บทย่อ
ผมไม่ได้ไปคลับเป็นครั้งแรก แต่ผมเจอกับเขาเป็นครั้งแรก เขาหล่อ... แต่สภาพเหมือนคนใกล้ตาย และผมก็เมา แต่มั่นใจว่าสติสัมปชัญญะยังครบถ้วน ผมช่วยพยุงเขา ทว่าเขากลับกระซิบบอกว่า... “ขอวางไข่หน่อย” วะ...วางไข่อะไรวะ!?
Episode 01: The egg from the prince【1】
บ้านเอเลี่ยนคิดส์มีลูกครึ่งมนุษย์ต่างดาวเกลื่อนกลาดอย่างที่ผมคิด พอย่างเท้าเข้ามาในบ้าน บรรดาพวกลูกครึ่งเหมือนกับผมก็แสดงอภินิหารกันยกใหญ่ ให้รู้กันว่าเป็นลูกครึ่งอะไรบ้าง บ้างก็คืนร่างเดิม บ้างก็แสดงความสามารถพิเศษที่สายพันธุ์ของตัวเองมี แต่ผมไม่ได้สนใจนัก และไม่สนใจที่จะแสดงความสามารถพิเศษของตัวเองออกมาด้วย เพราะสิ่งที่ผมสนใจก็คือแผ่นหลังของคนที่เดินนำผมมาก่อนหน้านี้มากกว่า
อาร์ตรงเข้าไปนั่งบนโซฟาที่อยู่กลางบ้านโดยไม่พูดกับใครสักคำ ไม่สนแม้แต่จะทักทายประธานบ้านที่เดินมาแนะนำตัวเองเมื่อครู่ว่าชื่อมิเกลและเป็นลูกครึ่งอะไรสักอย่าง ยิ่งพอมิเกลเดินเข้าไปถามเซ้าซี้ว่าอาร์เป็นลูกครึ่งอะไร อาร์ก็ให้คำตอบโดยการเปิดเผยตัวเองโดยการปล่อยกลิ่นของชาวยูนิกมาออกมาทั้งที่ปกติแล้ว พวกเราจะเก็บซ่อนกลิ่นนี้ไว้ ทำให้บรรยากาศคึกคักเมื่อครู่นี้หายไปทันตา ก่อนจะตามมาด้วยการทำความเคารพกันอย่างพร้อมเพรียงเมื่อรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของอาร์คือใคร
ก็แน่ล่ะว่าเป็นลูกครึ่งชาวยูนิกมาผู้สูงส่ง แต่สูงส่งกว่าเมื่อกลิ่นของอาร์ไม่ได้เหมือนชาวยูนิกมาทั่วไป แต่มีกลิ่นของเชื้อพระวงศ์ด้วย ทุกคนจะรีบให้ความเคารพก็ไม่แปลก
เพราะอาร์ทำแบบนี้ ผมเลยได้แต่แค่นยิ้มให้กับคนอื่น ๆ ที่หันมามองผมเป็นเชิงว่าทำไมผมถึงไม่ทำความเคารพอาร์เหมือนกับพวกนั้น แล้วทุกคนก็ประจักษ์ได้เมื่อจู่ ๆ ก็มีชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ท่วงท่าสง่างามไม่แพ้กับอาร์โผล่มาจากด้านในของบ้าน พร้อมกับเอ่ยปากทักอาร์อย่างเป็นมิตร
“ก็นึกว่าใครมา ที่แท้ก็ญาติผู้น้องของฉันนี่เอง” ชายคนนั้นว่าขณะยกมือทั้งสองข้างรวบผมยาวปะบ่าสีบลอนด์สว่างขึ้นเป็นหางม้า พออาร์หันไปมองก็หยักยิ้มกว้างให้
ผมมองปราดเดียวก็จำได้เลยว่านั่นคือจูเลียน เจ้าชายรัชทายาทแห่งเซนไทน์ที่เป็นพระโอรสพระองค์เดียวของกษัตริย์เซนไทน์และลุงเจเนซิส แฟนเก่าของพ่อคีธ รายนี้ก็เป็นเพื่อนผมสมัยเด็กเหมือนกัน ผมเลยไม่เคยใช้คำคนละระดับด้วย แต่เราไม่ได้เจอกันนานหลายปีพอ ๆ กับที่ผมไม่ได้เจออาร์แล้วล่ะ นั่นก็เพราะจูเลียนไม่ได้อาศัยอยู่บนโลก แต่อาศัยอยู่ที่ดาวเซนไทน์เพื่อเรียนรู้การเป็นกษัตริย์อย่างที่บรรดาเจ้าชายทำกัน และที่มาโผล่ที่นี่ได้ คงเป็นเพราะเหตุผลเดียวกับอาร์นี่แหละ
