บท
ตั้งค่า

บทที่ 5 สุดท้ายก็คือเพื่อนกัน

At University

“เชี่ย... เสือแม่งของจริงว่ะ”

ร็อกเก็ตยิ้มชอบใจ เมื่อเห็นเยลลี่เดินมานั่งที่โต๊ะ เพียงแค่เสือพูดอะไรไม่กี่คำ เรียกได้ว่าเป็นการกระทำที่เฉียบขาดมากจริงๆ ถึงเขาจะไม่รู้ว่าสองคนพูดอะไรกันก็ตาม

“เริ่มประชุมสักที เสียเวลา” ยีนส์พูดขึ้น

“ตำแหน่งเหมือนเดิมป่ะ มีใครอยากทำอะไรต่างจากเดิมไหม” ขุนเขาเริ่มเข้าประเด็น

“กูขออัดเสียงเหมือนเดิม” ร็อกเก็ตว่าแล้วยีนส์ก็เริ่มจดรายชื่อทีมงานลงในกระดาษ

“กูเขียนบท ออกกองทำผู้ช่วยเหมือนเดิม” ซินว่า

“กูถ่ายนะงานนี้ หรือมึงจะถ่ายป่ะไอ้เสือ” ขุนเขาหันไปถามเสือ

“เอาเลย เดี๋ยวกูทำอาร์ตเอง” เสือตอบเสียงเรียบ

“กูกำกับอีกแล้วเหรอวะ?” ยีนส์ถอนหายในก่อนจะจดชื่อตัวเองลงไปในตำแหน่งผู้กำกับ

“กูทำโปรดิวซ์ แล้วอีเยลก็เมคอัพคอสตูมเหมือนเดิม” ซูซานว่า

“ให้มันพูดเองว่ามันจะทำอะไร” เสือแสยะยิ้มมองเยลลี่ไม่วางตา

“เป็นเชี่ยไรวะ?! กูทำเมคอัพคอสตูม พอใจมึงยัง?!” เยลลี่ทำเสียงไม่พอใจ แต่ก็ยอมทำตามที่เสือสั่ง

“กูก็ทำผู้ช่วยสองให้ซานเหมือนเดิมแหละ” ปิดท้ายที่เชลโล่

“ได้ตำแหน่งครบนะ ที่เหลือก็เรียกรุ่นน้องเหมือนเดิม ใครอยากได้อะไรเพิ่มก็บอกมาในไลน์ แล้วก็งานนี้อาจารย์บอกว่าต้องใช้ทฤษฎีกำกับ ซินตอนเขียนบทมาก็ดูเรื่องนี้ด้วย เราจะประชุมกันอีกทีตอนซินเขียนบทเสร็จ” ยีนส์สรุปการประชุม

“มีเวลาแค่ไหน” ซินเอ่ยถาม

“อาทิตย์นึงพอไหม เพราะต้องเตรียมงานด้วย”

“ได้”

“จบนะ... กูไปละ” ว่าแล้วยีนส์ก็ทำท่าจะลุกขึ้น

“เห้ยๆ คืนนี้อย่าลืม ห้ามเบี้ยวนะสาดดด!” ร็อกเก็ตพูดขึ้น

“รู้แล้ว” ยีนส์ตอบรับก่อนจะเดินออกไป

“มีอะไรกันวะคืนนี้” ซูซานผู้ที่ถ้าไม่ได้รู้สักเรื่องแล้วจะตายเอ่ยถาม

“คืนนี้มีวงมาเล่นที่มิวท์ มาดิ... เธอมาด้วยนะที่รัก เค้าจองโต๊ะหน้าเวทีได้แล้ว” ร็อกเก็ตตอบซูซานก่อนจะหันมาเอาหน้าซุกไหล่เล็กของเชลโล่

“งื้อ! เพื่อนอยู่นะ” หญิงสาวทำเขินอาย

“อีหน้าด้าน ไม่ต้องมาทำอาย กูไม่ไปนะ ไม่ว่าง!” เยลลี่ถลึงตาใส่เชลโล่แล้วทำท่าลุกจากโต๊ะ

“กลัวเหรอ?” เสือแสยะยิ้ม ยกแขนมาเท้าคางช้อนตามองเยลลี่

“ใครกลัว”

“มึงไง... มึงกลัวกูใช่ป่ะ? ถ้าไม่กลัวก็มาดิ หรือมึงปอดแหก?”

