บทที่ 4 ผู้ชายไม่เป็นเพื่อนกับผู้หญิง
At Coffee Room
จิณณ์เดินถือแก้วกาแฟสองแก้วมาวางที่โต๊ะริมหน้าต่างซึ่งมีซูซานนั่งรออยู่ ของเขาคืออเมริกาโน่เย็น ส่วนของเธอคือลาเต้ร้อน ซูซานคว้ากาแฟขึ้นมาเป่า ก่อนจะค่อยๆ ดื่ม แล้วยกยิ้มออกมาเพราะรสชาดเยี่ยมยอดของเมล็ดพันธุ์สุดพิเศษ
“เป็นไง” ชายหนุ่มเอ่ยถามเมื่อเห็นรอยยิ้มของหญิงสาว
“เยี่ยม”
“อะไรเยี่ยม? กาแฟหรือไซรัปหวานๆ?”
“เยี่ยมก็คือเยี่ยม ทำไมต้องแยกแยะว่ามันคือกาแฟหรือไซรัป จึๆ” ซูซานส่ายหน้าพร้อมทำเสียงจึๆ
“มึงหัดลงลึกในรายละเอียดซะบ้าง ไม่ใช่เหมารวมไปหมดทุกอย่าง เวลากินกาแฟมึงก็ควรลิ้มรสชาดของมันแล้วก็จำแนกรสชาดให้ออกว่าที่อร่อยเนี่ย... มันอร่อยที่ตรงส่วนไหน...” จิณณ์ส่งสายตาจริงจังพร้อมน้ำเสียงพร่ำสอนหญิงสาว
“โอ๊ะ! สอนเก่ง... มึงจะอะไรนักหนากับอีแค่แดกกาแฟเนี่ย?!” ซูซานเบะปากมองบนใส่คนช่างสอน
“มึงทำงานเป็น PM (Production Manager : ผู้จัดการกองถ่าย) จริงปะเนี่ย? ทำไมความละเอียดไม่มีอยู่ในตัวมึงเลย”
“กูทำงานละเอียด แต่ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตประจำวันให้มันยุ่งยากเหมือนตอนทำงานปะวะ? แล้วมึงจะเข้าเรื่องแฟนปลอมๆ เมื่อไหร่ จะนั่งสอนกูจนถึงเวลานัดเลยดิ?” หญิงสาวมองค้อนใส่ชายหนุ่มที่กำลังยิ้มมองเธอราวกับว่าเธอคือสิ่งแปลกประหลาดที่เขาไม่เคยเห็น
“ก่อนจะเข้าเรื่อง กูมีเรื่องสงสัย” อยู่ๆ จิณณ์ก็เปลี่ยนสายตาเปื้อนรอยยิ้มเป็นสายตาแห่งความสงสัย
“อะไร?”
“พ่อมึงสร้างหนี้ให้มึง... เอาคอนโดไปขาย... แล้วเขาหายไปไหน เขาไม่ห่วงบ้างหรือไงว่ามึงจะอยู่กับปัญหาที่เขาทิ้งไว้ยังไง?”
พอได้ยินคำถามจากจิณณ์ ซูซานก็นิ่งไปถนัดตา ก่อนใบหน้าสวยจะเผยความเครียดที่ถูกฝังไว้ใบเบื้องลึกออกมา
“กูไม่รู้ว่าเขาหนีไปไหน... ไม่อยากรู้ด้วย เพราะถึงเขากลับมาก็ช่วยอะไรไม่ได้ ส่วนเรื่องเป็นห่วงกูไหม... หึ... ถ้าเขาเป็นห่วงกู... เขาคงไม่ทำแบบนี้หรอก”
“แล้วแม่มึงอะ?” ปกติชายไม่หนุ่มไม่ใช่คนอยากรู้เรื่องของคนอื่น แต่พอเป็นเรื่องของหญิงสาวตรงหน้า เขาก็อดที่จะอยากรู้ไม่ได้
“แต่งงานใหม่เป็นรอบที่สี่ แล้วก็ย้ายไปอยู่ประเทศไหนสักที่ กูไม่ได้สนใจ”
“เพราะพ่อแม่มึงเลิกกัน เลยเป็นสาเหตุให้มึงไม่อยากมีแฟน ไม่อยากมีความรักเหรอ?”
“ไม่ใช่... แต่มันเป็นเพราะกูไม่เชื่อความมันมีความรักอยู่จริงๆ อย่างน้อยความรักก็ไม่ได้มีไว้สำหรับคนอย่างกู” ซูซานเอ่ยตอบด้วยแววตาเศร้าหมอง
“คนอย่างมึงมันทำไม? มันแตกต่างกับคนอย่างซิน อย่างเยลลี่แล้วก็เชลโล่ยังไง ทำไมมึงถึงคิดว่ามึงมีความรักไม่ได้?”
