟางถูกรับมาเลี้ยงดูแล้ว ทั้งคู่สอนทุกสิ่งที่ตนรู้และเล่ห์เหลี่ยมที่ตนมีให้กับใบฟางทั้งหมด ใบฟางที่เป็นเพียงเด็กน้อยที่ยังไม่เข้าใจโลกที่โหดร้าย หลังจากที่ถูกฝึกจนพอจะเริ่มทำภารกิจได้ ในวัยเพียงหกขวบงานแรกของเธอคือ ขโมยกระเป๋าสตางค์ ซึ่งเธอก็ทำให้ทั้งคู่ได้เห็นความเร็วและความสามารถของเธอ ในวัยเจ็ดขวบเธอเริ่มชำนาด้านการขโมยของเล็กของน้อย จนหลอกล่วงคนอื่น วัยแปดขวบเธอแสดงความสามารถโดยการเข้าร่วมงานประมูลกับพ่อแม่บุญธรรมและได้ขโมยแหวนเพชรมูลค่าเกือบสิบล้านหยวนมาได้ ทุกครั้งที่เธอได้รับภารกิจเธอตั้งใจทำอย่างมากเพราะคิดว่านี่คือสิ่งที่จะทำให้ทั้งคู่รักเธอ เพียงแค่ได้รับคำชื่นชมจากทั้งคู่เธอจึงคิดเสมอว่านี่คือคนที่เป็นพ่อแม่ของเธอ การแสดงความรักของเธอคืองานที่ได้รับจะต้องไม่มีสิ่งใดผิดพลาดเพื่อให้พ่อแม่บุญธรรมรักเธอ แต่สิ่งที่เธอคิดเป็นสิ่งที่ผิดมาตลอด เมื่ออายุได้ยี่สิบปีเธอทำงานพลาดครั้งแรก เกือบจะถูกตำรวจจับตัวได้ พ่อแม่บุญธรรมที่เธอคิดเสมอว่าคือคนในครอบครัวได้หลบหนีทิ้งเธอไว้โดยไม่หันกลับมามอง จนเมื่อเธอซ่อนตัวจนตำรวจคิดว่าเธอหนีออกนอกประเทศไปแล้ว ข่าวตามล่าเธอเงียบหายไป ทั้งคู่จึงได้ติดต่อกลับมา เธอรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าหากจวนตัวต้องเอาตัวรอดให้ได้ แต่เธอหวังเพียงอยากให้ทั้งคู่รักเธออย่างที่เธอรักพ่อแม่บุญธรรมสักนิดก็ยังดี เมื่อเบื่อที่ต้องใช้ชีวิตหลบหนีตำรวจ รวมทั้งองค์กรใต้ดินที่ตามล่าค่าหัวเธออย่างหนัก ทั้งคู่จึงขอให้เธอทำงานสุดท้ายให้ คือขโมยหยกเหอเถียนที่เพิ่งค้นพบเจออายุราวๆสามพันปี งานนี้ไม่ง่ายแต่หากจะแลกมาด้วยอิสระภาพที่ทั้งคู่จะยอมปล่อยเธอไป เธอจึงตกลงรับงานนี้ เธอใช้เวลาดูสถานที่ ทางหนีทีไล่อยู่สองสัปดาห์ เมื่อมั่นใจว่าเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วก็เริ่มออกปฏิบัติการ หยกเหอเถียน ที่เธอต้องขโมยเป็นเพียงกำไลข้อมือเท่านั่น ระบบนิรภัยที่แน่นหนาไม่เกินความสามารถของเธอ เมื่อนำออกมาได้ก็เตรียมหลบหนี แต่ใครจะรู้ว่าพ่อแม่บุญธรรมที่แสนน่าเคารพรักนั้นได้ขายข้อมูลให้กับองค์กรใต้ดินเพื่อชิงของจากเธอ พร้อมทั้งฆ่าเธอเพื่อรับค่าหัวที่มูลค่าสูง แม้การต่อสู้ที่ถูกฝึกมาอย่างชำนาญ อาวุธในมือ มีดสั้น ปืนถูกนำออกมาใช้ ถึงจะฆ่าคนฝุ่นนั่นไปเยอะเพียงใด แต่เธอคนเดียวจะสู้คนที่เตรียมพร้อมมาถึงสามสิบคนได้อย่างไร ใบฟางหัวเราะให้กับความโง่ของเธอ แม้แต่ผู้ที่ได้ชื่อว่าพ่อแม่บุญธรรมก็ยังขายเธอได้ เธอเย้ยหยันให้กับชีวิตที่บัดซบ สาปแช่งเทพแห่งโชคชะตาที่ให้เธอมาเกิดกับพ่อแม่แท้ๆที่ไม่ต้องการเธอ แล้วยังส่งพ่อแม่บุญธรรมที่ทำให้ชีวิตของเธอต้องพบจุดจบเช่นนี้


ท่านแม่บิดาข้าอยู่ที่ใด


จากนางแบบสู่สตรีอ้วนหมู่บ้านโจวตง
"สวัสดีค่ะ วันนี้หลิงหลิงจะมานำเสมอการออกกำลังกายเพื่อให้คุณมีหุ่นเหมือนหลิงหลิงค่าาาา" ทุกวันของซิงหลิงนอกจากงานถ่ายแบบเดินแบบที่เธอยึดเป็นอาชีพหลักแล้ว ก็คงเป็นอีกอย่างคือการถ่ายทอดชีวิตในแต่ละวันของเธอลงโซเซียลให้คนติดตาม ตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า เธอเริ่มตั้งกล้องเพื่อให้ทุกคนได้เห็นว่าเธอดูแลตนเองเช่นไร ตั้งแต่ยาสีฟันที่ใช้เพื่อทำให้ฟันของเธอขาว (แต่ความจริงเธอก็เข้าคลินิกเพื่อทำวีเนียร์) หรือจะเป็นมาร์คหน้าที่ใช้ก่อนจะลงครีม ขั้นตอนการลงเซรั่มไปจนถึงครีม แม้แต่การแต่งหน้าที่ดูธรรมชาติจนเหมือนไม่ได้แต่ง เรื่องอาหารการกินเธอก็ทำเองทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกซื้อผัก เนื้อสัตว์ไปจนถึงปรุงสำเร็จ การออกกำลังกายควรออกท่าไหน เพื่อให้ส่วนใดกระชับ ชิงหลิงเธอทั้งตั้งกล้องตัดต่อด้วยตนเองทั้งสิ้น ทุกคลิปของเธอสร้างรายได้มหาศาลมากกว่าเงินค่าจ้างเดินแบบเสียอีก หากผู้ติดตามเบื่อคลิปรูปแบบเดิมๆ เธอก็ออกไปถ่ายสิ่งต่างๆ เพิ่มเติมอยู่เสมอ แม้กระทั่งการขุดรากบัวขึ้นมาทำแป้งรากบัวเพื่อสุขภาพ หรือจะเป็นสบู่ล้างหน้า อาบน้ำแบบออแกนิค เธอก็ถ่ายทำทุกขั้นตอนให้ได้ชม คนยุคใหม่ชื่นชอบคลิปของเธอมากนักจนมีคนทำตามวิธีของเธอจนสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้จริง จนทำให้ชื่อเสียงของเธอเพิ่มขึ้นอีกมาก วันนี้ก็เช่นกัน ชิงหลิง ตื่นขึ้นมาตั้งกล้องทำทุกอย่างเช่นปกติ ทั้งยังพูดแนะนำไปตามแบบของเธอ จนเมื่อถึงตอนที่ไลฟ์สดกินอาหารเพื่อให้ทุกคนได้ดู ชิงหลิงอ่านทุกคอมเม้นและโต้ตอบกับผู้ติดตามเช่นปกติ “พี่หลิงหลิง ไม่กลัวอาหารติดคอหรือคะ พูดไปกินไป” “ฮ่า ฮ่า ไม่ค่ะ ทุกครั้งหลิงหลิงก็ทำแบบนี้ แต่ต้องเคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืนนะคะ” เธอขยิบตาให้กล้องอย่างซุกซน แต่แล้วเหตุการณ์ที่เธอไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นก็เกิด เนื้ออกไก่ชิ้นใหญ่หลุดเข้าไปในหลอดลมของเธอ คอมเม้นจากผู้ติดตาม กระหน่ำถามรัวๆ ว่าเธอเป็นอะไร ตอนนี้ชิงหลิง เธอหลบออกจากกล้อง เพราะเริ่มหายใจไม่ออก เธอพยายามล่วงคอเพื่อเอาเศษอาหารออกแต่ก็ไม่เป็นผล เธอใช้ท้องกระแทกกับพนักพิงของเก้าอี้อยู่หลายครั้ง แต่ที่ไม่ออกเสียที เพราะเธอไม่กล้าออกแรงมาก กลัวท้องจะเป็นรอยช้ำ เมื่อใส่เสื้อออกกำลังกายแล้วคนจะเห็น ครั้งนี้ชิงหลิงคิดน้อยไปเสียหน่อย เพราะมันไม่โชคดีเหมือนครั้งก่อนๆ เธอลืมหายใจไม่ออกจนล้มไปนั่งกลับพื้น เธอพยายามคลานไปที่โทรศัพท์เพื่อขอความช่วยเหลือจากผู้ติดตามที่กำลังดูไลฟ์สดอยู่ เพียงอีกแค่ช่วงมือเดียวที่เธอจะเอื้อมถึง แต่กลับหมดเรี่ยวแรงเสียก่อน เธอใช้แรงเฮือกสุดท้ายทุบไปที่โต๊ะทานอาหารเพื่อส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ มีหนึ่งในผู้ติดตามพบความผิดปกตินี้ แล้วโทรตามรถพยาบาลให้เธอ แต่อนิจจา ไม่มีผู้ใดรู้ที่อยู่ของเธอ เพราะเธอหวาดกลัวพวกโรคจิตที่ชอบส่งข้อความแปลกมาหาเธอ ทุกครั้งที่ถ่ายคลิปหรือไลฟ์สด เธอจะไม่ถ่ายมุมกว้างเพื่อให้ผู้อื่นรู้ที่อยู่ของเธอ ชิงหลิงสิ้นใจลงในห้องพักของเธอในเช้าวันนั้น กว่าผู้จัดการของเธอจะรู้เรื่องก็เกือบจะถึงเวลานัดเพื่อไปถ่ายงาน แต่เธอไม่มาเสียทีเขาจึงมาดูที่ห้อง ไลฟ์สดของเธอก็ยังเปิดอยู่พร้อมทั้งคอมเม้นที่ยังเด้งไม่หยุดเพื่อถามว่าเธอเป็นเช่นไรกันแน่


กลับมาครานี้ขอใช้ชีวิตแบบสงบ
ซูเหมยฮวา ใช้อำนาจของบิดาเสนาบดีซูเหลียง ขอพระราชทานสมรสระหว่างแม่ทัพใหญ่เซี่ยซีฮั่น ด้วยความรักที่นางมีคิดว่าแต่งไปแล้วท่านแม่ทัพจะสนใจตัวนางบ้าง แต่นางคิดผิด ท่านแม่ทัพไม่แม้แต่จะเข้าหอ ไม่เคยก้าวเท้าไปที่เรือนของนางเลย เพราะท่านแม่ทัพมีหญิงในดวงใจอยู่แล้วคือ แม่นาง หลันเฟยหย่า สาวงามผู้เพียบพร้อมแห่งเมืองหลวง หลันเฟยหย่ามักจะตั้งโรงทานบ่อยครั้ง จนชาวบ้านทั่วเมืองเรียกขานว่าคุณหนูใหญ่หลันผู้ใจบุญ ซูเหมยฮวา แต่งเข้าจวนท่านแม่ทัพได้เพียงเดือนเดียว เซี่ยซีฮั่นก็แต่งหลันเฟยหย่ามาเป็นฮูหยินรองที่ใช้เกี้ยวแปดคนหามเทียบเท่าซูเหมยฮวา งานแต่งครั้งนี้เป็นการตบหน้าจวนเสนาบดีซูอย่างแรง ซูเหมยฮวา ได้แต่เก็บความเจ็บช้ำเพราะทุกสิ่งที่นางได้รับนางเป็นคนเลือกเอง ในเมื่อไม่เป็นที่โปรดปรานของท่านแม่ทัพบ่าวไพร่ก็ไร้การเหลียวแล มีแค่บ่าวที่มาจากบ้านเดิมสองคน อาหารการกินก็โดนกลั่นแกล้งจากหลันเฟยหย่า ข้าวของที่ฮูหยินเอกสมควรได้ก็ไม่เคยมาถึง ซูเหมยฮวาโดนหลันเฟยหย่าส่งมาอยู่ท้ายจวน หลันเฟยหย่าแจ้งท่านแม่ทัพว่าซูเหมยหย่าอยากอยู่สงบๆ ท่านแม่ทัพไม่เคยสนใจเลยให้ทุกอย่างในจวนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของหลันเฟยหย่าทั้งหมด ทุกครั้งที่ซูเหมยฮวาพบหน้าท่านแม่ทัพ หลันเฟยหย่าจะหาเรื่องบ่าวทั้งสองคนของซูเหมยฮวาต้องเจ็บตัวทุกครั้งและไม่ให้ทางห้องครัวส่งข้าวมาให้ บ่าวในจวนไม่มีคนใดกล้าปากมากบอกท่านแม่ทัพเพราะจะโดนโบยแล้วขายออกไป ตั้งแต่แต่งเข้าจวนแม่ทัพ ซูเหมยฮวาได้พบหน้าท่านแม่ทัพแค่เพียงนิ้วมือนับได้ หลังจากแต่งเข้ามาสองปี ชีวิตของซูเหมยฮวามีแต่ความทุกข์นางร้องไห้จนไม่มีน้ำตาให้ไหลอีกแล้ว วันหนึ่งได้ข่าวร้ายของจวนเสนาบดีซูถูกกล่าวหาเข้าร่วมกบฏกับเฉิงอ๋อง โดนโทษประหารทั้งตระกูล ระหว่างที่นางเสียใจ หลันเฟยหย่า มาหาที่เรือน กล่าวว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพราะความโง่ของซูเหมยฮวาที่คิดอยากจะแย่งท่านแม่ทัพจากนาง การที่จวนเสนาบดีซูโดนโทษประหารเพราะถูกใส่ร้ายจากเสนาบดีหลัน บิดาของ หลันเฟยหย่า หลังจากจวนเสนาบดีซูถูกประหารได้ สามวัน หลันเฟยหย่าให้มือสังหารมาจัดการกับซูเหมยฮวา จิตสุดท้ายก่อนตายซูเหมยฮวา วิงวอนต่อสวรรค์ขอโอกาสกลับมาอีกครั้งนางจะไม่โง่เลือกเซี่ยซีฮั่นแน่นอน ซูเหมยฮวา "ข้าแต่สวรรค์ ข้าขอโอกาสอีกสักครั้ง ข้าทำผิดต่อตระกูลซูนัก ผิดต่อท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่ทั้งสอง ข้าผิดที่เลือกเซี่ยซีฮั่น ข้าขอโอกาส" "เซี่ยซีฮั่น แม้กระทั่งเกิดเรื่องกับตระกูลข้า ท่านไม่เคยถามความรู้สึกข้าสักคำ จนวันที่ข้าจะตายหน้าท่านข้าก็ไม่ได้พบ ถ้าได้โอกาสกลับมาอีกครั้ง ขออย่าได้พบกันอีกเลย" "หลันเฟยหย่าผู้ใจบุญ ถ้าขอได้โอกาสกลับมา ขอสาบานว่าข้าจะฉีกหน้ากากใจบุญของเจ้าออกมาให้คนทั้งแคว้นฉีได้รู้"


ทะลุมิติมาเป็นบุตรสาวหญิงหม้าย
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี้ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น


นางร้ายของท่านเสนาบดี
ซูหนี่นักแสดงเจ้าบทบาท วันหนึ่งเธอได้รับติดต่อให้รับบทนางร้ายที่ต้องตายเมื่อออกได้เพียงสามตอน ผู้กำกับนัดเธอให้ออกไปรับบทที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งเมื่อตกลงกันได้แล้ว เธอก็กล่าวขอบคุณแล้วนัดคิวถ่ายทำกัน ซูหนี่อ่านบทของเธอที่มีเพียงน้อยนิด นางร้ายคนนี้ทำให้เธอโมโหอย่างมาก เป็นสตรีที่วางยาเพื่อให้ได้ แต่งกับบัณฑิตหนุ่ม จ้าวหนิงหลง