บทย่อ
บทนำ อกหักไม่ยักตาย... รู้ทั้งรู้แต่หญิงสาวไม่อาจห้ามน้ำตาไม่ให้หลั่งรินอาบพวงแก้มได้ ดวงตาโตดุจกวางและขนตาหนาเป็นแพเปียกชื้นครั้งแล้วครั้งเล่า ปลายจมูกโด่งรั้นแดงเรื่อจากการถูกความสากของทิชชูที่ใช้ซับใบหน้าเสียดสี เจ้าหล่อนยังไม่เข้าใจว่าตนทำหน้าที่ขาดตกบกพร่องในฐานะคนรักอย่างไร ฝ่ายชายซึ่งคบหาดูใจกันมาตั้งแต่สมัยเรียนจบปริญญาตรีในไทยถึงได้ปันใจไปหารักจากหญิงอื่นจนถึงขั้นบอกเลิกเธออย่างไร้ปรานีอย่างนี้ ร้ายกว่านั้นคือถ้าเธอไม่เห็นด้วยตาตัวเองว่าเขามีคนอื่น เขาก็ยังจะคงปิดบังไปเรื่อยๆ ประหนึ่งเธอเป็นคนโง่ รู้ตัวอีกที บนศีรษะก็มีเขางอกยาวคู่หนึ่งแล้ว ทั้งที่เธออุตส่าห์ดั้นด้นทำทุกอย่างเพื่อที่จะมาเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศเกาหลีใต้เพียงเพราะอยากอยู่ใกล้เขาแท้ๆ เพียงไม่ถึงปีกลับทอดทิ้งเธออย่างไม่มีเยื่อใยอย่างนี้ มันหมายความว่าอย่างไรกัน! ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น มือเรียวขยำทิชชูเป็นก้อน โยนทิ้งลงถังขยะสุดแรงก่อนจะกระชากเอาทิชชูแผ่นใหม่จากกล่องมาซับหยดน้ำตาบนใบหน้าอีกครั้ง ในหัวมีคำก่นด่าอดีตคนรักเต็มไปหมด แต่ก็ไม่มีคำใดที่จะปรามาสผู้ชายคนนั้นได้ดีเท่ากับคำที่แวบเข้ามาในหัวเธอครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างประโยคนี้เลย ผู้ชายเฮงซวย! อธิบายคุณลักษณะของอดีตชายคนรักได้ดีเลยทีเดียว แต่ถึงจะรู้ว่าเขาเฮงซวยแค่ไหน สมองก็ไม่อาจลบเลือนภาพใบหน้าของไอ้เวรนั่นได้ หัวใจเองก็ไม่อาจหยุดรักในวินาทีนี้ได้เช่นกัน มันยังเร็วไปที่เธอจะตัดใจได้ เพิ่งถูกบอกเลิกมาสดๆ ร้อนๆ วันนี้ ใครมันจะไปตัดใจได้ ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา… ปลอบใจตัวเองเสร็จ มีนาก็ยกมือขึ้นปาดน้ำตา ดูท่าทิชชูคงจะไม่พอสำหรับเธอเสียแล้ว ก่อนที่เธอจะเอื้อมไปหยิบเอาขวดเหล้าโซจูที่หิ้วมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตแถวอพาร์ตเมนต์มากระดกดื่ม รสชาติฝาดคอทำเอาสาวเจ้าเบ้หน้าเหยเก ปกติแล้วเธอไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สักเท่าไรด้วยเธอไม่ใช่พวกคอแข็งอะไรนัก ทว่าที่ตัดสินใจหิ้วมาเสียโหลหนึ่งก็เพราะกะจะดื่มเอาให้หลับ ให้ลืมผู้ชายทุเรศคนนั้นไป ชั่วคราวก็ยังดี ขอแค่ให้ได้ลืมก็พอ... คิดอย่างนั้นก็กระดกดื่มไปอีก หากแต่ทนกระดกดื่มไปได้ไม่เท่าไร มีนาก็ต้องยอมแพ้ วางขวดโซจูลง ทิ้งตัวลงนอนบนพื้น มองเพดานห้องแคบๆ พลันปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอีกรอบ ไม่ได้อยากจะร้องไห้เลย แต่มันห้ามไม่ได้ ผู้ชายหน้าพลาสติกคนนั้นกล้าดีอย่างไรมาทำให้ฉันร้องไห้! จมูกก็ทำ คางก็เหลา ตาก็กรีด กรามก็ทุบ พลาสติกทั้งหน้า แถมสมองยังฉีดโบท็อกซ์จนโง่เง่า รักลงไปได้ยังไงกันมีนา! ในเวลานี้อะไรที่เคยว่าดีก็ไม่ดีอีกแล้ว มีนาพยายามหาข้อเสียของอีกฝ่ายมาพร่ำสะกดจิตตัวเองให้เลิกคิดถึงเขา แต่ภาพบาดตาบาดใจยามเห็นชายหนุ่มมากับคนรักใหม่ก็กระตุ้นให้ความรวดร้าวในใจของหญิงสาวทวีมากขึ้น ความจริงเขาก็ไม่ผิดหรอกถ้าจะทิ้งเธอไปหาผู้หญิงที่น่ารักน่าทะนุถนอมกว่า สวยกว่า เอาใจเขาได้ดีกว่าและมีอะไรๆ ที่ดีกว่า มันผิดที่เธอเองที่ละเลยเขามากเกินไป เอาแต่วุ่นวายกับเรื่องเรียนจนไม่มีเวลาให้เขาเท่าที่ควร เมื่อไม่ได้ใส่ใจเพราะคิดว่าอีกฝ่ายยังรักตนเหมือนเดิม ความชะล่าใจจึงทำให้เธอประสบกับเรื่องอย่างนี้ ถึงจะเป็นไอ้ทุเรศที่นอกใจเธอ แต่เขาก็ไม่ผิดหรอก มนุษย์ย่อมหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตตัวเองอยู่แล้ว ไม่อยากคิดโทษตัวเองสักเท่าไร แต่มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ อย่างที่รู้กันในหมู่นักศึกษาไทยว่าประเทศเกาหลีเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับเรื่องเรียนเป็นอย่างมาก ทุกคนเอาจริงเอาจังเสียจนเกินคำว่าพอดี มีนาจึงถือคติเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามอย่างไม่มีทางเลือก ใช่ว่าเธออยากจะหน้าดำคร่ำเครียดกับการเรียนนักหรอก แต่ในเมื่ออยู่ในสังคมอย่างนี้ก็ต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่รอด ทว่าใครจะคิดล่ะว่าความตั้งใจของเธอมันจะส่งผลอย่างนี้ ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ผู้ชายคนนั้นเคยทำอะไรให้เธอบ้างกัน! คิดวกวนกลับมาโทษอดีตคนรักอีกแล้ว นี่เธอเป็นไบโพลาร์หรือไงกันนะ เดี๋ยวโทษตัวเอง เดี๋ยวโทษแฟนเก่า อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ประหนึ่งประจำเดือนมาไม่ปกติก็ไม่ปาน มีนาจึงเบี่ยงเบนความฟุ้งซ่านของตนด้วยการยื่นมือออกไปควานหาหนังสือจากกระเป๋าที่วางระเนระนาดอยู่บนพื้น ก่อนจะคว้ามันขึ้นมาดูหน้าปก มันเป็นหนังสือนิยายชื่อเรื่อง ‘จนกว่าเราจะพรากจากกัน’ เป็นนิยายรักธีมพีเรียดเกาหลีที่ดำเนินเรื่องอยู่ในยุคสมัยโชซอน[ ยุคสมัยโชซอน (ค.ศ.1392-1897) เริ่มต้นขึ้นเมื่อนายพลอีซองกเย (Lee Seong gye) ขุนพลแห่งราชวงศ์โครยอได้ก่อการยึดอำนาจในปี ค.ศ.1392 และสถาปนาตนขึ้นเป็นพระเจ้าแทโจ จากนั้นจึงได้เปลี่ยนชื่อประเทศใหม่เป็นโชซอนและย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่ฮันยางหรือกรุงโซลในปัจจุบัน ]ว่าด้วยเรื่องรักสามเส้าของหนึ่งหญิงสองชายภายใต้ความขัดแย้งทางการเมือง หนึ่งหญิงเป็นบุตรสาวของขุนนางตกอับตระกูลหนึ่ง หนึ่งชายเป็นบุตรนอกสมรสของขุนนางผู้มีอำนาจและเป็นคู่หมั้นของหญิงสาวซึ่งเป็นผู้หลงรักนางเอกเพียงฝ่ายเดียว ส่วนอีกหนึ่งชายหนุ่มเป็นคนไร้ยศศักดิ์ที่พยายามผลักดันตัวเองให้ขึ้นมาอยู่ในวังวนแห่งการแย่งชิงและเป็นคนรักของบุตรสาวตระกูลขุนนางผู้นั้น พล็อตเรื่องน้ำเน่า แต่นับว่าเป็นนิยายเรื่องโปรดของเธอและยังเป็นเรื่องที่โด่งดังในอินเทอร์เน็ตมากทีเดียว ได้รับการพูดถึงว่ามีชั้นเชิงทางวรรณศิลป์และวางปมปริศนาต่างๆ ในเรื่องได้ดี เสียอย่างเดียวคือนิยายออกมาได้เล่มที่สามแล้วยังไม่มีวี่แววจะจบเลยแม้แต่น้อย ได้ยินมาว่านักเขียนหยุดเขียนไปดื้อๆ การเคลื่อนไหวบนอินเทอร์เน็ตก็ไม่มี ซ้ำบรรดานักอ่านยังไม่มีใครรู้ว่าผู้เขียนคือใคร รู้จักกันแต่เพียงนามแฝงบนเว็บไซต์ที่ลงนิยายให้อ่าน สำนักพิมพ์ที่เป็นผู้เช่าซื้อลิขสิทธิ์นิยายเรื่องนี้ก็ปิดเงียบแม้ว่าจะถูกแฟนหนังสือโวยวาย ซ้ำยังให้คำตอบไม่ได้ด้วยว่านิยายเรื่องนี้จะจบเมื่อไร ขนาดเล่มต่อไปออกเมื่อไรยังบอกไม่ได้เลย ความหวังริบหรี่ มีแววถูกลอยแพสูง แต่ถึงอย่างนั้น มีนาก็ยังจะซื้อนิยายเรื่องนี้มา และก็ไม่ได้มีอารมณ์จะมาสนใจเรื่องของคนอื่นในตอนนี้ด้วย เธอพยายามเพ่งสมาธิอ่านเนื้อหาในหนังสืออย่างสุดความสามารถ หากแต่การอ่านนิยายเรื่องโปรดของเธอในวันนี้มันช่างไม่ได้อรรถรสเอาเสียเลย อ่านไปก็หงุดหงิดไปกับการพร่ำพรรณาของพระรองที่มีต่อนางเอก ‘แม้ตัวข้าต้องตาย ข้าก็จะขอรักมั่นเพียงเจ้า’ ‘ต่อให้ดวงใจของเจ้าไม่เคยมีข้า ข้าก็จะรักเพียงเจ้า’ ‘ข้า...