นักเขียน
หนูแดง
4.0M
จำนวนคำ
21
นิยาย

นิยาย

Alien’s Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน2

223·หนูแดง

ผมไม่ได้ไปคลับเป็นครั้งแรก แต่ผมเจอกับเขาเป็นครั้งแรก เขาหล่อ... แต่สภาพเหมือนคนใกล้ตาย และผมก็เมา แต่มั่นใจว่าสติสัมปชัญญะยังครบถ้วน ผมช่วยพยุงเขา ทว่าเขากลับกระซิบบอกว่า... “ขอวางไข่หน่อย” วะ...วางไข่อะไรวะ!?

นิยายรักโรแมนติกจบแล้ว

สะบายดีจอมดื้อ

123·หนูแดง

นิยายรักจบแล้ว

Zombie Hunter จะรักไหมถ้าผมเป็นซอมบี้

126·หนูแดง

ไม่มีใครอยากให้มันเกิด แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วทุกคนก็ต้องหาทางเอาตัวรอด ไม่เว้นแม้แต่ ริชชี หนุ่มสุดซวยที่บังเอิญไปกินน้ำลายซอมบี้เข้าเขาจึงกลายเป็นซอมบี้ที่ไม่อาจจะเรียกว่าซอมบี้ได้เต็มปากเต็มคำเพราะเขายังมีความคิดและสติสัมปชัญญะครบถ้วนเหมือนคนปกติมิหนำซ้ำ การเป็นซอมบี้ไม่สมประกอบทำให้เขากลายเป็นเหยื่ออันโอชะของซอมบี้ตัวอื่นๆ อีก การเอาตัวรอดจากซอมบี้ด้วยกันว่ายากแล้วสวรรค์ยังส่ง นาวี สมาชิกหน่วยซอมบี้ฮันเตอร์มาตามประกบเขาทุกฝีก้าวด้วยเขาถูกเข้าใจผิดว่าเป็นซอมบี้ฮันเตอร์จากหน่วยอื่นที่รอดชีวิตอีก! สำหรับริชชีแล้ว การอยู่กับคนปกติระหว่างรอทางการคิดค้นยารักษาสำเร็จ ถือว่าดีกว่าอยู่กลางดงซอมบี้เป็นไหนๆ และมันจะดีมาก ถ้าหนุ่มไทยหน้าตายคนนั้นไม่หาโอกาสเป่าสมองเขาตลอดเวลาอย่างนี้!

นิยายรักจบแล้ว

แก้วอสุรา

172·หนูแดง

อารัมภบท เพราะคิดการใหญ่เกินตัว ชีวาจึงต้องถึงคราวบรรลัยด้วยมิอาจลุล่วงในหน้าที่... เมื่อมิอาจสำเร็จสิ้นและกุมชัยชนะในสงครามระหว่างแว่นแคว้นยักษา ราชกุมารแห่งแคว้นเวรุฬาอันเป็นองค์เชลยถูกนำตัวออกจากห้องคุมขังมายังลานประหารหลังจากถูกขังไว้เป็นเวลากว่าเจ็ดทิวาเจ็ดราตรี คราแรกเขาถูกจองจำในฐานะองค์ประกัน เหตุนั้นเป็นเพราะเจ้าแคว้นแห่งปรมะนครคิดว่ายักษ์หนุ่มเป็นถึงราชกุมาร ต่อให้นำทัพพลาดท่าเสียที ไม่ว่าอย่างไรก็คงจะมีทัพกษัตริย์ยกพลมาให้การช่วยเหลือ ทว่า...ช่างน่าผิดหวังนัก นอกจากจะไร้ซึ่งทัพใดๆ ยกพลมา กษัตริย์ยักษาแห่งแคว้นเวรุฬายังแสร้งทำลืมสิ้นว่าตนนั้นมีราชบุตรผู้นี้เป็นหน่อเนื้อเชื้อไข ในเมื่อการจับเป็นองค์ประกันเป็นการประวิงเวลาโดยเสียเปล่า กษัตริย์ปรมะนครอันเป็นแคว้นอริราชย์จึงไม่ใคร่ให้มีชีวิตอยู่ต่อเป็นหอกข้างแคร่ คำสั่งพิฆาตถูกบัญชาลงมา เมื่อนั้น...ยักษาหนุ่มจึงได้ถูกนำตัวออกจากที่คุมขัง ข้อมือและข้อเท้าถูกตีตรวนด้วยโซ่โลหะเส้นใหญ่ เสียงดังครูดไปตามพื้นทำลายความเงียบงันรอบข้างตั้งแต่บริเวณคุกเชลยจนถึงลานประหาร วิรัลย์ยักษาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตนจะมาจบสิ้นชีวิตอย่างน่าอดสูเช่นนี้ การขันอาสาพระราชบิดามาออกรบนั้นก็เพื่อหมายจะสร้างคุณงามความดีและทำให้พระราชบิดาตระหนักรู้ว่ายังมีเขาเป็นราชบุตรอยู่อีกผู้หนึ่ง เพราะตั้งแต่ที่เขาถือกำเนิดมา พระราชบิดาก็ไม่เคยเหลียวแล หลงลืมไปเสียสิ้นว่ายังมีเขาสืบเชื้อสายกษัตริย์อยู่ แต่ความทะเยอทะยานของเขานั้นช่างเกินตัว ต่อให้เคยออกรบทัพจับศึกกับเหล่าจอมทัพผู้เก่งกาจมามากมายนับครั้งไม่ถ้วนเพียงไร เขาก็รับผิดชอบหน้าที่เพียงกระผีกเดียว กล่าวได้ว่าแทบไม่เคยลงสนามรบเสียด้วยซ้ำ นอกจากจะวางกลอุบายการรบกับเหล่าอำมาตย์ในฐานที่มั่นเท่านั้น ผลที่เกิดขึ้นนี้ล้วนมาจากความทระนงตนของเขาทั้งสิ้น... เมื่อมาถึงยังหลักประหารที่อยู่ในลานกว้าง วิรัลย์ก็ถูกบังคับให้คุกเข่าลงต่อหน้ากษัตริย์แห่งปรมะนครที่ประทับอยู่บนพลับพลา ทอดพระเนตรรอเพชฌฆาตสังหารยักษ์ตรงหน้าเสียให้สิ้น ด้วยเป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ ต่อให้เป็นอริราชศัตรูก การประหารจึงมิอาจกระทำได้โดยการฟันคอให้ขาดในดาบเดียว ท่อนจันทน์[ ท่อนจันทน์ เป็นเครื่องมือประหาร เป็นไม้ค้อนขนาดใหญ่ที่มีปลายด้านหนึ่งใหญ่กว่าอีกด้าน รุปร่างคล้ายสากตำข้าว ทำจากไม้จันทน์หอม ใช้ทุบศีรษะเพื่อสำเร็จโทษเจ้านายเชื้อพระวงศ์ตามกฎมนเทียรบาล ด้วยมีความเชื่อว่าการประหารโดยตัดศีรษะให้ขาดนั้นเป็นการไม่ให้เกียรติ ดังนั้นการประหารเชื้อพรวงศ์ พระมเหสี พระสนมจะใช้ท่อนจันทน์ทุบศีรษะจนถึงแก่ความตายแทน]ถูกอัญเชิญมาเบื้องหน้า วิรัลย์ราชกุมารถูกปลดโซ่ตรวนและจับมัดมือไพล่หลัง ถุงผ้ากำมะหยี่สีแดงสดถูกนำมาคลุมศีรษะตลอดจนลำตัว โลหิตของเชื้อราชวงศ์มิอาจปล่อยให้ตกสู่พสุธา แต่นั่นจะสำคัญอย่างไรกัน ในเมื่อเพลานี้ จุดจบของเขาคือความตาย ก่อนเพชฌฆาตจะดึงทึ้งให้เขานอนลงไปบนเบาะขลิบดิ้นทอง ดวงตาคมเหลือบมองไปยังเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย ไร้ซึ่งการวิงวอนขอชีวิต วิรัลย์รู้ดีว่าการถูกประหารด้วยท่อนจันทน์นั้นนับว่าเป็นการให้เกียรติอย่างสูงสุดของกษัตริย์แห่งปรมะนครแล้ว อีกทั้งการขอชีวิตตนนั้นเป็นการเสื่อมเสียเกียรติยิ่ง แม้ตัวต้องตาย แต่เขาก็จะไม่เอื้อนเอ่ยคำใดออกมาเพื่อประวิงเวลาให้ตนได้มีลมหายใจ วิรัลย์สูดลมหายใจเข้าเสียเฮือกใหญ่ราวกับจะดื่มด่ำกับการมีชีวิตอยู่เป็นครั้งสุดท้าย พลันปิดเปลือกตาลง น้อมรับความตายที่ถูกมอบให้โดยศิโรราบ หมดสิ้นแล้วซึ่งชีวี แต่มอดม้วยไปเสียก็ดี ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็เป็นเพียงราชกุมารที่ไม่มีผู้ใดต้องการ... เขารำพึงในใจ ปล่อยวางทั้งหมดและปล่อยให้ทุกสิ่งดำเนินไปตามชะตากรรม 【 ท่อนจันทน์ เป็นเครื่องมือประหาร เป็นไม้ค้อนขนาดใหญ่ที่มีปลายด้านหนึ่งใหญ่กว่าอีกด้าน รุปร่างคล้ายสากตำข้าว ทำจากไม้จันทน์หอม ใช้ทุบศีรษะเพื่อสำเร็จโทษเจ้านายเชื้อพระวงศ์ตามกฎมนเทียรบาล ด้วยมีความเชื่อว่าการประหารโดยตัดศีรษะให้ขาดนั้นเป็นการไม่ให้เกียรติ ดังนั้นการประหารเชื้อพรวงศ์ พระมเหสี พระสนมจะใช้ท่อนจันทน์ทุบศีรษะจนถึงแก่ความตายแทน】หากแต่ยังไม่ทันที่เพชฌฆาตจะได้เหวี่ยงท่อนจันทน์ลงมายังศีรษะ พลันก็ได้ยินเสียงแหบห้าวดังเข้ามาในโสตอย่างไม่ทันตั้งตัว “เสด็จอา... กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูล” เสียงนั้นหยุดทุกการกระทำ ขณะที่กษัตริย์แห่งปรมะนครเหลือบพระเนตรมองคนตรงหน้า พยักพระพักตร์เล็กน้อยให้อีกฝ่ายได้กล่าวต่อ เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาต คนขัดเหตุการณ์ก็เปล่งวาจาออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “กระหม่อมใคร่จะทูลขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ราชกุมารแห่งเวรุฬาพ่ะย่ะค่ะ”

นิยายรักจบแล้ว

ร้อยใจเจ้าสำนัก

354·หนูแดง

“เจ้ามันเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริง! หากแค้นมากนัก ไยไม่ฆ่าข้าแล้วตัดหัวส่งไปที่สำนักเสียเลยเล่า!” เสียงถ้วยกระเบื้องเคลือบกระทบพื้นแตกดังลั่น ร่างใหญ่ของชายหนุ่มกระโดดหนีถ้วยที่ถูกขว้างออกมานอกกระท่อม ทำเอาวงล้อมด้านนอกแตกฮือไปคนละทิศละทาง ก่อนจะชี้นิ้วไปยังตัวต้นเหตุ ตวาดกลับอย่างเอาเรื่อง “ก็จริงหรือไม่เล่า หากไม่เป็นเพราะเจ้า ชีวิตข้าคงหาได้ตกระกำลำบากเช่นนี้ไม่! ฮึ! โง่เง่าเสียจริงที่ต้องมาจมปลักกับเด็กไม่รู้โตเช่นเจ้า!” “เจ้าหุบปากไปเลย! แล้วใครกันเล่าที่คะยั้นคะยอให้ตามมากันเล่า!” “แล้วใครให้เจ้าหูเบาตามข้ามาเล่าเด็กโง่!” “ฮึ่ย! อวี๋ว์เจิ้งเหอ! หากข้าไม่ได้ฆ่าเจ้าวันนี้ ข้าคงตายตาไม่หลับแน่!” เสียงคู่กรณีดังสวนอีกระลอก พร้อมกับการปรากฏตัวของเด็กหนุ่มในสภาพผมเผ้ารุงรัง เหงื่อกาฬไหลอาบท่วมตัวให้คนโดยรอบรู้ว่าการวิวาทครั้งนี้คงหนักหนาเอาการ ในมือเล็กถือถ้วยกระเบื้องแบบเดียวกับที่ขว้างแตกก่อนหน้า พลางง้างหมายจะขว้างใส่คนตรงหน้าอีกรอบ

นิยายรักโรแมนติกจบแล้ว

รักสุดเฮี้ยบผู้จัดการจัดให้!