สิ้นคำถามกวนประสาทของเสือ เพื่อนๆ ในกลุ่มก็ถอนหายใจออกมาอย่างที่รู้กันว่า สงครามกำลังเริ่มต้นขึ้นอีกแล้ว

“ทำไมกูต้องกลัวมึง กูแค่ไม่อยากไป แต่... กูไปก็ได้ เผื่อมึงจะรู้สักทีว่ากูแค่เกลียดมึง! ไม่ได้กลัวเชี่ยไรทั้งนั้นแหละ!” เยลลี่ทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก็เดินกระทืบเท้าออกไปจากโต๊ะทันที

“เชี่ย! พวกมึงจะคุยกันดีๆ สักครั้งไม่ได้เลยเหรอวะ” ขุนเขาส่ายหน้า

“ความผิดมึงทั้งนั้นอ่ะขุน กูไปล่ะเจอกันคืนนี้” เสือลุกจากโต๊ะแล้วเดินถามเยลลี่ไป

“ได้กันแค่ครั้งเดียวต้องเกลียดกันเบอร์นี้เลยดิ” ร็อกเก็ตนึกแล้วก็ขำขึ้นมา

“ร็อกจะเข้าใจผู้หญิงได้ยังไง... เสียซิงให้ผู้ชายที่ไม่ใช่แฟนมันเจ็บนะ” เชลโล่ว่า

“แสดงว่าที่รักไม่เจ็บอ่ะดิ เพราะที่รักเสียซิงให้แฟน” เขาหยอกล้อกันอย่างไม่เกรงใจเพื่อนอีกสามคนที่มองอยู่

“กูไปก่อนนะ อยู่ตรงนี้นานอีกหน่อยเดียวกูได้อ้วกออกมาแน่” ซูซานทำหน้าตาจะอ้วกออกมาแล้วก็เดินออกไปจากโต๊ะประชุม

“พวกขี้อิจฉา... เราไปนอนกอดกันที่คอนโดดีกว่าเนอะที่รัก”

“อื้อ!”

ซินมองตามร็อกเก็ตที่เดินโอบไหล่เชลโล่ออกไปก่อนจะถอนหายใจออกมาช้าๆ ลืมไปว่าที่โต๊ะยังเหลือขุนเขาอยู่อีกคน

“รออะไร... ทำไมยังไม่กลับอีก” ชายหนุ่มเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มทรงเสน่ห์

“แล้วมึงทำไมยังไม่ไป?” หญิงสาวเอ่ยถามกลับแทนที่จะตอบคำถามเขา

“กูรอมึงไง ไปกินข้าวกัน กูหิว” ขุนเขาลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินมาดึงผมซินเล่น

“อื้อ! อย่าดึง... แล้วมึงเป็นไร หิวเก่งชิบหาย” หญิงสาวทำหน้ามุ่ย

“นี่จะห้าโมงเย็นแล้ว ไม่หิวดิแปลก มึงก็ต้องกินด้วย ไป... เดี๋ยวกูพาไปกินของอร่อย” เขายังคงยิ้มแล้วดึงผมหญิงสาวไม่เลิก

“บอกว่าอย่าดึง!” ซินลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วมองค้อนใส่ขุนเขา

“ก็เชื่อฟังดิ อย่าดื้อกับกู กูไม่ชอบเด็กดื้อ” เขาทำเสียงดุ

“กูไม่เด็กป่ะ แล้วมึงไม่ชอบกูต้องสนใจไหม?” ซินหลุดพูดสิ่งที่ตรงข้ามกับความคิดเธอออกไป หญิงสาวนิ่งไปถนัดตา สองสายตาสบกันก่อนที่ขุนเขาจะปล่อยมือจากเส้นผมลอนสวยของหญิงสาว