คิมคังยูจะขอรักเพียงแต่เจ้า’ รักกันเข้าไป น่ารำคาญ! โสดแล้วพาลคือมีนาคนนี้นี่เอง ยิ่งอ่านยิ่งอารมณ์เสีย ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้จะรักผู้หญิงที่ไม่เคยเห็นค่าตัวเองไปถึงไหน นางเอกก็เล่นตัวเหลือเกิน ทั้งที่อีกฝ่ายออกจะแสนดี ดูแลใส่ใจมากกว่าพระเอกของเรื่องเสียอีก ถ้าจะไม่ชายตาแลมองขนาดนี้ล่ะก็นะ เสียของชะมัด! อดคิดไม่ได้เลยว่าถ้าเธอเป็นยัยนางเอก เธอคงจะเป็นฝ่ายตบแต่งผู้ชายที่ชื่อคิมคังยูคนนั้นเป็นสามีโดยไม่ต้องรอให้ฝ่ายนั้นพาผู้ใหญ่มาทาบทามแล้ว ดีไม่ดีจะเป็นฝ่ายจับพระรองปล้ำด้วย ยิ่งอ่านก็ยิ่งหงุดหงิดที่นางเอกหักหาญน้ำใจพระรองอย่างไม่น่าให้อภัย ถ้าไม่เอาก็ส่งมานี่ คิดว่าผู้ชายดีๆ อย่างนั้นหาจากที่ไหนบนโลกนี้ได้อีกหรือไงแม่คนเรื่องมาก! อินอะไรเบอร์นี้ กระแทกหนังสือลงบนพื้น ดันตัวขึ้นนั่ง ยกมือไหว้ท่วมหัวไปอีก “ถ้าสวรรค์มีจริงหรือนรกมีตาก็ส่งผู้ชายคนนี้มาให้ลูกด้วยเถ๊อะ ผู้ชายดีๆ แบบนี้ ถ้าแม่นั่นไม่เอา ลูกจะเอาเอง สาธุ!” กะอ่านนิยายให้คลายเครียดแท้ๆ กลายเป็นเครียดกว่าเดิมเสียอีก มีนาพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง คว้าขวดโซจูมากระดกดื่มระบายความหัวเสียอีกครั้ง ตอนนี้ไม่มีอะไรทำแล้วจึงเข้าสู่โหมดเครียดรับประทาน ซัดทุกอย่างที่ซื้อมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตเข้าปาก ความขมฝาดของเหล้าโซจูในตอนแรกเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นรสชาติหวานล้ำเมื่อเริ่มรู้สึกมึนเมา ไม่แน่ใจนักว่าเธอดื่มไปกี่ขวด รู้เพียงแต่ว่าสิ่งสุดท้ายที่เธอเห็นคือภาพผนังห้องหมุนคว้างก่อนจะผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว รุ่งอรุณใหม่มาถึง แสงสีทองที่สาดส่องผ่านผ้าม่านมากระทบเปลือกตาปลุกให้หญิงสาวต้องลืมตาตื่นด้วยรำคาญแสงที่แยงตา ร่างบางบิดตัวพลิกอย่างเกียจคร้านครู่หนึ่ง หากแต่พอจะผงกศีรษะขึ้นมาด้วยหมายจะไปเข้าห้องน้ำ เจ้าหล่อนก็ต้องฟุบลงนอนไปอีกรอบด้วยมึนศีรษะสุดกำลัง เมื่อคืนนี้ท่าทางจะดื่มหนักไป... มือที่ปัดไปโดนขวดเปล่าเกลื่อนกลาดข้างตัวบอกให้รู้ว่าเมื่อคืนนี้เธอดื่มหนักมากจริงๆ เสียผู้เสียคนสุดๆ หญิงสาวอดต่อว่าตัวเองไม่ได้ ดีที่วันนี้ไม่มีตารางเรียนหรือกิจกรรมใดๆ เธอจึงสามารถนอนต่อได้ ร่างเล็กยังคงขยับไปมาบนพรมเพื่อขับไล่ความเมื่อยขบ เมื่อคืนไม่ได้ไปนอนที่เตียงเพราะเมาหลับไปก่อน แต่เมื่อรู้ตัวก็ไม่ได้พยายามที่จะพาตัวเองไปนอนยังที่ที่สมควรนอนแต่อย่างใด นอกจากปิดเปลือกตาอยู่อย่างนั้น พลิกตัวไปอีกฝั่งหนึ่งที่ไม่มีขวดเหล้าเปล่าเกลื่อนกลาด เมื่อคืนทั้งกินทั้งดื่มประชดชีวิตไปแล้ว งั้นวันนี้ก็จะขอนอนประชดชีวิตด้วยเลยแล้วกัน! ประชดทุกอย่างให้สาแก่ใจกับชีวิตรักซังกะบ๊วย นอนให้ตาย นอนให้ปวดหัวไปเลย อย่างน้อยการนอนหลับก็ทำให้หยุดคิดถึงเรื่องผู้ชายคนนั้นไปได้ช่วงเวลาหนึ่ง ทว่ามีนาไม่ได้หลับสมดังใจด้วยจังหวะที่พลิกตัวนั้น มือของเธอพาดผ่านไปโดนบางสิ่งที่สร้างความรู้สึกแปลกประหลาด แข็ง...และอุ่น ไม่ใช่อะไรลามกเทือกนั้น แต่เป็นร่างกายของมนุษย์ต่างหาก สัมผัสมันทำให้เธอรู้สึกราวกับว่ามีใครมานอนอยู่ข้างๆ เดี๋ยวนะ! มีใครมานอนข้างๆ งั้นเหรอ! มีนาลืมตาขึ้นทันทีแล้วก็ต้องเบิกโพลงกว้างเมื่อเห็นว่าบางสิ่งที่เธอกำลังเอาแขนพาดอยู่เป็นร่างกายของผู้ชายคนหนึ่งที่เธอไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน คะ...