Warning 03 [1]
[ Kiryu’s part ]
ตุบ
ผมก้มลงไปมองหัวที่ล้มลงมาพิงกับท่อนแขนของผมที่วางอยู่บนพนักพิงโซฟา หน้าตาออกไปทางลูกครึ่งของผู้หญิงตรงหน้ากำลังหลับใหลไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ โดยที่หัวก็เอนไปเอนมา ผมรู้สึกสงสารกลัวจะคอเคล็ดซะก่อนเลยจับหัวของลาน่ามาพิงไว้ที่ไหล่ แต่เหมือนเธอจะไม่สบายตัวเลยขยับหัวลงมาพิงไว้ที่แผงอกของผมแทน
“อื้ม” ลาน่าครางเหมือนรำคาญตอนที่ผมขยับตัวให้เธอนอนได้สบายขึ้น ทำไมแผงอกผมต้องมาเป็นหมอนให้เธอด้วยวะ
“อ้าว ลาน่าหลับแล้วเหรอวะไอ้ริว สงสัยง่วงจริง” ไอ้เติ้ลหันมาถามมือก็หยิบขนมเข้าปากไปด้วย
“แล้วนี่มึงจะขี่รถกลับไง” ไอ้เลย์ก็หันมาถามอีกคน ไอ้พวกนี่มันจะถามอะไรผมกันนักหนาวะ
“ไม่รู้” ผมตอบพวกมันสองตัว แล้วหันไปดูแข่งรถต่อ
”มึงพาไปนอนห้องรับแขกอีกห้องก็ได้นะ ข้างห้องที่มึงชอบไปนอนน่ะ” ไอ้ไทม์เคี้ยวขนมไปด้วยพูดบอกผมไปด้วย มีเศษขนมหล่นมาจากปากมันด้วยว่ะ
”อือ ค่อยไป”
“มึงจะให้ลาน่าค้างที่นี่เหรอวะ“ ไอ้ไทม์ถามด้วยความสงสัย ผมก็ไม่อยากให้ลาน่านอนที่บ้านไอ้ไทม์หรอก เธอเป็นผู้หญิง อีกอย่างที่นี่ก็มีแต่พวกผม ซึ่งเป็นผู้ชายทั้งนั้น แล้วก็สารเลวพอตัวด้วยเหมือนกัน
“กูไม่รู้” ผมตอบมันอย่างไม่ค่อยใส่ใจ แล้วหันไปอุ้มลาน่ายกขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนแทน ตอนแรกเหมือนเธอจะตื่น แต่สักพักก็ซุกหน้าลงมาที่แผงอกผมจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ของเธอ
“แล้วนั่นมึงจะพาไปไหน” ไอ้เลย์ถามขึ้น ส่วนไอ้สองตัวที่เหลือก็เลยหันมามองตามทันที
“พาไปนอนไง พวกมึงจะถามอะไรนักหนาวะ”
“เออ ๆ ไปไหนก็ไปเถอะมึงอ่ะ” ไอ้เติ้ลปัดมือไล่ ผมเลยอุ้มลาน่าขึ้นไปที่ชั้นสอง ตรงไปห้องที่ไอ้ไทม์มันบอก ตอนเปิดประตูก็ต้องระวังไม่งั้นคนที่ซุกหน้าอยู่กับแผงอกผมคงตื่นก่อน แล้วทำไมกูต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยวะ
“อื้ม” ลาน่าครางอีกครั้งอย่างหงุดหงิด ทันทีที่ผมขยับแขนไปเปิดประตู พอเปิดประตูได้ผมก็ใช้เท้าปิดแม่งเลย ก็มือกูไม่ว่างไง
“วุ่นวายจังวะ นี่ก็โครตขี้เซา” ผมเดินไปวางลาน่าลงบนเตียงใหญ่ ยืนมองหน้าเธอนิ่ง ๆ แล้วภาพเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ผิวขาว ตากลมโตที่กำลังร้องไห้ก็โผล่เข้ามาในหัวสมอง
