บท
ตั้งค่า

บทที่ 7 …มึงเป็นเพื่อนที่ดี...

ฉันต้องตั้งสติดีๆ ถึงแม้ว่าข้อเสนอที่ยีนส์ยื่นให้มันจะคุ้มค่ามาก เพราะยังไงฉันก็ไม่ได้มีแฟนหรือคิดว่าจะต้องไปแต่งงานกับใครที่ไหน แล้วฉันก็ไม่ได้แคร์ด้วยถ้าจะถูกมองว่าเป็นผู้หญิงที่เคยหย่าร้างหากต้องเลิกกับมันเมื่อครบสัญญาหกเดือน

เหตุผลที่ทำให้ฉันคิดหนักก็คือ... ฉันต้องเข้าไปเป็นลูกสะใภ้ปลอมๆ ของคุณเจ้าจันทร์ที่ดูท่าจะฉลาดไม่เบา ฉันจะได้ชื่อว่าเป็นลูกสะใภ้ของผู้ดีเก่าที่มีฐานะร่ำรวย ฉันอาจต้องอยู่บ้านเดียวกับยีนส์ ต้องทำทุกอย่างให้เหมือนว่าเป็นเมียจริงๆ แล้วเกิดคุณเจ้าจันทร์อยากให้เรามีลูกขึ้นมาล่ะ ฉันจะทำยังไง?

“มึงจะเดินอีกนานไหม?”

เสียงของยีนส์ดังขึ้น ฉันเลยได้สติแล้วหลุดออกจากห้วงความคิด พอเงยหน้าขึ้นมาฉันก็พบว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ริมถนนในตัวเมืองเชียงใหม่

“คิดหนักขนาดนั้นเลยเหรอ แค่การแต่งงานหลอกๆ” ยีนส์เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง

“เราต้องมีลูกกันปะ?” ฉันเลิกคิ้วถามสิ่งที่ค้างตาอยู่ในใจ

“เลิกกันก่อนอยู่แล้ว กูไม่ทำมึงท้องหรอก” ไอ้คนขี้เก็กแสยะยิ้มตอบฉัน

“แสดงว่ามึงกับกูต้องเอากันด้วยเหรอ? งั้นกูไม่ตกลงอะ แค่คิดก็สยองแล้ว” ฉันส่ายหน้าไม่ยอมรับ

“มึงคิดว่ากูอยากเอากับมึงเหรอ คิดเยอะไป กูจะไม่แตะตัวมึงเลยถ้าไม่จำเป็น”

“งั้นก็แสดงว่าถ้าจำเป็นมึงก็จะแตะตัวกู ใช่ปะ? แบบที่ชอบกอดเอวกูอย่างเมื่อตอนกลางวัน?” ฉันว่ามันก็เปลืองตัวอยู่บ้างนะ ที่จริงก็ไม่ได้หวงตัวอะไรหรอก เพียงแต่... มันแค่รู้สึกแปลกๆ เวลามีผู้ชายมาโดนตัว

“ก็ทำให้มันดูน่าเชื่อไง ผัวเมียที่ไหนเขาเดินห่างกันเป็นวาวะ มึงนี่ก็พูดไม่คิดนะไอ้ซาน” ยีนส์ถอนหายใจเหมือนว่ากำลังคุยกับคนโง่

“งั้น... เราต้องมาทำสัญญากัน ต้องมีกฎ เช่นกอดได้ จับมือได้ แต่ห้ามหอม ห้ามจูบ ห้ามทำอะไรที่มากกว่านั้น” ถึงตาฉันยื่นข้อเสนอบ้างแล้ว

“หวงตัว? ไม่ได้จะมีผัวไม่ใช่เหรอ จะเก็บไว้ทำไมวะ?”