ใครเนี่ย! สัญชาตญาณส่งผลให้เธอรีบลุกขึ้นยืนพรวดพราด ถอยหลังกรูดไปติดกำแพงห้องอย่างรวดเร็ว ความเมามายมึนหัวอะไรที่เล่นงานอยู่ก่อนหน้าหายวับไปกับตาราวกับไม่มีแอลกอฮอล์ตกค้างในกระแสเลือดมาก่อน ตอนนี้เธอเอาแต่จ้องอีกฝ่ายเขม็งและยิ่งระวังตัวมากขึ้นไปอีกเมื่อผู้ชายคนนั้นค่อยๆ ขยับตัวและส่งเสียงครางออกมา จับใจความไม่ได้เลยแม้แต่น้อยว่าผู้ชายคนนั้นพูดว่าอะไร แต่มีนาก็ไม่มีอารมณ์จะมาใคร่ครวญอะไรแล้ว พุ่งตัวไปคว้าขวดโซจูเปล่ามาไว้ในมือเป็นที่เรียบร้อย กะว่าถ้าผู้ชายตรงหน้าจะทำมิดีมิร้าย เธอจะใช้ขวดฟาดให้หัวแตกไปเลย หากแต่เขาไม่ทำอะไร เพียงแค่ขยับตัวและส่งเสียงอืออาในลำคออย่างที่เห็น เปลือกตายังไม่เปิดเลยด้วยซ้ำ เห็นอย่างนั้น ในหัวของมีนาก็คิดวุ่นเป็นพัลวัน เข้ามาได้ยังไงน่ะ หรือว่า...เมื่อคืนจะเมาจนเผลอไปหิ้วผู้ชายเข้าห้อง!? คิดแล้วก็อ้าปากค้างด้วยไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะเหลวแหลกได้ถึงขนาดนี้ นี่หล่อนลากผู้ชายมาปล้ำถึงในห้องเลยเหรอไอ้มีนา! รู้ถึงไหน อายไปถึงนั่น มุดหัวหนีอายไปถึงเปลือกโลกชั้นแม็กม่าแล้วยังไม่หายอายเลย แต่พอคิดๆ ดูอีกทีแล้วมันไม่น่าจะเป็นไปได้เลยด้วยซ้ำ คนอย่างเธอเนี่ยนะที่จะลากผู้ชายเข้ามาปล้ำถึงในห้อง ผู้ชายคนนั้นตัวใหญ่กว่าเธอเยอะเลยเถอะ คิดเหรอว่าชะนีแคระ ความสูงแค่ร้อยห้าสิบปลายๆ จะลากเขาเข้ามาไหว คิดเลยเถิดไปใหญ่แล้ว! ถึงอย่างนั้นก็ยังตั้งท่าระวังตัวเพราะไม่อาจวางใจได้ว่าผู้ชายตรงหน้าจะมาดี ก็ดูเสื้อผ้าที่เขาใส่สิ มันช่าง...โบราณ โบราณจริงๆ ไม่ใช่เชยนะ ย้ำว่าโบราณ อย่างกับหลุดออกมาจากละครจักรๆ วงศ์ๆ ของเกาหลีอย่างไรอย่างนั้นแหละ! ดวงตาคู่สวยปราดมองไปตามเสื้อผ้าสีแดงเลือดหมูสลับดำ ขณะที่ผู้ชายคนนั้นเองเริ่มจะรู้สึกตัวทั้งที่มีนายังสำรวจอีกฝ่ายไม่ละเอียดดี เขาค่อยๆ ดันตัวขึ้นจากพื้นอย่างเชื่องช้า กะพริบตาถี่ๆ หลายครั้งเพื่อปรับให้สายตาคุ้นชินก่อนจะกวาดมองไปรอบข้าง เมื่อเห็นว่าบรรยากาศรอบตัวไม่ใช่ที่ที่คุ้นเคย เขาก็พรวดพราดลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ แล้วก็ต้องสะดุ้งอีกระลอกทันทีที่หันไปเห็นหญิงสาวในชุดแปลกตายืนจังก้าเตรียมพร้อมจู่โจมเขาอยู่ มีนาเองก็ตกใจเช่นกัน เห็นชายหนุ่มลุกขึ้นมายืนก็ร้องลั่น อีกฝ่ายก็ผงะ ต่างคนต่างตกใจใส่กัน แต่เหมือนชายหนุ่มจะตั้งสติได้ก่อนขณะที่หญิงสาวหวีดร้องไม่หยุด “คุณเป็นใครน่ะ! เข้ามาในห้องฉันได้ยังไง” คนถูกถามไม่สนใจที่จะตอบคำถามเลยแม้แต่น้อย ดวงตาเรียวมองปราดคนตัวเล็กตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าก่อนถามออกมาบ้าง “แม่นางเป็นใครกันรึ” ยัง...ยังจะมีหน้ามาถามกลับอีก! “ตอบคำถามฉันมาก่อน!” คนถูกย้อนถามไม่ตอบ โวยวายใส่ ขณะที่ชายหนุ่มเลิกสนใจหญิงสาวเจ้าของห้อง กวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องด้วยสีหน้าตะลึงงันคล้ายกับว่าชีวิตนี้ไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อน พลันริมฝีปากก็ครางออกมา “ที่นี่มัน...” “นี่! ฉันถามว่าคุณเข้ามาในห้องฉันได้ยังไง แอบเข้ามาทางไหนหา!?” เห็นว่าคนแปลกหน้าไม่ตอบ มัวแต่ทำท่าทางประหลาดๆ มีนาจึงร้องถามไปอีก ตั้งใจส่งเสียงดังเข้าไว้ กะว่าถ้ามีเหตุร้ายเกิดขึ้น ข้างห้องอาจจะได้ยินเสียงเธอบ้างอะไรอย่างนั้น ในใจของมีนาตอนนี้ค่อนข้างจะหวาดกลัวมากเลยทีเดียว แล้วเธอก็สะดุ้งขึ้นมาอีกคราทันทีที่เห็นว่าเขาเริ่มก้าวเท้าสำรวจซอกมุมของห้อง ไม่ได้เดินมาทางเธอหรอก เดินไปทางอื่น แต่ก็ทำให้น้ำเสียงของหญิงสาวสั่นเทาขึ้นมาได้ทันควัน “คะ...