บทย่อ
บทนำ เมื่อครั้งทัพสวรรค์ได้รับบัญชาจากองค์เง็กเซียนให้ไปปราบกบฏเมืองบาดาลอันเป็นที่สิงสถิตของเทพมังกรวารี ในโทษฐานที่จักรพรรดิเมืองบาดาลริอ่านแข็งข้อต่อคำสั่ง กล้าให้ที่พักพิงแก่เทพเซียนที่ผันตัวเป็นปีศาจสังหารมนุษย์ เหล่าแม่ทัพสวรรค์ก็ได้กรีธาทัพไปตามรับสั่ง หากแต่เมื่อถึงที่หมาย บัญชาสวรรค์จากองค์เง็กเซียนกลับมลายสิ้นด้วยสายใยผูกพันดั่งมิตรสหายของจักรพรรดิมังกรวารีและบรรดาแม่ทัพสวรรค์ช่างแน่นแฟ้น อีกทั้งปีศาจที่ใช้เมืองบาดาลแห่งนี้เป็นที่หลบซ่อนตัวก็หาใช่ผู้อื่นไกล หากแต่เป็นโอรสของเทพมังกรวารี เท่ากับว่ามีศักดิ์เป็นหลานของเหล่าแม่ทัพที่ชิดเชื้อ แม้ไม่ควรให้สายสัมพันธ์นี้มาขัดต่อหน้าที่ กระนั้นความเป็นพี่น้องและสหายร่วมสาบานก็มิอาจตัดขาด เหล่าแม่ทัพสวรรค์แสร้งทำลายเมืองบาดาลทิ้งเสียย่อยยับ เปิดช่องทางให้สหายเทพมังกรของตนพาโอรสหลบหนีไปยังที่เร้นลับให้พ้นจากสายพระเนตรขององค์เง็กเซียน ทว่า... พวกเขาคงลืมไปกระมังว่าองค์เง็กเซียนคือประมุขสวรรค์ เป็นจักรพรรดิของเหล่าเทพทั้งปวง การตบตานี้หรือจะทำให้หลงเชื่อได้โดยง่าย ครั้นเหล่าแม่ทัพสวรรค์กลับมาพร้อมกราบทูลการปฏิบัติหน้าที่ ครานั้นเองที่ ทุกคนต่างต้องโทษกันถ้วนหน้า ‘กบฏสวรรค์’ เป็นคำกล่าวหาที่เสมือนกับตราประทับที่ผนึกแน่นอยู่กลางหน้าผาก เหล่าแม่ทัพสวรรค์ละอายแก่ใจยิ่งนัก แต่นั่นก็หาได้เป็นโทษที่สาสมกับการขัดพระบัญชาไม่ องค์เง็กเซียนทรงเนรเทศพวกเขาและเหล่าทหารในกองทัพออกจากเขตสวรรค์ ตัดขาดทุกความเมตตาทั้งปวงที่เคยมีมาตั้งแต่โบราณกาลเสียสิ้น เมื่อสวรรค์ซึ่งเป็นประหนึ่งบ้านมิอาจหวนกลับได้ และเมืองบาดาลก็ถูกทำลายหมดทั้งสิ้นแล้ว สถานที่แห่งเดียวที่เหล่าแม่ทัพสวรรค์จะพำนักพักพิงจึงหนีไม่พ้นโลกมนุษย์ หากแต่เมื่อพากันลงมายังที่หมาย ฝ่าเท้าที่สัมผัสแผ่นดินนั้นพลันทำให้ร่างกายของพวกเขาถูกกองเพลิงห่อหุ้มไว้ เผาผลาญรูปลักษณ์อันงดงามจนมอดไหม้ไม่เหลือชิ้นดี แต่...