บทที่ 9 ละเมิดกฎครั้งที่1
ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมานี้เป็นช่วงเวลาที่แสนจะทรหดของฉันมาก เพราะหลังจากที่ฉันกับยีนส์เข้าไปเซนสัญญาทำหนังเรื่องใหม่ที่ค่าย Wolfpack เราก็ตระเวนหาบ้านที่จะมาเป็นที่อยู่ใหม่ของเราหลังแต่งงาน
ฉันที่อยู่คอนโดมาตลอดก็อยากจะหาคอนโด ส่วนยีนส์ที่เป็นประเภทพวกเหตุผลมากมายก็อยากอยู่บ้านเดี่ยว และสุดท้ายฉันก็ต้องยอมคนจ่ายเงินอย่างมัน เราเลือก... ไม่ใช่สิ... ต้องบอกว่าสุดท้ายไอ้ยีนส์ก็ซื้อบ้านหลังขนาดกลางที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านหรูเป็นที่เรียบร้อย และมันก็ซื้อมาในชื่อของฉัน... แน่นอนว่าด้วยเงินสดทั้งหมด ซึ่งฉันกังวลเรื่องนี้มากจริงๆ เพราะถ้าคิดกันตามหลักความเป็นจริงแล้วก็คือยีนส์ได้จ่ายเงินไปกับการแต่งงานปลอมๆ นี้เป็นจำนวน สิบล้านกับอีกสี่แสนห้าหมื่น ซึ่งมันมากเกินไป
“กูรู้ว่ามึงรวย แต่กูก็ยังคิดว่าเงินสิบล้านที่มึงเพิ่งจ่ายไป มันเยอะจนกูรู้สึกไม่ดี” ฉันเอ่ยบอกยีนส์ขณะที่เราเดินออกมาจากสำงานของหมู่บ้าน
“จะบ่นทำไม กูจ่ายเงินไปแล้ว” ไอ้คนรวยเอ่ยบอกฉันด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ขณะที่เรากำลังขึ้นรถที่มันก็เพิ่งซื้อใหม่มา
“ที่จริงเราน่าจะแค่หาบ้านเช่ากันก็พอ ไม่เห็นต้องซื้อใหม่เลย เดี๋ยวก็ต้องแยกย้ายกันอยู่ดี” ฉันไม่เคยชอบรับของจากใครฟรีๆ เลยจริงๆ
“กูโอนเงินสี่แสนห้าให้มึงไปแล้ว อย่าลืมเอาไปใช้หนี้ แล้วก็เรื่องย้ายบ้านกูก็จัดการให้เอง มึงแค่ต้องกลับไปเก็บของ บริษัทย้ายบ้านจะจัดการให้มึงทุกอย่าง” และดูเหมือนว่ายีนส์จะไม่ได้สนใจเรื่องที่ฉันพูดเลย
“นี่มึงได้ฟังที่กูพูดบ้างปะ?” ฉันหันไปขมวดคิ้วถามคนด้านข้างที่กำลังขับรถอยู่
“ฟัง... แต่ขี้เกียจตอบ มึงกังวลเรื่องไร้สาระ เอาเวลาไปคิดดีกว่าว่ามึงต้องไปเข้าคอร์สเจ้าสาวได้แล้ว เพราะเรากำลังจะต้องแต่งงานในอีกไม่กี่วัน” ใช่... ฉันลืมไปเลยว่าคุณเจ้าจันทร์เขาจัดการหาฤกษ์งามยามดีได้เร็วเวอร์ นั่นคืออาทิตย์หน้า ซึ่งนับจากวันนี้ฉันเหลือเวลาเป็นโสดอีกเพียงแปดวันเท่านั้น
“แม่กูไม่ชอบคนขี้เหล่ เพราะงั้นถ้ามึงไม่สวยพร้อมในวันแต่งงาน รับรอง... ปวดหัวแน่ๆ” ยีนส์ยังคงพูดต่อไป