อาร์เห็นจูเลียนยิ้มให้ก็ทำเพียงพยักหน้า ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ซ้ำยังเมินเสมือนจูเลียนเป็นอากาศธาตุ ทำเอาจูเลียนยิ้มแหย ผมเลยเข้าใจได้ว่าอาร์น่ะไม่ได้หยิ่งแค่กับคนต่ำศักดิ์กว่าหรอก ขนาดคนมียศถาบรรดาศักดิ์เท่าเทียมกัน ยังหยิ่งใส่เลย ก่อนผมจะยิ้มบาง ๆ ให้จูเลียนบ้างเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมองมาทางผม
“นายตามมาเป็นผู้พิทักษ์ให้อาร์เหรอ” จูเลียนถามอย่างรู้ทัน คงจะรู้เพราะลุงเจเนซิสบอกแน่ เห็นพ่อคีธบอกว่าลุงเจเนซิสเป็นคนเสนอแผนการหลอกพ่อกวินทร์นี้ให้ลุงแอสตันน่ะ
ผมพยักหน้า จูเลียนเลยตบบ่าผมดังปุ
“งั้นคงต้องทำใจหน่อยนะ ดูท่าทางอาร์จะยังปรับตัวไม่ได้ กว่าจะคุ้นชินคงอีกนาน”
ผมพยักหน้า อยากจะย้อนถามเหมือนกันว่าแล้วเขาทำยังไงถึงปรับตัวได้เร็วขนาดนี้ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้อยู่ที่นี่นานพอกันกับอาร์ หากแต่ไม่ทันจะได้ถาม เสียงของอาร์ก็เรียกความสนใจจากผมไปแล้ว
“ห้องของเราอยู่ไหน” อันนี้หันไปถามมิเกล
มิเกลที่ยังนั่งคุกเข่าอยู่รีบกุลีกุจอตอบทันใด
“คะ...คือว่าเรื่องห้องพักนี่ เราต้องให้น้องใหม่จับสลากเลือกน่ะเพคะ ต้องรอให้คนมาครบกันก่อน ตอนนี้ยังมาไม่ครบ ยังจะจัดห้องบรรทมให้ฝ่าบาทไม่ได้”
ตอบไปอย่างนี้ สีหน้าเรียบเฉยของอาร์ก็เผยความไม่พอใจออกมาทันที ทำเอาคนถูกถามมีสีหน้าเจื่อนไปทันตา เจื่อนเพราะกังวลว่าใช้ภาษาคนละระดับไม่ถูกไม่พอ ยังจะเจื่อนหนักกว่าเดิมเมื่ออาร์พูดออกมาสั้น ๆ อีก
“แต่เราเหนื่อยแล้ว เราอยากพัก”
“แต่ว่า...”
พูดแค่นั้นก็ต้องเงียบไปเมื่อถูกดวงตาหรี่เล็กมองเขม็ง เป็นสายตาที่ใครมองก็รู้ว่าเป็นความไม่พอใจอย่างสุดซึ้ง แม้อาร์จะไม่พูดอะไร แต่ก็สร้างความหวาดเกรงให้คนรอบข้างได้เป็นอย่างดี ทำเอาจูเลียนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผมว่าเบา ๆ
“ใช้สายตาของผู้มีอำนาจได้ดีกว่าฉันซะอีก”
ผมพอจะเข้าใจว่าจูเลียนหมายถึงพวกเชื้อพระวงศ์จะมีความสามารถพิเศษในการแสดงอำนาจแบบที่ไม่ต้องพูดอะไร ก็สามารถแผ่รัศมีความน่าเกรงขามออกมาได้อะไรประมาณนั้น แต่สำหรับคนที่คุ้นชินกับเชื้อพระวงศ์อย่างผม ผมกลับมองว่ามันเป็นสายตาของคนเอาแต่ใจมากกว่า เพราะผมไม่เคยเห็นลุงริชาร์ดกับลุงแอสตันมองใครด้วยสายตาแบบนี้เลย แม้แต่จูเลียนตอนเด็กที่เจอกันก็ไม่เคย รวมถึงลุงเจเนซิส ลุงซีเลน หรือจะเป็นลูก ๆ ของลุงซีเลนอย่างเซซิลกับเบลคที่ตอนนี้อยู่ที่ฝรั่งเศสซึ่งมีสายเลือดสีน้ำเงินเหมือนกัน ก็ไม่เคยมองคนอื่นด้วยสายตาแบบนี้ จะมีก็แต่อาร์ที่ทำอย่างกับว่าคนอื่นต่ำชั่นกว่า