“...” ซูซานมองหน้าจิณณ์นิ่ง เธอเองก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าเธอแตกต่างจากคนอื่นๆ ยังไง แต่เธอรู้เพียงว่าเธอไม่เหมาะจะมีความรัก ความรักมันคือความล้มเหลวของเธอ
“มึงตอบไม่ได้... นั่นแปลว่ามึงมีความรักได้ การที่ครอบครัวมึงแตกแยก มันไม่ได้หมายความว่ามึงจะต้องเกลียดการมีชีวิตคู่สักหน่อย” ชายหนุ่มมองหญิงสาวด้วยสายตาที่ยากจะหยั่งรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร
“นี่สรุปว่ามึงจะมาไขปริศนาตัวกูเหรอ?” ซูซานรีบเปลี่ยนสีหน้า เธอเลิกคิ้วถามชายหนุ่ม พยายามจะเปลี่ยนเรื่อง
“กูแค่ไม่อยากเห็นมึงแก่ตายแบบไร้ญาติ”
“หลอกด่ากูอะดิ”
“กูพูดจริงๆ รอบตัวมึงไม่มีใครเลย ถามจริงๆ มึงไม่อยากหาใครสักคนมาอยู่ข้างๆ บ้างเหรอ?” เขาถามราวกับคาดหวังในคำตอบ
“เพื่อนกูมีเยอะแยะ... อย่างตอนนี้กูก็มีมึงที่เป็นเพื่อนไง... ไม่เห็นจำเป็นต้องหาผัวเลย” หญิงสาวเปลี่ยนท่านั่งเป็นท่าไขว่ห้าง คว้าแก้วกาแฟขึ้นมาดื่ม
“เพื่อนกับผัวมันเหมือนกันเหรอวะ? อย่างน้อยกูกับมึงก็เอากันไม่ได้ปะ?” จิณณ์แสยะยิ้มถาม
“สัด! สุดท้ายก็ลงเรื่องเอาๆ ในสมองผู้ชายแม่งมีแต่เรื่องนี้เหรอวะ?” ซูซานมองค้อนใส่จิณณ์
“ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่คิดแต่เรื่องเอา แล้วก็ไม่ใช่กับผู้หญิงทุกคนด้วยที่ผู้ชายจะมองแล้วแค่คิดว่าอยากจะเอา...” จิณณ์จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของซูซานราวกับต้องการจะสื่อบางสิ่ง
“งง” ทว่าหญิงสาวไม่เข้าใจ
“ก็... กูมองมึงแล้วไม่รู้สึกอยากเอาไง... อยากทำอย่างอื่นมากกว่า”
“ทำเชี่ยไร? ตี? ตบ? เตะ?”
...ปกป้อง...
นั่นคือสิ่งที่เขาคิดอยู่ในหัว แต่รู้ตัวว่าคงไม่มีวันพูดมันออกไป ไม่ใช่เพราะไม่อยากให้เธอรู้ แต่มันเพราะเขารู้ว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่เธอจะยอมรับฟัง
“ตอบมาไอ้ยีนส์... เห็นกูแล้วมึงอยากทำอะไร?”
“อยากถีบตีปาก... ผู้หญิงเชี่ยไรพูดแต่คำหยาบ ปากก็หมา มึงโตแล้วนะจะมาพูดจาเหมือนตอนเป็นวันรุ่น... ได้เหรอ? แล้วลูกน้องมันจะเคารพมึงไหม?” แล้วจิณณ์ก็ปรับเปลี่ยนอารมณ์ เขากดความคิดส่วนตัวลงลึกแล้วเลือกที่จะทำตัวเป็นคนสอนเก่งอย่างที่หญิงสาวว่า
“วุ้ย! มึงนี่น่าจะเป็นไปครูแทนที่จะมาเป็นผู้กำกับนะ สอนเก่งฉิบหาย!” ซูซานทำหน้าตาไม่สบอารมณ์
“เอาเรื่องที่กูพูดเก็บไปคิดด้วย” จิณณ์ยังคงอยากให้หญิงสาวเปลี่ยนความคิด
“เรื่องอะไรอีก”
“เรื่องที่มึงมีความรักได้ อย่าเอาประสบการณ์ของพ่อแม่มาจำกัดชีวิตมึง”
“ทำมาสอนกู... ได้ข่าวว่ามึงก็ไม่อยากมีความรักเหมือนกันไม่ใช่หรือไง?” หญิงสาวเชิดหน้าถาม
“กูไม่เคยพูดนะว่าไม่อยากมีความรัก” จิณณ์ส่ายหน้า
“เอ้า! ก็มึงเองไม่ใช่เหรอที่บอกกูว่ามึงจะไม่มีวันฆ่าตัวตายโดยการเอาเมีย”
“เห็นไหม... แค่ฟังคำพูดธรรมดา มึงยังฟังไม่แตกฉานเลยไอ้ซาน กูยังไม่อยากมีเมีย... แต่มันก็ไม่ได้แปลว่ากูจะไม่รักใครนี่ มันคนละเรื่องกัน”
“เชี่ย... ทำไมรู้สึกเหมือนนโดนหลอกเลยวะ?” ซูซานทำหน้าเหวอ
“กูหลอกอะไรมึง”
“ก็กูคิดมาตลอดว่ามึงกับกูรู้สึกเหมือนกัน เราเป็นคนประเภทเดียวกันไรงี้?”