เทพสวรรค์ไม่มีวันดับสูญ เหล่าแม่ทัพจึงอุบัติใหม่อีกคราในร่างที่พวกเขาหาได้เคยคาดคิดมาก่อน ร่างกายอันอัปลักษณ์... กึ่งมนุษย์ กึ่งสัตว์... อมนุษย์... มันเป็นการลงโทษจากสวรรค์! เรือนกายแปรเปลี่ยนเป็นสรรพสัตว์ตามอุปนิสัยโดดเด่นของแต่ละคน กระนั้นก็หาได้สำคัญเท่ากับการที่พวกเขากลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘เทพอสูร’ เหล่านั้นคือคำขานเรียกเทพตกสวรรค์ แต่ถึงอย่างนั้น บทลงโทษก็หาได้ยุติเพียงเท่านี้ นอกจากจะมีเรือนกายอัปลักษณ์แล้ว พวกเขายังถูกตราหน้าให้เป็นมลทินด่างพร้อมอีก ด้วยในสายตาของเหล่ามนุษย์หาได้มองว่าพวกเขาเป็นอดีตเทพเซียนแต่อย่างใด หากแต่คือเหล่าอสุรกายที่คอยเบียดเบียน ช่วงชิง และครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างไปจากมนุษย์ คุณงามความดีใดที่ พวกเขาเคยสร้างไว้ให้มนุษย์เหล่านั้นเมื่อครั้งยังอยู่บนสวรรค์ถูกลบเลือนไปหมดสิ้น และจะถูกมองชั่วนิรันดร์อย่างรังเกียจเดียดฉันท์... เช่นนั้น...ตราบนิรันดร์
บทที่ 1: โจรทะเลทราย【1】
เสียงฝีเท้าหนักๆ ของอาชาหนุ่มวิ่งย่ำไปบนผืนทะเลทราย สีทองดังกึกก้องไปทั่วอาณาเขตอันเวิ้งว้าง กระนั้นก็หาได้ทำให้ชายหนุ่มผู้ควบม้าสีดำปลอดนำหน้าขบวนสนใจได้ ในหัวเขามีเพียงความตั้งใจเดียวเท่านั้นที่ผุดพรายเข้ามาในชั่วยามนี้
จะต้องกลับไปเค้นถามความจริงจากท่านพ่อ!
ใช้เวลาไม่นานนัก เหล่านักรบแห่งทะเลทรายก็มาถึงยังจุดหมาย เบื้องหน้าเป็นภาพของกลุ่มคนที่ถูกเรียกขานว่าเป็นชนเผ่าเร่ร่อนกำลังสาละวนกับการขนถ่ายถุงบรรจุน้ำที่ทำจากหนังสัตว์จากหลังเกวียนเทียมม้าและอูฐอยู่ แต่ทุกชีวิตก็ต้องหยุดเคลื่อนไหวลงทันทีที่ร่างสูงของชายหนุ่มทิ้งตัวลงจากหลังม้าคู่ใจ ก่อนจะแผดเสียงดังลั่นพร้อมกับสีหน้าเกรี้ยวกราด
“ท่านพ่อของข้าอยู่ที่ไหน!”
ไร้ซึ่งสรรพเสียงตอบรับ ยิ่งทำให้สีหน้าและแววตาของชายหนุ่มฉกรรจ์ฉายความไม่พอใจออกมาอีก
“ข้าถามว่าอยู่ที่ไหน! ซิ่นจินอยู่ที่ไหน!”
ประโยคแรกถามถึงบิดา ประโยคต่อมาเป็นชื่อหญิงสาวที่เขารู้จักดี
จะไม่ให้รู้จักดีได้อย่างไรกัน ในเมื่อชื่อนั้นเป็นของน้องสาวฝาแฝดที่อาศัยครรภ์มารดาร่วมกัน นางหายตัวไปตอนที่เขาออกไปปล้นกองคาราวานเช่นนี้ หาใช่เรื่องที่เขาจะไม่เป็นเดือดเป็นร้อนได้ไม่
เมื่อโทสะพวยพุ่งมากกว่าเดิม คำตอบที่ ซิ่นเฉิงต้องการก็ได้รับใน บัดนั้นเมื่อคนที่เขาถามหาได้ปรากฏกายออกจากกระโจมผ้าซึ่งเย็บมุงด้วยหนังสัตว์