คงเพราะเหตุนี้ ลุงริชาร์ดกับลุงแอสตันถึงได้เป็นห่วงจนต้องขอให้ผมมาดูแลล่ะมั้ง
และเพราะอาร์ไปมองมิเกลอย่างนั้น เธอก็เกิดเกรงใจขึ้นมาจนอดไม่ได้ที่จะมอบสิทธิพิเศษให้อย่างไม่มีทางเลือก
“ชะ...เช่นนั้นฝ่าบาทมีรูมเมทหรือยังเพคะ ถ้ามีรูมเมทแล้ว หม่อมฉันจะจัดห้องบรรทมให้”
“ยังไม่มี” อาร์ตอบ ทำให้มิเกลลุกลี้ลุกลนขึ้นไปอีก
“ถ้ายัง หม่อมฉันคงต้องรบกวนฝ่าบาททรงหารูมเมทก่อน แบบว่า...ห้องนึงต้องอยู่กันสองคนน่ะเพคะ ไม่อย่างนั้น ห้องจะไม่พอสำหรับนักศึกษาใหม่คนอื่น”
“งั้นก็หาให้เราสิ”
งานงอกที่มิเกลทันที มิเกลทำหน้าหนักใจ และดูเหนื่อยใจมากขึ้นไปด้วยเมื่อหันไปมองยังนักศึกษาใหม่คนอื่น ๆ เพื่อหารูมเมทให้อาร์แล้ว ทุกคนก็พากันหลบสายตา บ่งบอกชัดเจนว่าไม่อยากร่วมห้องกับคนบนโซฟาที่นั่งแกะขี้เล็บตัวเอง คงเพราะไม่อยากอึดอัดหรือถูกอาร์ข่มล่ะมั้ง
สุดท้าย หวยเลยมาออกที่จูเลียนเพราะอีกฝ่ายเป็นลูกพี่ลูกน้อง ทว่าพอมิเกลกำลังจะเอ่ยปาก จูเลียนก็ยกมือขึ้น ออกปากปฏิเสธก่อนแล้ว
“ฉันมีรูมเมทแล้วน่ะ ขอโทษนะ” แล้วก็พุ่งไปคว้าใครก็ไม่รู้ที่อยู่ใกล้ ๆ เสียอย่างนั้น
ผมดูหน้าเหวอ ๆ ของใครคนนั้นก็พอจะรู้ได้ว่าจูเลียนไม่ได้ตกลงจับคู่กับหมอนั่นตั้งแต่แรกหรอก ทว่าพอจะถูกยัดเยียดอาร์ให้ ก็ทำเป็นเหมือนว่าตัวเองไม่ว่างขึ้นมาทันที ผมเลยเผลอถอนหายใจไม่ได้
ดูสิ ขนาดลูกพี่ลูกน้องอย่างจูเลียนยังไม่อยากอยู่ด้วยเลย ขนาดได้ข่าวว่าเจอกันบ่อยก่อนมาที่โลกด้วยนะ แสดงว่าฤทธิ์เดชของอาร์คงจะเหลือทนจริง ๆ ถึงขนาดจูเลียนทนไม่ได้เนี่ย
ในเมื่อไม่มีใครยอมคู่กับอาร์สักที อาร์ที่รอได้ไม่ถึงห้านาทีก็ร้องถามด้วยน้ำเสียงกึ่งรำคาญนิด ๆ
“ได้หรือยังรูมเมทน่ะ เราบอกแล้วไงว่าเหนื่อย อยากพัก”
เท่านั้น มิเกลก็เลิ่กลั่กเป็นการใหญ่ เห็นแล้วผมก็สงสาร เลยรีบออกปากก่อนที่จะได้เห็นเธอร้องไห้
“ฉันเป็นรูมเมทให้อาร์เอง”
สิ้นเสียงก็รู้สึกเหมือนสายตาทุกคู่ที่จับจ้องมายังผมประกายวาวราวกับเห็นแสงแห่งความหวัง ความจริงพวกนี้ก็น่าจะรู้กันอยู่แล้วล่ะว่ายังไงผมก็ต้องเป็นรูมเมทให้อาร์ ก็ผมเป็นผู้พิทักษ์นี่นา จะอยู่ห่างจากคนที่ตัวเองดูแลได้ไง
“งั้นก็เอากุญแจห้องไปเลย ขึ้นบันไดไปชั้นสอง ห้องอยู่ริมสุดระเบียงฝั่งขวานะ นาย...”
“คีตา” บอกชื่อไปสั้น ๆ มิเกลก็วางกุญแจแหมะลงบนมือผมทันใด
“ฝากด้วยนะคีตา ดูแลองค์ชายดี ๆ ล่ะ”
แล้วก็ดุนหลังผมให้เข้าไปหาอาร์เป็นการใหญ่ ผมรำคาญนิด ๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก เข้าใจอยู่ว่าเธอคงอยากให้อาร์รีบไปให้พ้นจากตรงนี้ก่อนที่บรรยากาศจะกร่อยไปกว่าเดิม ผมเลยเดินเข้าไปหาอาร์ ตั้งท่าจะบอกว่าให้ขึ้นไป ทว่าไม่ทันจะได้พูด อาร์ก็ลุกขึ้นเดินนำไปแล้ว อะไรไม่ว่า ทิ้งกระเป๋าสัมภาระตัวเองไว้ให้ผมขนอีกต่างหาก
“ตามมาเร็ว ๆ เราอยากนอน”
ผมลอบพ่นลมหายใจนิดหน่อย คว้ากระเป๋าเป้ใบเขื่องของอาร์ขึ้นสะพายหลัง แล้วตามขึ้นไป หัวก็คิดไปเรื่อย
ดูท่าทางจะไม่ได้หยิ่งอย่างเดียวแล้วล่ะ น่าจะเอาแต่ใจตัวเองแบบสุดกู่ด้วย แค่นี้ก็เริ่มออกลายแล้ว เห็นทีผมคงต้องเตรียมรับมืออย่างจริงจังแล้วล่ะ
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพ่อกวินทร์ถึงได้ไม่อยากให้ผมยุ่งกับอาร์นัก ซ้ำยังกำชับอีกว่าถ้าอาร์กดขี่ข่มเหงอะไรผมก็ให้รีบบอก จะรีบมาจัดการให้ ก็ดูสิ ขนาดแทบไม่ได้คุยกัน แต่พอเข้ามาในห้องได้ปุ๊บ อาร์ก็ออกคำสั่งให้ผมเลื่อนเตียงของผมเข้าไปชิดกับเตียงของตัวเอง ตอนแรกผมก็นึกว่าจะให้นอนคู่กัน แต่ไม่ใช่ เขาอยากได้เตียงที่ใหญ่ขึ้นเพราะเตียงเดี่ยวของบ้านพักนักศึกษามันเล็กไปสำหรับเจ้าชายอย่างเขา เขาบอกว่ามันไม่ชินเพราะไม่เคยนอนเตียงเล็กแบบนี้มาก่อน ทั้งที่ผมมองดูแล้ว ตัวขนาดอาร์นี่ เตียงเดี่ยวก็ใหญ่เหลือเฟือแล้ว ถ้าจะนอนไม่พอก็น่าจะเป็นผมมากกว่า
ทว่าผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก ผมไม่ค่อยสนใจอะไรอยู่แล้ว ให้ไปนอนที่โซฟาที่อยู่ตรงมุมห้องก็ได้ ถึงจะเล็กไปหน่อย แต่ก็โอเค ผมนอนตรงไหนก็ได้ ยังไงก็เป็นผู้พิทักษ์อยู่แล้ว พ่อคีธก็สอนมาแล้วนี่นาว่ามีหน้าที่ต้องดูแลอาร์ให้ดีที่สุด อะไรเสียสละให้ได้ก็ต้องให้ แม้แต่ชีวิตก็ต้องให้ได้เช่นกัน
ถ้าพ่อกวินทร์ไม่มาแหกอกเสียก่อนน่ะนะ...