“กวนตีน!” ฉันถลึงตาใส่ไอ้ยีนส์

“บางทีมึงก็เหมือนฉลาดนะไอ้ซาน แต่ดูๆ ไปมึงแม่งโง่กว่าใครเขาเลย เส้นผมมันบางตาหรืออะไรวะ ทำไมถึงมองอะไรไม่ออกเลย” ยีนส์หรี่ตามองฉัน

“พูดเชี่ยอะไรของมึง กูฟังไม่เข้าใจ”

“ช่างแม่งเหอะ! ขี้เกียจคุยกับคนบ้า!” ไอ้ยีนส์ส่ายหน้าใส่ฉันก่อนจะเดินนำฉันไปตามทางกลับโรงแรม

“รอกูด้วย! กูต้องหากระดาษกับปากกา เราต้องมาร่างสัญญากัน”

At The Hotel

ฉันกึ่งวิ่งกึ่งเดินตามคนตัวสูงมาเรื่อยๆ แล้วเราก็มาถึงหน้าโรงแรม... คืนนี้ฉันต้องนอนห้องเดียวกับไอ้ยีนส์จริงๆ ใช่ไหมเนี่ย?

ยีนส์เดินนำฉันมาหยุดยืนที่หน้าห้อง ฉันรอให้มันเปิดประตูห้อง แต่มันกลับหันมามองฉันพร้อมใบหน้านิ่งๆ แต่ให้ความรู้สึกแปลกๆ พิกล

“มองเชี่ยไร?” ที่มันว่าฉันบ้า... มันก็บ้าเหมือนกันนั่นแหละ

“ระวังโดนกูปล้ำนะ”

“พ่อง! เปิดประตูห้องเลย กูปวดฉี่!”

แล้วพอไอ้ยีนส์เปิดประตูห้อง ฉันก็รีบดิ่งเข้าห้องน้ำทันที เมื่อทำธุระเสร็จฉันก็เดินออกจากห้องน้ำมาหาปากกากับกระดาษจากหัวเตียงแล้วก็เดินไปนั่งที่โต๊ะมุมห้องซึ่งมีไอ้ยีนส์นั่งดื่มเบียร์อยู่

“เอาเบียร์มาจาไหน?” ฉันถามเพราะอยากดื่มบ้าง

“ตู้เย็น” สิ้นคำตอบของยีนส์ฉันก็ไปคว้าเบียร์จากในตู้เย็นแล้วกลับมานั่งที่เดิม

“ตอนแรกเหมือนจะไม่ยอม แต่ตอนนี้มึงดูอยากแต่งงานกับกูเนอะ” ยีนส์แสยะยิ้มถาม

“มึงนึกภาพตามกูนะ... มันเหมือนกูแม่งกำลังลอยเคว้งอยู่กลางมหาสมุทรอะ ทางซ้ายมีปลาฉลามที่กำลังพุ่งเข้าหากู ทางขวาก็มีงูตัวใหญ่ๆ อ้าปากรอกูอยู่เลย ในตอนที่คิดว่ากูต้องตายแน่ๆ ไม่ฉลามแดกก็งูแดก แต่อยู่ๆ ก็มีเรือลำใหญ่ลอยลงมาจากท้องฟ้า... มึงว่ากูที่ฉลาดเหลือล้ำเนี่ย... จะไม่รีบขึ้นเรือแล้วพายหนีไปเหรอวะ?” พูดแล้วจะร้อง... เรื่องที่ฉันเปรียบเทียบฟังดูเหมือนตลกนะ แต่มันโคตรเศร้าเลยจริงๆ

“ฮะๆ” แต่ก็นั่นแหละ เรื่องเศร้าของฉันอาจเป็นเรื่องตลกของคนอื่น

“หัวเราะไปเถอะ มึงไม่เจออย่างกู มึงไม่เข้าใจหรอก” ฉันเบะปากใส่ยีนส์ ก่อนจะเปิดกระป๋องเบียร์มากระดกดื่ม

“กูไม่ใช่เรือ... แต่กูเป็นเครื่องบินส่วนตัวของมึง กูเป็นที่หลบภัยเวลามึงเจอพายุ เป็นตู้เย็นเวลามึงหิว เป็นเบียร์เวลาที่มึงคอแห้งแล้วอยากเมา เป็น...”

“เป็นเพื่อนที่ดี” ฉันเอ่ยออกไป... เพราะซึ้งใจที่ได้ยินคำปลอบประโลมจากยีนส์ ใช่... ฉันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่ที่ย่าตายไป... บอกตรงๆ ว่ายีนส์เป็นคนแรกที่ทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาได้

“อืม... เป็นเพื่อนที่ดี” ยีนส์เอ่ยย้ำคำพูดของฉัน

“อย่าอ้วกนะ! แต่ขอบคุณมากที่อยู่ๆ มึงก็ลอยมาจากฟ้า”

“หึ! ทำตัวดีๆ กับกูก็แล้วกัน”

“ชน” ฉันชูกระป๋องเบียร์ไปตรงหน้ายีนส์

แก๊ง!