151·หนูแดง

บทนำ ‘ฉาวอีก! นักร้องหนุ่มมาดแบดบอยเมาวิวาทกุ๊ยข้างถนน ฉาวอีกครั้ง ลีแทจิน หรือ ไลเกอร์ นักร้องหนุ่มชื่อดัง อดีตเมมเบอร์วงบอยแบนด์ Animalz เมาทะเลาะวิวาทครั้งที่สองในรอบเดือน แถมทำกร่างประกาศตัวเป็นซูเปอร์สตาร์ดัง เย้ยท้าให้ตำรวจให้มาจับอย่างไม่กลัวเกรง [อ่านต่อหน้า 14]…’ “บัดซบชะมัด!” แค่อ่านเพียงพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ซุบซิบดาราชื่อดัง ‘คิมแฮซู’ ประธานใหญ่ของบริษัทค่ายเพลงยักษ์อย่าง Cool-Korea Entertainment ก็ไม่ใคร่จะอ่านเนื้อหาข้างในต่อ ขว้างหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะเต็มแรงหลังจากที่ผู้จัดการส่วนตัวของนักร้องเจ้าปัญหาคนนี้เอามาให้อ่าน “ไอ้หมอนั่นมันจะก่อเรื่องอีกเท่าไหร่มันถึงจะพอใจกันฮะ!” เขาแผดเสียงดังอย่างหัวเสีย ไม่รู้ว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่ ‘ลีแทจิน’ หรือ ‘ไลเกอร์’ นักร้องหนุ่มชื่อดังสร้างปัญหามาให้เขาตามแก้ สำหรับเดือนนี้มันเพิ่งจะเป็นครั้งที่สอง แต่ถ้านับรวมของเดือนก่อนๆ เขาค่อนข้างมั่นใจว่ามันมากกว่าสามสิบครั้งแน่ๆ ประธานใหญ่ไม่อาจรู้แน่ชัดได้เลยว่าเมื่อไหร่ที่ลีแทจินเริ่มทำตัวมีปัญหา แต่รู้สึกว่าเขาเริ่มทำตัวแย่ลงทุกวันหลังจากที่มีปัญหาทะเลาะวิวาทกับสมาชิกคนอื่นๆ ในวง Animalz จนถึงขั้นลงไม้ลงมือและจบลงด้วยการแยกวง แน่นอนว่าไม่มีใครได้สานต่อในวงการอีก ยกเว้นลีแทจินที่ดันได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องเพราะมาดแบดบอยของเขาดันไปถูกใจบรรดาแฟนเกิร์ลที่ให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะไม่มีวงให้อยู่เหมือนเดิมแล้วก็ตาม ทำให้เขาได้รับการเดบิวท์[เดบิวท์ (debut) มีความหมายว่าการเปิดตัวครั้งแรก เช่น การปล่อยเพลงแรกของนักร้อง อาจจะเรียกว่าการเดบิวท์ก็ได้]ใหม่ เปลี่ยนจาก ‘ไลเกอร์แห่งวง Animalz’ เหลือเพียง ‘ไลเกอร์’ ในฐานะศิลปินเดี่ยวแทน และเขาก็ประสบความสำเร็จยิ่งกว่าตอนที่อยู่ในวงเสียอีก แต่ถึงจะเป็นศิลปินที่ทำรายได้มหาศาลให้กับบริษัทก็ไม่ได้อยากทำให้คิมแฮซูอยากจะเก็บเขาไว้สักนิด ถ้าบริษัทไม่อยู่ในภาวะคู่แข่งรอบด้านและลีแทจินไม่ได้เป็นแหล่งเรียกทรัพย์ของบริษัทอย่างนี้ เขาคงไม่รีรอที่จะปลดนักร้องมากปัญหาคนนี้ออกจากสารบบแน่นอน “แล้วนี่มันอยู่ไหน รู้หรือยังว่าถูกจับไปขึ้นข่าวหน้าหนึ่งน่ะ” คิมแฮซูแผดเสียงขึ้นอีกครั้ง ผู้จัดการส่วนตัวของลีแทจินซึ่งเป็นชายวัยกลางคนส่ายหน้าแทนคำตอบ “มันยังไม่รู้?” คิมแฮซูเลิกคิ้วสูง “คิดว่ายังไม่ทราบครับ” อีกฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เหลือบตามองคนตรงหน้าอย่างหวาดๆ “เอ้า มันยังไม่รู้แล้วทำไมไม่โทรไปบอกมันเล่า! รีบโทรไปเดี๋ยวนี้เลย แล้วเรียกให้มันเข้ามาหาฉันด้วย” “ทะ...โทรแล้วครับ แต่แทจินปิดเครื่อง...” “อะไรนะ! แล้วทำไมไม่มีใครไปตามมันล่ะโว้ย!” คราวนี้คิมแฮซูถึงกับเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ทุบโต๊ะดังปังจนคนตรงหน้าสะดุ้งยกใหญ่ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้นวมตัวใหญ่อย่างแรง “ทำงานกันไม่ได้เรื่องเลย!” เขาตวาด ไม่รู้ทำไมใครๆ ก็ทำอะไรไม่ถูกใจเขาไปเสียหมด ในเวลาที่เขาหัวเสียอย่างนี้ ปกติแล้วจะไม่ค่อยมีใครอยากเข้าไปยุ่งกับเขาสักเท่าไหร่ด้วยเกรงว่าจะถูกพาลให้โดนไล่ออกเอาดื้อๆ ทว่าสำหรับผู้จัดการส่วนตัวของลีแทจินแล้ว ถึงจะถูกไล่ออก เขาก็ไม่แคร์อีกต่อไป รวบรวมความกล้าพูดแทรกขึ้นมา เรียกความสนใจของคิมแฮซูไปยังเขา “ท่านประธานครับ” “อะไร!” น้ำเสียงห้วนๆ นั้นทำให้คนเรียกสะดุ้งเล็กน้อย “เอ่อ...คือผม...” พูดไม่จบประโยค มือก็ยื่นซองจดหมายสีขาวไปตรงหน้าแล้ว คิมแฮซูย่นคิ้วเล็กน้อย เขาพอจะเดาออกว่ามันคือซองจดหมายอะไรเพราะเขาเห็นมานักต่อนักแล้ว และพอเปิดดูก็ใช่อย่างที่คิดไม่มีผิดเพี้ยน “ผมขอลาออกครับ” ทันทีที่จดหมายด้านในปรากฏสู่สายตาผู้เป็นนาย ชายคนนั้นก็กลั้นใจเปิดปากออกมา ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากหนาของประธานใหญ่ นอกเสียจากลมหายใจยาวเท่านั้น ก่อนที่อารมณ์โมโหเมื่อครู่นี้จะอันตรธานหายเป็นปลิดทิ้งด้วยเขารู้ว่าเวลานี้ควรจะแคร์คนตรงหน้ามากกว่าอารมณ์คุกรุ่นของตัวเอง “ผมรู้ว่าคุณหนักใจที่ต้องคอยตามเก็บกวาดไอ้เด็กนั่นนะผู้จัดการควอน แต่ผมขอร้องล่ะ ช่วยอยู่ดูแลมันอีกสักพักจะได้มั้ย คุณก็รู้นี่ว่าการหาผู้จัดการส่วนตัวให้แทจินเนี่ยมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นะ กว่าผมจะได้คุณมา จำได้มั้ยว่าผมต้องตามตื๊อคุณตั้งกี่เดือนกว่าคุณจะยอมตกลง” ผู้จัดการควอนพยักหน้ารับ “ผมเข้าใจดีครับว่ามันยากแค่ไหน ก็แทจินเล่นไปแผลงฤทธิ์ซะจนรู้กันทั่ววงการขนาดนั้น ก็ไม่มีผู้จัดการคนไหนอยากเสี่ยงมารับงานนี้หรอกครับ ขนาดผมที่ว่าอึดๆ เจอสารพัดดารานักร้องมากเรื่องมาก็เยอะแล้ว เจอหมอนั่นเข้าไปยังต้องยอมเลย มองหน้าผมก็น่าจะรู้นะครับว่าเมื่อคืนนี้มันเลวร้ายขนาดไหน” ว่าพลางชี้นิ้วไปที่รอยช้ำบริเวณรอบดวงตาข้างขวาของตัวเอง ไม่ต้องบอก คิมแฮซูก็รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อคืนมันแย่ขนาดไหน คงหนีไม่พ้นผู้จัดการควอนเข้าไปห้ามแล้วโดนลูกหลงมา ไม่ก็ลีแทจินตั้งใจประเคนหมัดให้เต็มๆ แน่ แต่นี่ถือว่าเบาแล้วนะ ผู้จัดการคนเก่าถูกฤทธิเดชของนักร้องหนุ่มถึงขนาดต้องหามส่งโรงพยาบาลเลยทีเดียว สำหรับผู้จัดการควอนแล้ว เขาคงคิดว่าขืนอยู่ดูแลลีแทจินต่อไป เขาคงเป็นรายถัดไปที่ถูกส่งเข้าโรงพยาบาลแน่ๆ ถึงได้ชิงลาออกก่อน คิมแฮซูก็เหนื่อยเหลือเกินกับการง้อให้ผู้จัดการส่วนตัวของนักร้องคนนี้อยู่ต่อในทุกๆ ครั้งที่มีการขอลาออก ในครั้งนี้เขาจึงได้แต่พยักหน้ารับการตัดสินใจของคนตรงหน้าโดยไม่ขัดอะไร แต่จะให้ไปง่ายๆ ก็กระไรอยู่ มันต้องมีข้อแลกเปลี่ยนกันหน่อย “ก็นะ ถ้าคุณอยากจะออก ผมก็ไม่ว่า แต่ผมมีข้อแม้อยู่อย่างนึงคือคุณต้องหาผู้จัดการคนใหม่มาแทนก่อนที่คุณจะออกให้ได้เสียก่อน ผมถึงจะยอมยกเลิกสัญญาจ้างของคุณให้” “โธ่ ประธานคิมครับ ผมจะไปหาที่ไหนมาให้กันล่ะ” ผู้จัดการควอนโอดครวญราวกับโลกจะแตกเพราะในวงการผู้จัดการนักร้องดารา ไม่มีใครแล้วที่ยอมมาดูแลลีแทจินถึงจะได้รับค่าจ้างมหาศาลแค่ไหนก็ตาม เพราะเอาเข้าจริงๆ แล้ว เม็ดเงินที่ได้นั้นมันไม่คุ้มเลยกับการต้องไปตามล้างตามเช็ดวีรกรรมของชายหนุ่มด้วยเงินของตัวเองที่จะถูกหักทุกครั้งเมื่อลีแทจินไปก่อเรื่องและต้องชดใช้ค่าเสียหาย และจะไม่คุ้มยิ่งกว่าหากต้องใช้เงินนั้นในการรักษาพยาบาลตัวเองด้วย “ไม่ต้องห่วง ผมเตรียมคนที่ผมอยากได้มาแล้ว คุณมีหน้าที่แค่ไปทาบทามเขามาให้ได้ก็พอ” คิมแฮซูหยักยิ้มเล็กน้อยก่อนหยิบรูปถ่ายของใครบางคนออกมาจากลิ้นชักโต๊ะแล้วโยนไปข้างหน้า ผู้จัดการควอนเข้ามาหยิบรูปถ่ายนั้นขึ้นมาดูแล้วก็ต้องเบิกตาโพลงทันทีที่เห็นว่าคนที่คิมแฮซูต้องการจ้างต่อจากเขานั้นคือใคร “นี่มัน... งานยักษ์เลยนะครับ ผู้จัดการชื่อดังอย่างนั้นเขาคงไม่มาให้หรอก” “แต่ถ้าไอ้เด็กนั่นได้ผู้จัดการจอมเฮี้ยบคนนี้มาช่วย ผมมั่นใจได้เลยว่าพฤติกรรมแย่ๆ ของมันต้องถูกกำราบหมดแน่ และคุณก็ต้องทำให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ สัญญาจ้างของคุณก็จะไม่ถูกยกเลิก และถ้าคุณแกล้งหายไปเฉยๆ คุณก็จะต้องเสียค่าเสียหายให้ทางบริษัทตามที่ได้ระบุไว้ในสัญญา จำได้มั้ย” คิมแฮซูเล่นลิ้น ผู้จัดการควอนเพิ่งจะรู้สึกตัวก็ตอนนี้ว่าตัวเองถูกประธานใหญ่ใช้เล่ห์กลเข้าให้แล้ว เขาทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่มีทางเลือกใดๆ ให้เลยสักนิด นอกจากทางเดียวเท่านั้นที่ทำให้เขาหลุดพ้นจากวงโคจรอุบาทว์นี้ได้ “ก็ได้ครับ ผมจะลองติดต่อให้” สุดท้าย เขาก็ต้องยอมรับข้อเสนออย่างจำนน “ดี” คิมแฮซูว่าสั้นๆ พลางแสยะยิ้มส่งท้าย ก่อนที่จะโบกมือไล่ให้ว่าที่อดีตผู้จัดการส่วนตัวของลีแทจินออกไป ทว่าทันทีที่ประตูห้องถูกเปิดออก เขาก็เรียกผู้จัดการควอนขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าของผู้จัดการควอนมีเครื่องหมายคำถามปรากฏขึ้นมาพลัน ก่อนที่เสียงสุดท้ายของประธานใหญ่จะดังขึ้นและประตูจะถูกปิดลงอีกครั้ง “บอกเขาว่าถ้าเขาทำให้ไอ้เสือกลายพันธุ์นั่นเป็นลูกแมวเชื่องๆ ได้ ผมจ่ายค่าเสียเวลาไม่อั้น” [เดบิวท์ (debut) มีความหมายว่าการเปิดตัวครั้งแรก เช่น การปล่อยเพลงแรกของนักร้อง อาจจะเรียกว่าการเดบิวท์ก็ได้]

นิยายรักโรแมนติกจบแล้ว

อรุณรักษ์

112·หนูแดง

บทนำ บ้านเดี่ยวในหมู่บ้านจัดสรรราคาไม่ต่ำกว่าเจ็ดหลักย่านปทุมธานี ‘กลิ่นหอม’ หญิงสาวที่ใช้ชีวิตแบบฟรีแลนซ์ที่เรียกว่านักเขียนมาตั้งแต่เรียนจบไม่คิดไม่ฝันว่าเงินยาไส้อันน้อยนิดแต่ละเดือนของเธอจะสามารถกู้เงินซื้อบ้านหลังนี้ได้ ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะความพยายามและความตั้งใจ ตอนนี้เธอถึงได้มายืนจังก้าอ้าแขน ประกาศกร้าวว่า... “มีบ้านเป็นของตัวเองแล้วโว้ย!” เสียงนั้นดังพอที่ข้างบ้านจะได้ยิน ทำเอาเพื่อนสนิทชายแต่หัวใจสาวน้อยต้องรีบเปิดกระจกรถซึ่งจอดอยู่บริเวณหน้าบ้านมาร้องบอก “ดีใจอะไรของแกหนักหนานังหอม ก็แค่ซื้อบ้านได้” “เออ ฉันไม่ได้รวยเหมือนแกนี่ ถ้ารวยเหมือนแก พ่อแม่มีมรดกให้ คำว่า ‘ก็แค่ซื้อบ้านได้’ ฉันก็ไม่พูดหรอกย่ะนังมนตรี” กลิ่นหอมยอกย้อนไม่จริงจังนัก ส่วนมนตรีก็ได้แต่ถอนหายใจพรืดที่ถูกเรียกด้วยชื่อจริง “เรียกฉันมนตรีอีกที ฉันจะฟาดปากแกด้วยกระเป๋าเสื้อผ้านี่แหละ อุตส่าห์มานอนเอาฤกษ์เอาชัยที่บ้านใหม่เป็นเพื่อนแท้ๆ โปรดสัตว์ได้บาปจริงๆ” พูดพลางทำท่าจะลงจากรถไปเอากระเป๋าเสื้อผ้าที่อยู่กระโปรงท้ายรถมาฟาดหน้าเพื่อนสาวจริงๆ หากแต่กลิ่นหอมกลับหัวเราะคิกคัก ชอบเหลือเกินที่ได้หยอกเย้าเพื่อนให้หัวเสียแบบนี้ “ฉันก็แค่ล้อแกเล่นเอง” “เออ ล้อเล่นให้ฉันด่า” “ใช่ แกด่าตลกอะ เลยชอบให้ด่า” “ฉันว่าแกต้องเป็นโรคแน่ๆ ยัยหอม ว่างๆ ไปหาหมอ ตรวจสุขภาพจิตบ้างนะ” มนตรีบ่นพึมพำไปเรื่อย กระนั้นก็ทำหน้าที่ของตนตามที่กลิ่นหอมขอร้องเมื่อหลายวันก่อนว่าให้มานอนเป็นเพื่อนในวันเข้าบ้านวันแรก เพราะเธอยังไม่คุ้นชินกับบ้านหลังใหม่ ในฐานะเพื่อนที่ดี มนตรีจึงตกปากรับคำโดยไม่คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้ชักจะคิดผิดแล้วที่ยอมรับคำ เพราะแทนที่จะได้มานอนอย่างอารมณ์ดี กลับโดนเพื่อนสาวขี้แกล้งหยอกเย้าจนหน้าบูดบึ้งเสียนี่ ทว่าก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากบ่นพึมพำเรื่อยเปื่อย พลันลงจากรถไปคว้าเอากระเป๋าเสื้อผ้าใบขนาดย่อมของทั้งคู่เข้ามาในตัวบ้าน กลิ่นหอมกวาดตามองไปรอบๆ ห้องรับแขกขนาดเล็กที่มีเฟอร์นิเจอร์บางส่วนมาลงและตกแต่งแล้ว และวันนี้ที่เธอตัดสินใจมานอนก็เพราะเธอเชื่อว่าวันนี้เป็นวันฤกษ์ดีนั่นเอง จะไม่ให้ดีได้อย่างไรล่ะ เธอดูปฏิทินมา บอกว่าเป็นวันมงคลก็เท่ากับว่าเป็นวันมงคลอย่างแน่นอน “แล้วจะเอายังไง คืนนี้นอนโซฟา?” มนตรีถามเมื่อเอาข้าวของเข้ามาเก็บในบ้านเป็นที่เรียบร้อย พลันกวาดตามองไปยังโซฟาทรงตัวแอลซึ่งตั้งอยู่กลางห้องนั่งเล่น ขณะที่กลิ่นหอมพยักหน้า “อือ สั่งเตียงไปแล้วแต่ยังไม่มาส่ง คืนนี้แกกับฉันนอนกันบนโซฟานี่แหละ” “จะให้ฉันนอนใกล้ๆ กับแกว่างั้น?” “หรือแกจะนอนบนพื้นก็ได้ ไม่มีปัญหา” มนตรีถอนหายใจออกมาเต็มแรงกับท่าทางไม่ยี่หระของหญิงสาว สุดท้ายก็อดปากสอนออกไปไม่ได้ “ฟังนะยัยหอม ประเด็นที่ฉันถามมันไม่ได้เกี่ยวกับที่ว่านอนโซฟาหรืออะไร ปัญหาก็คือแกเป็นผู้หญิง แล้วฉันก็เป็นผู้ชาย มานอนด้วยกันแบบนี้มันไม่เวิร์กมั้ง” “ไม่เวิร์กยังไง แกเป็นเพื่อนสนิทฉันนี่ สนิทมาตั้งแต่ตอนเรียนมหา’ลัยด้วย เมื่อก่อนก็นอนด้วยกันออกจะบ่อย” กลิ่นหอมพูดไปตามตรง นึกคิดสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เธอกับมนตรีและเพื่อนคนอื่นๆ ก็มักมานอนรวมกันที่ห้องพักของเพื่อนคนใดคนหนึ่งเป็นประจำ ทว่าสำหรับมนตรีในตอนนี้แล้ว การกระทำแบบนี้มันไม่ถูกต้อง ไม่สมควรสักเท่าไรนัก “แกอย่าไว้ใจใครมากเลยไอ้หอม โดยเฉพาะพวกผู้ชาย เพื่อนนี่แหละตัวดีเลย ดีนะที่ฉันไม่ได้ชอบผู้หญิง ไม่อย่างนั้นได้แกเป็นเมียไปแล้ว” พูดมาอย่างนี้ ทำไมกลิ่นหอมจะไม่เข้าใจ เธอไม่ได้โง่จนหัวทึบ แค่มนตรีเปิดปาก เธอก็เข้าใจตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ว่าเธอไม่มีเพื่อนสนิทคนไหนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจเท่ากับมนตรี เลยทำให้อดไม่ได้ที่จะทำหูทวนลม อีกอย่าง เธอมั่นใจว่าผู้ชาย...หัวใจสีชมพูอย่างมนตรีคงไม่ทำอะไรเธอแน่ ไม่มีวัน...ไม่มีทางทำอะไรล่วงเกินเธออย่างแน่นอน เพราะมนตรีก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน ถึงขนาดออกปากต่อท้าย “และต่อให้ฉันชอบผู้หญิง ฉันก็ไม่เอาแกมาทำเมียหรอก รู้เช่นเห็นชาติกันแบบนี้ คิดว่าต้องเป็นผัวเมียกับแกแล้วก็ขยะแขยง” สิ้นคำพูด กลิ่นหอมก็หัวเราะร่วน ไม่ยี่หระกับคำพูดของเพื่อนตัวเองเลยสักนิด ราวกับว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นสิ่งที่มนตรีพูดเป็นประจำอยู่แล้ว “จ้า รู้แล้วจ้า แล้วนี่แกจะนอนตรงไหน ตรงฝั่งนั้นไหม มันยาว แกจะได้เหยียดขาได้ เดี๋ยวฉันนอนตรงนี้เอง” และก่อนที่มนตรีจะได้บ่นต่อ จู่ๆ หญิงสาวก็เปลี่ยนเรื่อง ชี้นิ้วไปที่ส่วนที่เป็นตัวแอลของโซฟา มนตรีมองตามแล้วปฏิเสธลั่น “ไม่เอาอะ มันหันเท้าออกนอกบ้าน ฉันถือว่าเวลานอนไม่ควรเอาเท้าออกประตูนอกบ้าน” “โอเค งั้นฉันไปนอนตรงนั้นแทน” เรื่องที่นอนไม่มีปัญหา กลิ่นหอมนอนตรงไหนก็ได้ เธอถือว่าบ้านหลังนี้เป็นของเธอแล้ว เรื่องสำคัญต่อหลังจากนั้นคือเรื่องของกินต่างหาก พอตกลงเรื่องที่นอนกันได้แล้ว กลิ่นหอมก็ชักชวนให้มนตรีไปขับรถตะลอนหาร้านอาหารอร่อยๆ ในละแวกบ้านกิน เพื่อจะได้รู้สำรวจบริเวณใกล้เคียงหมู่บ้านด้วย มนตรีรับคำอย่างรวดเร็ว ก่อนทั้งคู่จะพากันขึ้นรถและขับออกไป กว่าจะกลับถึงบ้านก็ค่ำมืด ทั้งคู่เหนื่อยอ่อนกับการทำกิจกรรมในวันนี้ทั้งวัน เพราะนอกจากขับรถไปตระเวนหาของกินแล้ว ทั้งคู่ยังไปแวะเวียนร้านขายต้นไม้และอุปกรณ์ทำสวนสำหรับตกแต่งสวนในวันข้างหน้าอีกด้วย กว่าจะถึงบ้านก็หมดแรง แต่ฝีปากของมนตรีนั้นไม่หยุด ขนของจากกระโปรงท้ายรถที่กลิ่นหอมขนซื้อมาลงไปกองไว้ที่สวนหน้าบ้านได้ ปากก็เริ่มทำงานทันที “แกจะรีบซื้ออะไรมาเยอะแยะหนักหนา ทำอย่างกับว่าจะทำวันพรุ่งนี้มะรืนนี้อย่างนั้นแหละ” “เอาเถอะน่า ซื้อไว้ก่อน จะได้อุ่นใจ แล้วนี่แกจะอาบน้ำเลยไหม” “ฉันก็ต้องนั่งพักก่อนสิยะ ถามมาได้ หายใจหอบเป็นหมาหอบแดดขนาดนี้ จะเอาอารมณ์ไหนไปอาบน้ำ” กลิ่นหอมยักไหล่ ไม่ยี่หระกับคำพูดของเพื่อน พลันปล่อยให้เพื่อนได้นั่งเล่นอยู่ในสวนให้หายเหนื่อย “งั้นฉันไปอาบก่อนแล้วกัน หายเหนื่อยแล้วก็เข้าบ้าน ยุงเยอะ” “ฉันจะเข้าเดี๋ยวเข้าเอง โทรศัพท์กับเด็กก่อน” ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าหมายถึงแฟนของมนตรีที่เป็นผู้ชายด้วยกัน กลิ่นหอมไม่สนใจเรื่องส่วนตัวของเพื่อนหรอก กับแฟนของมนตรีก็เคยเจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง ทั้งอายุมากกว่า อีกทั้งยังเป็นคนไม่ค่อยพูด ใครจะไปกล้าคุยมาก จะมีก็แต่มนตรีนี่แหละที่เรียกแฟนตัวเองที่อายุมากกว่าว่าเป็นเด็กตามระดับความสนิทสนม “ก็ตามนั้น ฉันไปอาบน้ำเข้านอนก่อนแล้วกัน แกเข้าบ้านแล้วล็อกประตูด้วยนะ” มนตรีไม่สนใจแล้วเพราะปลายสายที่โทรออกเมื่อครู่นี้ตอบรับ หากแต่พอเห็นร่างบางของหญิงสาวผลุบเข้าไปในบ้าน เขาก็นึกอะไรออก “เฮ้ย ไอ้หอม แกอย่าลืมไหว้...” แกร๊ก... ประตูปิดไปแล้ว กลิ่นหอมไม่ทันได้ยินหรือสนใจเพราะอ่อนล้ามาทั้งวัน มนตรีเองก็ไม่ได้ห้ามอะไร กะว่าไว้คุยโทรศัพท์เสร็จจะเข้าไปบอกอีกที ผ่านไปร่วมชั่วโมง มนตรีเดินเข้ามาในบ้าน ที่ตั้งใจจะบอกก็ไม่ได้บอกเสียแล้ว เพราะทันทีที่เข้ามาก็พบว่าเจ้าของร่างบางจองที่นอนบนโซฟาตำแหน่งที่ตกลงกันแล้วเป็นที่เรียบร้อย มิหนำซ้ำยังกรนคร่อกออกมาให้รู้ว่าหลับลึกไปแล้วอีก “จะบอกให้ไหว้เจ้าที่สักหน่อย หลับซะงั้น” มนตรีได้แต่บ่นพึมพำ แต่ก็ไม่ได้ปลุกอะไร นอกเสียจากไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วเตรียมเข้านอนเช่นกัน หากทว่าไม่รู้เลยว่าขณะที่เขาทำกิจกรรมส่วนตัวอยู่นั้น มีสายตาของใครบางคนจับจ้องอย่างนิ่งสงบ ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ เล็ดลอดออกจากริมฝีปากของใครคนนั้น มีเพียงการเดินช้าๆ ตรงมาหามนตรีที่กำลังจะล้มตัวลงนอน และทันทีที่มนตรีเอนตัวลงนอน ไม่ทันจะได้หลับสนิทก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมาทาบทับบนตัวไว้ พอพยายามพลิกกายก็ไม่สามารถทำได้ วินาทีนั้นเองที่สมองเริ่มสั่งการ ผีอำ! มนตรีรู้ดีว่ามีคำอธิบายอาการนี้ทางวิทยาศาสตร์ เลยพยายามบอกกับตัวเองว่ามันเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ในระหว่างที่กำลังเคลิ้มหลับ หรือไม่อย่างนั้นก็เป็นเพราะตัวเองเหนื่อยมากกว่าปกติถึงได้รู้สึกแบบนี้ หากแต่เมื่อเขาพยายามจะพลิกตัวอยู่หลายต่อหลายครั้ง ร่างกายก็แข็งนิ่งขยับไม่ได้ พานทำให้อดคิดไม่ได้ว่าสิ่งที่เชื่อว่ามีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ ตอนนี้มันอาจอธิบายได้ด้วยไสยศาสตร์มากกว่า สิ่งเดียวที่ทำได้คือการนอนนิ่งๆ บทสวดใดๆ ที่รู้จักทั้งชีวิตถูกเอามาสวดทั้งหมด ทว่าก็ไร้ผล ส่งผลให้เขาดิ้นรนอยู่ในสภาวะถูกผีอำอย่างนั้น กระทั่งผล็อยหลับไปเองด้วยความเหนื่อยอ่อน พลิกตัวก็ไม่ได้ สู้อะไรก็ไม่ได้ สวดไล่ก็ไม่ไป นอนมันเสียเลยแล้วกัน! ให้ตายเถอะ ไม่ทันไรก็เจอดีเสียแล้ว!