เลื่อนเตียงให้อาร์เสร็จ อาร์ก็จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วล้มตัวนอน ก่อนผล็อยหลับไปในเวลาเพียงไม่กี่นาที สงสัยจะเป็นเพราะเหนื่อยจากการเดินทางเลยทำให้หลับง่ายขนาดนี้ ผมเลยไม่ได้ใส่ใจ ปล่อยให้อาร์พักผ่อนอย่างเต็มที่ ส่วนตัวเองก็ลงไปข้างล่างเมื่อหูได้ยินใครบางคนพูดว่าให้นักศึกษาใหม่เริ่มการแนะนำตัว ผมเลยคิดว่าลงไปร่วมกับคนอื่นดีกว่า จะได้รู้จักคนเพิ่ม เผื่อในอนาคตจะได้แนะนำให้อาร์รู้จักด้วย
การแนะนำตัวและทำความรู้จักกันแบบมีขั้นตอนเริ่มกลายเป็นการพูดคุยตามอัธยาศัยเมื่อมิเกลให้จับคู่รูมเมทและจับสลากเพื่อเลือกห้องพัก แล้วก็เริ่มเลยเถิดเป็นการปาร์ตีของมึนเมาเมื่อฟ้าเริ่มพลบค่ำ ความจริงแล้วผมไม่อยากดื่มเท่าไหร่ พ่อคีธเคยบอกไว้ว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พวกนี้เป็นภัยถึงชีวิตได้ ผมก็ไม่เข้าใจนักหรอกว่าเป็นภัยถึงชีวิตยังไง เท่าที่ผมเคยดื่มกับเพื่อนในงานเลี้ยงตอนเรียนจบไฮสคูล อย่างมากมันก็ทำให้เมาค้างยันวันใหม่ก็เท่านั้นหากดื่มมากเกินไป และพอพ่อคีธพูดอย่างนั้น พ่อกวินทร์ได้ยินทีไรก็หัวเราะออกมายกใหญ่ พร้อมกับอธิบายให้ผมฟังว่าพ่อคีธมีอดีตฝังใจกับเครื่องดื่มจำพวกนี้ ผมอยากถามเหมือนกันว่ามีอดีตยังไง แต่เหมือนพ่อคีธไม่อยากพูดถึงก็เลยไม่เคยถามสักที
ทว่าตอนนี้ เครื่องดื่มที่พ่อคีธขยาดที่สุดอยู่ในมือผมแล้วล่ะ ผมเลือกดื่มเบียร์เพราะคิดว่ามันน่าจะทำให้มึนเมาน้อยกว่าพวกวอดก้าหรือบรั่นดีที่คนอื่นกระดกดื่มกันเพียว ๆ และแน่นอนว่าผมไม่ลงไปเล่นเกมแข่งดื่มอะไรกับใครด้วยเพราะไม่อยากจะเมาหัวทิ่มจนไปเรียนไม่ได้ตั้งแต่วันแรกซึ่งก็คือวันพรุ่งนี้ ดื่มไปก็นั่งฟังคนอื่นคุยกันไป ไม่ค่อยมีปากเสียงกับใครเท่าไหร่นัก การชวนคนอื่นคุยไม่ใช่สไตล์ผมเท่าไหร่ นั่งฟังเงียบ ๆ น่ะดีแล้ว จะมีก็แต่ตอบรับจูเลียนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ บ้างเท่านั้น
“นายนี่พูดน้อยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ” จูเลียนว่าเมื่อเห็นว่าผมถามคำตอบคำตลอดเวลา ผมเลยยักคิ้วให้เป็นการตอบรับ ทำเอาอีกฝ่ายตีเข้ามาที่บ่าผมเบา ๆ
“นายพูดน้อย อาร์ก็พูดน้อย อยู่ด้วยกัน สงสัยห้องพวกนายสงบสุขแน่ถ้าอาร์ไม่ออกอาการเอาแต่ใจซะก่อนน่ะนะ รายนั้นน่ะ เอาแต่ใจทีไร ทำคนติดตามผวาทุกที เอาแต่ใจมาก ขนาดฉันยังไม่ค่อยอยากคุยด้วยเลยตอนหมอนั่นเอาแต่ใจ กลัวโดนลูกอาละวาด”
นั่นไง เหมือนที่ผมเคยบอกว่าจูเลียนคงจะรู้ดีว่าอาร์เป็นคนแบบไหน ตอนอยู่ที่ดาวบ้านเกิดพ่อ ๆ คงจะได้เจอกันบ่อยแน่
“ว่าแต่ตอนนี้อาร์อยู่ไหนล่ะ ทำไมไม่ลงมาปาร์ตีกับคนอื่น”
“นอนน่ะ” ผมว่าสั้น ๆ ทำเอาจูเลียนย่นคิ้ว