“เชี่ย! กูก็สวยได้แค่นี้แหละ ถ้าจะเอาสวยกว่านี้มึงก็ต้องส่งกูไปทำศัลยกรรมที่เกาหลีแล้วล่ะ!” ฉันเบะปากมองบนใส่ยีนส์
“งั้นมึงก็ต้องขึ้นไปเชียงใหม่ก่อนกู ไปให้แม่กูจัดการสอนเรื่องมายาทแล้วก็พาไปเข้าคอร์ส”
“เดี๋ยวๆ แล้วมึงอะ? ไม่เอา... เราต้องไปพร้อมกันดิ แล้วทำไมต้องทำให้มันจริงจัง นี่มันงานแต่งปลอมๆ นะไอ้ยีนส์” ตายแน่ๆ ถ้าฉันต้องไปอยู่กับคุณเจ้าจันทร์โดยที่ไม่มีลูกชายของเขา
“แม่กูไม่รู้นี่ว่ามันเป็นงานแต่งปลอมๆ มึงขึ้นไปก่อนน่ะดีแล้ว กูจะอยู่ที่นี่จัดการเรื่องย้ายบ้านให้มึงก่อน แล้วค่อยตามไป เป็นอันว่าตกลง มึงไม่ต้องเถียงหรือหาข้ออ้างที่จะไม่ไปแล้ว แม่กูไม่ฆ่ามึงหรอกแค่อย่าทำเรื่องแตกก็พอ”
“นี่กูมีสิทธิ์มีเสียงอะไรบ้างวะ?”
“ไม่มี... หน้าที่ของมึงคือทำตามที่กูบอก”
At The Airport
สองวันต่อมา หลังจากที่ฉันเก็บของที่คอนโดลงกล่องเสร็จ รอเพียงการขนย้ายเท่านั้น เหลืออีกแค่หกวันฉันก็ต้องแต่งงานแล้ว แค่คิด... ก็เริ่มปวดกบาลขึ้นมา แล้วตอนนี้ฉันกำลังยืนทำหน้าอยากตายอยู่ที่หน้าเกทภายในสนามบิน โดยมีไอ้ยีนส์ยืนมองฉันอยู่ด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง มันขับรถไปรับฉันจากคอนโดแล้วก็มาส่งที่สนามบิน ควบคุมฉันทุกอย่างก้าวเหมือนฉันเป็นเด็กไม่รู้เรื่องราว
“เลิกทำหน้าบูดสักที ไปถึงโน่นคนรถที่บ้านกูจะมารับ กูเสร็จเรื่องย้ายบ้านแล้วจะรีบตามไป” ยีนส์เอ่ยกับฉัน ทำตัวเหมือนเป็นผู้ปกครองที่คอยจัดการและสั่งทุกอย่างให้ฉันทำตาม
“ถ้าแม่มึงไม่ชอบกูแล้วไม่อยากให้มีงานแต่งงานขึ้นมาจะทำยังไง” คือฉันกลัวการเข้าหาผู้ใหญ่จริงๆ ยิ่งมีเรื่องที่ต้องโกหกมากมาย ก็ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่
“แม่กูไม่เกลียดมึงหรอก... ถ้ากูรักใคร แม่กูจะรักคนนั้นด้วย” สิ้นคำพูดของยีนส์ฉันก็เงยหน้ามองมันอย่างรวดเร็ว... คำพูดของเชลโล่ดังขึ้นมาในหัว ข้อสันนิษฐานบ้าๆ ของมันที่ว่ายีนส์รักฉันมันดังลั่นอยู่ในหัว... ฉันรีบส่ายหน้าไล่ความคิดนั้นออกไป... ไม่มีทาง... ไอ้ยีนส์ไม่มีทางรักฉันหรอก แต่...
ตึกตัก ตึกตัก
ทำไมหัวใจของฉันมันต้องเต้นแรงขึ้นมาด้วย?
“มะ... มึงไปได้แล้ว กูต้องเข้าเกทแล้ว” ฉันโบกมือไล่ยีนส์ที่กำลังจ้องตาฉันนิ่งไม่วาง
“ดูแลตัวเองด้วย อย่าไปทำเรื่องโง่ๆ จนใครเขาจับได้ล่ะ” ขณะที่ออกปากเตือนฉัน ไอ้ยีนส์ก็ยื่นมือมาวางบนหัวฉันแล้วยีผม จนหัวฉันยุ่งไปหมด
“อื้อ! หน้ากูเหมือนหมาหรือไง?! เลิกเล่นหัวกู!” ฉันทำหน้ามุ้ยปัดมือไอ้ยีนส์ออกจากหัว
“ใช่หน้ามึงเหมือนหมา” ไอ้บ้ายีนส์ยกยิ้มอย่างชอบใจ
“ไอ้เชี่ย!” ฉันถลึงตาใส่คนตรงหน้าก่อนจะหันหลังใส่มันเตรียมจะเดินเข้าเกท ทว่า... อยู่ๆ
หมั่บ!
ยีนส์คว้าแขนฉันแล้วดึงเข้าไปกอดไว้แน่น ฉันตกใจมากที่อยู่ๆ ก็โดนคว้าไปกอดแบบนี้ และมันก็ยิ่งทำให้ฉันนึกถึงคำพูดของเชลโล่อีกครั้ง... ไม่ๆ ก็แค่กอด... ไม่ได้แปลว่ามันรักฉันสักหน่อย
“มึง... กอดกูทำไม?” ฉันเอ่ยถามเมื่อยีนส์ถอนกอดจากฉัน บ้าจริง... ฉันไม่กล้าสบตามัน... ทำไมวะ? ทำไมอยู่ๆ ก็รู้สึกแปลกๆ แล้วก็เขินขึ้นมา...
“ซ้อมไว้ก่อน... กอดกันไว้บ่อยๆ มึงจะได้ชิน เพราะหลังจากนี้เราคงต้องกอดกันอีกเยอะ”
“อืม” ฉันหลุบตามองพื้น... ก็จริงของมันนะ กอดกันไว้เยอะๆ จะได้ชิน ไม่เกี่ยวกับที่มันรู้สึกรักฉันหรอก
“แค่กอด... คงไม่ทำให้มึงป่วยหรือตายหรอก ใช่ไหม?” คราวนี้ฉันเงยหน้าขึ้นมองมัน คำถามแบบนี้มันหมายความว่ายังไงวะ?
“กวนตีนเก่งอีกละ” ฉันถลึงตาใส่ยีนส์
“หรือใจมึงเต้นแรงเวลาที่กอดกู?” ยีนส์เลิกคิ้วถามพร้อมรอยยิ้ม แล้วใจฉันก็เต้นแรงขึ้นมาตามที่มันถามเป๊ะ
“หึ... แค่กอดเอง ไม่สะทกสะท้านสักนิด” ฉันยักไหล่โกหก
“จะได้รู้ไว้ว่าถ้าอยากให้ใจมึงเต้นแรงกูต้องทำมากกว่านี้... เข้าเกทไปสักที กูขี้เกียจคุยกับคนบ้าแล้ว” ว่าแล้วยีนส์ก็จับไหล่ฉันหมุนตัวให้ฉันหันหลังแล้วดันให้ฉันเดินไปข้างหน้า ฉันทำได้เพียงหันหน้าไปมองมันอย่างงุนงง
วันนี้ไอ้ยีนส์พูดแต่เรื่องแปลกๆ ทั้งนั้น ถ้าฉันเป็นพวกหลงตัวเองคงจะเชื่อเชลโล่ไปแล้วว่าไอ้ยีนส์มันรักฉัน แต่พอดีว่าฉันไม่ได้หลงตัวเอง แถมฉันก็ไม่ได้โง่ด้วย... สมองอันชาญฉลาดของฉันบอกว่า... ดูก็รู้ว่ามันไม่ได้คิดอะไรเลย แค่อยากจะแกล้งฉันก็เท่านั้น
...ใช่ไหม? ...
At Bencharongakornkul’ s Home
เหมือนว่าไอ้ยีนส์มันส่งฉันมาเข้าสู่โหมดเตรียมรบยังไงก็ไม่รู้ เพราะตั้งแต่ที่ฉันก้าวเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ระดับมหึมาของมัน ฉันก็ได้เจอกับคุณเจ้าจันทร์ผู้เป็นแม่ซึ่งมาพร้อมกับคุณเจตน์ที่เป็นพ่อ พ่วงมาด้วยคุณพิศมัยหรือก็คือคุณย่า อีกทั้งยังมีคุณยายที่ชื่อคุณดวงเดือน เอาเป็นว่าตอนนี้ฉันกำลังกินมื้อเย็นร่วมกับครอบครัวของไอ้ยีนส์ทั้งหมด
ฉันเกร็ง... เกร็งไปทั้งตัวจนไม่กล้าขยับ ทุกคนกำลังจ้องมาที่ฉันและถามคำถามมากมาย คนนี้ถามจบ คนโน้นก็ถามต่อ คือไม่มีใครเปิดโอกาสให้ฉันกินข้าวเลย และฉันหิวมากจริงๆ
พวกเขาดูมีมารยาทสมกับเป็นผู้ดี เหมือนว่าพวกเขารู้แล้วว่าพ่อแม่ฉันหย่าร้างและโตมากับย่าซึ่งได้ตายจากไปแล้ว ไม่มีใครแตะเรื่องครอบครัวของฉันเลย สิ่งที่พวกเขาถามก็มีเพียงเรื่องงานและเรื่องความสัมพันธ์ของฉันกับยีนส์... ซึ่งฉันโอเคกับเรื่องนี้นะ
หลังจากที่มื้อเย็นจบลง คุณเจ้าจันทร์ก็พาฉันขึ้นมาส่งที่หน้าห้องของยีนส์ พอเปิดเข้ามาในห้องฉันก็รู้ได้ในทันทีว่าไอ้ยีนส์มันชอบหนังมากจริงๆ เพราะห้องของมันเต็มไปด้วยดีวีดีหนังและโปสเตอร์ก็ติดเต็มผนังไปหมด
“นอนห้องจิณณ์ไปก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่จะจัดห้องนอนใหม่ให้หลังจากที่จิณณ์มา จะได้นอนด้วยกันสบายๆ” คุณเจ้าจันทร์บอกฉันพร้อมรอยยิ้ม
“ค่ะ” ฉันตอบรับอย่างว่าง่าย
“แล้วรีบเข้านอนล่ะ พรุ่งนี้มีเรื่องต้องทำอีกเยอะเลย”
“คะ?”
“ตอนเช้าหนูต้องไปเข้าคอร์สเจ้าสาว ตกบ่ายมาคุณย่ากับคุณยายจะสอนให้หนูทำอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่จิณณ์เขาชอบ แล้วตอนเย็นแม่จะพาออกไปพบปะเพื่อนๆ ของแม่”
ฉิบหาย... เยอะจริงๆ ด้วย... นั่นคือสิ่งที่ฉันคิดในหัว แต่ภายนอกฉันเลือกที่จะส่งยิ้มออกไป ทำเหมือนกับว่ายินดีสุดๆ
“ค่ะ”
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่ครอบครัวของเรานะ ตอนนี้ถือว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ไม่มีอะไรที่หนูต้องกังวล...” คุณเจ้าจันทร์ส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความรักมาหาฉัน แล้วความรู้สึกถึงคำว่าครอบครัวก็ลอยเด่นขึ้นมาในหัวของฉัน... นานแล้วนะที่ฉันไม่ได้รู้สึกถึงคำคำนั้น
“ขอบคุณค่ะคุณแม่” ฉันถูกคุณเจ้าจันทร์ดึงตัวเข้าไปกอด อยู่ๆ น้ำตาก็พลันไหลออกมา แต่ฉันก็รีบเช็ดมันก่อนที่คุณเจ้าจันทร์จะเห็นเสียก่อน
Susan end.
...สี่วันผ่านไป...
งานแต่งงานจะถูกจัดขึ้นอีกสองวัน จึงทำให้เวลานี้บ้านทั้งหลังกำลังวุ่นวาย เพราะมีคนสวนมาดูแลต้นไม้และมีทีมงานจัดงานมาวางแผนจัดพื้นที่ที่ต้องจัดงาน
ส่วนในครัวนั้นมีซูซานที่กำลังเรียนรู้การทำอาหารอยู่กับคุณย่าและคุณยาย ถึงแม้ว่าเธอจะถูกสอนมาแล้วหลายวัน แต่ดูเหมือนว่าการทำอาหารนั้นจะไม่ใช่งานที่เหมาะกับเธอเลย เพราะซูซานจัดการทำร้ายตัวเองด้วยมีดไปจนครบทุกนิ้ว จนทั้งคุณย่าและคุณยายถึงกับปวดหัวไปตามๆ กัน
ส่วนผู้เป็นแม่ของเจ้าบ่าวก็จัดการเรื่องความสวยงาม ซูซานโดนจับแปลงโฉม ขัดผิวและทำผมจนสวยขึ้นเป็นกอง สรุปได้คือหญิงสาวได้กลายเป็นตุ๊กตาให้คนแก่ผลัดกันเล่นเป็นที่เรียบร้อย
พอถึงเวลาว่างซูซานจึงใช้โอกาสที่ไม่มีใครสนใจเธอแอบขึ้นมาทิ้งตัวนอนบนห้องของจิณณ์ทันที ตามจริงชายหนุ่มบอกกับเธอว่าเขาจะมาตั้งแต่เมื่อวาน แต่แล้วก็ไม่ยอมมา จนหญิงสาวเริ่มจะงอนเขาแล้ว เธอกำลังรู้สึกว่าเขากำลังทิ้งให้เธอมาเผชิญหน้ากับผู้ใหญ่คนเดียว
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ในตอนที่หญิงสาวกำลังจะสะลืมสะลือหลับ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมา เธอทำหน้าเหนื่อยหน่าย เพราะว่าต้องมีใครสักคนมาเรียกให้เธอลงไปทำอะไรสักอย่างที่ไม่อยากทำ เช่นแต่งกิ่งดอกไม้ หรือทำขนมและอาหาร
“ค่ะ...” ซูซานตอบรับด้วยน้ำเสียงลากยาว ก่อนจะลุกจากเตียงเดินไปเปิดประตู
และเมื่อประตูเปิดออก หัวใจดวงน้อยก็เต้นแรงขึ้นมา เมื่อเธอเห็นว่าคนที่ยืนอยู่หน้าห้องนั้นคือจิณณ์ว่าที่เจ้าบ่าวปลอมๆ ของเธอ
“ไอ้...” ซูซานกำลังจะอ้าปากด่า แต่แล้วจิณณ์ก็ใช้สายตาส่งสัญญาณว่าพวกผู้ใหญ่แอบมองอยู่
“จิณณ์...” ซูซานจึงเปลี่ยนเป็นเรียกชื่อจริงของเขา
“คิดถึงคุณจัง” ชายหนุ่มเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงปนรอยยิ้ม ก่อนจะดึงร่างบางเข้าไปกอดไว้แน่น
“คิดถึงเหมือนกัน” ซูซานเอ่ยตอบ พร้อมกับกอดจิณณ์กลับ ไม่รู้เลยว่าเขาทั้งสองกำลังเล่นละครตบตาผู้ใหญ่ หรือพวกเขาคิดถึงและต้องการจะกอดกันจริงๆ
ฟอด!
จิณณ์กดจมูกไปหอมซอกคอของหญิงสาวอย่างไม่ยั้งคิด
“อื้อ!” ขณะเดียวกันโดนหอมก็เผลอส่งเสียงร้องออกมา ก่อนจะถลึงตาเบิกโตเพราะโดนหอมที่ตรงจุดไวต่อสัมผัส และด้วยความตกใจเมื่อตั้งตัวได้ว่าชายหนุ่มละเมิดกฎของเธอ...