เราชนกระป๋องเบียร์แล้วยกกระดกดื่มพร้อมกันก่อนที่ฉันจะเริ่มเขียนสัญญาการแต่งงานจอมปลอมขึ้นมา

“ข้อแรก... การแต่งงานนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อครบสัญญาหกเดือน” ฉันเอ่ยขึ้นขณะเดียวกันก็เขียนลงบนกระดาษ

“ข้อสอง... ระหว่างการแต่งงานหกเดือน ห้ามมึงหรือกูไปมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับคนอื่นเด็ดขาด ถ้าใครฝ่าฝืนสัญญาถือเป็นโมฆะ ต้องชดใช้” ยีนส์พูดข้อสอง แล้วฉันก็เร่งจดตาม

“โมฆะเขียนยังไงนะ?” ฉันเงยหน้าขึ้นไปถาม

“ฆ.ระฆัง มึงเมาหรือโง่วะ?”

“ด่าเด่งจังวะไอ้ฉลาด!”

“ข้อสาม... มึงและกูต้องทำทุกอย่างให้ทุกคนเชื่อจริงๆ ว่าเราเป็นผัวเมียกัน แล้วเรื่องนี้ก็ต้องปิดเป็นความลับ จะไม่มีใครรู้เรื่องสัญญานี้แม้แต่พวกเพื่อนๆ ของเรา” ไอ้ยีนส์เริ่มพูดข้อที่สาม

“เชี่ย! แล้วพวกเพื่อนๆ มันจะเชื่อเหรอวะ มึงกับกูรักกัน แม่งโคตรหลอกลวงอะยีนส์ ไม่มีใครเชื่อหรอก แล้วอีกอย่าง... กูบอกไอ้เชลโล่ไปแล้วว่าเรามาเป็นแฟนหลอกๆ กันที่เชียงใหม่”

“มึงนี่แม่ง...” ยีนส์สายหน้าอย่างไม่สบอารมณ์

“ก็กูจะไปรู้ได้ยังไงอะว่ามันจะเลยเถิดมาถึงขั้นนี้” ฉันส่งหน้ารู้สึกผิดไปหามัน

“งั้นเราจะจัดงานแต่งกันที่นี่แบบเงียบๆ ไม่ต้องให้พวกเพื่อนๆ มา ค่อยไปบอกพวกมันหลังจากนั้น เพราะถ้าพวกมันมางานแต่งงาน รับรองแผนแตกแน่นอน”

“ก็จริงของมึง” ฉันเห็นด้วยกับยีนส์ในเรื่องนี้ เพราะฉันรู้ว่าพวกเพื่อนๆ ของเรา ถึงจะเรียนภาพยนตร์มา แต่พวกมันไม่มีทางแสดงเนียนแน่ๆ

“ข้อสี่... เราต้องอยู่บ้านหลังเดียวกันและมึงต้องดูแลกูในฐานะเมียอย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเรื่องอาหาร เสื้อผ้า ดูแลทำความสะอาดบ้าน”

“เดี๋ยวๆ นี่กูมาเป็นเมียปลอมๆ ไม่ได้มาเป็นคนใช้มึงปะ กูว่าข้อสี่แม่งสัญญาเอาเปรียบกูไปหน่อย” ถึงจะไม่ได้ฉลาดเท่ามัน แต่ฉันก็ไม่ได้โง่นะ

“ค่าตอบแทนคือเงินเดือนห้าหมื่นต่อเดือน”

“ตกลง”

“เห็นแก่เงินเหมือนกันนะมึงอะ” ยีนส์มองฉันพร้อมรอยยิ้ม

“ข้อห้า... เราจะไม่แตะต้องเนื้อตัวกันจนเกินความจำเป็น ไม่หอม ไม่จูบ จับมือได้ มากสุดคือกอด ไม่มีการทำลูกใดๆ ทั้งสิ้น” คราวนี้เป็นข้อสัญญาของฉัน