คุณต้องการอะไร!?” ชายหนุ่มไม่ตอบ มัวแต่ยืนมองวัตถุประหลาดที่วางอยู่บนพื้นก่อนจะคว้ามันขึ้นมาดู บะ...บราเซียลูกไม้สีม่วงที่ถอดแล้วโยนทิ้งไปเมื่อวาน! มีนาเห็นก็เบิกตาโต ส่งเสียงกรีดร้อง “ทำบ้าอะไรของคุณน่ะ! วางมันลง!” คนถูกทักหันมามองยังต้นเสียง มีนาเลยสำนึกได้ว่าตอนนี้เธออยู่ในสภาพโนบราจึงรีบเบี่ยงตัวหลบพร้อมกับใบหน้าร้อนผะผ่าว กระนั้นก็ยังไม่หยุดออกคำสั่ง “บอกให้วางมันลงไง!” คนถูกสั่งยอมวางแต่โดยดี สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ของเขา ในฐานะคนแปลกหน้าที่มาเยือนก็ควรจะเคารพเจ้าของบ้าน ดวงตากลมของหญิงสาวเหลือบมอง เห็นชายหนุ่มวางเสื้อชั้นในลูกไม้ของเธอลงที่เดิมแล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะตั้งใจไล่เขาออกไปให้เร็วที่สุด การที่มีผู้ชายแปลกหน้ามาอยู่ในห้องอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องดีเลยสักนิด ทว่ายังไม่ทันจะได้พูดอะไรออกไป อีกฝ่ายก็หันมาถามเธอด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแล้ว “ที่แห่งนี้ใช่ฮันยางหรือเปล่าแม่นาง” กลายเป็นมีนาบ้างแล้วที่ทำหน้างุนงงเมื่อเขาเอ่ยชื่อเมืองหลวงของโชซอนซึ่งเป็นอาณาจักรโบราณของเกาหลี ถึงเธอจะไม่รู้ประวัติศาสตร์เกาหลีละเอียดนัก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าฮันยางคืออะไร ที่ไม่เข้าใจก็คือ...ผู้ชายคนนี้ถามเรื่องนี้ทำบ้าอะไร “คุณหมายความว่าอะไร” ครางถามออกมาอย่างไม่ไว้ใจ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะหลอกล่อเธอให้ตายใจด้วยคำถามแปลกๆ ก็ได้ เธอเคยดูข่าวนะว่าพวกอาชญากรสมัยนี้มักใช้คำถามเชิงจิตวิทยามาทำให้เหยื่อติดกับ พูดจบ สายตาก็จ้องจับผิดไปด้วย อีกฝ่ายไม่แสดงอาการอื่นใดแม้แต่น้อยนอกจากดูงุนงงกับสถานที่ที่ตนยืนอยู่ “ที่นี่ดูไม่เหมือนฮันยางเลย ช่างดู...แปลกตา” อีกฝ่ายตอบเชื่องช้า มันก็แน่อยู่แล้ว ฮันยางอะไรล่ะ นี่มันกรุงโซล! แต่จริงๆ กรุงโซลก็คือฮันยาง เพียงแต่เปลี่ยนชื่อหลังจากอาณาจักรโชซอนล่มสลาย สำคัญกว่านั้นคือไม่รู้ทำไมจู่ๆ มีนาก็เอะใจขึ้นมาแปลกๆ ว่าผู้ชายท่าทางประหลาด ซ้ำยังแต่งตัวเหมือนไม่ใช่คนในยุคสมัยนี้ที่ยืนทำหน้าเหลอหลาตรงหน้าจะเป็นผู้ชายคนเดียวกับที่เธอร้องขอต่อสรวงสวรรค์เมื่อคืนนี้ คิมคังยู... หรือว่าจะเป็นคิมคังยู พระรองในนิยายคนนั้น!? “คุณคือ...คิมคังยู?” ด้วยอารามตกใจถึงได้เอ่ยไปอย่างนั้นทั้งที่มันไม่น่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย หากแต่ชายหนุ่มกลับพยักหน้าตอบกลับมาพร้อมกับเรียวคิ้วสวยที่ย่นยู่ “รู้จักข้าเช่นนั้นรึ” มีนาอ้าปากค้างทันควัน พูดไม่ออก ก้าวขาก็ไม่ออก ตอบคำถามของคนตรงหน้าก็ไม่ได้ คุณพระ! โผล่มาได้ไงกันเนี่ย! 【 ยุคสมัยโชซอน (ค.ศ.1392-1897) เริ่มต้นขึ้นเมื่อนายพลอีซองกเย (Lee Seong gye) ขุนพลแห่งราชวงศ์โครยอได้ก่อการยึดอำนาจในปี ค.ศ.1392 และสถาปนาตนขึ้นเป็นพระเจ้าแทโจ จากนั้นจึงได้เปลี่ยนชื่อประเทศใหม่เป็นโชซอนและย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่ฮันยางหรือกรุงโซลในปัจจุบัน 】
บทนำ [2/1]
อกหักไม่ยักตาย...