นิยายรักโรแมนติกจบแล้ว

จรกาคนงาม

455·หนูแดง

รูปก็ชั่ว นามก็ไม่เพราะ อีกทั้งเป็นเพียงเจ้าเมืองเล็กๆ ศักดินาต้อยต่ำ จึงต้องสูญเสียนางอันเป็นที่รักไปให้กับศัตรูหัวใจ มิหนำซ้ำยังถูกตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวร้าย’ อีก ‘จรกา’ ผูกใจเจ็บมาตั้งแต่ชาติก่อน เมื่อเกิดใหม่ในชาตินี้เป็น ‘จิระ’ หนุ่มน้อยรูปงาม นามเพราะ เสน่ห์เหลือร้าย เขาจึงได้รับพรให้ระลึกถึงผู้เป็นที่รักในอดีตได้เพื่อครองคู่กับนางบุษบาในชาตินี้ แต่ทว่า...ดูเหมือนสวรรค์จะไม่เมตตาเขาถึงที่สุดสักเท่าไร เพราะนอกจากจะส่งเขากับบุษบามาเกิดแล้ว ยังส่งเจ้าตัวร้ายอย่าง ‘อิเหนา’ มาในคราบเดือนมหาวิทยาลัยอย่าง ‘อินทรา’ ด้วย จะจองเวรจองกรรมกันมากเกินไปแล้ว! ไม่รู้ล่ะ ไม่ว่ายังไงชาตินี้เขาก็ต้องได้ครองนางบุษบาให้จงได้!

นิยายรักโรแมนติกจบแล้ว

Like Daddy, Like Baby แด๊ดดี้ครับ...

448·หนูแดง

การเสียชีวิตของมารดาอย่างกะทันหันทำให้ชีวิตของเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีอย่าง ‘กานต์’ เปลี่ยนไปราวกับหน้ามือหลังมือ ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาต้องอึ้งงันจนพูดไม่ออก นอกจากเรื่องการจากไปของมารดาแล้ว ก็คือเรื่องที่เขามี ‘พ่อเลี้ยง’ โดยที่ตนไม่เคยรู้มาก่อน ‘ออสติน สเวน’ นักธุรกิจชาวอเมริกันก้าวเข้ามาในชีวิตของเขา พร้อมกับข้อเสนอเพื่อให้เขาได้ศึกษาต่อจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ เด็กหนุ่มที่สิ้นไร้ไม้ตอก ไม่เหลือใครนอกจากตนเองจะทำอะไรได้อีก ได้แต่ตอบตกลงไปเสี่ยงโชคเอาข้างหน้า สายสัมพันธ์ระหว่างเขาและผู้ชายตาสีฟ้าน้ำทะเลจึงเริ่มต้นขึ้น ในฐานะ ‘เด็กในการดูแล’ และ ‘ผู้ปกครอง’ ทว่า...ออสติน สเวน มีเสน่ห์เหลือล้นมากเกินไปจนทำให้กานต์แทบไม่อาจห้ามใจให้ไม่คิดกับเขาเป็นอื่น ขณะที่ชีวิตประสบกับจุดหักเห ความรู้สึกวุ่นวายที่พร่างพรายขึ้นมาในใจก็ทำให้กานต์สับสน ‘ผู้ปกครอง’ ที่ค่อยๆ กลายเป็น ‘เจ้าของหัวใจ’ ชักจะทำให้เด็กหนุ่มแสนดีคนนี้เกเรขึ้นทีละน้อยแล้วสิ...

นิยายรักโรแมนติกจบแล้ว

ช่างใจรัก

2.0K·หนูแดง

ถ้าคืนนั้นผมไม่เมา... ผมก็คงไม่ตื่นสายจนมาเลือกที่ฝึกงานไม่ทัน ถ้าคืนนั้นผมไม่พาใครไม่รู้กลับมามีอะไรด้วย... ผมก็คงจะไม่มายืนหัวโด่อยู่ในโรงเรียนช่างอย่างนี้! จะไม่ฝึกงานก็ไม่ได้เพราะดันเป็นวิชาสุดท้ายของนักศึกษาปี 4 ที่ต้องเรียนก่อนจบ ผมเลยต้องระเห็จจากกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรมาไกลถึงจังหวัดทางภาคเหนือตอนล่าง มารับมือกับไอ้พวกเด็กเวรห้องบ๊วยปากไม่มีหูรูดในฐานะอาจารย์ผู้ช่วยอาจารย์ประจำชั้นทุกวี่ทุกวัน ที่รับมือยากหน่อยเห็นจะเป็นไอ้เด็กโข่งหัวโจกที่ชื่อ ‘ธารใจ’ ที่คอยกวนอวัยวะเบื้องล่างผมอยู่ทุกวินาที “นักศึกษาครับ นั่งที่ครับ ครูจะเริ่มสอนแล้ว” “หุบปากไปออโรร่า! คนจะนอน” ออโรร่าป้ามึง! กูชื่อ ‘แสงเหนือ’ เว้ย! กำมือแน่นมาก! ให้ตายเถอะ นี่ผมจะต้องรับมือกับความกวนประสาทของเด็กนี่อีกนานแค่ไหนกันนะ ไหนจะพวกเด็กเวรนี่จะมีเรื่องต่อยตีกันทุกวันอีก ว่าแต่ทำไมอาจารย์ฝึกสอนอย่างผมจะต้องไปคอยรับผิดชอบการกระทำของเด็กเวรพวกนี้ด้วยวะ! “มองไร’จารย์ มองหน้าหาเรื่องงี้ ต่อยมั้ย ไม่ต่อยก็ตุ๋ยได้นะ” นะ...หน็อย... ไอ้พวกเด็กโรงเรียนช่างนี่มันน่ากระทืบจริงๆ โว้ย!

นิยายรักโรแมนติกจบแล้ว

Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ

319·หนูแดง

โลกใบนี้ถูกกำหนดด้วยชนชั้น...ทว่าชนชั้นไม่ได้ถูกแบ่งแยกโดยชาติตระกูล หากแต่แบ่งแยกโดย ‘เพศ’ อัลฟ่า [ α ] ...ชนชั้นที่มีสิทธิ์แทบจะในทุกอย่าง เบต้า [ β ] ...ชนชั้นที่มีชีวิตล่องลอยไปวันๆ โอเมก้า [ Ω ] ...ชนชั้นที่แทบจะไม่ถูกเรียกว่ามนุษย์ เมื่อคนที่เกิดมาในชนชั้นสูงอย่าง ‘เจเรมี เมอร์ซี’ บุตรชายโทนของหนึ่งในตระกูลผู้นำเกิดอาการฮีต ความจริงที่ว่าเขาเป็นโอเมก้า ไม่ใช่อัลฟ่าทำให้เขาถูกลดลำดับชนชั้นอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นจอมวายร้ายอย่างเขาจะไปยืดอกยอมรับได้อย่างไร เมื่อครอบครัวถูกจับเป็นตัวประกัน เจเรมีจึงต้องกระโจนลงไปในเกมที่มีชีวิตเป็นเดิมพันอย่างไร้ทางเลือก โดยมี ‘คริส ฟ็อกซ์’ อัลฟ่าตระกูลผู้นำจากแดนอื่นที่ถูกจองจำในข้อหากบฏและเป็นคู่แห่งโชคชะตาที่เจเรมีไม่ต้องการเข้าร่วมแข่งขันด้วย เป้าหมายของคริสมีอย่างเดียวคือทวงคืนอิสรภาพที่ถูกลิดรอนไป ซึ่งการชนะเกมนี้ได้ต้องครอบครองโอเมก้าและอยู่รอดเป็นคู่สุดท้าย หากแต่การครอบครองโอเมก้าอย่างเจเรมีนั้นไม่ง่ายเลย เจเรมีจะเลือกฆ่าทุกคนเพื่อที่จะเป็นผู้ชนะในเกมนี้เพียงลำพัง หรือยอมตกเป็นสมบัติของอัลฟ่าสักคนเพื่อแลกกับการถูกคุ้มครอง เป็นสิ่งที่ใครก็คาดเดาไม่ได้จริงๆ...

นิยายรักจบแล้ว

โชซอนซ่อนรัก

288·หนูแดง

บทนำ อกหักไม่ยักตาย... รู้ทั้งรู้แต่หญิงสาวไม่อาจห้ามน้ำตาไม่ให้หลั่งรินอาบพวงแก้มได้ ดวงตาโตดุจกวางและขนตาหนาเป็นแพเปียกชื้นครั้งแล้วครั้งเล่า ปลายจมูกโด่งรั้นแดงเรื่อจากการถูกความสากของทิชชูที่ใช้ซับใบหน้าเสียดสี เจ้าหล่อนยังไม่เข้าใจว่าตนทำหน้าที่ขาดตกบกพร่องในฐานะคนรักอย่างไร ฝ่ายชายซึ่งคบหาดูใจกันมาตั้งแต่สมัยเรียนจบปริญญาตรีในไทยถึงได้ปันใจไปหารักจากหญิงอื่นจนถึงขั้นบอกเลิกเธออย่างไร้ปรานีอย่างนี้ ร้ายกว่านั้นคือถ้าเธอไม่เห็นด้วยตาตัวเองว่าเขามีคนอื่น เขาก็ยังจะคงปิดบังไปเรื่อยๆ ประหนึ่งเธอเป็นคนโง่ รู้ตัวอีกที บนศีรษะก็มีเขางอกยาวคู่หนึ่งแล้ว ทั้งที่เธออุตส่าห์ดั้นด้นทำทุกอย่างเพื่อที่จะมาเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศเกาหลีใต้เพียงเพราะอยากอยู่ใกล้เขาแท้ๆ เพียงไม่ถึงปีกลับทอดทิ้งเธออย่างไม่มีเยื่อใยอย่างนี้ มันหมายความว่าอย่างไรกัน! ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น มือเรียวขยำทิชชูเป็นก้อน โยนทิ้งลงถังขยะสุดแรงก่อนจะกระชากเอาทิชชูแผ่นใหม่จากกล่องมาซับหยดน้ำตาบนใบหน้าอีกครั้ง ในหัวมีคำก่นด่าอดีตคนรักเต็มไปหมด แต่ก็ไม่มีคำใดที่จะปรามาสผู้ชายคนนั้นได้ดีเท่ากับคำที่แวบเข้ามาในหัวเธอครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างประโยคนี้เลย ผู้ชายเฮงซวย! อธิบายคุณลักษณะของอดีตชายคนรักได้ดีเลยทีเดียว แต่ถึงจะรู้ว่าเขาเฮงซวยแค่ไหน สมองก็ไม่อาจลบเลือนภาพใบหน้าของไอ้เวรนั่นได้ หัวใจเองก็ไม่อาจหยุดรักในวินาทีนี้ได้เช่นกัน มันยังเร็วไปที่เธอจะตัดใจได้ เพิ่งถูกบอกเลิกมาสดๆ ร้อนๆ วันนี้ ใครมันจะไปตัดใจได้ ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา… ปลอบใจตัวเองเสร็จ มีนาก็ยกมือขึ้นปาดน้ำตา ดูท่าทิชชูคงจะไม่พอสำหรับเธอเสียแล้ว ก่อนที่เธอจะเอื้อมไปหยิบเอาขวดเหล้าโซจูที่หิ้วมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตแถวอพาร์ตเมนต์มากระดกดื่ม รสชาติฝาดคอทำเอาสาวเจ้าเบ้หน้าเหยเก ปกติแล้วเธอไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สักเท่าไรด้วยเธอไม่ใช่พวกคอแข็งอะไรนัก ทว่าที่ตัดสินใจหิ้วมาเสียโหลหนึ่งก็เพราะกะจะดื่มเอาให้หลับ ให้ลืมผู้ชายทุเรศคนนั้นไป ชั่วคราวก็ยังดี ขอแค่ให้ได้ลืมก็พอ... คิดอย่างนั้นก็กระดกดื่มไปอีก หากแต่ทนกระดกดื่มไปได้ไม่เท่าไร มีนาก็ต้องยอมแพ้ วางขวดโซจูลง ทิ้งตัวลงนอนบนพื้น มองเพดานห้องแคบๆ พลันปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอีกรอบ ไม่ได้อยากจะร้องไห้เลย แต่มันห้ามไม่ได้ ผู้ชายหน้าพลาสติกคนนั้นกล้าดีอย่างไรมาทำให้ฉันร้องไห้! จมูกก็ทำ คางก็เหลา ตาก็กรีด กรามก็ทุบ พลาสติกทั้งหน้า แถมสมองยังฉีดโบท็อกซ์จนโง่เง่า รักลงไปได้ยังไงกันมีนา! ในเวลานี้อะไรที่เคยว่าดีก็ไม่ดีอีกแล้ว มีนาพยายามหาข้อเสียของอีกฝ่ายมาพร่ำสะกดจิตตัวเองให้เลิกคิดถึงเขา แต่ภาพบาดตาบาดใจยามเห็นชายหนุ่มมากับคนรักใหม่ก็กระตุ้นให้ความรวดร้าวในใจของหญิงสาวทวีมากขึ้น ความจริงเขาก็ไม่ผิดหรอกถ้าจะทิ้งเธอไปหาผู้หญิงที่น่ารักน่าทะนุถนอมกว่า สวยกว่า เอาใจเขาได้ดีกว่าและมีอะไรๆ ที่ดีกว่า มันผิดที่เธอเองที่ละเลยเขามากเกินไป เอาแต่วุ่นวายกับเรื่องเรียนจนไม่มีเวลาให้เขาเท่าที่ควร เมื่อไม่ได้ใส่ใจเพราะคิดว่าอีกฝ่ายยังรักตนเหมือนเดิม ความชะล่าใจจึงทำให้เธอประสบกับเรื่องอย่างนี้ ถึงจะเป็นไอ้ทุเรศที่นอกใจเธอ แต่เขาก็ไม่ผิดหรอก มนุษย์ย่อมหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตตัวเองอยู่แล้ว ไม่อยากคิดโทษตัวเองสักเท่าไร แต่มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ อย่างที่รู้กันในหมู่นักศึกษาไทยว่าประเทศเกาหลีเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับเรื่องเรียนเป็นอย่างมาก ทุกคนเอาจริงเอาจังเสียจนเกินคำว่าพอดี มีนาจึงถือคติเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามอย่างไม่มีทางเลือก ใช่ว่าเธออยากจะหน้าดำคร่ำเครียดกับการเรียนนักหรอก แต่ในเมื่ออยู่ในสังคมอย่างนี้ก็ต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่รอด ทว่าใครจะคิดล่ะว่าความตั้งใจของเธอมันจะส่งผลอย่างนี้ ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ผู้ชายคนนั้นเคยทำอะไรให้เธอบ้างกัน! คิดวกวนกลับมาโทษอดีตคนรักอีกแล้ว นี่เธอเป็นไบโพลาร์หรือไงกันนะ เดี๋ยวโทษตัวเอง เดี๋ยวโทษแฟนเก่า อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ประหนึ่งประจำเดือนมาไม่ปกติก็ไม่ปาน มีนาจึงเบี่ยงเบนความฟุ้งซ่านของตนด้วยการยื่นมือออกไปควานหาหนังสือจากกระเป๋าที่วางระเนระนาดอยู่บนพื้น ก่อนจะคว้ามันขึ้นมาดูหน้าปก มันเป็นหนังสือนิยายชื่อเรื่อง ‘จนกว่าเราจะพรากจากกัน’ เป็นนิยายรักธีมพีเรียดเกาหลีที่ดำเนินเรื่องอยู่ในยุคสมัยโชซอน[ ยุคสมัยโชซอน (ค.ศ.1392-1897) เริ่มต้นขึ้นเมื่อนายพลอีซองกเย (Lee Seong gye) ขุนพลแห่งราชวงศ์โครยอได้ก่อการยึดอำนาจในปี ค.ศ.1392 และสถาปนาตนขึ้นเป็นพระเจ้าแทโจ จากนั้นจึงได้เปลี่ยนชื่อประเทศใหม่เป็นโชซอนและย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่ฮันยางหรือกรุงโซลในปัจจุบัน ]ว่าด้วยเรื่องรักสามเส้าของหนึ่งหญิงสองชายภายใต้ความขัดแย้งทางการเมือง หนึ่งหญิงเป็นบุตรสาวของขุนนางตกอับตระกูลหนึ่ง หนึ่งชายเป็นบุตรนอกสมรสของขุนนางผู้มีอำนาจและเป็นคู่หมั้นของหญิงสาวซึ่งเป็นผู้หลงรักนางเอกเพียงฝ่ายเดียว ส่วนอีกหนึ่งชายหนุ่มเป็นคนไร้ยศศักดิ์ที่พยายามผลักดันตัวเองให้ขึ้นมาอยู่ในวังวนแห่งการแย่งชิงและเป็นคนรักของบุตรสาวตระกูลขุนนางผู้นั้น พล็อตเรื่องน้ำเน่า แต่นับว่าเป็นนิยายเรื่องโปรดของเธอและยังเป็นเรื่องที่โด่งดังในอินเทอร์เน็ตมากทีเดียว ได้รับการพูดถึงว่ามีชั้นเชิงทางวรรณศิลป์และวางปมปริศนาต่างๆ ในเรื่องได้ดี เสียอย่างเดียวคือนิยายออกมาได้เล่มที่สามแล้วยังไม่มีวี่แววจะจบเลยแม้แต่น้อย ได้ยินมาว่านักเขียนหยุดเขียนไปดื้อๆ การเคลื่อนไหวบนอินเทอร์เน็ตก็ไม่มี ซ้ำบรรดานักอ่านยังไม่มีใครรู้ว่าผู้เขียนคือใคร รู้จักกันแต่เพียงนามแฝงบนเว็บไซต์ที่ลงนิยายให้อ่าน สำนักพิมพ์ที่เป็นผู้เช่าซื้อลิขสิทธิ์นิยายเรื่องนี้ก็ปิดเงียบแม้ว่าจะถูกแฟนหนังสือโวยวาย ซ้ำยังให้คำตอบไม่ได้ด้วยว่านิยายเรื่องนี้จะจบเมื่อไร ขนาดเล่มต่อไปออกเมื่อไรยังบอกไม่ได้เลย ความหวังริบหรี่ มีแววถูกลอยแพสูง แต่ถึงอย่างนั้น มีนาก็ยังจะซื้อนิยายเรื่องนี้มา และก็ไม่ได้มีอารมณ์จะมาสนใจเรื่องของคนอื่นในตอนนี้ด้วย เธอพยายามเพ่งสมาธิอ่านเนื้อหาในหนังสืออย่างสุดความสามารถ หากแต่การอ่านนิยายเรื่องโปรดของเธอในวันนี้มันช่างไม่ได้อรรถรสเอาเสียเลย อ่านไปก็หงุดหงิดไปกับการพร่ำพรรณาของพระรองที่มีต่อนางเอก ‘แม้ตัวข้าต้องตาย ข้าก็จะขอรักมั่นเพียงเจ้า’ ‘ต่อให้ดวงใจของเจ้าไม่เคยมีข้า ข้าก็จะรักเพียงเจ้า’ ‘ข้า...คิมคังยูจะขอรักเพียงแต่เจ้า’ รักกันเข้าไป น่ารำคาญ! โสดแล้วพาลคือมีนาคนนี้นี่เอง ยิ่งอ่านยิ่งอารมณ์เสีย ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้จะรักผู้หญิงที่ไม่เคยเห็นค่าตัวเองไปถึงไหน นางเอกก็เล่นตัวเหลือเกิน ทั้งที่อีกฝ่ายออกจะแสนดี ดูแลใส่ใจมากกว่าพระเอกของเรื่องเสียอีก ถ้าจะไม่ชายตาแลมองขนาดนี้ล่ะก็นะ เสียของชะมัด! อดคิดไม่ได้เลยว่าถ้าเธอเป็นยัยนางเอก เธอคงจะเป็นฝ่ายตบแต่งผู้ชายที่ชื่อคิมคังยูคนนั้นเป็นสามีโดยไม่ต้องรอให้ฝ่ายนั้นพาผู้ใหญ่มาทาบทามแล้ว ดีไม่ดีจะเป็นฝ่ายจับพระรองปล้ำด้วย ยิ่งอ่านก็ยิ่งหงุดหงิดที่นางเอกหักหาญน้ำใจพระรองอย่างไม่น่าให้อภัย ถ้าไม่เอาก็ส่งมานี่ คิดว่าผู้ชายดีๆ อย่างนั้นหาจากที่ไหนบนโลกนี้ได้อีกหรือไงแม่คนเรื่องมาก! อินอะไรเบอร์นี้ กระแทกหนังสือลงบนพื้น ดันตัวขึ้นนั่ง ยกมือไหว้ท่วมหัวไปอีก “ถ้าสวรรค์มีจริงหรือนรกมีตาก็ส่งผู้ชายคนนี้มาให้ลูกด้วยเถ๊อะ ผู้ชายดีๆ แบบนี้ ถ้าแม่นั่นไม่เอา ลูกจะเอาเอง สาธุ!” กะอ่านนิยายให้คลายเครียดแท้ๆ กลายเป็นเครียดกว่าเดิมเสียอีก มีนาพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง คว้าขวดโซจูมากระดกดื่มระบายความหัวเสียอีกครั้ง ตอนนี้ไม่มีอะไรทำแล้วจึงเข้าสู่โหมดเครียดรับประทาน ซัดทุกอย่างที่ซื้อมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตเข้าปาก ความขมฝาดของเหล้าโซจูในตอนแรกเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นรสชาติหวานล้ำเมื่อเริ่มรู้สึกมึนเมา ไม่แน่ใจนักว่าเธอดื่มไปกี่ขวด รู้เพียงแต่ว่าสิ่งสุดท้ายที่เธอเห็นคือภาพผนังห้องหมุนคว้างก่อนจะผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว รุ่งอรุณใหม่มาถึง แสงสีทองที่สาดส่องผ่านผ้าม่านมากระทบเปลือกตาปลุกให้หญิงสาวต้องลืมตาตื่นด้วยรำคาญแสงที่แยงตา ร่างบางบิดตัวพลิกอย่างเกียจคร้านครู่หนึ่ง หากแต่พอจะผงกศีรษะขึ้นมาด้วยหมายจะไปเข้าห้องน้ำ เจ้าหล่อนก็ต้องฟุบลงนอนไปอีกรอบด้วยมึนศีรษะสุดกำลัง เมื่อคืนนี้ท่าทางจะดื่มหนักไป... มือที่ปัดไปโดนขวดเปล่าเกลื่อนกลาดข้างตัวบอกให้รู้ว่าเมื่อคืนนี้เธอดื่มหนักมากจริงๆ เสียผู้เสียคนสุดๆ หญิงสาวอดต่อว่าตัวเองไม่ได้ ดีที่วันนี้ไม่มีตารางเรียนหรือกิจกรรมใดๆ เธอจึงสามารถนอนต่อได้ ร่างเล็กยังคงขยับไปมาบนพรมเพื่อขับไล่ความเมื่อยขบ เมื่อคืนไม่ได้ไปนอนที่เตียงเพราะเมาหลับไปก่อน แต่เมื่อรู้ตัวก็ไม่ได้พยายามที่จะพาตัวเองไปนอนยังที่ที่สมควรนอนแต่อย่างใด นอกจากปิดเปลือกตาอยู่อย่างนั้น พลิกตัวไปอีกฝั่งหนึ่งที่ไม่มีขวดเหล้าเปล่าเกลื่อนกลาด เมื่อคืนทั้งกินทั้งดื่มประชดชีวิตไปแล้ว งั้นวันนี้ก็จะขอนอนประชดชีวิตด้วยเลยแล้วกัน! ประชดทุกอย่างให้สาแก่ใจกับชีวิตรักซังกะบ๊วย นอนให้ตาย นอนให้ปวดหัวไปเลย อย่างน้อยการนอนหลับก็ทำให้หยุดคิดถึงเรื่องผู้ชายคนนั้นไปได้ช่วงเวลาหนึ่ง ทว่ามีนาไม่ได้หลับสมดังใจด้วยจังหวะที่พลิกตัวนั้น มือของเธอพาดผ่านไปโดนบางสิ่งที่สร้างความรู้สึกแปลกประหลาด แข็ง...และอุ่น ไม่ใช่อะไรลามกเทือกนั้น แต่เป็นร่างกายของมนุษย์ต่างหาก สัมผัสมันทำให้เธอรู้สึกราวกับว่ามีใครมานอนอยู่ข้างๆ เดี๋ยวนะ! มีใครมานอนข้างๆ งั้นเหรอ! มีนาลืมตาขึ้นทันทีแล้วก็ต้องเบิกโพลงกว้างเมื่อเห็นว่าบางสิ่งที่เธอกำลังเอาแขนพาดอยู่เป็นร่างกายของผู้ชายคนหนึ่งที่เธอไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน คะ...ใครเนี่ย! สัญชาตญาณส่งผลให้เธอรีบลุกขึ้นยืนพรวดพราด ถอยหลังกรูดไปติดกำแพงห้องอย่างรวดเร็ว ความเมามายมึนหัวอะไรที่เล่นงานอยู่ก่อนหน้าหายวับไปกับตาราวกับไม่มีแอลกอฮอล์ตกค้างในกระแสเลือดมาก่อน ตอนนี้เธอเอาแต่จ้องอีกฝ่ายเขม็งและยิ่งระวังตัวมากขึ้นไปอีกเมื่อผู้ชายคนนั้นค่อยๆ ขยับตัวและส่งเสียงครางออกมา จับใจความไม่ได้เลยแม้แต่น้อยว่าผู้ชายคนนั้นพูดว่าอะไร แต่มีนาก็ไม่มีอารมณ์จะมาใคร่ครวญอะไรแล้ว พุ่งตัวไปคว้าขวดโซจูเปล่ามาไว้ในมือเป็นที่เรียบร้อย กะว่าถ้าผู้ชายตรงหน้าจะทำมิดีมิร้าย เธอจะใช้ขวดฟาดให้หัวแตกไปเลย หากแต่เขาไม่ทำอะไร เพียงแค่ขยับตัวและส่งเสียงอืออาในลำคออย่างที่เห็น เปลือกตายังไม่เปิดเลยด้วยซ้ำ เห็นอย่างนั้น ในหัวของมีนาก็คิดวุ่นเป็นพัลวัน เข้ามาได้ยังไงน่ะ หรือว่า...เมื่อคืนจะเมาจนเผลอไปหิ้วผู้ชายเข้าห้อง!? คิดแล้วก็อ้าปากค้างด้วยไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะเหลวแหลกได้ถึงขนาดนี้ นี่หล่อนลากผู้ชายมาปล้ำถึงในห้องเลยเหรอไอ้มีนา! รู้ถึงไหน อายไปถึงนั่น มุดหัวหนีอายไปถึงเปลือกโลกชั้นแม็กม่าแล้วยังไม่หายอายเลย แต่พอคิดๆ ดูอีกทีแล้วมันไม่น่าจะเป็นไปได้เลยด้วยซ้ำ คนอย่างเธอเนี่ยนะที่จะลากผู้ชายเข้ามาปล้ำถึงในห้อง ผู้ชายคนนั้นตัวใหญ่กว่าเธอเยอะเลยเถอะ คิดเหรอว่าชะนีแคระ ความสูงแค่ร้อยห้าสิบปลายๆ จะลากเขาเข้ามาไหว คิดเลยเถิดไปใหญ่แล้ว! ถึงอย่างนั้นก็ยังตั้งท่าระวังตัวเพราะไม่อาจวางใจได้ว่าผู้ชายตรงหน้าจะมาดี ก็ดูเสื้อผ้าที่เขาใส่สิ มันช่าง...โบราณ โบราณจริงๆ ไม่ใช่เชยนะ ย้ำว่าโบราณ อย่างกับหลุดออกมาจากละครจักรๆ วงศ์ๆ ของเกาหลีอย่างไรอย่างนั้นแหละ! ดวงตาคู่สวยปราดมองไปตามเสื้อผ้าสีแดงเลือดหมูสลับดำ ขณะที่ผู้ชายคนนั้นเองเริ่มจะรู้สึกตัวทั้งที่มีนายังสำรวจอีกฝ่ายไม่ละเอียดดี เขาค่อยๆ ดันตัวขึ้นจากพื้นอย่างเชื่องช้า กะพริบตาถี่ๆ หลายครั้งเพื่อปรับให้สายตาคุ้นชินก่อนจะกวาดมองไปรอบข้าง เมื่อเห็นว่าบรรยากาศรอบตัวไม่ใช่ที่ที่คุ้นเคย เขาก็พรวดพราดลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ แล้วก็ต้องสะดุ้งอีกระลอกทันทีที่หันไปเห็นหญิงสาวในชุดแปลกตายืนจังก้าเตรียมพร้อมจู่โจมเขาอยู่ มีนาเองก็ตกใจเช่นกัน เห็นชายหนุ่มลุกขึ้นมายืนก็ร้องลั่น อีกฝ่ายก็ผงะ ต่างคนต่างตกใจใส่กัน แต่เหมือนชายหนุ่มจะตั้งสติได้ก่อนขณะที่หญิงสาวหวีดร้องไม่หยุด “คุณเป็นใครน่ะ! เข้ามาในห้องฉันได้ยังไง” คนถูกถามไม่สนใจที่จะตอบคำถามเลยแม้แต่น้อย ดวงตาเรียวมองปราดคนตัวเล็กตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าก่อนถามออกมาบ้าง “แม่นางเป็นใครกันรึ” ยัง...ยังจะมีหน้ามาถามกลับอีก! “ตอบคำถามฉันมาก่อน!” คนถูกย้อนถามไม่ตอบ โวยวายใส่ ขณะที่ชายหนุ่มเลิกสนใจหญิงสาวเจ้าของห้อง กวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องด้วยสีหน้าตะลึงงันคล้ายกับว่าชีวิตนี้ไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อน พลันริมฝีปากก็ครางออกมา “ที่นี่มัน...” “นี่! ฉันถามว่าคุณเข้ามาในห้องฉันได้ยังไง แอบเข้ามาทางไหนหา!?” เห็นว่าคนแปลกหน้าไม่ตอบ มัวแต่ทำท่าทางประหลาดๆ มีนาจึงร้องถามไปอีก ตั้งใจส่งเสียงดังเข้าไว้ กะว่าถ้ามีเหตุร้ายเกิดขึ้น ข้างห้องอาจจะได้ยินเสียงเธอบ้างอะไรอย่างนั้น ในใจของมีนาตอนนี้ค่อนข้างจะหวาดกลัวมากเลยทีเดียว แล้วเธอก็สะดุ้งขึ้นมาอีกคราทันทีที่เห็นว่าเขาเริ่มก้าวเท้าสำรวจซอกมุมของห้อง ไม่ได้เดินมาทางเธอหรอก เดินไปทางอื่น แต่ก็ทำให้น้ำเสียงของหญิงสาวสั่นเทาขึ้นมาได้ทันควัน “คะ...คุณต้องการอะไร!?” ชายหนุ่มไม่ตอบ มัวแต่ยืนมองวัตถุประหลาดที่วางอยู่บนพื้นก่อนจะคว้ามันขึ้นมาดู บะ...บราเซียลูกไม้สีม่วงที่ถอดแล้วโยนทิ้งไปเมื่อวาน! มีนาเห็นก็เบิกตาโต ส่งเสียงกรีดร้อง “ทำบ้าอะไรของคุณน่ะ! วางมันลง!” คนถูกทักหันมามองยังต้นเสียง มีนาเลยสำนึกได้ว่าตอนนี้เธออยู่ในสภาพโนบราจึงรีบเบี่ยงตัวหลบพร้อมกับใบหน้าร้อนผะผ่าว กระนั้นก็ยังไม่หยุดออกคำสั่ง “บอกให้วางมันลงไง!” คนถูกสั่งยอมวางแต่โดยดี สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ของเขา ในฐานะคนแปลกหน้าที่มาเยือนก็ควรจะเคารพเจ้าของบ้าน ดวงตากลมของหญิงสาวเหลือบมอง เห็นชายหนุ่มวางเสื้อชั้นในลูกไม้ของเธอลงที่เดิมแล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะตั้งใจไล่เขาออกไปให้เร็วที่สุด การที่มีผู้ชายแปลกหน้ามาอยู่ในห้องอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องดีเลยสักนิด ทว่ายังไม่ทันจะได้พูดอะไรออกไป อีกฝ่ายก็หันมาถามเธอด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแล้ว “ที่แห่งนี้ใช่ฮันยางหรือเปล่าแม่นาง” กลายเป็นมีนาบ้างแล้วที่ทำหน้างุนงงเมื่อเขาเอ่ยชื่อเมืองหลวงของโชซอนซึ่งเป็นอาณาจักรโบราณของเกาหลี ถึงเธอจะไม่รู้ประวัติศาสตร์เกาหลีละเอียดนัก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าฮันยางคืออะไร ที่ไม่เข้าใจก็คือ...ผู้ชายคนนี้ถามเรื่องนี้ทำบ้าอะไร “คุณหมายความว่าอะไร” ครางถามออกมาอย่างไม่ไว้ใจ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะหลอกล่อเธอให้ตายใจด้วยคำถามแปลกๆ ก็ได้ เธอเคยดูข่าวนะว่าพวกอาชญากรสมัยนี้มักใช้คำถามเชิงจิตวิทยามาทำให้เหยื่อติดกับ พูดจบ สายตาก็จ้องจับผิดไปด้วย อีกฝ่ายไม่แสดงอาการอื่นใดแม้แต่น้อยนอกจากดูงุนงงกับสถานที่ที่ตนยืนอยู่ “ที่นี่ดูไม่เหมือนฮันยางเลย ช่างดู...แปลกตา” อีกฝ่ายตอบเชื่องช้า มันก็แน่อยู่แล้ว ฮันยางอะไรล่ะ นี่มันกรุงโซล! แต่จริงๆ กรุงโซลก็คือฮันยาง เพียงแต่เปลี่ยนชื่อหลังจากอาณาจักรโชซอนล่มสลาย สำคัญกว่านั้นคือไม่รู้ทำไมจู่ๆ มีนาก็เอะใจขึ้นมาแปลกๆ ว่าผู้ชายท่าทางประหลาด ซ้ำยังแต่งตัวเหมือนไม่ใช่คนในยุคสมัยนี้ที่ยืนทำหน้าเหลอหลาตรงหน้าจะเป็นผู้ชายคนเดียวกับที่เธอร้องขอต่อสรวงสวรรค์เมื่อคืนนี้ คิมคังยู... หรือว่าจะเป็นคิมคังยู พระรองในนิยายคนนั้น!? “คุณคือ...คิมคังยู?” ด้วยอารามตกใจถึงได้เอ่ยไปอย่างนั้นทั้งที่มันไม่น่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย หากแต่ชายหนุ่มกลับพยักหน้าตอบกลับมาพร้อมกับเรียวคิ้วสวยที่ย่นยู่ “รู้จักข้าเช่นนั้นรึ” มีนาอ้าปากค้างทันควัน พูดไม่ออก ก้าวขาก็ไม่ออก ตอบคำถามของคนตรงหน้าก็ไม่ได้ คุณพระ! โผล่มาได้ไงกันเนี่ย! 【 ยุคสมัยโชซอน (ค.ศ.1392-1897) เริ่มต้นขึ้นเมื่อนายพลอีซองกเย (Lee Seong gye) ขุนพลแห่งราชวงศ์โครยอได้ก่อการยึดอำนาจในปี ค.ศ.1392 และสถาปนาตนขึ้นเป็นพระเจ้าแทโจ จากนั้นจึงได้เปลี่ยนชื่อประเทศใหม่เป็นโชซอนและย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่ฮันยางหรือกรุงโซลในปัจจุบัน 】

นิยายรักโรแมนติกจบแล้ว

THE CURSE สาปบุตรซาตาน

162·หนูแดง

เสียงบาทหลวงผู้ดำเนินพิธีศพของหญิงวัยกลางคนซึ่งนอนสงบนิ่งอยู่ในโลงไม้ตรงหน้า ดังระคนกับเสียงเม็ดฝนโปรยปรายกระทบพื้นหญ้า สร้างความหดหู่ให้กับผู้ร่วมพิธีเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับชายหนุ่มวัยยี่สิบสี่ปี ผู้ซึ่งเป็นบุตรชายคนเดียวของผู้จากไป ดวงตาสีมะฮ็อกกานีฉายแววโศกเศร้าอย่างชัดแจ้ง หากแต่ไม่มีน้ำตาเอ่อคลอให้เห็นสักหยด มีเพียงความสงบนิ่งราวกับเขารับรู้มานานแล้วว่าสักวันก็คงจะมีวันนี้ ...วันที่พระเจ้าพรากบุคคลอันเป็นที่รักไปจากเขาตลอดกาล... “...ดังนั้นพวกเราจึงมอบร่างกายของเธอสู่พื้นดิน จากดินสู่ดิน จากเถ้าสู่เถ้า จากธุลีสู่ธุลี ในความแน่นแท้และความหวังอันไว้วางใจได้ของการคืนชีพสู่ชีวิตอันชั่วนิรันดร์” ดินในกำมือถูกโปรยลงไปบนโลงศพเป็นพิธีการสุดท้าย ก่อนเหล่าสัปเหร่อจะช่วยกันกลบฝังร่างแม่ของชายหนุ่มให้หลับใหลภายใต้ผืนดินแห่งนี้ไปตลอดกาล “เธอกลับคืนสู่อ้อมอกของพระบิดาแล้ว อย่าได้เป็นห่วงไปเลยครับคุณโจนส์” บาทหลวงผู้ประกอบพิธีเอ่ยเบาๆ กับเขา เรียกให้ ‘โจชัว โจนส์’ หันไปมองใบหน้าเหี่ยวย่นทว่าแฝงด้วยความโอบอ้อมอย่างช้าๆ ก่อนจะตอบรับสั้นๆ “ครับ ผมก็หวังว่าแม่คงจะสบาย” “คุณนายเป็นคนดี พระเจ้าต้องรักเธออย่างแน่นอน” “ครับ” จริงๆ ก็ตอบรับไปอย่างนั้น เขาไม่มีความเชื่อในเรื่องพระเจ้าด้วยซ้ำไป เว้นเสียแต่ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายเช่นแม่ของเขาที่หันหน้าเข้าหาศาสนาอันเป็นที่พึ่งสุดท้ายก่อนที่จะสิ้นใจ จึงทำให้บาทหลวงประจำโบสถ์แห่งนี้สนิทสนมกับครอบครัวมากเป็นพิเศษ ในเมื่อเห็นว่าเป็นความสุขของแม่ในช่วงชีวิตสุดท้าย โจชัวจึงยินยอมให้แม่ทำตามใจโดยไม่มีข้อแม้ เพียงต้องการยืดเวลาให้เธอมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้นานที่สุดเท่านั้น แต่กระนั้น ร่างกายเธอก็ไม่อาจต้านทานโรคร้ายที่กัดกินดุจปรสิตนี้ได้ “พ่อขอตัวก่อน ไว้เจอกันนะคุณโจนส์” “ครับ” โจชัวจ้องมองแผ่นหลังชายชราที่เดินห่างออกไปครู่หนึ่ง ก่อนกลับมาให้ความสนใจกับหลุมศพของแม่อีกครั้ง เขาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าเพียงก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่ชั่วโมงเธอยังมีชีวิตอยู่ เขาไม่เคยรู้สึกว่าโลกทั้งใบหันหลังให้เขาเท่ากับวันนี้มาก่อนเมื่อสมาชิกในครอบครัวคนเดียวที่เขามีได้จากไป คนที่ไม่มีอะไรเลยอย่างเขา นึกไม่ออกเลยว่าต่อจากนาทีนี้ชีวิตจะดำเนินไปอย่างไร เงินสะสมจากการทำงานทั้งหมดก็หมดไปกับค่ารักษาพยาบาล ต้องออกจากมหาวิทยาลัยกลางคันเพราะความเจ็บป่วยของแม่ ซ้ำร้าย เจ้าของห้องเช่าที่เช่าอยู่ก็ไม่ยอมให้ค้างค่าเช่าอีกต่อไป อาทิตย์นี้ก็เป็นอาทิตย์สุดท้ายสำหรับการหาที่อยู่ใหม่พร้อมกับหนี้ค่าเช่าก้อนโตที่ต้องสะสาง ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าควรจะร้องไห้ดีหรือไม่ ในหัวคิดถึงแต่ปัญหามากมายที่วนเวียนเข้ามาอย่างสับสน โดยไม่ทันสังเกตเห็นใครบางคนเดินมาจากข้างหลัง ก่อนเขาจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อน้ำเสียงแหบห้าวเอ่ยขึ้น “ขอโทษนะครับ คุณใช่โจชัว โจนส์หรือเปล่า” “อ่ะ...อ๋อ ใช่ครับ” โจชัวหลุดออกจากภวังค์ ดวงตาปราดมองชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานในชุดสูทสีดำอย่างสงสัยด้วยไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน และค่อนข้างมั่นใจว่าทั้งเขาและแม่ไม่เคยรู้จักแต่อย่างใด ฝ่ายตรงข้ามพอเห็นสีหน้าสงสัยของชายหนุ่ม ก็รีบล้วงนามบัตรออกจากกระเป๋าเสื้อสูทส่งให้พร้อมกับแนะนำตัว “ผมคือทนายคอนเนอร์ครับ เป็นทนายประจำตระกูลโจนส์ ตระกูลของคุณพ่อคุณน่ะครับ” ว่าพลางกระชับร่มสีดำในมืออีกข้างเพื่อดึงไม่ให้กระเป๋าเอกสารซึ่งหนีบไว้ที่สีข้างไหลร่วงลงไป พลางส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร “คุณพ่อหรือ” “ครับ คุณ เจคอบ โจนส์ น่ะครับ” โจชัวเกือบลืมไปแล้วว่าตนก็มีพ่อด้วย เนื่องจากพ่อของเขานั้นไม่ได้ส่งเสียเลี้ยงดู ตั้งแต่จำความได้ก็มีแต่แม่เท่านั้นที่ทำงานทุกอย่างเพื่อเลี้ยงดูเขาจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต แต่ก็เคยได้ยินแม่เล่าให้ฟังอยู่เหมือนกันว่าพ่อนั้นเป็นบุตรหลานของตระกูลเอิร์ล[ เอิร์ล (Earl) เป็นตำแหน่งบรรดาศักดิ์หนึ่งในยุโรป ในสหราชอาณาจักรปัจจุบัน ตำแหน่งเอิร์ลเป็นหนึ่งในตำแหน่งขุนนางสืบตระกูลที่มีฐานะต่ำกว่ามาควิสแต่สูงกว่าไวเคานท์ ] เก่าแก่ตระกูลหนึ่งของอังกฤษ เป็นมหาเศรษฐีคนหนึ่งที่มีผู้หญิงมากหน้าหลายตาหมายปองซึ่งครั้งหนึ่งเคยคบหากับแม่ของเขาทั้งๆ ที่ตนมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้ว พอพลาดพลั้งให้กำเนิดเขาขึ้นมา ผู้เป็นปู่จึงบังคับให้แต่งงานและยัดเงินให้แม่เขาก้อนหนึ่งเพื่อให้ตัดขาดจากพ่อด้วยเหตุผลว่าตระกูลโจนส์จะต้องรักษาสายเลือดชั้นสูงเอาไว้ ซึ่งมันไร้สาระมากสำหรับศตวรรษนี้ และเขาเองก็ไม่เคยได้พบพ่อสักครั้งเพราะแม่กีดกัน กระนั้นก็น่าแปลกที่ยอมให้เขาใช้นามสกุลของพ่อ แทนที่จะใช้นามสกุลตามแม่ อย่างไรก็ตาม โจชัวก็ไม่ได้สนใจอะไรมากว่าใครจะเป็นพ่อหรือจะใช้นามสกุลตามใคร นอกเหนือจากอดแปลกใจไม่ได้ว่าเหตุใดจู่ๆ ทนายประจำตระกูลถึงได้มาหาเขาในวันนี้ “แล้วมีธุระอะไรกับผมหรือครับ” “คุณคงทราบข่าวอุบัติเหตุของคุณโจนส์กับคุณนายโจนส์แล้วสินะครับ” “อุบัติเหตุหรือครับ” “ครับ อุบัติเหตุทางรถยนต์ของทั้งคู่เมื่ออาทิตย์ก่อนน่ะครับ” บอกตรงๆ ว่าจำไม่ได้เพราะมัวแต่วุ่นวายอยู่กับอาการป่วยของแม่ แต่ก็พอคุ้นหูได้ยินผ่านๆ มาอยู่บ้างว่าพ่อและแม่เลี้ยงประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตหลังจากไปพักตากอากาศที่คฤหาสน์ในชนบท สีหน้าท่าทางเหมือนนึกออกของโจชัว ทำให้ทนายคอนเนอร์รีบพูดต่อถึงการมาในวันนี้ของตนทันที “ที่ผมมาในวันนี้ก็เพราะผมต้องจัดการพินัยกรรมให้กับทายาทผู้มีสิทธิอันชอบธรรมในทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลโจนส์ ซึ่งนั่นก็คือคุณซึ่งเป็นบุตรที่ถูกต้องตามกฎหมาย นับว่าแม่คุณฉลาดนะครับที่ให้คุณใช้นามสกุลคุณโจนส์แทนที่จะเป็นนามสกุลตัวเอง บังเอิญจริงๆ ที่คุณนายโจนส์ก็เสียชีวิตด้วย ไม่อย่างนั้นทรัพย์สินทั้งหมดคงไม่ตกมาถึงคุณอย่างแน่นอน” โจชัวหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย รู้สึกว่าชายตรงหน้านี้พูดไม่เข้าหูเอาเสียเลย หากแต่ไม่ได้พูดโต้ตอบแต่อย่างใด ยืนมองทนายคอนเนอร์ด้วยสายตาว่างเปล่าขณะที่เจ้าตัวยังพูดจ้อไม่หยุด “เดี๋ยวผมจะแจ้งรายละเอียดทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลให้ฟังนะครับ แต่ตอนนี้ผมว่าเราเข้าไปหลบในที่ร่มก่อนดีกว่า ฝนเริ่มตกหนักกว่าเดิมแล้ว” คอนเนอร์เชิญชวนก่อนรีบจ้ำเดินไปยังโบสถ์ที่อยู่ห่างออกไปเพียงเล็กน้อย ทิ้งให้โจชัวเดินตามหลังอย่างช้าๆ ฝ่าหยาดฝนโปรยปรายเข้าสู่วังวนแห่งพันธะบางอย่างโดยไม่รู้ตัว 【 เอิร์ล (Earl) เป็นตำแหน่งบรรดาศักดิ์หนึ่งในยุโรป ในสหราชอาณาจักรปัจจุบัน ตำแหน่งเอิร์ลเป็นหนึ่งในตำแหน่งขุนนางสืบตระกูลที่มีฐานะต่ำกว่ามาควิสแต่สูงกว่าไวเคานท์ 】

นิยายรักจบแล้ว

マイBLノーベル เขียนนิยายให้กลายเป็นรัก

110·หนูแดง

"กัลป์" นักเขียนนิยายไลท์โนเวลสัญชาติไทยที่ชนะการประกวดในเวทีระดับแนวหน้าของญี่ปุ่น เขามีความฝันคือการเป็นนักเขียนไลท์โนเวลชื่อดัง แต่ความฝันก็ดับวูบลงเมื่อนิยายของเขาถูกตัดกะทันหัน ด้วยเหตุผลว่างานของเขามันไม่เกาะกระแสตลาดซ้ำยังถูก บ.ก. ผู้ดูแลต้นฉบับเสนองานเขียนแนวบอยเลิฟมาให้อีก เพื่อแลกกับการได้ออกผลงานอย่างต่อเนื่อง ถึงจะไม่ใช่แนวงานเขียนของตัวเอง แต่ชายหนุ่มชาวไทยสู้ชีวิตก็ไม่ยอมได้ชื่อว่าเป็นนักเขียนไส้แห้งและอดตายอยู่ในโตเกียวแน่ ทว่าเขาไม่ประสีประสากับนิยายแนวชายรักชายสักนิด ดังนั้นงานพึ่งไสยศาสตร์เลยต้องมา เขาจึงได้สมุดบันทึกประหลาดมาจากร้านขายเครื่องรางที่ศาลเจ้าแห่งหนึ่ง โดยคนขายบอกไว้ว่าถ้าเขียนความต้องการจากก้นบึ้งหัวใจลงไป ความปรารถนาก็จะสัมฤทธิ์ผล แต่แทนที่สมุดบันทึกจะทำให้เขากลายเป็นนักเขียนชื่อดัง ดันส่งนายเอกจากนิยายที่เขาเขียนอยู่อย่าง "เซย์จิ" ออกมาให้ระหว่างที่เขากำลังเรียนรู้การเขียนฉากอีโรติก จากการทำกิจกรรมใต้ร่มผ้ากับชายหนุ่มที่เจอกันที่บาร์เสียอย่างนั้น ร้ายยิ่งกว่าร้ายคือเซย์ดจิตัวเป็นๆ ดันไม่ใช่ฝ่ายรับอย่างที่เขียนไว้แต่ดันเป็น "ฝ่ายรุก" เสียนี่ปฏิบัติการเขียนนิยายบอยเลิฟ โดยมีผู้ช่วยอย่างเซย์จิจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางปาฏิหาริย์แห่งรักที่ก่อตัวขึ้นช้าๆ จากปลายปากกาและเรื่องราวในจิตนาการของนักเขียนหนุ่ม

นิยายYaoiจบแล้ว

พี่สะใภ้ของข้าคือท่านแม่ทัพคนงาม

1.0K·หนูแดง

อารัมภบท สมรสพระราชทาน ผู้ใดเล่าจะกล้าขัด... เมื่อมีรับสั่งมายังสกุลหลิน เสนาบดีหลินซึ่งเป็นประมุขของบ้านก็ไม่รอช้าตอบรับพระราชโองการด้วยความสัตย์ซื่อ ด้วยราชโองการนั้นเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ฮ่องเต้ทรงมีต่อบุตรชายเพียงคนเดียวของเขา... ผู้ตรวจการเมืองหลินจิ้นฝู ชายหนุ่มเป็นบัณฑิต ประพฤติรู้ดีชอบ เสียอยู่อย่างเดียวที่เขาครองพรหมจรรย์ ไม่ยอมตบแต่งกับหญิงใดจนอายุล่วงเลยมาถึงสามสิบกว่าปี เรื่องนั้นทำเอาเสนาบดีหลินเป็นทุกข์อยู่ไม่น้อย เพราะไม่ว่าจะจัดหาหญิงใดมาให้ หลินจิ้นฝูก็ปฏิเสธอยู่เรื่อยไป กระทั่งครั้งนี้... ครั้งนี้ล่ะที่เขาตอบรับอย่างไม่มีบิดพลิ้ว หลินจิ้นฝูจะสละพรหมจรรย์ มีฮูหยินเป็นตัวเป็นตนเสียที! ข้าราชการตำแหน่งเล็กเช่นนี้ย่อมต้องยินดีเป็นปกติวิสัยที่ฮ่องเต้ทอดพระเนตรลงมาเห็น สกุลหลินเองก็ยินดีที่จะได้มีลูกหลานสืบสกุลเสียที หากแต่คนที่ยินดียิ่งกว่าก็คือหลินจิ้นฝูเมื่อเขารู้ว่าสมรสพระราชทานนั้นเป็นของเขาและบุตรีของแม่ทัพใหญ่จาง สตรีผู้มีรูปงามประหนึ่งเทพธิดาจุติลงมาเดินดิน... จางเจียเฟย ได้ตบแต่งสตรีโฉมงามเข้าตระกูลก็เป็นเรื่องน่ายินดี ทว่าที่หลินจิ้นฝูยินดีกว่านั้นก็คือนาง...เป็นคนรักของเขา ครั้งวัยเยาว์เคยวิ่งเล่นหยอกล้อกัน เมื่อเติบใหญ่เข้าสู่วัยสวมหมวก จากสหายวัยเยาว์ก็กลายเป็นดรุณีที่ต้องตา หลินจิ้นฝูมีใจปฏิพัทธ์ต่อนางตั้งแต่บัดนั้น ทว่าก็ต้องพลัดพรากจากกันด้วยนางต้องติดตามบิดาไปอาศัยอยู่ยังชายแดนตามคำสั่งของฮ่องเต้ จากกันไปหลายปีนับว่าเป็นความทรมานยิ่ง ดังนั้นสมรสพระราชทานจึงเปรียบเสมือนพรอันยิ่งใหญ่จากสรวงสวรรค์ หลินจิ้นฝูหาได้เคยมีความสุขเท่านี้มาก่อนในชีวิต ในที่สุด...เขาก็จะได้ครองรักกับสตรีที่ขโมยหัวใจของเขาไปครอบครองเสียที แต่เมื่อก่อนงานวันสมรสมาถึง ความยินดีที่พร่างพรายอยู่เต็มอกก็มลายหายสิ้นเมื่อเห็นหน้าว่าที่เจ้าสาว นาง...หาใช่จางเจียเฟย หากแต่เป็นน้องสาวของนางซึ่งมีนามว่า จางอี้ซวน ชื่อแลคล้ายบุรุษ รูปร่างหรือก็สูงโปร่งใหญ่โต หาได้ดูน่าทะนุถนอมเลยสักนิด กระนั้นนางก็งดงามมากเสียจนใครต่อใครมิอาจละสายตา ครั้นนางมาเหยียบยังเมืองหลวง ชาวบ้านที่พบเห็นก็เอาไปพูดกันปากต่อปากว่าฮูหยินของผู้ตรวจการเมืองโฉมสะคราญล่มเมืองยิ่งนัก หากแต่หลินจิ้นฝูหาได้ภาคภูมิใจกับสิ่งนี้ เห็นนางในครั้งแรก ย่อมแน่ว่ามีตกตะลึงไปบ้าง ทว่าค่อนไปทางประหลาดใจมากกว่าที่ว่าที่เจ้าสาวของตนหาใช่จางเจียเฟย แต่แล้วก็รับรู้ได้ถึงเหตุผลที่จางอี้ซวนมาเป็นเจ้าสาวของเขาแทน จางเจียเฟยล้มป่วยหนัก เสียชีวิตไปเมื่อปีกลาย ฮ่องเต้มิทรงทราบ ออกราชโองการให้มีสมรสพระราชทาน แม่ทัพใหญ่จางจึงต้องนำบุตรีคนเล็กซึ่งเกิดจากเมียบ่าวตอนที่เขาย้ายไปอยู่ชายแดนเมื่อยี่สิบปีก่อนมาตบแต่งแทน หลินจิ้นฝูทุกข์โศกแทบไม่เป็นอันกินอันนอน หัวใจของเขาสลายสิ้น ความหวังที่จะได้ครองรักกับหญิงซึ่งเป็นเจ้าของหัวใจกลายเป็นหมันไปเสียแล้ว อันที่จริงเขาอยากจะล้มเลิกการแต่งงานในครั้งนี้ ออกจากราชการไปบวชให้จางเจียเฟยเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ทำอย่างนั้น เห็นทีสกุลหลินคงถูกกุดหัวกุดท้ายเป็นแน่ อีกอย่าง หากไม่แต่ง จางอี้ซวนจะเสื่อมเสียเพราะถูกติฉินนินทาได้ ดังนั้นสมรสพระราชาทานจึงต้องดำเนินต่อไป ไร้เสียงหัวเราะจากเจ้าบ่าวเจ้าสาว ไร้เสียงพูดคุย ไร้ซึ่งความยินดี มีเพียงเหล่าญาติๆ เท่านั้นที่ดูมีความสุขยิ่ง พวกเขา...ไม่ได้อยากจะแต่งงานกันเลยแม้แต่น้อย หากแต่ก็เก็บไว้ในใจ ไม่มีใครพูดสิ่งใดออกมา โดยหารู้ไม่เลยว่ายังมีอีกคนที่ไม่ปรารถนาให้ทั้งสองได้ครองคู่กัน ญาติผู้น้องของหลินจิ้นฝู... หลินซานซาน... นางทอดมองคู่บ่าวสาวในชุดมงคลสมรสสีแดงสดคำนับฟ้าดิน คำนับพ่อแม่ คำนับกันและกัน พลันกำมือแน่น ข่มความเจ็บปวดที่อัดแน่นอยู่ในอกอย่างสุดความสามารถ นางรักหลินจิ้นฝู... รักมาตั้งแต่ครั้งวัยเยาว์แม้จะรู้ดีว่าหัวใจของเขาไม่เคยมีให้นางเฉกเช่นคนรักเลยแม้แต่น้อย นางเป็นได้เพียงญาติผู้น้องของเขาเท่านั้น กระนั้นนางก็ยังรักเขายิ่ง เขาสุข นางก็สุข เขาทุกข์ นางระทมยิ่งกว่า เมื่องานมงคลสมรสในครั้งนี้ผิดแผน นางย่อมรู้ดีว่าญาติผู้พี่ทุกข์ทนเพียงใด ถึงนางจะไม่ยินดีที่เขาต้องตบแต่งกับสตรีอื่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ายินดีที่เห็นหญิงคนรักของเขาตายจาก ในเมื่อเขาไม่มีความสุข แล้วจะตบแต่งกับหญิงอื่นไปเพื่ออะไร สู้แต่งกับนางไม่ดีกว่าหรือ นางมั่นใจว่าสามารถดูแลเยียวยาจิตใจของเขาได้เป็นอย่างดีแน่นอน จะดูแล เทิดทูน เคียงข้าง อยากให้นางทำสิ่งใด นางก็จะทำอย่างไม่เกี่ยงงอน ขอเพียงเจ้าสาวคนนั้นเป็นนาง นางก็จะยินยอมทำทุกอย่าง แต่...คงจะไร้ซึ่งประโยชน์แล้วเมื่อทั้งสองถูกส่งตัวเข้าหอ หลินซานซานทอดมองบานประตูหอที่ปิดสนิทแล้วก็ได้แต่ลอบถอนหายใจกับตนเอง เอาเถิด ในเมื่อเป็นฮูหยินของเขาไม่ได้ นางก็จะญาติดีกับฮูหยินของเขาแล้วกัน อย่างน้อยก็ไม่ทำให้หลินจิ้นฝูต้องทุกข์ทรมานมากไปกว่านี้ พร้อมกับหมายมั่นว่าหากสตรีนางนั้นไม่ใจดีกับญาติผู้พี่ของนาง นางจะไม่ยอมอย่างแน่นอน!

นิยายรักโรแมนติกจบแล้ว

Alien’s Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน1

274·หนูแดง

ผมไม่ได้ไปคลับเป็นครั้งแรก แต่ผมเจอกับเขาเป็นครั้งแรก เขาหล่อ... แต่สภาพเหมือนคนใกล้ตาย และผมก็เมา แต่มั่นใจว่าสติสัมปชัญญะยังครบถ้วน ผมช่วยพยุงเขา ทว่าเขากลับกระซิบบอกว่า... “ขอวางไข่หน่อย” วะ...วางไข่อะไรวะ!?

นิยายรักโรแมนติกจบแล้ว

V-Vine ที่รักครับ...ขอรัดหน่อย

392·หนูแดง

เมื่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก้าวไปข้างหน้า การศึกษาค้นคว้าในขั้นที่สูงขึ้นไปก็ตามมามากขึ้น องค์ความรู้เก่าๆ ถูกปรามาสว่าล้าสมัย แนวคิดใหม่ถูกดึงเข้ามาแทนที่ แนวความคิดที่ว่า ‘พันธุกรรมของมนุษย์ถูกกำหนดไว้ตายตัวแล้ว’ ถูกลบล้างอย่างสิ้นเชิง โครงการศึกษาเกี่ยวกับพันธุกรรมมนุษย์ได้เปิดเผยข้อเท็จจริงที่น่าสนใจเกี่ยวกับยีนของมนุษย์เอาไว้ ‘รหัสพันธุกรรมของมนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงได้’ โครงการ Human Trials (HT) จึงถือกำเนิดขึ้นอย่างลับๆ เป็นโครงการศึกษาการเปลี่ยนแปลงรหัสพันธุกรรมของมนุษย์โดยการใส่พันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตอื่นลงไปแทรกแซง โครงการที่ศึกษาค้นคว้าด้วยการใช้ ‘มนุษย์’ แทนหนูทดลอง มนุษย์ทดลองกลุ่มแรกๆ หนึ่งในนั้น... ...รหัสทดลอง ‘V’