“ไม่สนจริงดิ?” เขาเอ่ยถามเสียเรียบนิ่ง

“...” หญิงสาวคิดหาคำตอบไม่ทัน

“มึงไม่อยากรู้เหรอว่าคำตอบของกูคืออะไร เมื่อคืนมึงโทรมาพูดแล้วก็วาง กูยังไม่ทันได้ตอบอะไรด้วยซ้ำ”

หัวใจของซินเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้งเมื่อขุนเขาพูดถึงเรื่องเมื่อคืนขึ้นมา เธอกัดปากแน่นพยายามข่มหัวใจที่ว้าวุ่นของตัวเองให้อยู่นิ่งๆ ในขณะที่ชายหนุ่มหรี่ตามองเธอไม่วาง

“แล้วคำตอบของมึงคืออะไรอ่ะ ก็พูดมาดิ”

“อยากรู้ก็ไปกินข้าวกับกู เร็ว!”

“ไม่อ่ะ... กูว่าเมื่อคืนกูไม่ได้ถามอะไรมึงเลย กูแค่พูดสิ่งที่กูอยากจะพูดไป เหลือแค่มึงแล้วป่ะ? ที่ต้องพูดในสิ่งที่มึงคิดออกมา” ซินจ้องหน้าขุนเขานิ่ง ถูกอย่างที่เยลลี่ว่า ถึงเวลาที่เธอต้องมีชั้นเชิงบ้างแล้ว

“แล้วมึงว่ากูคิดอะไร ไหนลองบอกมาดิ?” ทว่าขุนเขายังเหนือชั้นกว่าเธอ

“ขุน... มึงก็แค่พูดมาป่ะ ทำไมต้องมาถามกูกลับด้วยวะ ถึงยังไงเราก็เป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว?!” ซินหลับตาแล้วสูดหายใจเข้าจนสุดปอด ปากแดงเม้มแน่นที่ดันหลุดพูดคำว่าเพื่อนออกไป

“มึงบอกชอบกูแล้วยังอยากเป็นแค่เพื่อนอยู่อีกเหรอ” รอยยิ้มของขุนเขาหายไป เขาถามเธอกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

“...”

“กูจะบอกอะไรให้นะซิน... ถ้ามึงคิดจะสารภาพว่าชอบเพื่อน นั่นแปลว่ามึงต้องยอมรับให้ได้ว่าความเป็นเพื่อนแม่งต้องหายไปด้วย”

“มึงหมายความว่าไง”

“กูก็หมายความว่า...” ขุนเขาเงียบไป เขายังไม่ทันได้พูดจนจบประโยคเพราะมีเสียงเรียกชื่อเขาดังขึ้นมาก่อน

“พี่ขุน” เป็นมินตราที่เดินมาหยุดตรงหน้าขุนเขา ด้านหลังของซิน

“มิน” เขาเอ่ยชื่อของแฟนเก่าด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

“มินขอคุยด้วยได้ไหม”

ซินหันไปมองมินตราที่ยืนอยู่ด้านหลังของเธอ แล้วความรู้สึกเดิมก็กลับมาหาเธออีกครั้ง มันคือความรู้สึกเจ็บแปลบเหมือนทุกครั้งที่ได้เห็นขุนเขาอยู่กับมินตรา

“กูไปล่ะ” ซินเอ่ยขึ้น

“รอก่อน” ขุนเขารั้งแขนของซินเอาไว้

“ถ้ามึงมีอะไรจะพูดกับกูจริงๆ กูจะรอฟังหลังจากที่มึงคุยกับมินเสร็จ โทรมาแล้วกัน” ซินดึงแขนออกจากมือของขุนเขาแล้วเดินออกมาจากตรงนั้น

ซินขับรถวนกลับมาที่หน้าตึกเรียนภาพที่เธอเห็นเป็นภาพของขุนเขาที่กำลังกอดมินตราที่กำลังร้องไห้ เพียงแค่นั้นเธอก็รู้แล้วว่าขุนเขาจะกลับไปคบมินตรา เหมือนทุกครั้งที่เขาจะกลับไปเมื่อมินตรามาร้องไห้ขอโอกาส... และเธอก็จะกลายเป็นแค่เพื่อนของเขาต่อไป

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel