บทที่ 4 มันไม่ง่ายเลย...
ขุนเขาเดินนำซินเข้ามาในคลาสเรียนวิชาการกำกับภาพยนตร์ คลาสได้เริ่มไปแล้วเป็นเวลายี่สิบนาที เวลานี้ภายในห้องมืดเพราะอาจาย์ประจำวิชากำลังเปิดหนังประกอบการสอน
ขุนเขาเดินเข้าไปนั่งกับกลุ่มเพื่อนของเขา ส่วนซินก็เดินเข้ามานั่งข้างๆ ซูซานและเยลลี่ ในขณะที่เชลโล่แยกออกไปนั่งกับร็อกเก็ตแฟนหนุ่มของเธอ
“อะไรยังไง ทำไมมึงมาด้วยกัน” เยลลี่ทำหน้าตาอยากรู้อยากเห็น
“ไปซั่มกันมาใช่ไหม” ซูซานเสริม
“ซั่มบ้านป้ามึงสิ กูแค่ไปกินข้าวกับมันมา” ซินตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ สายตาแอบชำเลืองมองหาชายหนุ่มท่ามกลางความมืดสลัว
“ไปกันข้าวกันเฉย ปล่อยเพื่อนนั่งหิวจ่ะ อีหลอกดูก” เยลลี่เบะปากมองบนใส่ซิน
“ก็มันชวนกู แล้วก็จะรู้ไหมว่าพวกมึงยังไม่แดกข้าวอ่ะ” ซินแก้ตัว
“ไหน... ได้คุยอะไรกันบ้าง คบกันยัง” ซูซานเข้าเรื่องที่เธออยากรู้
“คบก็เชี่ยละ แม่งแค่บังคับให้กูไปกินข้าวด้วย แค่นั้นแหละ ไม่ได้มีอะไรเลยแล้วก็มันไม่ได้พูดถึงเรื่องเมื่อคืนด้วยซ้ำ” ซินเปลี่ยนจากน้ำเสียงทุ้มต่ำเป็นน้ำเสียงสุดแสนจะเบื่อหน่าย
“ตีเนียนล่ะสิ หึ! กูบอกเลยว่างานนี้มึงเหนื่อยแน่ๆ อีซิน” เยลลี่ผู้ที่คิดว่าตัวเองรู้ทุกเรื่องคาดการณ์ถึงอนาคต
“กูว่ามันอ้อยมึง มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเชี่ยขุนมันอ้อยเก่ง มันงั้นผู้หญิงจะไม่ติดมันแจกันถ้วนหน้าเหรอ” ซูซานเสริมเยลลี่
“แม่งก็อ้อยเก่งกันทั้งกลุ่มอ่ะ มึงดูซิ อ้อยสำเร็จไปตัวนึงไง ไม่งั้นอีแรดเพื่อนเราจะมันคงมานั่งกับพวกเราแล้ว” เยลลี่ว่าพลางชวนเพื่อนให้หันไปมองเชลโล่ที่ทำตัวเกาะติดร็อกเก็ตแจไม่ยอมปล่อยให้ห่าง
“พวกมึงนี่เป็นเพื่อนกูกันจริงๆ ใช่ไหม นอกจากจะไม่เชียร์กูแล้วยังจะขู่กันฟ่อๆ ชาติที่แล้วเป็นหมาเหรอ” ซินถลึงตาเบิกโตใส่เพื่อนสองคน
“ก็เพราะเป็นเพื่อนไง กูถึงได้เตือนมึงไว้ก่อนว่างานนี้ไม่ใช่ง่ายๆ แน่นอน ไอ้เชี่ยขุนเห็นยิ้มๆ แบบนั้น แม่งร้ายสัด ร้ายพอๆ กับเพื่อนมันนั่นแหละ!” เยลลี่หรี่ชำเลืองมองเสือ เพื่อนสนิทของขุนเขา
“เอาเป็นว่าต่อไปนี้มึงต้องรุกเข้าหามัน คอยเยี่ยวใส่มันบ่อยๆ หมาตัวอื่นจะได้รู้ว่ามันมีเจ้าของแล้ว” ซูซานอมยิ้มว่า
“กูไม่ใช่หมา!” ซินมองค้อนใส่เพื่อน
“อีห่าเอ้ย! อีซิน! ถ้ามึงอยากคบกับมันจริงๆ นะ ต่อไปนี้มึงต้องปรึกษากู ห้ามไปปรึกษาอีซานอีก มึงต้องเริ่มตั้งแต่การเลือกโค๊ชที่ถูกต้องก่อน เข้าใจป่ะ” เยลลี่ว่า
“เอ้า! อีเยล... กูไม่ดีตรงไหน?!” ซูซานเบิกตามองเยลลี่
“มึงอ่ะผิดตั้งแต่ที่ไม่เคยมีผัวและไม่คิดจะมีแล้ว ผิดอีกอย่างคือมึงดันยุให้อีซินไปบอกชอบเชี่ยขุนไง เพราะมันเท่ากับว่าตอนนี้เราถือไพ่ต่ำกว่ามัน ของแบบนี้มันต้องมีชั้นเชิงกันหน่อย” เยลลี่ทำหน้าตาเหมือนคนเจนจัดเรื่องความรัก
“จ้า... แม่คนเก่ง... มึงก็ไม่เคยมีแฟนเหมือนกันแหละ ทำเป็นพูดว่าเก่งอย่างนั้นเก่งอย่างนี้ เก่งจริงมึงคงไม่เสียซิงให้ไอ้เสือหรอก!” ซูซานจี้ใจดำเยลลี่เข้าอย่างจัง
“เชี่ยซาน!” ซินเอ็ดเพื่อนที่พูดไม่คิด
“สัด! กูเกลียดมึงอีซาน!” เยลลี่นึกอยากจะลุกขึ้นไปกระโดดถีบซูซาน ถ้าไม่ติดว่าอาจารย์อยู่ในห้องเรียนด้วย
“คุยไรกัน ไม่เห็นเรียกกูเลย” แล้วเชลโล่ก็เดินเข้ามานั่งร่วมแก๊ง
“เขาคุยกันจบแล้ว กลับไปนั่งกกผัวมึงเถอะ” ซูซานว่า
“เอ้า! กูผิดใช่ไหมที่มีผัวก่อนพวกมึง?” เชลโล่กรอกตามองบนใส่ซูซาน
สามชั่วโมงของการเรียนวิชากำกับภาพยนตร์ได้จบลงหลังจากที่อาจารย์ประจำวิชาได้สั่งให้นักศึกษาทำหนังสั้นมาสั่งกลุ่มละหนึ่งเรื่อง โดยให้จับกลุ่มตามใจชอบในจำนวนกลุ่มละสิบคนเหมือนทุกครั้ง
แน่นอนว่าทุกคงส่งสียงร้องโอดโอยเพราะในชั้นเรียนปีสามที่เพิ่งเปิดเทอมมาได้ไม่นานนี้พวกเขามีหนังที่ต้องทำสั่งอาจารย์รวมแล้วสามเรื่องด้วยกัน
“เชี่ย! กูว่าไม่ต้องนอนกันแล้วล่ะ เทอมนี้แม่งโดนไปสามเรื่องละ!” ซูซานบ่นเสียงเขียว
“แค่คิดกูก็เหนื่อยแล้ว หรือเราย้ายสาขากันดีวะ” เชลโล่ว่า
“แล้วกูจะเอาเวลาไหนไปนอนวะเนี่ย!!!” เยลลี่ยีหัวตัวเอง ขณะที่เดินออกมาหยุดที่หน้าตึกเรียนพร้อมกับเพื่อน
ขณะที่ซินนิ่งเงียบเดินรั้งท้ายกลุ่มเพื่อน เรื่องงานหนังสั้นไม่ได้อยู่ในโสตประสาทของเธอเลยแม้แต่น้อย เพราะเธอกำลังว้าวุ่นอยู่กับเรื่องของขุนเขา... เรื่องที่ว่า เขาอาจจะไม่คิดจริงจังกับเธอ บางทีเขาอาจจะมองว่าเธอเป็นแค่เพื่อนเท่านั้น
“ร็อก!!!” เชลโล่วิ่งนำหน้าเพื่อนเข้าไปหาแฟนหนุ่มที่ยืนสูบบุหรี่อยู่หน้าตึกเรียน
“กูไม่เข้าไปนะ มึงไปคุยเรื่องจับกลุ่มแล้วออกมายืนกับกู” เยลลี่ออกคำสั่ง ทุกครั้งเธอไม่เคยเข้าไปคุยกับกลุ่มเพื่อนของขุนเขา เป็นเพราะเธอไม่อยากเผชิญหน้ากับเสือ
“อีซินไปกับกู” ว่าแล้วซูซานก็เดินไปลากแขนซินเข้าไปคุยกับกลุ่มของขุนเขา ซึ่งประกอบไปด้วย ขุนเขา เสือ ร็อกเก็ตและยีนส์ ภายใต้การถูกขนานนามว่ากลุ่มชายสี่
“จับกลุ่มเหมือนเดิมนะ” ซูซานเอ่ยขึ้นมาทันทีที่เดินเข้าไป ทุกครั้งที่ต้องทำงานหนังสั้นพวกเขาจะจับกลุ่มด้วยกันตลอด
“หาคนยกของอีกแล้วสิ” ขุนเขาแสยะยิ้มรู้ทัน
“เออ!”