รู้ทั้งรู้แต่หญิงสาวไม่อาจห้ามน้ำตาไม่ให้หลั่งรินอาบพวงแก้มได้ ดวงตาโตดุจกวางและขนตาหนาเป็นแพเปียกชื้นครั้งแล้วครั้งเล่า ปลายจมูกโด่งรั้นแดงเรื่อจากการถูกความสากของทิชชูที่ใช้ซับใบหน้าเสียดสี เจ้าหล่อนยังไม่เข้าใจว่าตนทำหน้าที่ขาดตกบกพร่องในฐานะคนรักอย่างไร ฝ่ายชายซึ่งคบหาดูใจกันมาตั้งแต่สมัยเรียนจบปริญญาตรีในไทยถึงได้ปันใจไปหารักจากหญิงอื่นจนถึงขั้นบอกเลิกเธออย่างไร้ปรานีอย่างนี้ ร้ายกว่านั้นคือถ้าเธอไม่เห็นด้วยตาตัวเองว่าเขามีคนอื่น เขาก็ยังจะคงปิดบังไปเรื่อยๆ ประหนึ่งเธอเป็นคนโง่ รู้ตัวอีกที บนศีรษะก็มีเขางอกยาวคู่หนึ่งแล้ว
ทั้งที่เธออุตส่าห์ดั้นด้นทำทุกอย่างเพื่อที่จะมาเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศเกาหลีใต้เพียงเพราะอยากอยู่ใกล้เขาแท้ๆ เพียงไม่ถึงปีกลับทอดทิ้งเธออย่างไม่มีเยื่อใยอย่างนี้ มันหมายความว่าอย่างไรกัน!
ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น มือเรียวขยำทิชชูเป็นก้อน โยนทิ้งลงถังขยะสุดแรงก่อนจะกระชากเอาทิชชูแผ่นใหม่จากกล่องมาซับหยดน้ำตาบนใบหน้าอีกครั้ง ในหัวมีคำก่นด่าอดีตคนรักเต็มไปหมด แต่ก็ไม่มีคำใดที่จะปรามาสผู้ชายคนนั้นได้ดีเท่ากับคำที่แวบเข้ามาในหัวเธอครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างประโยคนี้เลย
ผู้ชายเฮงซวย!
อธิบายคุณลักษณะของอดีตชายคนรักได้ดีเลยทีเดียว
แต่ถึงจะรู้ว่าเขาเฮงซวยแค่ไหน สมองก็ไม่อาจลบเลือนภาพใบหน้าของไอ้เวรนั่นได้ หัวใจเองก็ไม่อาจหยุดรักในวินาทีนี้ได้เช่นกัน มันยังเร็วไปที่เธอจะตัดใจได้
เพิ่งถูกบอกเลิกมาสดๆ ร้อนๆ วันนี้ ใครมันจะไปตัดใจได้ ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา…
ปลอบใจตัวเองเสร็จ มีนาก็ยกมือขึ้นปาดน้ำตา ดูท่าทิชชูคงจะไม่พอสำหรับเธอเสียแล้ว ก่อนที่เธอจะเอื้อมไปหยิบเอาขวดเหล้าโซจูที่หิ้วมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตแถวอพาร์ตเมนต์มากระดกดื่ม รสชาติฝาดคอทำเอาสาวเจ้าเบ้หน้าเหยเก ปกติแล้วเธอไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สักเท่าไรด้วยเธอไม่ใช่พวกคอแข็งอะไรนัก ทว่าที่ตัดสินใจหิ้วมาเสียโหลหนึ่งก็เพราะกะจะดื่มเอาให้หลับ ให้ลืมผู้ชายทุเรศคนนั้นไป
ชั่วคราวก็ยังดี ขอแค่ให้ได้ลืมก็พอ...
คิดอย่างนั้นก็กระดกดื่มไปอีก หากแต่ทนกระดกดื่มไปได้ไม่เท่าไร มีนาก็ต้องยอมแพ้ วางขวดโซจูลง ทิ้งตัวลงนอนบนพื้น มองเพดานห้องแคบๆ พลันปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอีกรอบ
ไม่ได้อยากจะร้องไห้เลย แต่มันห้ามไม่ได้
ผู้ชายหน้าพลาสติกคนนั้นกล้าดีอย่างไรมาทำให้ฉันร้องไห้! จมูกก็ทำ คางก็เหลา ตาก็กรีด กรามก็ทุบ พลาสติกทั้งหน้า แถมสมองยังฉีดโบท็อกซ์จนโง่เง่า รักลงไปได้ยังไงกันมีนา!