ตอนนั้นเป็นงานศพของพ่อลาน่า ผมจำได้ดีว่าเธอไม่ได้ร้องไห้ให้ใครเห็น แต่แอบมายืนร้องคนเดียวที่ริมแม่น้ำเล็ก ๆ แทน ซึ่งตอนนั้นผมก็บังเอิญแอบมานั่งเล่นแถวนั้นเลยเจอกับเธอเข้า พอเด็กผู้หญิงคนนั้นเห็นผมเธอก็พยายามกลั้นน้ำตาไม่ร้องไห้ออกมา แล้วก็บอกกับผมเหมือนเรารู้จักกันมาก่อน
’นายว่าพ่อลาน่าจะมีความสุขบนสวรรค์มั้ย‘ เธอยิ้มกว้างให้ผมทั้งๆที่น้ำตายังคลออยู่ที่ดวงตาใสนั่น
’ไม่รู้’
’แต่ลาน่าว่าพ่อต้องกำลังยิ้มให้ลาน่าอยู่แน่เลย‘
’...’ ผมไม่ตอบ แต่ก็ไม่ได้ไปไหน ยังคงยืนมองเธออยู่ที่เดิม อยากรู้เหมือนกันว่าเธอจะพูดอะไรต่อ
’นี่ นายเห็นลาน่าร้องไห้แล้ว อย่าไปบอกใครนะ ลาน่าไม่อยากให้แม่เป็นห่วง’
‘อือ’
’สัญญานะ’ ลาน่ายื่นนิ้วก้อยเล็ก ๆ มาข้างหน้าผม ส่วนผมก็ยืนมองหน้าเธออย่างมึนงง
‘อะไร’
‘เกี่ยวก้อยสัญญากันไง แบบนี้ ๆ’ แล้วมือเล็กของลาน่าก็จับมือผมไปเกี่ยวก้อยสัญญากับเธอทันที
‘ไร้สาระชะมัด’
‘ไม่เห็นจะไร้สาระเลย ตอนนี้เราก็เก็บความลับของกันและกันไว้แล้วนะ’
’ของเธอคนเดียวมากกว่า’
’นายก็หนีพ่อแม่มาที่นี่ไม่ใช่เหรอ‘ ผมพูดไม่ออก ได้แต่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ
‘อือ’
พอนึกถึงวัยเด็กขึ้นมาก็รู้สึกหงุดหงิดคนที่นอนไม่รู้เรื่องบนเตียงทันที ทั้งๆที่ผมจำเรื่องราวในวันนั้นได้ดีแต่เธอกลับจำอะไรไม่ได้ สัญญาอะไรนั่นเธอก็เป็นคนสัญญาเองด้วยซ้ำ ผมเลยเอามือไปดึงจมูกเชิดจิ้มลิ้มของคนที่กำลังหลับไหลอย่างหมั่นเขี้ยว
“อื้ม อ๊ะ“ ลาน่าค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เธอมองมาที่ผมแล้วกะพริบตาปริบๆใส่หลายที
“ฟื้นแล้วเหรอ”
“คิริว!”
“นอนรอนี่ไปก่อน เดี๋ยวมา” ผมกำลังจะหันหลังกลับไปดูแข่งรถที่ยังไม่จบต่อ แต่เสื้อยืดด้านหลังก็ถูกมือเล็กดึงเอาไว้ซะก่อน
“นายจะดูแข่งรถต่ออีกเหรอ”
“อือ”
“อีกนานมั้ย”
“ไม่รู้ ก็บอกให้นอนรอไง ไหนง่วง”
“ก็ง่วง แต่..” ลาน่าไม่ยอมพูดต่อ ผมเลยนั่งไปบนเตียงข้าง ๆ เธอด้วยความรวดเร็ว
“ที่ไม่อยากให้ไปดูแข่งรถนี่อยากให้ทำอย่างอื่นใช่มั้ย”
“ทำอะไร” ลาน่าเงยหน้าขึ้นมามองผมคิ้วขมวดด้วยความสงสัยทันที
“ที่นี่ก็เร้าใจดี” ดวงตากลมโตของลาน่าเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ จนผมเกือบกลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่ น่าแกล้งชะมัด
”ทุเรศ!”
หมับ!
”ถ้าไม่อยากให้ทำก็หยุดให้ได้ดิ” ผมคว้าข้อมือเล็ก แล้วออกแรงดึงแค่เพียงเล็กน้อยลาน่าก็เซมาชนกับแผงอกของผมอย่างง่ายดาย
“คะ..คิริว นี่มันบ้านเพื่อนนายนะ!” มือเล็กดันตัวผมออกห่าง แต่คิดเหรอว่าคนอย่างผมจะถอยง่าย ๆ
“แล้วไง“
“เพื่อนนายก็อยู่ตั้งเยอะแยะ!” ลาน่ามองผมด้วยความโกรธเคือง ตอนนี้เธอไม่เหมือนเด็กผู้หญิงที่มีรอยยิ้มกว้างสดใสมาให้ผมแล้วล่ะ ก็ดี…จำไม่ได้แบบนี้ก็ดี
“เสียงดัง ๆ ดิ พวกมันจะได้แห่มาดู”
“ทำไมนายต้องทำแบบนี้ด้วย”
”ก็ไม่ทำไม แค่อยากทำ”
“นายมัน.. อ๊ะ คิริว อย่านะ!” ผมดึงเสื้อลาน่าขึ้นจนไปกองอยู่บนเนินอก มือเล็กพยายามปัดมือผมออก ลาน่าทุบตีที่เนื้อตัวผมจนวุ่นไปหมด แต่แรงแค่นี้ผมไม่เจ็บหรอก
“ห้ามได้ก็ลองดู”
“คิริว ไม่นะ!” ผมปลดตะขอบราของลาน่าออกด้วยความรวดเร็ว ดันมันขึ้นจนพ้นทางจนเจอกับเป้าหมาย แล้วผมก็รวบข้อมือทั้งสองข้างของเธอขึ้นด้วยมือเพียงข้างเดียวเอาไว้แน่น แขนก็โอบกอดเอวบางแล้วดึงเข้าหาตัว
“ไหน ลองทำให้ฉันหยุดสิ คนอวดดี” พูดจบผมก็ก้มลงไปดูดเลียยอดอกที่แข็งดุนดันแข่งกับลิ้นเปียกชื้นของผมทันที
”อ๊ะ คิริว..ไม่..อย่านะ” ลาน่าขัดขืนในตอนแรก แต่พอผมเริ่มดูดเม้มยอดอกเธอแรงขึ้นเธอก็แอ่นอกให้ผมได้ตักตวงความหวานได้ถนัดขึ้น จนผมต้องยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยอย่างพอใจ
ผมถอนริมฝีปากออกจากยอดอกของลาน่า มองดูคนใต่ร่างที่กำลังนอนหอบหายใจแรง เราสบสายตากัน แล้วเธอก็กัดริมฝีปากล่างตัวเองไว้แน่นเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ เส้นผมของลาน่าที่สยายไปบนเตียงยุ่งเหยิง แต่มันกลับเป็นภาพที่ทำให้เธอดูเซ็กซี่ชะมัด
“คิริว“
“หือ”
“หยุดเถอะ”
”มันสายไปแล้วลาน่า”
[ End talk ]
“อ๊ะ ไม่นะ..คิริว อื้ม!” คิริวก้มลงมาจูบฉันอย่างดูดดื่ม รสเหล้าขม ๆ จากลิ้นเปียกชื้นของเขาพันลิ้นเล็กของฉันไปมาจนเวียนหัวไปหมด มือใหญ่ข้างหนึ่งของคิริวก็บีบเค้นกอบกุมหน้าอกฉันไว้ ส่วนอีกข้างก็สอดเข้าไปในกางเกงวอมของฉัน แล้วมันรูดลงให้พ้นทางด้วยความรวดเร็ว
“อื้อ!” ฉันพยายามทุบไหล่กว้างของคิริวแรง ๆ แต่เขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดง่าย ๆ คิริวสอดมือเข้ามาภายในกางเกงชั้นในของฉัน แล้วนิ้วเรียวยาวก็ลูบไล้จุดอ่อนไหว จนฉันเผลอครางออกมาอย่างน่าอาย ให้ตายสิ!
“หึ ครางเสียงหวานเลยนะลาน่า” คิริวถอนจูบออก แล้วสบสายตากับฉันที่กำลังนอนหอบหายใจแรงอยู่ใต้ร่างกายสูงใหญ่ของเขา
“อย่านะ..อ๊ะ!” นิ้วเรียวยาวของคิริวสอดใส่เข้ามาภายในตัวฉันทีเดียวจนสุด เขาค่อย ๆ สอดนิ้วเพิ่มเข้าไปอีกนิ้วจนฉันรู้สึกเจ็บขึ้นมาเล็กน้อย และมือที่กำลังทุบไหล่กว้างต้องเปลี่ยนมาเป็นจิกเล็บลงไป เพื่อระบายความอึดอัดจากช่วงล่างแทน
“แน่นฉิบ”
”คะ..คิริว อื้อ” คิริวขยับนิ้วเข้าออกช้า ๆ แล้วกระแทกกระทั้นเข้าออก จนฉันสะดุ้งตกใจพร้อมกับเสียงครางที่ร้องออกมาโดยควบคุมตัวเองไม่อยู่ ฉันรีบกัดริมฝีปากล่างของตัวเองเพื่อกลั้นมันเอาไว้
“ครางออกมา ลาน่า” คิริวขยับนิ้วเข้าออกเร็วขึ้นและแรงขึ้นในทันที
“อ๊ะ…อื้ม”
“ดีมาก” ริมฝีปากอุ่นร้อนของคิริวก้มลงมาดูดดึงยอดอกที่แข็งชูชันของฉัน ความเสียวซ่านทำให้หัวฉันขาวโพลนไปหมด และได้ยินเพียงเสียงนิ้วที่ขยับเข้าออกอยู่ภานในตัวฉันรัวเร็ว
”ไอ้ริวมันกลับแล้วเหรอวะ” จู่ ๆ เสียงเติ้ลก็ดังขึ้นใกล้กับห้องนอนที่ฉันกับคิริวอยู่ ฉันนอนนิ่งตัวแข็งถื่อ และเผลอกัดริมฝีปากล่างของตัวเองอย่างแรง จนรู้สึกเจ็บเล็บก็จิกไปที่ไหล่กว้างของคิริวมากขึ้น
“เป็นอะไร” คิริวขมกรามไว้แน่น แล้วคิ้วเข้มก็ขมวดมุ่นอย่างหงุดหงิด เขาก้มลงมาสบสายตากับฉันด้วยสีหน้าเหมือนกำลังควบคุมอารมณ์ของตัวเองอยู่
”เสียง…เพื่อนนาย ถอยออกไปเลยนะ!” ฉันดันแผงอกกำยำแข็งแรงของคิริวให้ออกห่าง แต่เขาก็ไม่ยอมขยับหรือเอานิ้วออกจากตัวฉันสักที
“ช่างพวกมันดิ” นิ้วเรียวยาวของคิริวเริ่มขยับเข้าออกอีกครั้ง ฉันเกร็งตัวไปหมดไม่รู้จะทำยังไง และยังคงพยายามดันตัวออกห่างจากเขา แต่ก็ไม่สำเร็จ
”สงสัยมันกลับไปแล้วมั้ง หายหัวไปนานขนาดนี้” เสียงเลย์ดังขึ้นพร้อมกับเสียงหาวตามมา
”เออ กูง่วงแล้วว่ะ ไปนอนก่อน” ไทม์พูดขึ้น คิริวก็ยังคงขยับนิ้วเข้าออกภายในตัวฉันเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จนฉันทนแทบทนไม่ไหวต้องกอดรอบลำคอแกร่งของเขาไว้แน่น แล้วกัดลงไปบนหัวไหล่กว้างของคิริวแรง ๆ เพื่อกลั้นเสียงครางของตัวเองเอาไว้
“กูไปด้วย“
“เออ นอนห้องมึงนั่นแหละไอ้ไทม์”
“อะไรวะ ห้องก็มีตั้งเยอะแยะไอ้สัส”
“พวกกูง่วงแล้วขี้เกียจเดิน”