“เพื่อนมึงยืนทำอะไรตรงนั้นวะซาน ทำหน้าเหมือนขี้ไม่ออกอ่ะ” ร็อกเก็ตเลิกคิ้วถามถึงเยลลี่
“ร็อกอ่ะ อย่าล้อเพื่อนเค้า” เชลโล่ทำเสียงหวานใส่แฟน
“ก็เพื่อนที่รักลีลาเยอะ ทำเป็นยี๋พวกเรา” ร็อกเก็ตว่าพลางดังเชลโล่เข้ามานั่งตัก
“ให้มันน้อยๆ หน่อย นี่มหาลัยไหมอีหลอกดูก” ซูซานถลึงตาใส่จนเชลโล่ต้องลุกออกจากตักของร็อกเก็ต
“มึงดุเนอะซาน พันธุ์ไรอ่ะ น่าจะเฝ้าบ้านเก่ง” ร็อกเก็ตเริ่มกวนประสาทซูซาน จนยีนส์กับเสือและขุนเขาหลุดขำออกมา
“พวกเชี่ย!” ซูซานมองค้อนไม่พอใจ
“ซิน เงียบจังวะ” ร็อกเก็ตคนกวนประสาทหันมาให้ความสนใจกับซินที่ยืนอยู่เงียบๆ ตั้งแต่ต้น
“อีซินมันเขิน” แล้วเชลโล่ผู้เก็บความลับไม่อยู่ก็พูดออกมา
“เขินใครที่รัก” ร็อกเก็ตเอ่ยถามอย่างไม่รู้เรื่องราว
“เชลโล่ถ้าไม่เงียบเดี๋ยวกูจะฉีกปากมึง!” ซูซานรีบออกตัวแทนซิน
“อุ๊บส์!” แล้วเชลโล่ก็ยกมือขึ้นปิดปาก
“กูว่าเดี๋ยวกูไปอยู่กับไอ้เยลก่อนแล้วกัน ถ้าพวกมึงคุยกันเสร็จแล้วก็ค่อยมาบอกกูแล้วกัน” ว่าแล้วซินก็หันหลังเดินออกไป ทว่าอยู่ๆ ขุนเขาก็เข้าไปโอบไหล่เล็กนั้นเอาไว้อย่างรวดเร็ว
“อะไรของมึง?” เขาเอ่ยถามที่ข้างใบหูแดงก่ำของหญิงสาว
“อะไร?” ซินเลิกคิ้วถาม
“มึงทำตัวมีพิรุธอ่ะ กล้าคนอื่นเขาไม่รู้เหรอว่ามึงเขินกูอยู่ กลับเข้าไปยืนในกลุ่ม อยู่รอจนกว่าพวกเราจะคุยกันเสร็จ ไม่งั้นกูจะเอาตั๋วหนังรอบเพลสไปเผาทิ้ง” ขุนเขายกยิ้มแล้วโอบไหล่ของซินให้เดินกลับเข้าไปยืนกับเพื่อนตามเดิม
“เรียกเยลลี่เข้ามา ถ้าอยู่ไปครบทีมก็คุยงานไม่ได้” ยีนส์ผู้ที่จริงจังที่สุดในกลุ่มเอ่ยขึ้น
“มันไม่เข้ามาหรอก” เชลโล่ว่า
“ถ้าไม่เข้าก็ไม่ต้องลงชื่อมัน” ยีนส์ว่าขึ้นอีกครั้ง
“โอ๊ะ!” แล้วซูซานก็แสดงความไม่พอใจออกมาอย่างออกหน้าออกตา
“มีปัญหาอะไร? ถ้าไม่พอใจก็ไม่ต้องจับกลุ่มกัน ยังไงพวกมึงก็หาแค่คนยกของอยู่แล้วนี่” ยีนส์จ้องหน้าซูซานไม่วาง
“วันนี้จะจบไหม กูหิวเบียร์แล้ว” แล้วเสือที่เงียบมาตั้งแต่ต้นก็พูดขึ้น
“เพราะมึงนั่นแหละ เยลลี่มันไม่เข้ามาเพราะมันอ่ะ รับผิดชอบด้วย” ขุนเขาพูดขึ้น
“ปัญหาเยอะชิบหายเลยพวกมึงอ่ะ” ยีนส์ส่ายหน้า
“เราคุยกันแค่นี้ก็ได้ เดี๋ยวกูไปแจกแจงให้เยลลี่เอง” ซินออกตัว เพราะรู้ว่าเยลลี่ไม่ยอมเผชิญหน้ากับเสือง่ายๆ แน่นอน
“ซินอยู่นิ่งๆ” ขุนเขาสั่งอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า จะเรื่องตั๋วหนังหรือเรื่องอื่นก็ยังไม่รู้แน่
“เออ เดี๋ยวกูจัดการเอง”
ว่าแล้วเสือก็ลุกจากโต๊ะแล้วเดินเข้าไปหาเยลลี่ที่ทางเข้าตึกเรียน เขาพูดอยู่สองสามคำ เยลลี่ก็เดินกระทืบเท้าตามเขามานั่งที่โต๊ะอย่างว่าง่าย