“กลัวจังเลย... ไม่แน่อาจจะเป็นมึงนั่นแหละที่อยากจะเอากับกู”

“ไม่มีทาง... ตั้งแต่เกิดมากูยังไม่เคยเกิดความรู้สึกอยากเอากับใครมาก่อน เพราะงั้นมึงอย่าหวัง” ฉันส่ายหน้าไปมาพร้อมรอยยิ้มมั่นใจ

“หึ!” ยีนส์แสยะยิ้มใส่ฉัน

“ข้อหก... มึงต้องมากำกับหนังเรื่องสืบ”

“อืม” ยีนส์ตกลงโดยง่าย

“ข้อเจ็ด... มึงจะให้กูยืมเงินสี่แสนห้า” ฉันลุ้นข้อนี้ที่สุดแล้ว

“ข้อเจ็ดไม่ต้องเขียน... สี่แสนห้าก็จะให้โดยที่มึงไม่ต้องคืน ถือเป็นค่าแต่งงานปลอมๆ แล้วเมื่อไหร่ที่สัญญาจบ กูจะยกบ้านหลังที่เราอยู่ให้มึง”

“ไม่ได้! มึงจะมายกบ้านให้กูทำไม เพราะถ้ามึงมากำกับหนังมันก็เท่ากับว่าแลกเปลี่ยนกับที่กูได้เป็นโปรดิวเซอร์แล้วไง เงินสี่แสนห้าก็มากพอแล้ว”

“กูจะให้ ถ้ามึงไม่เอามึงก็แค่ไม่ต้องมาอยู่ กูจะซื้อบ้านให้เป็นชื่อมึง อะไรที่กูตัดสินใจว่าจะให้ใครแล้วกูไม่เอาคืน” ยีนส์มองหน้าฉันด้วยสายตาจริงจัง

“มันมากเกินไปว่ะยีนส์” แต่ฉันก็ยอมรับมันไม่ได้อยู่ดี

“กูไม่ได้ถามว่ามึงจะยอมรับไหม? เพราะเมื่อไหร่ที่ครบหกเดือน... แล้วมันยังไม่มีอะไรแตกต่างไปจากนี้ กูก็จะย้ายกลับไปอยู่อเมริกา เพราะงั้นบ้านก็ควรเป็นชื่อมึง”

“นี่มึงยังคิดจะย้ายกลับไปอยู่อเมริกาอยู่อีกเหรอ”

“รอดูก่อน... อย่างที่บอกว่าถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากที่เป็นอยู่นี้ กูก็จะไป” เอาเป็นว่าฉันไม่เข้าใจสิ่งที่ไอ้ยีนส์พูดเลยแม้แต่น้อย

“กูงง... มึงจะรอดูอะไรวะ? แล้วอะไรที่จะเปลี่ยนวะ?”

“...” และดูเหมือนว่าคำถามของฉันจะไม่มีความหมายอะไร เพราะไอ้ยีนส์มันไม่ยอมตอบ ทำเพียงมองหน้าฉันด้วยสายตาเรียบนิ่ง กระดกเบียร์ดื่มไม่พูดจา

“สรุปคือมีสัญญาหกข้อนะ” ฉันชูกระดาษที่ร่างสัญญาของเราให้ยีนส์ดู

“อืม” ว่าที่ผัวปลอมๆ ของฉันตอบตกลง แล้วเราก็ชนกระป๋องเบียร์กันอีกครั้ง โดยที่ไม่ลืมเซนชื่อของแต่ละคนลงในสัญญา

“มึงจะบอกพ่อมึงไหมว่ามึงจะแต่งงาน เพราะกูคิดว่าแม่กูคงอยากเจอพ่อมึงแน่ๆ” ยีนส์ถามขึ้น แล้วฉันก็คิดหนักขึ้นมา

“หึ... ไม่บอกอะ แล้วกูก็ตั้งใจจะบอกแม่มึงว่ากูไม่มีครอบครัว กูโตมากับย่าที่ตายไปเมื่อสามปีก่อน” อยู่ๆ ฉันก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา

“ไม่เป็นไร กูจะคุยกับแม่กูเอง เอาที่มึงสบายใจนั่นแหละ”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel