บทที่ 5 ใช้สายตาพูดความจริง
At ChaowMuang Restaurant
จิณณ์และซูซานเดินทางมาถึงร้านอาหารพื้นเมืองเชียงใหม่ที่ชื่อว่าชาวเมือง ทั้งสองเดินจูงมือทำการแสดงละครตบตาทุกคนว่าเป็นคู่รักกัน
“อย่าลืม... ท่องเอาไว้ว่าเราเป็นแฟนกัน” ร่างสูงเอ่ยกับร่างเล็กเมื่อสายตาของเขามองเห็นผู้เป็นแม่นั่งรออยู่ที่มุมหนึ่งของร้านอาหาร
“รู้แล้ว” หญิงสาวตอบรับเสียงเรียบนิ่ง ทว่าภายในใจของเธอตอนนี้นั้นตื่นเต้นไม่น้อย
และเมื่อเขาทั้งสองคนเดินมาหยุดที่ตรงหน้าคนที่กำลังรอ ซูซานรีบใช้สายตากวาดไปรอบโต๊ะ ภายในโต๊ะอาหารนั้นมีคนสามคนอยู่ด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือแม่ของจิณณ์และอีกหนึ่งคือแม่ของผู้หญิงที่จิณณ์จะต้องมาดูตัว ส่วนหญิงสาวใบหน้าสวย ผมลอน ตาโตเหมือนตุ๊กตาคนนั้นไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอคือผู้หญิงที่แม่ของชายหนุ่มหามาให้เขา
“สวัสดีครับแม่” จิณณ์ยกมือไหว้ผู้เป็นแม่ที่กำลังมองมาที่เขาสลับกับมองซูซานอย่างงุนงง
“สวัสดีค่ะ...” ซูซานรีบยกมือไหว้ตาม
“จิณณ์... ลูกพาใครมาด้วย?” เจ้าจันทร์เอ่ยถามลูกชาย ขณะที่มองหน้าซูซานไม่วางตา ขณะนี้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นพากันจ้องมาที่จิณณ์อย่างรอฟังคำตอบจากปากของเขา
“นี่ซูซานครับแม่ เธอเป็นแฟนของผมเอง” ผู้กำกับสุดหล่อเอ่ยตอบก่อนจะยกมือขึ้นโอบเอวหญิงสาวแน่น
“วะ... ว่าไงนะ?”
“นี่มันเรื่องอะไรกันคะคุณจันทร์” พรพรรณ แม่ฝ่ายหญิงเลิกคิ้วถามเจ้าจันทร์ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก
“ใจเย็นๆ ก่อนนะคะคุณพรพรรณ ฉันก็งงเหมือกันว่านี่มันเรื่องอะไรกัน” เจ้าจันทร์หันไปตอบพรพรรณก่อนจะหันมาจ้องหน้าจิณณ์
“พี่จิณณ์... มีแฟนอยู่แล้วเหรอคะ?” เสียงเล็กๆ ของสาวสวยเจ้าของชื่อเพนนีเอ่ยถาม
“ครับ พี่มีแฟนแล้ว และพี่ก็รักแฟนของพี่มากด้วย เพราะอย่างนั้นพี่ว่าเราอย่ามาเสียเวลาดูตัวกันเลยจะดีกว่า” จิณณ์เอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ละ... แล้วที่ผ่านมามันคืออะไรคะ? ที่บอกว่าคิดถึง อยากกลับมาหา อยากเจอเพนนี มันคืออะไร!” หญิงสาวตะโกนถามอย่างไม่เข้าใจ
“พี่ไม่รู้จะต้องตอบอะไร... บอกได้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนเดียวทีพี่รัก” จิณณ์เอ่ยตอบเพนนีก่อนจะกระชับเอวของซูซานมากอดให้แน่นขึ้น
“ฮึก! งั้นเราก็กลับกันเถอะค่ะคุณแม่!” เพนนีสะอื้นขึ้นมาลุกขึ้นคว้ากระเป๋าใบแพงแล้วออกจากตรงนั้นทันที
“เพนนีลูก!”
“คุณจันทร์! คุณทำแบบนี้กับฉันได้ยังไงคะ? แล้วตลอดเวลาหกปีที่เพนนีรอจิณณ์กลับมาคืออะไร ไหนว่าจิณณ์ยังโสด แล้วใครกันที่ส่งรูปและข้อความมาหาลูกสาวของฉัน!” พรพรรณตะโกนถามเสียงดัง
“คะ... คุณพรพรรณฟังฉันก่อนนะคะ... คือ... เอ่อ...” เจ้าจันทร์ไปต่อไม่ถูก เมื่อแผนที่เธอเพียรสร้างมานานถึงหกปีพังไม่เป็นท่า
“คงไม่มีอะไรจะต้องฟังกันแล้วล่ะค่ะ!” พรพรรณทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นก็ลุกออกจากโต๊ะแล้วตามลูกสาวออกไป
“ตายๆ ฉันตายแน่ๆ ฉันเสียคนตอนแก่!” เจ้าจันทร์ยกมือขึ้นกุมขมับก่อนจะหันมามองลูกชายหัวแก้วหัวแหวานที่ยืนยิ้มมองเธออยู่
“แม่ทำตัวเองนะครับ... ผมไม่เกี่ยว” จิณณ์เอ่ยขึ้นอย่างที่ไม่ได้รู้สึกสบายใจนักกับสถานการณ์นี้
“แม่ทำทุกอย่างก็เพราะลูกนั้นแหละ! ตามแม่กลับบ้านมาเลยนะจิณณ์! เรามีเรื่องต้องคุยกันยาว!”
At Bencharongakornkul’ s Home
รถตู้คันหรูวิ่งเข้ามาจอดที่หน้าบ้านหลังใหญ่ ที่หากจะเรียกให้ถูกอาจจะต้องเรียกว่ามันคือคฤหาสน์... บ้านเบญจรงคกรกุล ตระกูลใหญ่เชื้อผู้ดีเหนือ ซูซานอ้าปากกว้างเมื่อได้มาเห็นสิ่งที่เพื่อนๆ พูดถึงด้วยตาตัวเอง
“รออยู่นี่ก่อนนะ” จิณณ์เอ่ยขึ้นขณะที่เดินนำซูซานเข้ามาที่ห้องรับแขกของบ้าน
“อืม” หญิงสาวตอบรับสั้นๆ ก่อนจะมองหลังชายหนุ่มเดินตามผู้เป็นแม่ไปที่สวนหลังบ้านของเขา แต่แน่นอน... ซูซานคือหญิงสาวที่ยังคงความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้เสมอ เธอจึงไม่รอช้า แอบตามไปสดับรับฟังว่าสองแม่ลูกคุยอะไรกัน
เจ้าจันทร์หรี่ตามองลูกชายของเธอ สายตานั้นกำลังคาดการณ์ว่าเขากำลังคิดอะไร และวางแผนจะทำอะไร
“แม่มองผมแบบนั้น... คงกำลังเดาว่าผมกำลังมีแผนอะไรอยู่ใช่ไหมครับ?” จิณณ์แสยะยิ้มมองผู้เป็นแม่
“แล้วลูกมีแผนอะไรอยู่?”
“หึ... ผมไม่ใช่แม่นะ ผมไม่มีแผนหรอกครับ” ชายหนุ่มรู้มาตลอดว่าหกปีที่เขาไปอยู่ต่างประเทศ แม่ของเขาได้ปลอมเป็นเขาเพื่อไปคุยสร้างสัมพันธ์กับเพนนี นั่นเพราะว่าเธออยากได้เพนนีเป็นลูกสะใภ้... ไม่ใช่สิ... ที่จริงอาจต้องบอกว่าเจ้าจันทร์เพียงต้องการลูกสะใภ้ที่เป็นผู้หญิงดีๆ สักคน จะเป็นใครก็ได้ที่ทนลูกชายจอมเย็นชา ไร้หัวใจของเธอได้
“จิณณ์! ลูกทำแม่เสียผู้ใหญ่แล้ว รู้ตัวหรือเปล่า? คุณพรพรรณต้องเอาแม่ไปประจานในงสังคมแน่ๆ ขานั้นขี้เมาท์จะตาย ใครๆ ก็รู้”
“ก็แล้วแม่ทำแบบนั้นทำไมครับ? แม่อ้างชื่อผมไปคุยกับเพนนีทำไม มันคือการหลอกลวง แม่ก็รู้ว่ายังไงผมก็ไม่แต่งงานกับเขา...” แม้กระนั้นจิณณ์ก็ยังคงยิ้ม
“ก็ถ้าแม่ไม่ทำ มีเหรอเพนนีจะรอลูกกลับมา ไม่มีผู้หญิงคนไหนทนรอผู้ชายที่ไม่เคยคุยแม้แต่คำเดียวตั้งหกปีหรอกนะ!”
“พอเถอะครับแม่... ผมมีคนที่ผมรักแล้ว ผมแต่งงานกับผู้หญิงที่แม่หามาให้ไม่ได้หรอก”
“จะให้แม่เชื่อเหรอจิณณ์ว่าลูกรักผู้หญิงคนนั้น แม่ไม่เคยลูกพามาเจอ ลูกไม่เคยพูดถึง หน้าเขาแม่ก็เพิ่งจะเคยเห็น... หึ! ไปจ้างใครมาหลอกว่าเป็นแฟนเพื่อตบมาแม่ล่ะสิ... ลูกไม้ตื้นๆ ละครก็ฉายซ้ำเยอะแยะไป คิดว่าแม่ดูไม่ออกเหรอ?” เจ้าจันทร์มองขาดสะบั้น
...สมกับเป็นแม่ลูกกันมาก...