“เฮ้ย มานอนอะไรตอนนี้ เดี๋ยวค่อยนอนใหม่ตอนกลางคืนก็ได้ ไปลากหมอนั่นมาร่วมวงกับคนอื่นก่อนไป” จูเลียนไล่ผมเมื่อได้ยินคำตอบแบบนั้น ผมเลยต้องรีบชี้แจง
“เห็นว่าเดินทางมาเหนื่อยเลยไม่อยากกวน ปล่อยให้พักเถอะ เดี๋ยวก็ได้หงุดหงิด”
พูดไปอย่างนี้ จูเลียนก็ทำท่าเหมือนจะคิดขึ้นมาได้ว่าถ้าอาร์ถูกกวนจะเป็นยังไง เลยย่นปาก ทำหน้าเหมือนกับว่าเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ทว่าก็ยังหลุดปากพูดออกมา
“ก็นะ ขนาดหมอนั่นตอนอารมณ์ปกติยังไม่ค่อยมีใครอยากเข้าใกล้ ถ้าอารมณ์เสียขึ้นมาเมื่อไหร่ มีหวังปาร์ตีได้หมดสนุกแน่ ให้นอนต่อไปก็แล้วกัน แต่ก็น่าเสียดาย น่าจะมาร่วมวงกับคนอื่นเค้าหน่อย จะได้ฝึกทักษะการเข้าสังคม ได้ยินพ่อเจเนซิสของฉันบอกว่าพ่อ ๆ ของหมอนั่นกังวลเรื่องการเข้าสังคมนี่นา ไม่มาเข้าร่วมแบบนี้ จะไปฝึกการเข้าสังคมได้ยังไง”
คำพูดของจูเลียนมีเหตุผล พอผมมองหน้า จูเลียนก็ส่งยิ้มให้เป็นเชิงถามว่า ‘จริงมั้ย?’ ผมเลยตอบรับอย่างไม่มีทางเลือก เพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์สำหรับอาร์เช่นเดียวกัน
“งั้นเดี๋ยวฉันไปตามอาร์มาแล้วกัน”
จูเลียนส่งยิ้มให้ผมราวกับบอกว่าตัดสินใจถูกต้องแล้ว ทว่าพอผมลุกขึ้นเดินไปยังทางขึ้นชั้นสองเท่านั้น ร่างของอาร์ก็ปรากฏให้เห็นบนบันได ผมเลยถอยมาให้เขาได้เดินผ่านหน้าไป แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นความอึกทึกคึกโครมภายในโถงของบ้าน ก่อนจะหันมาถามผมเสียงขุ่น
“นี่ทำอะไรกันอยู่”
“ปาร์ตีต้อนรับนักศึกษาใหม่” ผมว่า หัวคิ้วอาร์ก็ย่นยู่พลัน
“น่ารำคาญ ไร้อารยธรรม” ไม่พูดอย่างเดียว สีหน้าก็แสดงออกมาชัดเจนด้วยว่าไม่พอใจ
ก็นะ งานเลี้ยงของคนทั่วไปกับงานเลี้ยงของบรรดาเชื้อราชวงศ์มันต่างกันนี่นา คนทั่วไปก็เน้นสนุกสนานเละเทะไปตามเรื่อง ส่วนพวกเชื้อราชวงศ์ก็เป็นงานแบบมากพิธีรีตอง อาร์คงจะชินกับงานเลี้ยงแบบนั้นมากกว่าถึงได้เกิดอาการไม่ชอบใจแบบนี้
แล้วผมก็เบี่ยงประเด็นด้วยไม่อยากให้อาร์โผล่ไปทำงานเลี้ยงของคนอื่นกร่อย
“แล้วนี่ตื่นมาทำไม หิวเหรอ” ที่ถามอย่างนี้เพราะเห็นว่าอาร์ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่มาถึงที่นี่น่ะ
อาร์ส่งเสียงอือในลำคอเป็นการตอบรับ ผมเลยพยักหน้าเรียกอาร์ให้ตามไปที่ห้องครัว จัดการเอาขนมปังมาทำแซนวิซแบบง่าย ๆ ให้กินด้วยไม่เหลืออะไรให้เขากินแล้ว ปกติแล้ว ชาวยูนิกมาจะไม่กินอาหารของมนุษย์โลก จำเป็นต้องกินยาปรับสภาพถึงจะรับอาหารของมนุษย์โลกไปผ่านกระบวนการดูดซึมให้กลายเป็นสารอาหารได้ แต่เพราะพวกผมเป็นลูกครึ่งเลยไม่จำเป็นต้องกินยาพวกนั้น แค่กินอาหารแบบปกติก็ได้รับสารอาหารแล้ว

