บทย่อ
ซุนเหยา เธอเรียนจบด้านการตลาด และด้วยความชื่นชอบด้านอาหาร เธอจึงเลือกที่จะเปิดร้านอาหาร ทั้งรสชาติอาหารที่ถูกปากทุกช่วงวัย ภายในร้านของเธอยังตกแต่งได้อย่างสวยงาม มุมต่างๆ ของร้านจึงดึงดูดใจให้คนเข้ามานั่งกินและถ่ายรูปลงโซเซียล เพียงไม่กี่เดือนร้านของเธอก็เป็นที่พูดถึง จนทำให้เกิดสาขาอื่นๆ ตามมา ซุนเหยาเธอจึงต้องเดินทางไปตรวจร้านตามสาขาต่างๆ เพื่อคงมาตรฐานเดิมไว้ได้มากที่สุด วันนี้ซุนเหยารู้สึกมึนหัว แต่ผู้จัดการโทรมาหาเธอ เรื่องให้เข้ามาตรวจสินค้าที่สั่งซื้อมาตุนไว้ในโกดัง เธอจำต้องแบกสังขารขึ้นรถไปที่โกดังนอกเมืองปักกิ่งทันที ภายในโกดังขนาดใหญ่ ซุนเหยาเดินตามผู้จัดการ เพื่อดูสินค้าที่สั่งมาว่ามีคุณภาพหรือไม่ หากพบว่าไม่ได้คุณภาพจะได้แจ้งเปลี่ยนได้ทัน เธอไม่ได้มีเพียงโกดังเดียว เมื่อมีสาขาจำนวนมาก ย่อมต้องมีหลายโกดัง เพื่อกักตุนสินค้าให้เพียงพอกับทุกสาขา “โอ๊ยย” ซุนเหยาร้องออกมาเบาๆ เมื่อข้อมือของเธอไปเกี่ยวเข้ากับชั้นวางของจนเลือดไหลซึมออกมา “คุณเหยา ทำแผลก่อนไหมครับ” ผู้จัดการมองข้อมือขาวงามอย่างเป็นห่วง “ไม่เป็นไรค่ะ ตรวจงานให้เสร็จก่อน แผลแค่นี้ ไม่เป็นไรมากค่ะ” เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมามัดข้อมือไว้ ซุนเหยาเธอไม่ได้สังเกตเลยว่ากำไลหยกที่ได้มาจากคุณย่ามันเปล่งแสงออกมาวูบหนึ่งก่อนจะหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อเดินตรวจของจนเสร็จ ซุนเหยาก็บอกลาผู้จัดการ แล้วขึ้นรถกลับบ้านทันที ยังดีที่เธอมีคนขับรถ ไม่เช่นนั้นวันนี้เธอคงขับรถเองไม่ไหว หลายวันที่ผ่านมา ซุนเหยามัววุ่นวายอยู่กับการเปิดร้านสาขาใหม่ที่ปักกิ่ง สาขานี้เธอตั้งใจอย่างมาก เพราะมีขนาดใหญ่กว่าทุกสาขาที่เปิดมา เธอตรวจงานด้วยตนเอง ทำให้หลายวันที่ผ่านมาเธอแทบจะไม่ได้พักผ่อนเลยสักนิด เมื่อขึ้นรถได้ เธอก็หลับเป็นตาย ซุนเหยาขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อเธอได้ยินเสียงเพลงแปลก ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน “คุณโจว คุณช่วยปิดเพลงให้ฉันหน่อยค่ะ” เธอพูดสั่งคนขับรถ เพราะตอนนี้เขากำลังกวนเวลานอนของเธออยู่ “...” ซุนเหยาเริ่มจะทนไม่ไหว กับเสียงเพลงที่ไม่ได้เบาลงเลย เธอจึงลืมตาขึ้นมาอย่างโมโหคิดจะต่อว่าคุณโจวเสียหน่อย แต่แล้วดวงตาคู่งามกลับเบิกกว้างอย่างตกตะลึง ความจริงเธอต้องอยู่ในรถหรูที่กำลังเดินทางกลับบ้าน แต่ในตอนนี้ เธอกำลังนั่งอยู่ในกล่องสีแดง ซุนเหยารีบเปิดผ้าม่านเพื่อมองออกไปด้านนอก เธออยากจะรู้ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน แล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมเธอถึงได้ใส่ชุดแดงที่เหมือนจะเป็นชุดเจ้าสาว “คุณหนูห้ามเปิดผ้าม่านเจ้าค่ะ” เสียงร้องตำหนิซุนเหยาดังขึ้น จนเธอต้องหดมือกลับอย่างทำตัวไม่ถูก ไม่สิ ไม่ใช่ ต้องมีคนแกล้งเธอแน่นอน หรือจะเป็นเพื่อนสนิทของเธอ ที่เห็นเธอยุ่งกับงานจนไม่หาแฟนเสียที แต่เธอก็ไม่น่าจะไม่รู้ตัวถึงขนาดที่คนแต่งตัวแต่งหน้าให้แล้วยังหลับได้อีก แม้กระทั่งเกี้ยวหยุดลง มีคนเข้ามาประคองซุนเหยาลงจากเกี้ยวจนไปถึงทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน ซุนเหยาเธอก็ยังไม่ได้สติ เหมือนกับว่าเธอล่องลอยตามการชักจูงของผู้ที่ประคองเธออยู่เท่านั้น เมื่อเข้ามานั่งรออยู่ในห้องหอ เธอก็ยังมึนงงอย่างไม่เข้าใจ พอได้ยินเสียงเปิดประตูห้อง ซุนเหยากำลังจะอ้าปากถามว่าที่นี่ที่ไหน แล้วเธอมาอยู่ในที่แบบนี้ได้อย่างไร เสียงเย็นชาก็เอ่ยขึ้นกับเธอเสียก่อน “ในเมื่อเจ้าแต่งเข้ามาเป็นฮูหยินของข้าแล้ว ก็จงอยู่ดูแลจวน ดูแลมารดาของข้าให้ดี ข้ายังมีเรื่องที่ต้องจัดการที่ชายแดน” ซุนเหยายังไม่ทันได้อ้าปากถาม เขาก็ปิดประตูแล้วเดินออกไปเสียแล้ว แม้แต่ผ้าคลุมหน้าที่ปิดบังใบหน้าของเธออยู่ก็ยังไม่ถูกเปิด ซุนเหยามึนงง จนแปรเปลี่ยนเป็นความโมโห “เป็นใครมาพูดกับฉันแบบนี้” เธอดึงผ้าคลุมหน้าออกแล้วปาลงพื้น ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้งแล้วถอดเครื่องประดับออกทั้งหมด “เล่นบ้าอะไรกัน ออกมาเฉลยได้แล้ว ฉันชักไม่สนุกด้วยแล้ว” เธอตะโกนร้องออกมาอย่างหัวเสีย คำพูดของชายคนเมื่อครู่ทำให้เธออยากจะวิ่งเข้าไปข่วนหน้าของเขา กล้าดียังไงมาให้เธออยู่ดูแลบ้านดูแลแม่ของเขา เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน เขาพูดว่าจวนไม่ใช่บ้าน ซุนเหยาเหมือนได้สติ เธอมองสำรวจไปรอบๆ ตัวอย่างตื่นตกใจ เครื่องเรือนไม่ใช่แบบที่เธอเคยเห็น แม้กระทั่งผนังห้องก็ยังเป็นดินแบบเรือนโบราณที่เธอเคยไปเที่ยวดูตอนเด็กๆ เธอรีบวิ่งไปที่ประตู เพื่ออยากจะดูให้แน่ชัดว่าเธออยู่ที่ไหนกันแน่ หรืออยู่ที่เมืองโบราณ แต่เพื่อนของเธอไม่น่าจะสามารถพาเธอเข้ามาแกล้งในสถานที่ประวัติศาสตร์เช่นนั้นได้ ด้านหน้าประตูห้อง มีสาวใช้ยืนขวางอยู่ เมื่อเห็นซุนเหยาที่ผมหลุดลุ่ย ทั้งใบหน้าตื่นตระหนกนางก็ร้องถามออกมาอย่างเป็นห่วง “เกิดอันใดขึ้นเจ้าคะฮูหยิน ออกไปไม่ได้เจ้าค่ะ” สาวใช้ขวางซุนเหยาไว้ ทั้งยังดันตัวนางเข้าไปให้อยู่แต่ในห้องหอ เพราะเจ้าสาวที่แต่งงานในวันแรกมิอาจออกมาจากห้องหอได้ คงเป็นเพราะความตกใจที่ได้รับ ซุนเหยาหมดสติไปทันที สาวใช้จำต้องพาเธอกลับมาที่เตียงนอน ทั้งยังไปแจ้งหลีซื่อแม่สามีของซุนเหยาเรื่องที่นางหมดสติไป
เจ้าบ่าวไม่เข้าห้องหอ
ซุนเหยาไม่รู้ว่าเธอนอนไปนานเพียงใด ในตอนนี้เธอกำลังมองเพดานห้องอย่างเหม่อลอย ตอนที่เธอหมดสติไปภาพเหตุการณ์ต่างๆ ไหลเข้าสมองราวกับภาพฝัน
แต่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเป็นความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เธอข้ามมิติมาอย่างที่เคยอ่านพบในนิยาย
จ้าวซุนเหยา บุตรสาวของเสนาบดีจ้าว บิดาของนางทำงานให้กรมการคลัง มารดาของนาง เกาจิงถิง เป็นสหายสนิทกับหลีซื่อแม่สามีของนาง จึงทำให้นางแต่งเข้าตระกูลซู
เพราะร่างกายของจ้าวซุนเหยานางอ่อนแอ จึงทำให้นางสิ้นใจตอนที่เกี้ยวไปรับเจ้าสาวเดินทางออกจากจวนตระกูลจ้าวได้เพียงหนึ่งเค่อ (15นาที) เท่านั้น
“สวรรค์ ท่านกลั่นแกล้งฉันเกินไปแล้ว ชีวิตฉันกำลังไปได้ดี ทำไมเรื่องบ้าๆ ถึงได้เกิดกับฉัน” ซุนเหยานางพึมพำต่อว่าสวรรค์อยู่บนที่นอน
โดยไม่รู้เลยว่าซูเซวียนได้ยินว่านางหมดสติจึงคิดจะเข้ามาดูนาง จึงได้ยินสิ่งที่นางพูด
“หึ ท่านแม่คงเข้าใจผิดที่คิดว่าเจ้าพึงพอใจต่อข้ามาตั้งแต่เยาว์ การที่เจ้าต้องแต่งเข้าจวนตระกูลซูเป็นความผิดที่สวรรค์กลั่นแกล้งเจ้า เช่นนั้นข้าช่วยให้เจ้าได้สมหวัง”
ซุนเหยาลุกขึ้นนั่ง เมื่อได้ยินเสียงของคนที่เป็นสามีของเธอ ยืนพูดอยู่หน้าประตู
เธอคิดว่าเขาจะเดินเข้ามาด้านในแต่ไม่ใช่ เขาไม่ได้เข้ามาอย่างที่เธอคิด เธอจนล้มตัวลงนอนต่อ เพราะความทรงจำที่ไหลเข้าสมองของเธอ ยังทำให้สมองของเธอมึนงงไม่หาย
ซูเซวียนใบหน้าเคร่งเครียด เป็นเขาในตอนแรกที่พูดไม่ดีกับนาง จึงคิดว่าตนเองมีส่วนทำให้นางเป็นลมหมดสติไป แต่พอได้ยินคำตัดพ้อของนางเขาก็เกิดโทสะขึ้นมา
ถึงแม้จะรู้ว่าเรื่องการแต่งงานเป็นเรื่องที่บิดามารดาต้องจัดการให้ แต่บุรุษเช่นเขาที่เลือกทางเดินด้วยตนเองมาตั้งแต่เล็ก ย่อมไม่พอใจที่ต้องแต่งให้จ้าวซุนเหยา
ซูเซวียนเดินเข้าไปในห้องตำรา เขาเขียนจดหมายทิ้งไว้ให้จ้าวซุนเหยา พร้อมทั้งฝากพ่อบ้านไปให้นาง หลังจากที่เขาเดินทางไปชายแดนเหนือแล้ว
คืนนั้นซูเซวียนไม่ได้กลับมาที่ห้องหอ ซุนเหยานางก็ไม่คิดที่จะอยู่รอ เมื่อทานอาหารเสร็จนางก็ดับเทียนเข้านอนทันที
หลีซื่อเมื่อรู้ว่าบุตรชายเดินทางออกไปที่ชายแดนเหนือแล้ว ก็ถึงกลับเป็นลมหมดสติไป รุ่งเช้านางจึงรีบมาพบซุนเหยานางที่เรือนเพื่อจะปลอบใจนาง
“เหยาเออร์” นางเอ่ยเรียกลูกสะใภ้ เมื่อเข้าประตูเรือนมา