เมื่อฝ่ายชายรังเกียจนางก็ยิ่งแสดงความร้ายกาจออกมา เมื่อจ้าวหนิงหลงสอบเป็นจวี่เหรินได้ นางก็จบชีวิตลง ถึงบทที่เธอได้รับจะออกมาให้คนดูได้เห็นเพียงไม่กี่ตอน แต่การแสดงที่เข้าถึงทำให้คนจดจำได้ ไม่ใช่เพียงคนชื่นชมเท่านั้น เธอยังทำให้แม่ค้าเกลียดจนด่าเธอกลางตลาดมาแล้ว เมื่อเธอทำทีไปเดินเพื่อเช็คความนิยม มีแม่ค้าคนหนึ่งเข้าถึงอารมณ์ในการแสดงเยอะไปหน่อย วิ่งไล่ปาไข่ไก่ใส่เธอจนนางเตลิด ไม่ได้ดูทาง จึงทำให้รถที่วิ่งมาเร็วชนเข้า เธอตื่นมาอีกครั้งในร่างของซูหนี่นางร้ายที่เธอได้รับบทบาท และที่ในบทไม่มีเหมือนกันคือซูหนี่มีลูกน้อยวัยสามขวบถึงสองคน เธอจะทำอย่างไรต่อไป จะหนีความตายที่ใกล้จะเกิดขึ้นได้หรือไม่


จองจำรักร้าย
จินเยว่ ตำรวจสาว เธอได้รับภารกิจให้เข้าจับกุมพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ ที่สายข่าวได้แจ้งเข้ามาวันนี้จะมีการเจรจาซื้อขายครั้งใหญ่เกิดขึ้น ผู้บังคับบัญชาให้จินเยว่ที่ตอนนี้เป็นถึงหัวหน้าสายสืบ พาลูกน้องไปสำรวจพื้นที่ก่อน อย่าเพิ่งเข้าปะทะเพราะเขาจะส่งกองกำลังเข้าไปช่วยเหลือ แต่ลูกน้องของจินเยว่เห็นโอกาสที่จะเข้าจับกุมได้แล้ว เลยไม่รอกองกำลังพิเศษที่กำลังเดินทางมาช่วยเหลือ ตอนแรกคิดว่าพ่อค้ายาเสพติดจะพาคนมาฝ่ายละไม่เกินยี่สิบคน แต่กลายเป็นว่าเธอโดนซ้อนแผนเสียแล้ว จะถอยก็ไม่ทัน จินเยว่เข้าช่วยลูกน้องจนเธอได้รับบาดเจ็บสาหัส ระหว่างความเป็นกับความตาย สติของเธอเริ่มพร่ามัว เสียงเรียกที่ได้ยินแยกไม่ออกว่าเป็นใครเรียก แต่เธอจำได้ว่ากองกำลังพิเศษมาช่วยไม่ทัน ตอนที่เธอถูกยิงไม่ใช่ว่าจะโดนแค่นัดเดียวทางรอดย่อมไม่มี แต่ตอนนี้ใครกันที่เรียกเธอ หากเป็นหมอก็รักษาเลย ฉันขอนอนต่อก่อน แต่หากเป็นยมทูตรอสักครู่ฉันไม่ได้นอนเต็มตาเช่นนี้มาหลายคืนแล้ว "จินเยว่ ลูกรัก ตื่นเถิดลูก" "จินเยว่ อย่าเงียบเช่นนี้ เจ้าอย่าทำให้แม่กลัว"


วาสนานี้ข้ามิอยากได้
ซินหยาน นักฆ่าสาวที่ใช้นามแฝงว่า สืออี เธอถูกพาตัวมาจากสถานสงเคราะห์ตั้งแต่อายุเพียงเจ็ดปี เพื่อฝึกให้เป็นนักฆ่าขององค์การใต้ดิน เพราะความสามารถของเธอ รวมถึงความเฉลียวฉลาดจากการเอาตัวรอด ทำให้เธอได้รับภารกิจเสี่ยงอันตรายอยู่เสมอ จนวันหนึ่งที่องค์กรยื่นข้อเสมอสุดพิเศษให้ หากทำภารกิจครั้งนี้เสร็จสิ้นเธอจะสามารถไปใช้ชีวิตตามที่เธอต้องการได้ แต่เรื่องมันจะง่ายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร ซินหยาน แม้จะรู้ดีว่านี้เป็นภารกิจสุดท้ายก่อนที่เธอจะถูกสั่งเก็บแต่ก็รับงานมาอย่างเต็มใจ แต่ที่องค์การคิดไม่ถึงคือ ซินหยานเลือกที่จะจบชีวิตลงพร้อมกับภารกิจสุดท้ายที่สูญหายไปพร้อมกับเธอด้วย ซินหยานเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าเธออยู่ในร่างของเด็กสาววัยสิบสองหนาว จางซินหยาน ชื่อนี้ช่างคุ้นหูนัก และยิ่งคุ้นมากขึ้นเมื่อชื่อของบิดามารดาของซินหยานก็คือนิยายเรื่องหนึ่งที่เธอได้เคยอ่านเมื่ออยู่ภพที่แล้ว หลังจากที่จางซินหยานอายุได้สิบหกหนาว นางตกหลุมรักท่านแม่ทัพจ้าว ที่ได้รับบาดเจ็บและจางซินหยานเป็นผู้ช่วยไว้ ถ้าหากท่านแม่ทัพจ้าวมิได้มีสตรีที่ตบแต่งไปแล้วเรื่องนี้ก็คงจบอย่างสวยงาม แต่เพราะเขารับจางซินหยานไปเป็นได้เพียงอนุเท่านั้น จางซินหยานก็ยังคิดว่าถึงจะเป็นเพียงอนุนางก็ยังหวังว่าท่านแม่ทัพจะรักนางเช่นกัน แต่เปล่าเลย ในสายตาของท่านแม่ทัพมีเพียงฮูหยินเอกเท่านั้น จนตายจางซินหยานก็ไม่เคยได้ยินคำว่ารักจากปากของท่านแม่ทัพ ซินหยานเมื่อมาอยู่ในร่างของจางซินหยานแล้วนางจะยอมให้เกิดเหตุการณ์นี้ได้อย่างไร แต่เหมือนโชคชะตาชอบเล่นตลก เพราะเรื่องที่นางไม่อยากยุ่งเกี่ยวดันเข้าไปยุ่งเต็มๆ


อีกด้านของนางร้าย
ซูมี่หญิงสาวที่เป็นสตรีร้ายกาจของหมู่บ้าน นางมีสัญญาหมั้นหมายอยู่กับ ชิงฉางบัณฑิตหนุ่ม แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็กลับมาพร้อมสตรีอ่อนหวานแล้วยกเลิกงานหมั้นกับนาง เมื่อนางจบชีวิตลงได้ไปเกิดที่ภพใหม่และเพราะมีความทรงจำเดิมทำให้นางรู้ว่านางเป็นเพียงตัวร้ายในนิยายที่มีบทบาทเพียงไม่กี่หน้าเท่านั้น ซูมี่ได้แต่ถามตัวเองว่านางผิดเรื่องอะไร อีกจะบอกว่านางร้ายกาจ นางร้ายเรื่องอะไร ถ้าไม่ใช่ว่าเป็นเพราะชิงฉางที่เขาให้ความหวังหญิงสาวในหมู่บ้านไปทั่ว จนมาหาเรื่องนาง นางจะกลายเป็นสตรีที่ร้ายกาจได้อย่างไร "เหอะ ผู้ชายสารเลวเช่นนั้น หากย้อนกลับไปได้ข้าไม่มีทางชายตามองเด็ดขาด" เมื่ออ่านนิยายจบเธอก็เขวี้ยงทิ้งลงถังขยะอย่างโมโห แต่ซูมี่ไม่รู้คือ นางจะได้ย้อนเวลากลับไปจริง และการย้อนกลับไปของนางครั้งนี้มิใช่เพื่อแก้แค้น แต่เพื่อทำให้ผู้ชายเสียดายนางแทน


ข้ามเวลามาสู้ชีวิต
รลิน หมอศัลยแพทย์ทั่วไป เธออายุ 27 เธอชำนาญด้านแพทย์แผนจีน เรื่องพิษ คนทั่วไปรู้จักเธอในนามของหมอ แต่ความจริงแล้วเธอคือนักฆ่าระดับเพชร เธอประสบอุบัติเหตุวิญญาณจึงได้ไปแทนที่หวังมู่หลินสาวน้อยวัย14หนาว