”ไอ้ห่า” แล้วเสียงคุยกันติดจะงัวเงียทั้งสามก็เงียบลง พร้อมกับเสียงปิดประตูดังขึ้นตามหลัง สงสัยพวกเขาจะเข้าห้องนอนไปแล้วแน่เลย
“หึ เป็นไง เร้าใจพอมั้ย”
“คิริว อื้อ!” คิริวกระซิบข้างหูของฉัน พร้อมกับนิ้วเรียวยาวที่ขยับกระแทกกระทั้นใส่ฉันรัวเร็วจนฉันทนไม่ไหวกระตุกเกร็ง และภายในตอดรัดนิ้วเรียวยาวทั้งสองนิ้วของเขาอย่างรุนแรงทันที
คิริวค่อย ๆ เอานิ้วของเขาออกช้า ๆ แล้วก้มลงมาสบสายตาฉันเนิ่นนาน ส่วนฉันก็ได้แต่หอบหายใจเอาอากาศเข้าปอดอย่างหนักหน่วง มองสบสายตาคมของคิริว และเห็นว่าเขากำลังไปด้วยเห็นคิริวยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยแล้วเขาก็จัดเสื้อผ้าฉันให้กลับมาเรียบร้อยเหมือนเดิม
หมับ! แปะ!
”อย่ามาจับ” คิริวจับต้นแขนฉันแล้วดึงให้ลุกขึ้นนั่ง แต่ฉันก็ตีมือเขาแรงๆแล้วลุกขึ้นมานั่งด้วยตัวเอง จากนั้นก็หันไปจ้องคิริวที่ยืนอยู่ข้างเตียงด้วยความโกรธและโมโห
“อย่ามามองแบบนั้น” เสียงเข้มต่ำที่ติดไปทางข่มขูของคิริวทำฉันได้แต่กัดปากตัวเองไว้ด้วยความโกรธเคือง
“นายมันเลว”
“อือ รู้แล้ว”
“หน้าด้าน”
“จะหยุดด่ามั้ย เดี๋ยวจะไม่ได้กลับบ้าน” คิริวจ้องฉันเหมือนจะทำอย่างที่พูดจริงๆ คนอย่างเขาไม่เคยแค่ขู่ ฉันรู้ได้ด้วยตัวเองเลย ให้ตาย!
“นายจะกลับบ้านแล้วรึไง”
“อือ เร็ว” มือใหญ่ของคิริวจับแขนฉัน แล้วออกแรงดึงจนตัวฉันที่กำลังลุกขึ้นถึงกับยืนเซไปชนกับแผงอกกำยำของเขาด้วยความแรง
“อ๊ะ…ฉันเดินเองได้!” ฉันเงยหน้าขึ้นไปพูดเสียงดังด้วยความขุ่นเคืองใส่คิริวทันที
“อยากให้ไอ้พวกนั่นได้ยินรึไง” พอได้ยินคิริวพูดออกมาแบบนั้นฉันเลยได้แต่หุบปากฉับไม่พูดอะไรอีก
คิริวปล่อยมือใหญ่ออกจากแขนฉัน แล้วหันหลังเดินไปเปิดประตูห้อง ฉันเลยรีบเดินตามหลังเขาออกไปจนเรามาถึงหน้าบ้านพอดี ยังดีนะที่ขี้เมาสามคนนั้นนอนตายสลบอยู่ในห้องไม่รู้เรื่อง ไม่งั้นฉันคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ส่วนคนอย่างคิริวไม่ต้องไปห่วงหรอก หน้าด้านหน้าทนอยู่แล้ว
“อย่าขับเร็ว” ฉันหันไปบอกคิริวที่คร่อมอยู่บนรถบิ๊กไบค์คันเก่งของเขา คิริวมองหน้าฉันสักพักก็ยกยิ้มมุมปากขึ้น
”ทำไม สะเทือนเหรอ”
“นายมันทุเรศ!”