ซูซานที่แอบฟังอยู่อดจะยิ้มออกมาไม่ได้ จิณณ์ไม่ได้เหมือนแม่แค่เพียงรูปร่างหน้าตา แต่เหมือนไปยันนิสัยเจ้าวางแผน
“งั้นก็แล้วแต่แม่จะคิดครับ... ผมกับซูซานเรารักกันจริงๆ ผมหวังแค่ว่าต่อจากนี้ไปแม่จะไม่จับผมไปดูตัวกับใครอีก” จิณณ์ตัดบทเพราะหากยิ่งพูดมากก็จะยิ่งไม่จบเรื่อง
“แล้วตอนที่ลูกไปอยู่อเมริกา... แฟนลูกอยู่ที่ไหน หกปีไม่ใช่น้อยๆ นะจิณณ์ แม่ไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะรอลูกกลับมารักกันต่อ”
“ก็อย่างที่เห็นครับแม่ เวลาไม่ใช่ประเด็น สำคัญตรงที่เขายังอยู่ที่เดิม ใช้ชีวิตเหมือนเดิม เป็นอย่างเดิมเหมือนตอนก่อนที่ผมจะไป” จิณณ์พูดออกมาจากความรู้สึกของตัวเองจริงๆ มันส่งออกผ่านสายตาจนผู้รับสารเกิดความเชื่อนั้นร่วมกับเขา
“ลูกรักเขาจริงๆ เหรอ?”
“ถ้าผมทำให้แม่เชื่อได้... มันก็คงจริงมั๊งครับ” ชายหนุ่มมองหหน้าผู้เป็นแม่นิ่ง
“พิสูจน์สิ... ทำให้แม่เชื่ออย่างเต็มหัวใจว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่ลูกรัก แล้วแม่จะเลิกหาคู่ให้ลูก แม่แก่ขึ้นทุกวันนะจิณณ์ แล้วคุณพ่อก็รอว่าเมื่อไหร่ลูกจะเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที... ลูกเป็นหลานชายคนโตของคุณย่านะ จะน้อยหน้าหลานชายคนอื่นไม่ได้ น้องๆ มันมีแฟนกันหมดแล้ว อีกหน่อยก็คงแต่งงาน ลูกจะยอมเหรอ?”
“ก็แล้วทำไมต้องไม่ยอมครับแม่... ตอนนี้ผมมีแฟนแล้วไงแต่งงานเมื่อไหร่มันไม่สำคัญหรอก ผมไม่รีบ”
“แต่แม่รีบ! ถ้ารักกันจริงๆ ก็ไปทำให้มันถูกต้อง แม่มีทางเลือกให้ลูกสองทาง... จะแต่งงานกับคนนี้หรือจะแต่งกับคนที่แม่หาให้ ยังไงไม่เกินปีนี้ลูกก็แต่งงาน... นี่ไม่ใช่คำพูดลอยๆ นะจิณณ์” เจ้าจันทร์ทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินเข้ามาในบ้าน
“แม่ครับ!”
ร่างสูงรีบตามผู้เป็นแม่เข้ามา ซูซานใช้จังหวะอันรวดเร็วนั้นวิ่งกลับไปนั่งที่โซฟาในห้องรับแขกทันที
เจ้าจันทร์เดินมานั่งที่โซฟา สายตาของเธอจับจ้องไปยังซูซานที่นั่งตัวแข็งทื่อ เธอทำตัวไม่ถูกเพราะถูกจ้องมอง และกลัวเหลือเกินที่จะพูดอะไรผิดไป บรรยากาศนั้นแสนจะอึดอัดจนเธอไม่กล้าแม้แต่จะหายใจด้วยซ้ำ
“หนูชื่อซูซาน... เป็นชื่อจริงตั้งแต่เกิดเลยหรือเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นตอนโต” เจ้าจันทร์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงาดคั้น
“แม่... ซูซานเป็นชื่อเล่นครับ ชื่อจริงเขาก็มี” จิณณ์ชิงตอบ เพราะเห็นท่าทีแสนเกร็งของหญิงสาว
“ให้เขาตอบเอง”
“เอ่อ... หนูชื่อวรัชญาค่ะ ชื่อเล่นชื่อซูซาน ไม่มีพี่น้องเป็นลูกคนเดียว เรียนจบภาพยนตร์มาค่ะ ตอนนี้ทำงานตำแหน่งจัดการกองถ่ายภาพยนตร์ มีใบขับขี่ ไม่สูบบุหรี่ แต่ดื่มเหล้าค่ะ ไม่มีประวัติอาชญกรรมด้วยค่ะ” ซูซานรายงานตัวด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อ ไร้ศิลปะใดๆ
“พอๆ แม่ไม่ได้เป็นตำรวจตรวจคนเข้าเมืองนะ”
“...” จิณณ์ถึงกับถอนหายใจออกมา นี่แค่คำถามง่ายๆ ตอบความจริงแบบไม่มีอะไรต้องโกหกซูซานยังเล่นแข็งขนาดนี้ เขาไม่อยากจะนึกเลยว่าถ้าแม่เขาถามลึกกว่านี้แล้วหญิงสาวจะเล่นเป็นหินเลยไหม?