นิยายรักจบแล้ว

แรกพบสบรัก

117·หนูแดง

บทนำ ตอนเป็นเด็ก ผมมักจะฝันพร่ำเพ้ออยู่บ่อยๆ ว่าอยากมีพลังวิเศษจะได้กลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่เหมือนอย่างในโทรทัศน์อะไรแบบนั้น มันเป็นความฝันที่ผมเฝ้าคะนึงหามาตลอดชีวิตวัยเด็กเลยก็ว่าได้ จนกระทั่งอายุได้สิบขวบ พระเจ้าก็ดลบันดาลทำให้ความฝันของผมนั้นเป็นจริงด้วยการมอบพลังวิเศษนั้นมา พลังวิเศษนั่น... ผมได้มายังไงน่ะเหรอ จะอธิบายยังไงดี คือทุกอย่างมันเริ่มต้นจากการที่ผมเกิดจากอุบัติเหตุน่ะ มันไม่ใช่อุบัติเหตุร้ายแรงอะไรหรอก ผมก็แค่ซุกซนตามประสาเด็ก ปีนต้นไม้เล่นกับเพื่อน สมมติว่าตัวเองเป็นยอดมนุษย์อะไรสักอย่างที่ชื่นชอบในสมัยนั้น ก่อนที่จะพลาดพลั้งตกต้นไม้ลงมา หัวกระแทกเข้ากับพื้นอย่างจัง หากทว่าผมกลับไม่ได้มีอาการบาดเจ็บสาหัสอะไรเลยสักกะติ๊ด จะมีก็แต่เพียงหัวแตก เย็บไปไม่กี่สิบเข็มเท่านั้น ทุกอย่างดูเหมือนจะปกติระคนโชคดีที่ผมไม่เป็นอะไรไปมากกว่านี้ใช่ไหมล่ะ แต่ไม่... มันไม่ปกติเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะหลังจากอุบัติเหตุในครั้งนั้น ผมก็มีพลังวิเศษที่พูดไว้ในตอนแรกติดตัวมาเป็นเหาฉลามทันที ส่วนความสามารถของไอ้พลังวิเศษนั่น มันก็คือการมองทะลุเสื้อผ้าบนร่างกายของมนุษย์ได้ทันทีที่ผมสบตากับเจ้าของร่างกายน่ะสิ ว้าว! ฟังดูโชคดีเก๋ไก๋ยูเรก้ามากๆ ใช่ไหมล่ะ คงคิดสินะว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาจนตัวโตขนาดหมาเลียตูดไม่ถึงขนาดนี้ ผมคงได้มองร่างกายสาวๆ จนเปรมไปเลย แต่บอกเลย ถ้าใครคิดอย่างนั้นคือคิดผิดมหันต์ เพราะเพศที่ผมสามารถมองทะลุเสื้อผ้าได้น่ะ ไม่ใช่ผู้หญิง แต่เป็น... ผู้ชาย! แม่งเอ๊ย! ผู้ชายทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกชนชาติเลย! ปวดหัวหนักมาก จะออกจากบ้านไปไหนก็ต้องระวังให้ไม่ไปสบตาใคร ไม่อย่างนั้นล่ะก็ขนลุกเกรียวตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ขนหัวลุกหรือไม่ ก็ลองคิดสภาพตอนที่ผมเรียนมัธยมปลายที่โรงเรียนชายล้วนสิ โอ้โห ดงแตงกวาชัดๆ ไอ้พวกตัวใหญ่หน่อยนี่ก็อาจจะพัฒนาจากแตงกวาที่ขายเหมาเป็นตะกร้าขึ้นมาเป็นแตงกวาที่หุ้มพลาสติกห่ออาหารวางขายตามซูเปอร์มาเก็ต มีขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อยอะไรงี้ แต่จะอะไรก็เอาเถอะ ไอ้การที่ได้ไปอยู่ในดงชีเปลือย เห็นตั้งแต่ของเพื่อนยันของครู ลามไปถึงคนแปลกหน้าเดินโทงเทงผ่านหน้าตลอดเวลา มันก็ทำให้ผมกลายเป็นคนเก็บตัวตั้งแต่บัดนั้นเนื่องจากความหลอนที่ได้เห็นของลับของผู้ชายรอบข้างตลอดเวลา ดีนะที่ครอบครัวผมมีแต่ผู้หญิง ผมเลยไม่ต้องหลอนแม้กระทั่งตอนอยู่บ้านด้วย หลอนหรือไม่ก็ลองคิดดูเถอะ ไอ้พลังวิเศษอะไรนี่มันทำให้ผมที่เมื่อก่อนเป็นคนร่าเริงเจอแตงกวาตามหลอกหลอนจนแทบจะกลายเป็นฮิคิโคโมริ[ ฮิคิโคโมริ (Hikikomori) เป็นคำภาษาญี่ปุ่น ใช้เรียกปรากฏการณ์ที่บุคคลแยกตัวออกมาจากสังคม อยู่อย่างสันโดษและกักขังตัวเองอย่างสุดโต่งโดยมีต้นเหตุมาจากเรื่องราวทางสังคมที่บุคคลนั้นๆ ประสบมา เช่น ความผิดปกติทางบุคลิกภาพ อาการกลัวการเข้าสังคม อาการกลัวที่โล่ง เป็นต้น กระทรวงสาธารณะสุข แรงงานและสวัสดิการของญี่ปุ่นได้จำกัดความคำว่า ฮิคิโคโมริว่าเป็นกลุ่มบุคคลที่ปฏิเสธที่จะออกจากบ้าน และปลีกตัวจากสังคมในบ้านเป็นเวลาอย่างน้อยหกเดือน ระดับของภาวะฮิคิโคโมริมีความแตกต่างกันไปในแต่ละคน ในกรณีร้ายแรงอาจปลีกตัวออกจากสังคมเป็นเวลาปลายปีหรือหลายสิบปี โดยส่วนใหญ่ภาวะนี้เริ่มต้นขึ้นจากการปฏิเสธโรงเรียนหรือสังคมในโรงเรียน] ถ้าไม่มีความจำเป็นอะไร ผมจะไม่ออกจากบ้านเลยด้วยซ้ำ ล่วงเลยมาจนอายุได้ยี่สิบปี เรียนอยู่มหาวิทยาลัยรัฐย่านชานเมืองแล้ว ผมก็ยังคงมีนิสัยแบบนั้นอยู่ ถึงจำเป็นต้องอยู่หอพักเพราะระยะทางจากบ้านไปยังมหาวิทยาลัยมันค่อนข้างไกล ผมก็ยังยืนยันที่จะพักคนเดียวด้วยไม่ต้องการเห็นของรูมเมตตลอดเวลา อย่างน้อยก็ให้ผมได้พักสายตาบ้างอะไรบ้างเถอะ โชคดีที่แม่กับพี่สาวผมก็เข้าใจว่าผมเป็นพวกเข้าสังคมไม่เก่งเลยไม่ได้ติดใจอะไร อยากอยู่คนเดียวก็อนุญาตให้อยู่ไปตามประสาลูกชายและน้องชายคนเล็กที่ใครๆ ก็ต่างมารุมเอาอกเอาใจ ทว่าไอ้ตามประสามันก็เริ่มจะไม่ตามประสาละเมื่อจู่ๆ ช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ พี่สาวผมที่คอยสนับสนุนค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็ตกงานกะทันหัน ลำพังร้านขายอาหารตามสั่งของแม่ที่มีรายได้ไม่แน่นอนก็ไม่เพียงพอต่อการส่งเสียค่าใช้จ่ายส่วนตัวให้ผมทุกเดือน รวมถึงค่าหอพักที่ผมต้องแบกรับคนเดียวโดยไม่มีใครมาหารค่าใช้จ่ายด้วย ผมเลยจำเป็นต้องหารูมเมตอย่างเร่งด่วนแม้ว่าจะไม่ต้องการเลยก็ตาม ก็มันทำใจยากนี่นาไอ้การจะไปอยู่กับคนอื่นแล้วต้องเห็นร่างเปลือยของรูมเมตทุกวันอย่างนั้นน่ะ ใครมันจะไปอยู่ได้กัน แต่อยู่ไม่ได้ก็ต้องอยู่แล้ว ผมไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดจึงไม่มีทางเลือกมากนัก สิ่งที่ควรคิดถึงเป็นอันดับแรกในตอนนี้คือหางานพิเศษทำเพื่อแบ่งเบาภาระทางบ้านก่อน อย่างน้อยการมีเงินก็ทำให้สามารถยืดเวลาในการหารูมเมตออกไปได้เพราะผมยังพอมีเงินจ่ายค่าเช่าหอด้วยตัวเอง แต่งานพิเศษนี่... ทำไมแม่งมีแต่งานที่ต้องไปเผชิญหน้ากับคนอื่นด้วยวะ ไหนจะงานเสิร์ฟ งานบริการตามร้านอาหาร หรืองานพาร์ทไทม์ที่นักศึกษาส่วนใหญ่นิยมทำล้วนเป็นงานที่ต้องไปเจอหน้ากับผู้คนทั้งสิ้น แน่นอนว่าผมเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเผลอไปสบตาผู้ชายด้วยกันอย่างแน่นอนถ้าต้องทำงานแบบนั้น แล้วก็ต้องเจอพืชผักสวนครัวห้อยต่องแต่งให้เห็นจะๆ คาตาอีกด้วย แต่จะไม่หางานทำก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ สุดท้ายผมก็เลยมาลงเอยที่งาน... “วินเอ๊ย เดี๋ยวเอาไม้ถูพื้นเข้าไปเช็ดพื้นหน่อยนะ ตรงแถวๆ โถฉี่น่ะเช็ดเยอะๆ แถวนั้นสกปรกง่าย” “ครับป้า” ...พนักงานทำความสะอาดที่ห้องน้ำชายของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใกล้กับมหาวิทยาลัย ก็ไม่อยากจะมาทำงานแบบนี้หรอก ต้องมาเช็ดคราบปฏิกูลของใครต่อใครบ้างก็ไม่รู้ แต่มันเป็นงานที่หลีกเลี่ยงผู้คนได้ดีที่สุดแล้วไงในเวลาที่ต้องหางานทำแบบกระชั้นชิดอย่างนี้น่ะ ที่ผมว่ามันหลีกเลี่ยงผู้คนได้ดีที่สุดเป็นเพราะเวลาทำความสะอาด ผมสามารถปิดห้องน้ำ กันคนเข้ามาแล้วทำความสะอาดก่อนได้น่ะ จะมีก็แต่พวกป้าๆ พนักงานเหมือนกันเท่านั้นแหละที่ชอบทำความสะอาดเวลามีคนใช้งานอยู่ แต่ผมไม่ทำแบบนั้น มันยุ่งยาก ทำไปให้จบเป็นรอบๆ มันสะดวกกว่า ประเด็นหลักก็คือผมไม่อยากทำงานไป เห็นกระเปี๊ยวของคนอื่นไปพร้อมๆ กัน ยิ่งในห้องน้ำชายนะคุณเอ๊ย ไม่ต้องถามเลยว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ดงชีเปลือยแน่ๆ! จริงๆ การทำความห้องน้ำชายมันก็ไม่ยุ่งยากเหมือนห้องน้ำหญิงนะ ไม่ต้องคอยไปตามเก็บตามกวาดบ่อยๆ ด้วย เรียกได้ว่าถึงจะเป็นงานที่ไม่น่าพิสมัย แต่ก็นับว่าสบายถ้าหากเทียบกับพวกงานเสิร์ฟแล้ว งานนี้ได้ค่าชั่วโมงเท่ากันแต่ไม่จำเป็นต้องไปทำเรื่องหยุมหยิม แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มสำหรับผม ผมคว้าเอาไม้ม็อบกับป้ายพลาสติกที่มีตัวหนังสือว่า ‘กำลังทำความสะอาด’ ออกมาจากห้องเก็บของ รอให้ลูกค้าของห้างที่กำลังใช้งานคนสุดท้ายออกจากห้องน้ำถึงได้เดินเอาป้ายไปตั้ง จากนั้นถึงได้ปิดประตู เตรียมตัวจะกดล็อกเพื่อกันไม่ให้ใครหน้าไหนโผล่เข้ามาก่อนลงมือทำความสะอาดอย่างที่เคยทำ หากแต่พอปลายนิ้วกำลังจะกดล็อกปุ๊บ ไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้ก็วิ่งมาทุบประตูปั๊บ ทุบไม่พอ พยายามบิดลูกบิด ผลักบานประตูเข้ามาด้วย ผมได้สติก็รีบผลักคืนตามสัญชาตญาณทันทีเมื่อรู้ว่าถ้ามันโผล่เข้ามา ผมจะต้องเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นแน่ แต่ไม่ทันละ ไอ้บ้านั่นแรงเยอะมาก ออกแรงผลักมาทีเดียว ผมก็กระเด็นไปอยู่ติดกำแพงหลังประตู ก่อนที่ร่างใหญ่ของผู้ชายคนนั้นจะวิ่งพรวดเข้ามาในห้องน้ำ ร้องตะโกนบอกผมเสียงหลง “ขอโทษนะครับ ผมไม่ไหวแล้ว ขอเข้าหน่อย!” แล้วก็หายเข้าไปในห้องส้วมอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ผมมองตามอย่างระอา แต่เอาเถอะ คงจะทนไม่ไหวจริงๆ แค่อย่าไปสบตาหมอนั่นก็พอแล้วล่ะ ผมตรงเข้ามาคว้าไม้ม็อบ ตั้งท่าจะทำความสะอาดระหว่างรอผู้ชายคนนั้นทำธุระเสร็จอีกครั้ง ทว่าเรื่องมันไม่จบแค่มีไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้พุ่งเข้ามาแค่นั้น มันดันมีพลพรรคเพื่อนของมันพากันกรูตามเข้ามาอีก “ขอโทษครับ พวกผมก็ขอเข้าด้วย” เสียงนั้นถึงกับทำให้ผมชะงักงันไปทันตา โอ้โหพวกมึง! เข้ามากันสี่ซ้าห้าหน่อ กูจะหลบยังไงเนี่ย ห้องน้ำก็เล็กแค่นี้ ปฏิเสธก็ไม่ได้ ดันเป็นลูกค้าของห้าง เลยได้แต่ก้มหน้างุดๆ แล้วเดินหลบมุมไปจนแทบจะสิงกับผนัง ปล่อยให้พวกมันไปยืนเรียงหน้ากระดานตรงโถฉี่ คุยกันเสียงดังพลางเรียกเพื่อนที่อยู่ในห้องน้ำไปด้วย “เร็วๆ นะเว้ยไอ้คชา หนังใกล้จะฉายแล้ว!” “เออ รู้แล้ว รอก่อน!” จากนั้นก็พากันล้อผู้ชายที่ชื่อคชาว่าไปกินอะไรผิดสำแดงมาเลยทำให้ข้าศึกบุกโจมตีกะทันหัน ผมก็ไม่ได้สนใจนักหรอก ก้มหน้าก้มตาถูพื้นอย่างเดียวกระทั่งผู้ชายพวกนั้นจัดการธุระหน้าโถฉี่เสร็จและถอยออกมา ผมเลยได้โอกาสตรงเข้าไปทำความสะอาด ทว่าไอ้จังหวะที่ผมถือไม้ม็อบเปียกน้ำยาฆ่าเชื้อโรคเดินเข้าไปเนี่ย รองเท้าเจ้ากรรมก็ดันลื่นขึ้นมา ทำเอาผมล้มหงายหลังไม่เป็นท่า เสียงดังตึงเรียกให้คนพวกนั้นที่กำลังล้างมืออยู่กรูเข้ามาหาผม ยื่นมือเข้ามาช่วยพยุงอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันได้ร้องขอ “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ใครสักคนช่วยดึงผมขึ้นยืน ผมคว้ามือนั้นไว้อย่างลืมตัวก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามอง จังหวะนั้นเองที่ผมได้สบตากับเจ้าของคู่ข้างนั้น และว้าบบบ... ตาสบตา ใจประสานใจ เสื้อผ้าบนตัวเจ้าของมือก็อันตรธานหายไปทันที หายคนเดียวจะไม่ว่าเลย ไอ้คนอื่นๆ ที่ไม่ได้ช่วยดึงผมขึ้น แต่ทำหน้าที่เป็นไทยมุงจ้องมองผมอยู่ก็ดันหายไปด้วยเหมือนกัน พะ...พวกมึงจะมาสบตากูพร้อมๆ กันทำไมวะเนี่ย! โอ้โห... หันขวาก็มะเขือยาว หันซ้ายก็แตงร้าน เอ้า ไอ้หมอนั่นแตงกวา หมอนั่นมาแปลก ผิวขรุขระ มะระก็แล้วกัน แม่ง กูอุตส่าห์หนีแล้วนะ ยังจะมาโดนพืชผักสวนครัวรุมอีก! ตาจะบอดให้ได้ จะหันหนีเพราะเห็นความต่องแต่งระโยงระยางในทันทีทันใดก็แลดูมีพิรุธ ทำได้แค่หันหนีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไอ้คนที่ดึงผมขึ้นยืนก็ว่าออกมาทันที “สีหน้าไม่ค่อยดีเลย นายโอเคไหม” มีความเป็นห่วงเป็นไยโดยที่ผมไม่ต้องการแต่มันไม่ถามสุขภาพผมเลยสักคำ มันจะไปโอเคอะไรเล่า มึงคิดว่าอยู่ในดงผู้ชายเปลือยเหมือนหนัง GV แนว Gang rape มันโอเคหรือไงวะ! ผมพยายามสงบสติอารมณ์ ไม่คิดว่าตัวเองตกอยู่ในสภาพเหมือนดารา GV เพื่อจะได้สงบจิตสงบใจ หากแต่การไม่พูดอะไรก็ทำให้หมอนั่นถามขึ้นมาอีก “ไปนั่งพักไหม เดี๋ยวช่วยพาออกไป หน้านายซีดมากเลยนะ” เห็นว่าดูอายุรุ่นราวคราวเดียวกันล่ะมั้งถึงได้เริ่มเป็นกันเองมากขึ้น แต่บอกแล้วไงว่าผมไม่ต้องการความช่วยเหลือหรือความเห็นใจใดๆ ทั้งสิ้น เท่านั้นผมก็ส่ายหน้าปฏิเสธ พลันตั้งใจว่าจะหนีออกไป ทว่าประตูห้องส้วมที่ถูกไอ้เวรที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดก็เปิดออกมาก่อน พร้อมกับการปรากฏตัวของผู้ปลดเปลื้องความทุกข์ทุกสรรพสิ่ง “มีอะไรกันวะ” ใครคนนั้นถาม ที่ถามอย่างนั้นเป็นเพราะเห็นเพื่อนตัวเองยืนล้อมหน้าล้อมหลังผม มะรุมมะตุ้มขายผักสดบ้างเหี่ยวบ้างกันอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา และด้วยความที่ผมกลัวว่าจะมีหินงอกหินย้อยมาเพิ่มให้เห็น ผมเลยไม่หันไปมองหมอนั่นขณะที่ใครสักคนพูดขึ้นมา “ไม่มีอะไร หมอนี่แค่ลื่นล้มนิดหน่อยน่ะ” “อ๋อ” อีกฝ่ายตอบรับ ผมสบโอกาสเลยรีบตั้งท่าจะแหวกวงล้อมออกมา “เดี๋ยวขอตัวไปทำงานต่อก่อนนะ” รีบพูดเร็วๆ แต่ไม่มีใครถอยให้เลยสักคน ผมเลยรีบก้มลงคว้าไม้ม็อบ ลุกขึ้นยืนแล้วแหวกกลางวงออกมาเองเสียเลย ทว่าในวินาทีที่ยืนขึ้น มือของใครบางคนก็สัมผัสเข้ามาที่บั้นท้ายผมเข้าอย่างจัง ผมสะดุ้งสุดตัว หันไปมองอย่างรวดเร็วก่อนจะเห็นว่าเป็นคนที่ชื่อคชา พอหมอนั่นเห็นผมมองอย่างตกใจ ก็รีบชูมือขึ้นอย่างรวดเร็ว “มีทิชชูติดก้นอยู่น่ะครับ ผมเลยเอาออกให้” นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย สำคัญที่ว่าตาสบตาอีกแล้ว แต่... ...แต่เสื้อผ้ามันไม่หายไปไหนเว้ยเฮ้ย! ผมมองคนตรงหน้าอย่างอึ้งงันราวกับถูกสต๊าฟเอาไว้ ผู้ชายคนนี้เป็นคนแรกเลยในช่วงระยะเวลาสิบปีที่ผมสบตาแล้วไม่เห็นว่าเสื้อผ้าอันตรธานหายไป ก่อนที่ผมจะสังเกตเอาในตอนนี้ว่าหมอนี่ใส่ชุดนักศึกษา ผูกเนคไทที่มีตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยผมอยู่ งั้นก็แสดงว่าเรียนที่เดียวกันกับผมน่ะสิ!? “นาย...” ผมเบิกตาโต ปากเผยออ้า เปล่งเสียงออกไปอย่างตะลึงงันโดยอัตโนมัติ “ครับ?” อีกฝ่ายเลิกคิ้วสูงตอบรับก่อนที่ผมจะครางออกไป “มะ...มายรูมเมต” ตกลงปลงใจเอาเองเสร็จสรรพว่าจะตามจิกมันมาเป็นรูมเมต ส่วนอีกฝ่าย จากที่ทำหน้าสงสัยว่าผมเรียกทำไม ตอนนี้ทำหน้าเอ๋อกินไปแล้ว ผมก็พูดอะไรออกไปไม่รู้ตัวเหมือนกัน จะอธิบายว่าไอ้ที่พูดเมื่อกี้หมายความว่าอะไรก็ไม่ทันละ มันเห็นท่าไม่ดี ก็รีบปรี่เข้าไปหาเพื่อน ตัดบทเอาดื้อๆ “ไปก่อนนะ ขอโทษที่ทำให้วุ่นวายนะครับ” แต่กูไม่ให้มึงจากไปง่ายๆ หรอกเว้ย! ทำกูโดนพืชผักสวนครัวรุมแล้ว ต้องรับผิดชอบ! ผมกระโจนคว้าแขนหมอนั่นไว้ด้วยความเร็วแสงโดยสัญชาตญาณ คนที่ชื่อคชาหันมามองผมด้วยสีหน้างุนงงระคนตกใจ ส่วนผมก็หลุดพูดออกไปโดยไม่ทันคิด “นายมาอยู่กับเราเถอะ เราสัญญาว่าจะดูแลนายเอง” อีกฝ่ายอึ้งงัน อุทานออกมาเสียงดังราวกับว่าไม่คิดไม่ฝันว่าจะต้องมาได้ยินอะไรแบบนี้ “พะ...พูดอะไรวะเนี่ย!” อะไรก็ไม่รู้ล่ะ แต่มาอยู่ด้วยกันเถอะ ขอร้องล่ะ! 【 ฮิคิโคโมริ (Hikikomori) เป็นคำภาษาญี่ปุ่น ใช้เรียกปรากฏการณ์ที่บุคคลแยกตัวออกมาจากสังคม อยู่อย่างสันโดษและกักขังตัวเองอย่างสุดโต่งโดยมีต้นเหตุมาจากเรื่องราวทางสังคมที่บุคคลนั้นๆ ประสบมา เช่น ความผิดปกติทางบุคลิกภาพ อาการกลัวการเข้าสังคม อาการกลัวที่โล่ง เป็นต้น กระทรวงสาธารณะสุข แรงงานและสวัสดิการของญี่ปุ่นได้จำกัดความคำว่า ฮิคิโคโมริว่าเป็นกลุ่มบุคคลที่ปฏิเสธที่จะออกจากบ้าน และปลีกตัวจากสังคมในบ้านเป็นเวลาอย่างน้อยหกเดือน ระดับของภาวะฮิคิโคโมริมีความแตกต่างกันไปในแต่ละคน ในกรณีร้ายแรงอาจปลีกตัวออกจากสังคมเป็นเวลาปลายปีหรือหลายสิบปี โดยส่วนใหญ่ภาวะนี้เริ่มต้นขึ้นจากการปฏิเสธโรงเรียนหรือสังคมในโรงเรียน 】