“เหตุใดต้องเสียงดัง จะตามตัวข้า เจ้าก็เพียงเดินเข้ามาที่นี่”
ชายวัยกลางคนท่าทางอ่อนแอผู้นั้นคือบิดาของเขาและผู้ดำรงตำแหน่งผู้นำชนเผ่าเร่ร่อนเผ่านี้
ครั้นซิ่นเฉิงเหลือบเห็นก็พลันก้าวอาดๆ เข้าไปหา เสียงเครื่องประดับเงินที่สวมห้อยตามลำตัวแกร่งดังกระทบกันเป็นจังหวะการเคลื่อนไหว ก่อนจะหยุดลงเมื่อมีเสียงแหบห้าวของเขาดังกลบ
“ข้าได้ยินว่าท่านพ่อยกซิ่นจินให้เป็นฮูหยินของเทพอสูร หมายความเช่นไร”
ไม่รอช้า ซิ่นเฉิงถามในสิ่งที่ตนอยากรู้ ตอนที่เขาเดินทางไปกับนักรบของชนเผ่าเพื่อออกปล้นตามวิสัย ยังไม่ทันจะได้พบเป้าหมาย ก็มีม้าเร็วมาแจ้งข่าวว่าน้องสาวฝาแฝดถูกส่งตัวไปยังแคว้นเฟิงฝู ซึ่งเป็นแคว้นที่ถูกครอบครองโดยเหล่าเทพอสูรที่ได้ชื่อว่าเป็นอสุรกาย แม้เขาจะไม่เคยพบพานเทพอสูรเหล่านั้นมาก่อน แต่ก็รู้ดีว่าคนเหล่านั้นหาใช่มนุษย์เฉกเช่นพวกเขาแต่อย่างใด หากแต่เป็นอมนุษย์ที่มีร่างกายบางส่วนเป็นสัตว์และอีกบางส่วนเป็นมนุษย์ ครั้นได้ยินว่าซิ่นจินถูกยกให้ไปตบแต่งเป็นฮูหยินของชายที่นางไม่ได้มีใจปฏิพัทธ์ ซิ่นเฉิงก็โกรธเสียจนคลั่ง เมื่อได้ยินว่าชายที่จะมาเป็นสามีของนางเป็นอสุรกาย เขาก็ยิ่งเดือดดาลหนัก รีบห้อตะบึงกลับมายังจุดพำนักของชนเผ่าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมาเค้นความจริงจากบิดาอย่างที่เป็นอยู่นี้
“เจ้าได้ยินมาเช่นไร มันก็หมายความเช่นนั้น” ผู้เป็นบิดาตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ หากทว่าสร้างความเดือดดาลให้กับบุตรชายมากกว่าเดิม
“อย่าได้บอกข้าเชียวว่าท่านพ่อเอานางไปแลกกับน้ำเหล่านี้!” ตะเบ็งเสียงพลางชี้นิ้วไปยังถุงบรรจุน้ำมากมายเบื้องหลัง
อีกฝ่ายไม่ตอบใดๆ แต่ความเงียบนั่นแหละที่เป็นคำตอบชัดเจน
“ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร นางเป็นลูกของท่านนะ” ซิ่นเฉิงผิดหวังในตัวบิดาไม่น้อย สีหน้าโกรธเกรี้ยวเสียจนบูดเบี้ยวไม่น่ามอง
คนอาวุโสกว่าสบดวงตาเต็มไปด้วยโทสะของบุตรชายเพียงครู่ ก่อนว่าออกมา
“ซิ่นเฉิง เจ้าเห็นหรือไม่ว่าคนในเผ่าเราต้องอดอยากล้มตายกันมากมายเพียงใด เจ้าจะทนเห็นพวกเขา ทั้งคนเฒ่า สตรี อีกทั้งลูกเด็กเล็กแดงต้องขาดใจตายด้วยกระหายน้ำเช่นนั้นหรือ?”