“ด่าทุเรศ แต่ก็เห็นขึ้นสวรรค์ทุกที”
”นายมัน..ฉันไม่รู้จะด่านายยังไงแล้ว ให้ตายเถอะ!” ฉันฟึดฟัดรู้สึกด่าอะไรไปเขาก็ไม่สะทกสะท้านสักอย่าง ที่ด่าไปเคยเข้าสมองเขาบ้างมั้ยยังไม่รู้เลย
“รีบขึ้นรถ” คิริวไม่ได้สนใจอารมณ์โกรธหัวฟัดหัวเหงี่ยงของฉันแต่กลับยื่นหมวกกันน็อคใบใหญ่ท่าทางแข็งแรงมาให้แทน
“เอามาให้ทำไม”
“รีบใส่”
“ไม่”
“เร็ว” สายตาคมดุดันที่จ้องมองมาทางฉัน เสียงเข้มต่ำลงกว่าเดิมทำให้รับรู้ได้ทันทีว่าคิริวกำลังขมขู่และกำลังบังคับ ฉันเลยต้องไปหยิบหมวกจากมือใหญ่มาสวมไว้ แล้วกระโดดขึ้นไปซ้อนท้ายเขาอย่างจำใจ
“อย่าขับเร็ว“ฉันพูดย้ำเขาอีกรอบ คิริวไม่ได้ตอบรับหรืออะไรทั้งนั้น เหมือนเขาจะไม่สนใจที่ฉันบอกด้วยซ้ำไป
“อย่ามาสั่ง” คิริวหันมาพูดนิ่ง ๆ แล้วสตาร์ทรถบิ๊กไบค์ขี่ออกไปโดยไม่บอกกล่าวฉันสักคำ
บรื้นนน!
”คิริว บอกว่าอย่าเร็วไง!” ฉันรีบคว้าเอวสอบของคิริวเอาไว้แน่น ทำไมชอบทำแบบนี้ก็ไม่รู้ บอกก่อนสักคำจะตายมั้ย แต่เขาก็ยังคงทำเหมือนหูทวนลมไม่ได้สนใจที่ฉันพูดเลยสักนิด ฉันเลยไม่อยากพูดมากให้เปลืองน้ำลาย พูดกับคนอย่างคิริวไปคุยกับหมาวัดยังสนุกกว่าเลย
และถึงฉันจะไม่ชอบคิริวยังไงแต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันต้องเปลี่ยนแปลงตัวของเขาให้ได้คือทำให้เขาทำตัวดีขึ้น เพราะน้าแพทริคและน้ายูมิดีกับฉันมาก ที่ฉันมีที่อยู่ค่าน้ำค่าไฟรวมถึงค่าอาหารไม่ต้องออกก็เพราะท่านทั้งสองมีบุญคุณกับฉัน
ฉันไม่อยากเห็นพวกท่านต้องทุกข์ใจ เพราะลูกของตัวเองทำตัวเหลวไหล ไปมีเรื่องมีราวกับคนอื่นไปทั่วแบบนี้ อย่างน้อยก็ให้คิริวทำตัวดีกับพ่อแม่ของเขามากขึ้นกว่านี้ก็ยังดี และเท่าที่สังเกตตั้งแต่มาอยู่ที่บ้านของน้ายูมิ ฉันรู้สึกว่าคิริวกับน้าแพทริคจะไม่ค่อยพูดคุยกันดี ๆ เลยสักครั้ง
ฉันไม่อยากให้คิริวเสียใจในวันที่สายไป ทั้ง ๆ ที่เขามีโอกาสทำตัวดี ๆ กับพ่อแม่ของตัวเอง…