ในเวลานี้อะไรที่เคยว่าดีก็ไม่ดีอีกแล้ว มีนาพยายามหาข้อเสียของอีกฝ่ายมาพร่ำสะกดจิตตัวเองให้เลิกคิดถึงเขา แต่ภาพบาดตาบาดใจยามเห็นชายหนุ่มมากับคนรักใหม่ก็กระตุ้นให้ความรวดร้าวในใจของหญิงสาวทวีมากขึ้น
ความจริงเขาก็ไม่ผิดหรอกถ้าจะทิ้งเธอไปหาผู้หญิงที่น่ารักน่าทะนุถนอมกว่า สวยกว่า เอาใจเขาได้ดีกว่าและมีอะไรๆ ที่ดีกว่า มันผิดที่เธอเองที่ละเลยเขามากเกินไป เอาแต่วุ่นวายกับเรื่องเรียนจนไม่มีเวลาให้เขาเท่าที่ควร เมื่อไม่ได้ใส่ใจเพราะคิดว่าอีกฝ่ายยังรักตนเหมือนเดิม ความชะล่าใจจึงทำให้เธอประสบกับเรื่องอย่างนี้
ถึงจะเป็นไอ้ทุเรศที่นอกใจเธอ แต่เขาก็ไม่ผิดหรอก มนุษย์ย่อมหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตตัวเองอยู่แล้ว
ไม่อยากคิดโทษตัวเองสักเท่าไร แต่มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ อย่างที่รู้กันในหมู่นักศึกษาไทยว่าประเทศเกาหลีเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับเรื่องเรียนเป็นอย่างมาก ทุกคนเอาจริงเอาจังเสียจนเกินคำว่าพอดี มีนาจึงถือคติเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามอย่างไม่มีทางเลือก ใช่ว่าเธออยากจะหน้าดำคร่ำเครียดกับการเรียนนักหรอก แต่ในเมื่ออยู่ในสังคมอย่างนี้ก็ต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่รอด ทว่าใครจะคิดล่ะว่าความตั้งใจของเธอมันจะส่งผลอย่างนี้
ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ผู้ชายคนนั้นเคยทำอะไรให้เธอบ้างกัน!
คิดวกวนกลับมาโทษอดีตคนรักอีกแล้ว นี่เธอเป็นไบโพลาร์หรือไงกันนะ เดี๋ยวโทษตัวเอง เดี๋ยวโทษแฟนเก่า อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ประหนึ่งประจำเดือนมาไม่ปกติก็ไม่ปาน มีนาจึงเบี่ยงเบนความฟุ้งซ่านของตนด้วยการยื่นมือออกไปควานหาหนังสือจากกระเป๋าที่วางระเนระนาดอยู่บนพื้น ก่อนจะคว้ามันขึ้นมาดูหน้าปก มันเป็นหนังสือนิยายชื่อเรื่อง ‘จนกว่าเราจะพรากจากกัน’ เป็นนิยายรักธีมพีเรียดเกาหลีที่ดำเนินเรื่องอยู่ในยุคสมัยโชซอน[ ยุคสมัยโชซอน (ค.ศ.1392-1897) เริ่มต้นขึ้นเมื่อนายพลอีซองกเย (Lee Seong gye) ขุนพลแห่งราชวงศ์โครยอได้ก่อการยึดอำนาจในปี ค.ศ.1392 และสถาปนาตนขึ้นเป็นพระเจ้าแทโจ จากนั้นจึงได้เปลี่ยนชื่อประเทศใหม่เป็นโชซอนและย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่ฮันยางหรือกรุงโซลในปัจจุบัน ]ว่าด้วยเรื่องรักสามเส้าของหนึ่งหญิงสองชายภายใต้ความขัดแย้งทางการเมือง
หนึ่งหญิงเป็นบุตรสาวของขุนนางตกอับตระกูลหนึ่ง หนึ่งชายเป็นบุตรนอกสมรสของขุนนางผู้มีอำนาจและเป็นคู่หมั้นของหญิงสาวซึ่งเป็นผู้หลงรักนางเอกเพียงฝ่ายเดียว ส่วนอีกหนึ่งชายหนุ่มเป็นคนไร้ยศศักดิ์ที่พยายามผลักดันตัวเองให้ขึ้นมาอยู่ในวังวนแห่งการแย่งชิงและเป็นคนรักของบุตรสาวตระกูลขุนนางผู้นั้น
พล็อตเรื่องน้ำเน่า แต่นับว่าเป็นนิยายเรื่องโปรดของเธอและยังเป็นเรื่องที่โด่งดังในอินเทอร์เน็ตมากทีเดียว ได้รับการพูดถึงว่ามีชั้นเชิงทางวรรณศิลป์และวางปมปริศนาต่างๆ ในเรื่องได้ดี เสียอย่างเดียวคือนิยายออกมาได้เล่มที่สามแล้วยังไม่มีวี่แววจะจบเลยแม้แต่น้อย ได้ยินมาว่านักเขียนหยุดเขียนไปดื้อๆ การเคลื่อนไหวบนอินเทอร์เน็ตก็ไม่มี ซ้ำบรรดานักอ่านยังไม่มีใครรู้ว่าผู้เขียนคือใคร รู้จักกันแต่เพียงนามแฝงบนเว็บไซต์ที่ลงนิยายให้อ่าน สำนักพิมพ์ที่เป็นผู้เช่าซื้อลิขสิทธิ์นิยายเรื่องนี้ก็ปิดเงียบแม้ว่าจะถูกแฟนหนังสือโวยวาย ซ้ำยังให้คำตอบไม่ได้ด้วยว่านิยายเรื่องนี้จะจบเมื่อไร ขนาดเล่มต่อไปออกเมื่อไรยังบอกไม่ได้เลย
ความหวังริบหรี่ มีแววถูกลอยแพสูง แต่ถึงอย่างนั้น มีนาก็ยังจะซื้อนิยายเรื่องนี้มา และก็ไม่ได้มีอารมณ์จะมาสนใจเรื่องของคนอื่นในตอนนี้ด้วย เธอพยายามเพ่งสมาธิอ่านเนื้อหาในหนังสืออย่างสุดความสามารถ หากแต่การอ่านนิยายเรื่องโปรดของเธอในวันนี้มันช่างไม่ได้อรรถรสเอาเสียเลย อ่านไปก็หงุดหงิดไปกับการพร่ำพรรณาของพระรองที่มีต่อนางเอก
‘แม้ตัวข้าต้องตาย ข้าก็จะขอรักมั่นเพียงเจ้า’
‘ต่อให้ดวงใจของเจ้าไม่เคยมีข้า ข้าก็จะรักเพียงเจ้า’
‘ข้า...คิมคังยูจะขอรักเพียงแต่เจ้า’
รักกันเข้าไป น่ารำคาญ!