“ก็เลยเป็นเหตุผลที่ท่านพ่อนำบุตรสาวตนเองไปแลกกับน้ำอย่างนั้นสิ”
ไร้ซึ่งสุ้มเสียงใดๆ ตอบกลับมาจากชายวัยกลางคนตรงหน้าอีกครา ทำเอาซิ่นเฉิงบันดาลโทสะกว่าเดิม หากคนตรงหน้าหาใช่บิดาของเขา เขาคงจะไม่รอช้าที่จะชักดาบวงพระจันทร์เสี้ยวที่สะพายอยู่ข้างเอวออกมาสังหารเสียให้สิ้นแล้ว
เพราะทำไม่ได้จึงได้แต่จ้องใบหน้าหยาบกร้านของบิดาเขม็ง กดเสียงต่ำออกมา
“ท่านจะต้องเสียใจที่ทำเช่นนี้”
สิ้นเสียงก็สะบัดกาย เดินหนีไปอีกทางท่ามกลางสายตาของสมาชิกเผ่าที่มองเขาด้วยความหวาดหวั่น ว่าหลังจากนี้ซิ่นเฉิงจะกระทำการไม่คาดฝัน นั่นก็คือ...การไปช่วงชิงตัวซิ่นจินกลับมา
ไม่เว้นแม้แต่บิดาเองที่คิดเห็นเช่นนั้น ทันทีที่เห็นร่างสูงก้าวจากไปก็รีบร้องเรียกทันควัน
“เจ้าจะไปไหนกันซิ่นเฉิง”
คนถูกเรียกชะงักเล็กน้อย หันมามองด้วยแววตายากจะอ่าน ก่อนคำพูดของเขาจะทำให้ทุกคนที่ได้ยินแทบหยุดหายใจ
“ข้าจะไปพาซิ่นจินกลับ”
ไม่ผิดจากที่คาดการณ์ไว้แม้แต่น้อย ผู้เป็นบิดาไม่เห็นด้วย รีบเดินเข้ามาหาพลางร้องห้าม
“เจ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้นะซิ่นเฉิง นางกำลังจะเป็นฮูหยินของท่าน แม่ทัพเทียนอี้ คงเข้าพิธีสมรสอีกไม่กี่ราตรีข้างหน้า เจ้าจะช่วงชิงมาไม่ได้”
ซิ่นเฉิงส่งเสียงหึในลำคอ มุมปากยิ้มเย้ย “ช่วงชิงมาไม่ได้ เป็นเพราะท่านพ่อกลัวเช่นนั้นหรือ?”
ไม่ต้องตอบรับ เพียงแววตาที่มองมายังบุตรชายก็เป็นคำตอบแล้วว่าเขากลัวอมนุษย์ตนนั้นเพียงใด หากไม่เป็นเพราะเขาและสมาชิกในเผ่าหาได้รู้ว่าบ่อน้ำกลางทะเลทรายบ่อเล็กๆ ที่บังเอิญเจอขณะรอนแรมไปหาที่พำนักใหม่นั่นเป็นของเทียนอี้ หนึ่งในแม่ทัพเทพอสูรซึ่งครองแค้วนเฟิงฝูที่ได้ชื่อว่าเป็นแคว้นอันอุดมสมบูรณ์ท่ามกลางทะเลทรายแห้งแล้งแห่งนี้ เขาก็คงจะไม่ถูกทหารของเทียนอี้จับโทษฐานบุกรุก โทษของการขโมยย่อมร้ายแรงถึงชีวิตและเพื่อไม่ให้สมาชิกในเผ่าคนอื่นๆ ต้องสูญเสียเพราะความโง่เขลาของตน การสละสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตไปเพื่อแลกเปลี่ยนกับชีวิตของคนอีกหลายคนย่อมเป็นสิ่งที่ควรกระทำ หากแต่ซิ่นเฉิงหาได้คิดเช่นนั้นไม่ เมื่อเห็นบิดาไม่ให้คำตอบ เขาก็นึกคับแค้นใจ
“ไหนท่านเคยบอกกับข้าว่าซิ่นจินเป็นสิ่งล้ำค่าของท่าน นางมีใบหน้าละม้ายคล้ายท่านแม่ ไม่ว่าตัวต้องตายก็จะไม่ยอมเสียให้ผู้ใดไปอย่างไรล่ะ”
ไม่สนใจแม้จะถามด้วยซ้ำว่าเทียนอี้ผู้นั้นคือใครกันแน่ หรือบิดาและสมาชิกในเผ่าคนอื่นๆ ถูกทหารอมนุษย์ของเทียนอี้พบเจอได้เช่นไร ในหัวของเขามีเพียงภาพดวงหน้าของซิ่นจิน...น้องสาวฝาแฝดของเขาที่ต้องรับเคราะห์แทนความโง่เขลาของบิดา
ถึงนางจะมีใบหน้าคล้ายคลึงกับผู้เป็นพี่ หากแต่กลับคล้ายมารดามากกว่าเสียอีก นางงดงาม แม้จะเป็นสตรีในชนเผ่าเร่ร่อน แต่ความงามของนางก็ไม่เป็นรองผู้ใด จึงไม่แปลกหากซิ่นเฉิงจะหวงนางมาก ก็นางเป็นทั้งน้อง และเป็นของล้ำค่าของเขาเช่นกันนี่ ตั้งแต่มารดาสิ้นไป ก็มีซิ่นจินนี่แหละที่เยียวยาจิตใจของเขาให้แข็งแกร่งเฉกเช่นทุกวันนี้ ขณะที่ผู้เป็นบิดาละเลยเขาราวกับไร้ตัวตน มาเห็นว่ามีประโยชน์เอาก็ตอนที่เขาเติบใหญ่และก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้านักรบของเผ่า ตอนนั้นเองที่บิดาเริ่มเรียกหาเขา แต่นั่นก็เป็นไปเพื่อการใช้งานเท่านั้น