“ไม่นะ... กูไม่ใช่คนบ้าเหมือนมึง” จิณณ์ยกยิ้มขณะที่แอบหลอกด่าหญิงสาว
“อะ! ด่ากูอีก... แล้วนี่ไม่ต้องเตี๊ยมกันแล้วมั๊ง... กูอยากเป็นแฟนปลอมๆ ของมึงจะแย่แล้วไอ้ยีนส์” ซูซานทำเสียงประชดประชัด พร้อมใบหน้าล้อเลียนชายหนุ่ม
“เริ่มที่ไม่ว่าแม่กูจะถามอะไรมึง... ตอบความจริงทุกอย่าง แต่แค่เปลี่ยนจากที่เราเป็นเพื่อนกันไปเป็นแฟนแทน... อย่างเช่นถ้าแม่กูถามว่ารู้จักกันได้ยังไงมึงจะตอบว่าอะไร?” จิณณ์เริ่มเตรียมการเตี๊ยมซูซานโดยใช้ประโยชน์จากความจริง เพื่อให้หญิงสาวเชื่อว่ามันคือเรื่องจริง
“ตอนปีหนึ่ง เราเรียนสาขาเดียวกัน” ซูซานตอบตามความจริง
“ใช่... แล้วถ้าแม่กูถามว่าแล้วมาคบกันเป็นแฟนได้ยังไง ให้มึงตอบว่าตอนที่ไปสมุยด้วยกันตอนจบปีสาม เราจูบกันที่นั่น... ซึ่งมันก็คือเรื่องจริง” จิณณ์ยกยิ้มขณะที่เขาเอ่ยถึงเรื่องจูบเธอ
“เชี่ย... ไม่ใช่จูบ... มันก็แค่การผายปอดปะ?”
“มันคือจูบ กูยังไม่ทันเป่าลมให้มึงเลย มึงฟื้นขึ้นมาก่อนด้วยซ้ำ เพราะงั้นมันคือการจูบ... มึงจะโกหกเพื่อนมึงก็โกหกไป... แต่มีแค่มึงกับกูเท่านั้นที่รู้ว่าครั้งนั้นมันคือการจูบไม่ใช่ผายปอด” จิณณ์มองหน้าซูซานนิ่ง
แล้วพวงแก้มของหญิงสาวก็เริ่มแดงขึ้นมา... ภาพตอนที่เธอจมน้ำเมื่อหลายปีก่อนผุดขึ้นมาในหัวของเธอ ใช่... จิณณ์พูดไม่ผิด สิ่งที่เขาทำกับเธอมันคือการจูบมากกว่าการผาดปอด เพราะเธอดันฟื้นขึ้นมาก่อน...
“เออๆ ช่างแม่งเหอะ!” หญิงสาวโบกมือโวยวาย ปัดเรื่องจูบทิ้งอย่างคนเอาแต่ใจ
“หึ!” จิณณ์แสยะยิ้มอย่างชอบใจเมื่อได้เห็นว่าซูซานกำลังเขินที่เสียจูบแรกให้เขา
“เราคบกับตั้งแต่ช่วงจบปีสามจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่ากูจะไปอเมริกาอยู่หลายปีแต่เราก็ไม่ได้เลิกกันและยังรักกันดี... บทง่ายๆ แค่นี้คิดว่ามึงคงไม่ทำพัง”
“รู้น่ะ”
“แต่ข้อสำคัญคืออย่าหลุดพูดคำหยาบ แม่กูฉลาดแล้วก็ชอบจับผิด อย่าลืมด้วยว่ามึงต้องเรียกกูว่าจิณณ์ แม่กูรู้ว่ามีแค่เพื่อนเท่านั้นที่เรียกชื่อเล่นของกู”
“รู้แล้ว”
“ถ้ารู้แล้วก็ไปกัน” จิณณ์ลุกขึ้นจากโต๊ะ ก่อนจะยื่นมือไปตรงหน้าซูซานพร้อมรอยยิ้ม
“อะไร?” หญิงสาวเลิกคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ
“เป็นแฟนกันก็ต้องจับมือสิ... เร็ว... อย่าลีลา แค่จับมือกู มึงไม่ตายหรอกไอ้ซาน”
“เยอะสิ่ง!” ซูซานกรอกตามองบนใส่ชายหนุ่ม แต่สุดท้ายก็ยอมส่งมือเล็กไปวางลงบนมือหนา จิณณ์อมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะกุมมือเธอไว้แน่นแล้วพาเดินออกไปจากร้านกาแฟ...
“ที่จริง... ถ้าจะให้เนียนว่านี้เราน่าจะจูบกันด้วยนะ” ชายหนุ่มแกล้งพูดยั่วโมโหหญิงสาว
“ไม่เอา! มึงจูบกูตบอะ! เอาดิ!”