โสดแล้วพาลคือมีนาคนนี้นี่เอง ยิ่งอ่านยิ่งอารมณ์เสีย ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้จะรักผู้หญิงที่ไม่เคยเห็นค่าตัวเองไปถึงไหน นางเอกก็เล่นตัวเหลือเกิน ทั้งที่อีกฝ่ายออกจะแสนดี ดูแลใส่ใจมากกว่าพระเอกของเรื่องเสียอีก
ถ้าจะไม่ชายตาแลมองขนาดนี้ล่ะก็นะ เสียของชะมัด!
อดคิดไม่ได้เลยว่าถ้าเธอเป็นยัยนางเอก เธอคงจะเป็นฝ่ายตบแต่งผู้ชายที่ชื่อคิมคังยูคนนั้นเป็นสามีโดยไม่ต้องรอให้ฝ่ายนั้นพาผู้ใหญ่มาทาบทามแล้ว ดีไม่ดีจะเป็นฝ่ายจับพระรองปล้ำด้วย
ยิ่งอ่านก็ยิ่งหงุดหงิดที่นางเอกหักหาญน้ำใจพระรองอย่างไม่น่าให้อภัย
ถ้าไม่เอาก็ส่งมานี่ คิดว่าผู้ชายดีๆ อย่างนั้นหาจากที่ไหนบนโลกนี้ได้อีกหรือไงแม่คนเรื่องมาก!
อินอะไรเบอร์นี้ กระแทกหนังสือลงบนพื้น ดันตัวขึ้นนั่ง ยกมือไหว้ท่วมหัวไปอีก
“ถ้าสวรรค์มีจริงหรือนรกมีตาก็ส่งผู้ชายคนนี้มาให้ลูกด้วยเถ๊อะ ผู้ชายดีๆ แบบนี้ ถ้าแม่นั่นไม่เอา ลูกจะเอาเอง สาธุ!”
กะอ่านนิยายให้คลายเครียดแท้ๆ กลายเป็นเครียดกว่าเดิมเสียอีก
มีนาพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง คว้าขวดโซจูมากระดกดื่มระบายความหัวเสียอีกครั้ง ตอนนี้ไม่มีอะไรทำแล้วจึงเข้าสู่โหมดเครียดรับประทาน ซัดทุกอย่างที่ซื้อมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตเข้าปาก ความขมฝาดของเหล้าโซจูในตอนแรกเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นรสชาติหวานล้ำเมื่อเริ่มรู้สึกมึนเมา
ไม่แน่ใจนักว่าเธอดื่มไปกี่ขวด รู้เพียงแต่ว่าสิ่งสุดท้ายที่เธอเห็นคือภาพผนังห้องหมุนคว้างก่อนจะผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
รุ่งอรุณใหม่มาถึง แสงสีทองที่สาดส่องผ่านผ้าม่านมากระทบเปลือกตาปลุกให้หญิงสาวต้องลืมตาตื่นด้วยรำคาญแสงที่แยงตา ร่างบางบิดตัวพลิกอย่างเกียจคร้านครู่หนึ่ง หากแต่พอจะผงกศีรษะขึ้นมาด้วยหมายจะไปเข้าห้องน้ำ เจ้าหล่อนก็ต้องฟุบลงนอนไปอีกรอบด้วยมึนศีรษะสุดกำลัง
เมื่อคืนนี้ท่าทางจะดื่มหนักไป...
มือที่ปัดไปโดนขวดเปล่าเกลื่อนกลาดข้างตัวบอกให้รู้ว่าเมื่อคืนนี้เธอดื่มหนักมากจริงๆ
เสียผู้เสียคนสุดๆ
หญิงสาวอดต่อว่าตัวเองไม่ได้ ดีที่วันนี้ไม่มีตารางเรียนหรือกิจกรรมใดๆ เธอจึงสามารถนอนต่อได้
ร่างเล็กยังคงขยับไปมาบนพรมเพื่อขับไล่ความเมื่อยขบ เมื่อคืนไม่ได้ไปนอนที่เตียงเพราะเมาหลับไปก่อน แต่เมื่อรู้ตัวก็ไม่ได้พยายามที่จะพาตัวเองไปนอนยังที่ที่สมควรนอนแต่อย่างใด นอกจากปิดเปลือกตาอยู่อย่างนั้น พลิกตัวไปอีกฝั่งหนึ่งที่ไม่มีขวดเหล้าเปล่าเกลื่อนกลาด