“ซิ่นเฉิง...” ครั้นถูกบุตรชายพูดแทงใจดำ น้ำเสียงแห้งผากก็ครางเรียกชื่ออีกฝ่าย
ซิ่นเฉิงยิ้มเย้ย “ท่านตระบัดสัตย์” จากนั้นก็หันหลัง ก้าวเดินหนีไปยังกลุ่มนักรบทะเลทรายที่รู้ดีว่าหลังจากนี้ พวกเขาจะต้องทำอะไร ทว่าก็ต้องชะงักอีกคราเมื่อเสียงของบิดาลอยมาตามลม
“เจ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้ เจ้าจะทำให้คนในเผ่าเราเดือดร้อน!”
ซิ่นเฉิงเหลือบไปมอง ขณะที่บิดายังคงพูดต่อ
“เจ้าจะขึ้นดำรงตำแหน่งแทนข้าในภายภาคหน้า ทำการสิ่งใดก็จงคิดถึงคนในเผ่าไว้ด้วย”
ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง คล้ายกับจะรับฟัง หากแต่ไม่ เขาก้าวเดินต่อไป ทำให้บิดาหมดสิ้นซึ่งความอดทน
“หากเจ้าขึ้นหลังม้า ข้าจะถือว่าเจ้าหาใช่คนของเผ่าอีกต่อไป!”
ซิ่นเฉิงหันขวับมามอง คำรามในลำคอเล็กน้อย ก่อนว่าเสียงเครียด
“ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็จะต้องพาซิ่นจินกลับมา”
จากนั้นก็กระโดดขึ้นหลังม้า เหลือบมองบรรดานักรบหนุ่มที่ร่วมปล้นเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาหลายปี พลันร้องถาม
“ผู้ใดจะไปกับข้า ขอให้ขึ้นม้าประเดี๋ยวนี้!”
ชายฉกรรจ์พากันลังเลใจครู่หนึ่ง จากนั้นก็กระโดดขึ้นหลังม้าอย่างพร้อมเพรียง ถึงพวกเขาจะรักและเคารพบิดาของซิ่นเฉิงมากเพียงใด แต่เหล่าเด็กกำพร้าที่สูญสิ้นบิดามารดาจากความอดอยากกลับได้รับการอุ้มชูจาก ซิ่นเฉิง ฝึกวิชาศาสตราวุธ การขี่ม้า และการล่า มากกว่าได้รับความใส่ใจจากคนเป็นผู้นำเสียอีก เมื่อต้องเลือกระหว่างผู้ที่นับถือประดุจพี่น้องร่วมสายโลหิต กับผู้นำที่แทบไม่เห็นตัวตนของพวกเขานอกจากมองว่าเป็นนักรบที่จะต้องดูแลสมาชิกในเผ่าเท่านั้น จึงไม่เป็นการยากที่จะตัดสินใจเลือกซิ่นเฉิง
ซิ่นเฉิงกวาดสายตามองบรรดาสหายร่วมรบ พลันเชิดปลายคางขึ้นด้วยกระหยิ่มใจ ไม่สนใจสายตาของบิดาที่มองมาอย่างกังวลแม้แต่น้อย
ฝีเท้าของอาชาควบทะยานออกไปยังผืนทรายเบื้องหน้า จุดมุ่งหมายคือแคว้นเฟิงฝูซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้นัก ปล่อยให้สมาชิกคนอื่นๆ ในเผ่ามองตามด้วยประหวั่นใจว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วยาม ขณะที่ผู้เป็นบิดาปวดร้าวในใจด้วยต้องเสียบุตรและธิดาอันเป็นที่รักไปเพราะอ่อนแอ ของตน แม้แต่จะห้ามปรามบุตรชายก็ยังกระทำไม่ได้ กระนั้นเขาก็จำต้องเดินหน้าต่อไป ออกปากสั่งกับสหายคนสนิทเสียงเบา
“บอกทุกคนให้รีบเก็บของ เราจะเดินทางกันเดี๋ยวนี้”
ที่แห่งนี้อยู่ไม่ได้แล้ว... การกระทำของซิ่นเฉิงจะนำภัยมาอย่างแน่นอน
อยู่ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว...
จะว่าแคว้นเฟิงฝูนั้นอยู่ไม่ไกลก็อาจจะคาดเดาผิดไปสักหน่อยนัก ใช้เวลาร่วมสองราตรีเลยทีเดียวกว่าจะมาถึงอาณาเขตแว่นแคว้น ซิ่นเฉิงไม่กล้าเข้าใกล้แคว้นนั้นไปมากกว่าที่เป็นอยู่ ด้วยเขาจะต้องสำรวจให้ถ้วนถี่เสียก่อนว่าทางหนีทีไล่ของแคว้นนี้อยู่ที่ใดบ้าง เมื่อช่วงชิงซิ่นจินและพาหลบหนีออกมาแล้ว ทางไหนที่เขาและพรรคพวกจะไม่ถูกจับได้
ทว่า... เท่าที่เห็นดูเหมือนจะมีแค่ประตูทางเข้าแคว้นเท่านั้นที่เป็นทางเข้าออกแห่งเดียวของแคว้นนี้ เหนือประตูบานใหญ่ก็เต็มไปด้วยเหล่าทหารอมนุษย์ที่เฝ้าประจำการตามจุดต่างๆ ของรั้วหินสูงตระหง่าน
เห็นทีคงจะต้องปลอมตัวเป็นพ่อค้าแฝงกายเข้าไปสืบเสาะข้อมูลเสียก่อน จากนั้นค่อยสืบเสาะเรื่องราวของเทียนอี้จากทาสในนั้น...
ทาส... ถูกต้อง แคว้นเฟิงฝูนั้นถูกอมนุษย์ครอบครองมานานหลายร้อยปี ตอนยังเยาว์วัย ซิ่นเฉิงเคยได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่เล่าสืบต่อกันมาว่าอมนุษย์เหล่านี้เคยเป็นเทพชั้นสูงบนสวรรค์ หากแต่ต้องโทษกบฏจึงถูกขับไล่ จุติและอุบัติใหม่อีกครั้งในโลกมนุษย์ในฐานะเทพอสูร เพราะได้ครอบครองผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในทะเลทรายแห้งแล้งแห่งนี้ บรรดามนุษย์ที่ทนต่อความแร้นแค้นไม่ไหวจึงเข้าสวามิภักดิ์ บุรุษยอมตกเป็นทาสให้ใช้แรงงาน สตรียอมมอบร่างกายเพื่อสร้างทายาทให้แก่อมนุษย์เหล่านั้นด้วยอมนุษย์ไม่มีผู้ใดเลยที่เป็นหญิง
น่าแปลก... แต่ซิ่นเฉิงก็หาได้สนใจไม่ ทำเพียงแค่นหัวเราะออกมาเท่านั้น
เทพอสูรเช่นนั้นหรือ? เบียดเบียน พรากญาติพี่น้อง ช่วงชิงทุกอย่างของมนุษย์สมควรถูกเรียกว่าอมนุษย์ถึงจะเหมาะสมกว่า
ความคิดนั้นสิ้นสุดลงเมื่อเห็นดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยเข้ายามอุ้ย[ ยามอุ้ย เท่ากับเวลา 13.00 น. - 14.59 น. ] ซิ่นเฉิงก็จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้า ปลอมตัวเป็นพ่อค้า ปิดบังอำพรางใบหน้าและคลุมศีรษะ แฝงกายเข้าไปในแคว้นเฟิงฝูกับคนสนิทอีกหยิบมือ พวกที่เหลือให้ซุ่มรออยู่ด้านนอกเพื่อให้รอพาหลบหนีเมื่อชิงตัวซิ่นจินมาได้สำเร็จ
การสำรวจแคว้นเฟิงฝูนั้นช่างเป็นไปอย่างยากลำบาก ด้วยเหล่านักรบชนเผ่าเร่ร่อนหาได้เคยเห็นบรรยากาศเช่นนี้มาก่อน มันช่างแตกต่างจากผืนทะเลทรายที่เขาคุ้นเคยนัก ร้านรวงเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า ผู้คนทั้งมนุษย์และเทพอสูรแต่งกายด้วยอาภรณ์แปลกตา ต่างจากอาภรณ์ที่พวกเขาสวมใส่ยิ่งนัก แม้จะตกใจกับบรรดาเทพอสูรที่มีรูปลักษณ์กึ่งสัตว์ กึ่งมนุษย์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมที่หลากหลายคละเคล้ากันไป แต่ที่ทำให้ตกตะลึงไปมากกว่านั้นก็คือ...ต้นไม้
ต้นไม้สีเขียวขึ้นกระจัดกระจายไปทั่วทุกพื้นที่ของแคว้นเฟิงฝู มองแล้วเหมือนกับสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน บรรดานักรบหนุ่มถึงกับครางออกมาด้วยประหลาดใจไม่ได้ ขณะที่ซิ่นเฉิงหาได้สนใจเรื่องเหล่านั้น นอกจากจะมองหาสถานที่ซึ่งเป็นที่พำนักของอมนุษย์นามเทียนอี้
การค้นหาไม่ใช่เรื่องยากนักด้วยเทียนอี้เป็นหนึ่งในแม่ทัพคนสำคัญของแคว้นเฟิงฝู เพียงเอ่ยปากถามทาสรับใช้ของร้านโอสถในละแวกตลาดก็ได้รับคำตอบว่าที่พำนักของเทียนอี้คือจวนแม่ทัพทางทิศตะวันตก ซิ่นเฉิงแสร้งเดินผ่านอยู่หลายครั้งหลายครา พลางพินิจว่าจวนใหญ่แห่งนี้ ถึงจะมีทหารรักษาการณ์รายล้อมอยู่รอบ แต่ก็หาได้ยากยิ่งสำหรับการลอบเข้าไปนัก ก่อนจะรีบหาที่ซ่อนตัวหลบ รอจนตะวันลาลับขอบฟ้าต่อไป
เมื่อผืนฟ้าทอแสงสีดำ นภาประดับดวงดาราประกายระยับเสียงเคาะบอกว่าเป็นยามโฉ่ว[ ยามโฉ่ว เท่ากับเวลา 01.00 น. - 02.59 น.]ดังแว่วมาให้ได้ยิน ซิ่นเฉิงกับพรรคพวกซึ่งหลบซ่อนตัวอยู่ในซอกซอยเล็กๆ แห่งหนึ่งค่อยๆ เผยเรือนกายออกจากความมืด ภายใต้ผ้าคลุมหน้ามิดชิดนั้น ต่างฝ่ายต่างพยักหน้าให้กันเป็นสัญญาณบอกว่าควรแก่เวลาแล้ว
แม้จะเป็นคนทะเลทราย แต่ก็หาได้ไร้ซึ่งวรยุทธ์ ซินเฉิ่งและสหายพากันใช้วิชาตัวเบาปีนไต่ไปตามหลังคาบ้านเรือนกระทั่งถึงอาณาเขตจวนของ แม่ทัพเทียนอี้ ครั้นเห็นว่ารอบข้างปลอดสายตาจากทหารยาม ซิ่นเฉิงก็เป็น คนแรกที่กระโดดข้ามรั้วสูงเข้ามายังสวนด้านใน ทันทีที่พรรคพวกตามเข้ามา เขาก็ชี้นิ้วเป็นสัญญาณว่าผู้ใดควรไปทางไหน
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งไปที่เรือนทางซ้าย อีกคนไปทางขวา มีเพียงซิ่นเฉิงเท่านั้นที่ยังอยู่ในสวนของเรือนใหญ่ เขาทอดมองไปยังสิ่งก่อสร้างที่ดับไฟเสียมืดสนิทตรงหน้าด้วยแววตามุ่งมั่น
เรือนไหนสักเรือนต้องมีซิ่นจินอยู่ข้างใน
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จะพานางกลับออกมาให้จงได้!