ซุนเหยานางหันไปมองก็เห็นเป็นสตรีวัยกลางคน รูปร่างอวบอิ่มในหน้าดูกังวล เมื่อเดินเข้ามาหานาง
“เจ้าคะ” นางคิดตกแล้ว เรื่องที่หลุดเข้ามาในมิติโบราณ จากความทรงจำเดิมของเจ้าของร่าง ช่วยนางได้มากทีเดียว ทั้งภาษา ตัวอักษรหรือศาสตร์ศิลป์ที่จ้าวซุนเหยาร่ำเรียนมาทั้งหมด
“ตระกูลซูทำให้เจ้าได้รับความอยุติธรรมแล้ว” หลีซื่อดึงมือของซุนเหยามาบีบไว้
นางจึงได้รู้ว่าแม่สามีของนาง รักนางจากใจจริง ซุนเหยาจึงยิ้มออกมาเพื่อให้นางคลายความกังวลลง
ดีเสียอีกที่เมื่อคืนนางไม่ต้องเข้าห้องหอ สามีของนางเป็นคนเช่นไรนางก็ไม่รู้ จากน้ำเสียงดูท่าจะไม่ค่อยพอใจกับการแต่งงานครั้งนี้เสียเท่าไหร่
หลีซื่อพูดคุยกับซุนเหยาอยู่นาน เมื่อเห็นว่าซุนเหยานางไม่ได้เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ จึงวางใจกลับเรือนของตนไป
ไม่นาน พ่อบ้านซูก็เดินเข้ามาพบซุนเหยา สายตาของเขาอดที่จะมองนางอย่างเห็นใจไม่ได้
“ฮูหยิน ท่านแม่ทัพซูฝากจดหมายไว้ให้ท่านขอรับ”
ซุนเหยาเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ นางยิ้มให้พ่อบ้านซูก่อนจะรับจดหมายมาถือไว้ในมือ
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
“มิได้ขอรับ เป็นหน้าที่ของข้าน้อย” พ่อบ้านซูสะดุ้งตกใจ ที่ได้ยินคำขอบคุณของซุนเหยา
เมื่อพ่อบ้านซูออกไปจากห้องแล้ว ซุนเหยาก็เปิดจดหมายออกดู นางขมวดคิ้วคิดอย่างไม่เข้าใจ
เพราะสิ่งที่พ่อบ้านส่งมาให้นางมีเพียงหนังสือหย่าที่ซูเซวียนทิ้งไว้ให้นาง
เมื่อนางอ่านจบก็ยิ้มออกมาอย่างยินดี เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว นอกจากสินเดิมที่นางนำติดตัวมาแล้ว ซูเซวียนยังยกทรัพย์สินในส่วนของเขาให้นางอีกครึ่งหนึ่งด้วย
ซุนเหยาจึงได้เร่งฝีเท้าออกจากเรือน เพื่อตามพ่อบ้านซูไป นางจะให้เขาส่งทรัพย์สินส่วนที่นางต้องได้มาให้ที่เรือน จะได้ขนออกไปทีเดียวเมื่อต้องออกจากจวนตระกูลซู
พ่อบ้านซูเมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกของซุนเหยาก็หยุดฝีเท้าลง
“ฮูหยินมีเรื่องอันใดให้ข้าน้อยรับใช้ขอรับ”
ซุนเหยานางเกาแก้มอย่างเขินอาย แม้ภพก่อนของนางจะมีสาวใช้อยู่ที่บ้าน แต่ก็ไม่ได้ต้องก้มหัว พูดจานอบน้อมเช่นนี้กับนาง นางจึงทำตัวไม่ถูก
นางจึงยื่นหนังสือหย่าของนางให้พ่อบ้านซู เพื่อให้เขาได้อ่านสิ่งที่เขียนไว้
“ฮูหยิน ท่านอย่าเพิ่งเสียใจขอรับ ประเดี๋ยวข้าน้อยจะไปพูดกับฮูหยินผู้เฒ่าเสียก่อนขอรับ”
ซุนเหยาเอ่ยรั้งพ่อบ้านซูไว้ไม่ทัน เมื่อเขาเหมือนจะรีบวิ่งไปที่เรือนของหลีซื่อ นางจำต้องเดินตามไป เพราะกลัวว่านางจะอดได้สมบัติของซูเซวียน