นิยายรักจบแล้ว

เสี้ยวอสูร

296·หนูแดง

บทนำ เมื่อครั้งทัพสวรรค์ได้รับบัญชาจากองค์เง็กเซียนให้ไปปราบกบฏเมืองบาดาลอันเป็นที่สิงสถิตของเทพมังกรวารี ในโทษฐานที่จักรพรรดิเมืองบาดาลริอ่านแข็งข้อต่อคำสั่ง กล้าให้ที่พักพิงแก่เทพเซียนที่ผันตัวเป็นปีศาจสังหารมนุษย์ เหล่าแม่ทัพสวรรค์ก็ได้กรีธาทัพไปตามรับสั่ง หากแต่เมื่อถึงที่หมาย บัญชาสวรรค์จากองค์เง็กเซียนกลับมลายสิ้นด้วยสายใยผูกพันดั่งมิตรสหายของจักรพรรดิมังกรวารีและบรรดาแม่ทัพสวรรค์ช่างแน่นแฟ้น อีกทั้งปีศาจที่ใช้เมืองบาดาลแห่งนี้เป็นที่หลบซ่อนตัวก็หาใช่ผู้อื่นไกล หากแต่เป็นโอรสของเทพมังกรวารี เท่ากับว่ามีศักดิ์เป็นหลานของเหล่าแม่ทัพที่ชิดเชื้อ แม้ไม่ควรให้สายสัมพันธ์นี้มาขัดต่อหน้าที่ กระนั้นความเป็นพี่น้องและสหายร่วมสาบานก็มิอาจตัดขาด เหล่าแม่ทัพสวรรค์แสร้งทำลายเมืองบาดาลทิ้งเสียย่อยยับ เปิดช่องทางให้สหายเทพมังกรของตนพาโอรสหลบหนีไปยังที่เร้นลับให้พ้นจากสายพระเนตรขององค์เง็กเซียน ทว่า... พวกเขาคงลืมไปกระมังว่าองค์เง็กเซียนคือประมุขสวรรค์ เป็นจักรพรรดิของเหล่าเทพทั้งปวง การตบตานี้หรือจะทำให้หลงเชื่อได้โดยง่าย ครั้นเหล่าแม่ทัพสวรรค์กลับมาพร้อมกราบทูลการปฏิบัติหน้าที่ ครานั้นเองที่ ทุกคนต่างต้องโทษกันถ้วนหน้า ‘กบฏสวรรค์’ เป็นคำกล่าวหาที่เสมือนกับตราประทับที่ผนึกแน่นอยู่กลางหน้าผาก เหล่าแม่ทัพสวรรค์ละอายแก่ใจยิ่งนัก แต่นั่นก็หาได้เป็นโทษที่สาสมกับการขัดพระบัญชาไม่ องค์เง็กเซียนทรงเนรเทศพวกเขาและเหล่าทหารในกองทัพออกจากเขตสวรรค์ ตัดขาดทุกความเมตตาทั้งปวงที่เคยมีมาตั้งแต่โบราณกาลเสียสิ้น เมื่อสวรรค์ซึ่งเป็นประหนึ่งบ้านมิอาจหวนกลับได้ และเมืองบาดาลก็ถูกทำลายหมดทั้งสิ้นแล้ว สถานที่แห่งเดียวที่เหล่าแม่ทัพสวรรค์จะพำนักพักพิงจึงหนีไม่พ้นโลกมนุษย์ หากแต่เมื่อพากันลงมายังที่หมาย ฝ่าเท้าที่สัมผัสแผ่นดินนั้นพลันทำให้ร่างกายของพวกเขาถูกกองเพลิงห่อหุ้มไว้ เผาผลาญรูปลักษณ์อันงดงามจนมอดไหม้ไม่เหลือชิ้นดี แต่...เทพสวรรค์ไม่มีวันดับสูญ เหล่าแม่ทัพจึงอุบัติใหม่อีกคราในร่างที่พวกเขาหาได้เคยคาดคิดมาก่อน ร่างกายอันอัปลักษณ์... กึ่งมนุษย์ กึ่งสัตว์... อมนุษย์... มันเป็นการลงโทษจากสวรรค์! เรือนกายแปรเปลี่ยนเป็นสรรพสัตว์ตามอุปนิสัยโดดเด่นของแต่ละคน กระนั้นก็หาได้สำคัญเท่ากับการที่พวกเขากลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘เทพอสูร’ เหล่านั้นคือคำขานเรียกเทพตกสวรรค์ แต่ถึงอย่างนั้น บทลงโทษก็หาได้ยุติเพียงเท่านี้ นอกจากจะมีเรือนกายอัปลักษณ์แล้ว พวกเขายังถูกตราหน้าให้เป็นมลทินด่างพร้อมอีก ด้วยในสายตาของเหล่ามนุษย์หาได้มองว่าพวกเขาเป็นอดีตเทพเซียนแต่อย่างใด หากแต่คือเหล่าอสุรกายที่คอยเบียดเบียน ช่วงชิง และครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างไปจากมนุษย์ คุณงามความดีใดที่ พวกเขาเคยสร้างไว้ให้มนุษย์เหล่านั้นเมื่อครั้งยังอยู่บนสวรรค์ถูกลบเลือนไปหมดสิ้น และจะถูกมองชั่วนิรันดร์อย่างรังเกียจเดียดฉันท์... เช่นนั้น...ตราบนิรันดร์

นิยายYaoiจบแล้ว

เสน่หากุมภัณฑ์

436·หนูแดง

อารัมภบท กล่าวกันว่านอกอารัญมีแคว้นราพณาสูรอันศิวิไลซ์เป็นที่เรียกขานว่า ปรมะ กษัตริย์ผู้ปกครองนครเรืองรองแห่งนี้เป็น จอมทัพอสุรา ผู้เกรียงไกรนามว่า ไอศูรย์ ข้างกายจอมทัพอสุราตนนี้มียอดพธูซึ่งได้ชื่อว่าเป็นทั้งราชครูและยอดชู้เคียงกาย ยักษ์ตนนั้นมีนามว่า วิรัลย์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียงราชกุมารท้ายแถวแห่งแคว้นเวรุฬา หากแต่บัดนี้เป็นถึงผู้ยิ่งใหญ่กว่าจอมทัพอสุรา ด้วยนอกจากจะเป็นสหายคู่คิดแล้ว ยังเป็นคู่เคียงครองที่ไอศูรย์ยอมสละทุกสิ่งเพื่อที่จะได้มีวิรัลย์ข้างกาย แม้คู่ชู้ชื่นนี้จะเป็นยักษาด้วยกันทั้งคู่ ทว่าทั้งไอศูรย์และวิรัลย์กลับมีโอรสซึ่งสืบเชื้อสายอสุรขัตติยากันถึงสองตนด้วยกัน เป็นที่รู้กันถ้วนหน้าว่าโอรสทั้งคู่นั้นเกิดจากดินที่ผ่านการบริกรรมคาถาจากพระฤๅษีผู้ควบคุมเขตอาคมระหว่างแดนมนุษย์และแดนยักษ์ ถึงวิรัลย์จะไม่ได้คลอดออกมาเองจากร่าง แต่โอรสทั้งสองก็มีเลือดเนื้อเชื้อไขของไอศูรย์และวิรัลย์อย่างเต็มเปี่ยม อีกทั้งยักษ์น้อยทั้งสองยังเป็น...ฝาแฝด เจ้าวรรศ...แฝดผู้พี่ เจ้าศวรรย์...แฝดผู้น้อง เป็นแฝดยักษ์ยังไม่น่าประหลาดใจเท่ากับการเป็นโอรสที่เกิดจากการร้องวิงวอนขอจากเทวดา เป็นยักษ์ที่กำเนิดแบบสังเสทชะ ซึ่งก็คือกำเนิดจากเหงื่อไคล ทั้งที่ยักษ์ประเภทนี้มีฤทธาอำนาจ เป็นอสุราชั้นสูง ถิ่นที่อยู่คือวิมานบนสวรรค์ แต่กลับมาเดินดินเช่นนี้ก็สร้างความน่าอัศจรรย์ใจ จนสองแฝดยักษ์น้อยเป็นที่กล่าวขวัญกันไปทั่วหล้าว่ามีบุญญาธิการยิ่งนัก ชื่อเสียงเลื่องลือขจรขจาย ไม่ว่าผู้ใดที่มาเยือนยังปรมะก็ล้วนแล้วแต่ปรารถนาจะได้พบพานสองอสุราให้เป็นวาสนา ได้พบก็ว่าเป็นบุญแล้ว แต่เมื่อได้ประสบพบพักตร์กลับเป็นบุญตายิ่งกว่า ด้วยสองยักษ์แฝดนั้น นอกจากจะมีต้นกำเนิดผิดแผกจากยักษ์ทั่วไปแล้ว ยังมีรูปโฉมงดงามชวนให้หลงใหลทั้งที่ยังเยาว์วัย และได้รับความเอ็นดูอย่างล้นเหลือถึงขนาดที่ปรมะเคยเกิดศึกเพราะกษัตริย์แคว้นอื่นหลงในรูปลักษณ์ของสองยักษ์น้อยจนหมายจะช่วงชิงมาครอบครอง และเป็นที่แน่นอนว่าบิดาอย่างไอศูรย์นั้นไม่ยอมเป็นอย่างยิ่ง หัวเด็ดตีนขาดอย่างไร สองดวงแก้วอสุราของเขาก็จะไม่ยกให้ผู้ใดทั้งนั้น! จากศึกครั้งนั้นทำเอาแคว้นชั่วพินาศสิ้น กลายเป็นที่ประจักษ์กันอีกว่าไอศูรย์หวงแหนโอรสทั้งสองของตนมากเพียงใด ถึงขั้นเขี้ยวโค้งงองุ้มเกือบถึงปลายจมูกเช่นนั้น เห็นทีแม้แต่ปลายเกศาของสองเจ้ายักษ์แฝดก็คงจะมิอาจแตะต้องได้ กระนั้นความหวงแหนของไอศูรย์ก็หาได้ทำให้ผู้ที่พบเห็นเจ้าวรรศและเจ้าศวรรย์ละเลิกความหลงใหลได้เลยแม้แต่น้อย ยิ่งทั้งสองเติบใหญ่ ความน่าเสน่หาก็มากขึ้นทบเท่าทวี รูปโฉมงดงามชวนให้ผินหน้ามองตามยามเดินผ่าน ผิวเนื้อนวลสีทองอร่าม เส้นผมพลิ้วไสวดุจแพรไหม...เหล่านี้ล้วนเป็นทรัพย์ที่ได้จากวิรัลย์ ทว่าในขณะเดียวกัน กล้ามเนื้อตามร่างกายเป็นมัด ท่าทางองอาจผ่าเผย ดวงตาเรียวยาวฉายประกายความเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มที่แฝงไปด้วยเพทุบาย เหล่านี้กลับได้มาจากไอศูรย์ ผนวกรวมกันแล้ว งดงามหยาดฟ้ามาดินราวกับเทวดาลงมาอุบัติ ต่อให้ไอศูรย์หวงแหนแสนรักอย่างไรก็มิอาจทำให้แว่นแคว้นอื่นหักห้ามที่จะได้ครอบครองหรือดองเป็นแผ่นดินเดียวกับปรมะได้ ยิ่งบัดนี้เจ้าวรรศและเจ้าศวรรย์อยู่ในวัยครองเรือนแล้ว อายุอานามก้าวย่างสิบแปดขวบปี รูปโฉมสง่างามกว่าเดิมเป็นที่เลื่องระบือ เหล่าราชทูตจากต่างแคว้นก็พากันแห่แหนมาทูลขอให้องค์ยุพราชของตนบ้าง ราชกุมารหรือพระธิดาในกษัตริย์ของตนบ้าง ...เป็นเช่นนี้ไม่เว้นวัน ทำเอาไอศูรย์ถึงกับเขี้ยวงอกยาวกว่าเดิมวันละสามเวลา เสน่หาของกุมภัณฑ์สองตนนี้ช่างเป็นที่น่าปวดเศียรเวียนเกล้าเสียเหลือเกิน

นิยายYaoiจบแล้ว

Master Jg== Me คุณท่านของผม

236·หนูแดง

หลังยุคทุนนิยมล่มสลาย โลกเปลี่ยนแปลงไปไม่เหลือเค้าเดิม สามชนชั้นถือกำเนิดขึ้นใหม่ ‘นาย’ ‘ไท’ และ ‘ทาส’ เมื่อไม่สามารถเอาตัวรอดได้ในสังคมอันโหดร้าย ผู้คนจึงจำหน่ายตัวเองเป็นทาสเข้าสังกัดนาย ‘ทวิช’ เป็นหนึ่งในผลพวงนั้น เด็กหนุ่มถูกจำหน่ายเข้าเป็นทาสในสังกัดของ ‘เวหา จันทรานิรันดร์’ และนั่นคือการจำหน่ายครั้งสุดท้ายในความเป็นทาสเพราะทวิชหมายมั่นปั้นมือว่าเมื่ออายุครบยี่สิบ เขาจะใช้ชีวิตของเขาเพื่อไถ่ตัวเองเป็นไท ความแน่วแน่และบ้าบิ่นของเด็กหนุ่มทำให้เวหาซึ่งไม่เคยรู้ว่ามีทาสใจกล้าอยู่ในสังกัดอดไม่ได้ที่จะให้ความสนใจ ความสนุกจากการได้เห็นทวิชเล่นกับชีวิตของตนเองแปรเปลี่ยนไปเมื่อเวหาค้นพบว่าทวิชไม่เหมือนกับทาสทั่วๆ ไป รู้ตัวอีกที…ก็ตกหลุมรักทาสของตนไปแล้ว หากแต่ทวิชคือลูกนกที่สยายปีกแผ่กว้างเตรียมออกบิน ท้องฟ้าอย่างเขาจะต้องทำอย่างไรถึงจะได้หัวใจของนกตัวนั้นมาโบยบินอยู่ข้างกายเขาสิ่งของมีค่าเท่าไรถึงจะมากพอที่จะซื้ออิสระของเด็กหนุ่มได้… เป็นเรื่องที่เวหาคิดไม่ตกเสียเหลือเกิน…

นิยายรักโรแมนติกจบแล้ว