Warning 02
@บ้านโรเกอร์
พอคิริวจอดรถบิ๊กไบค์ของเขาที่หน้าบ้าน ฉันก็ลงจากรถแล้วถอดหมวกกันน็อคคืนให้คิริว จากนั้นก็รีบเดินเข้าไปในตัวบ้าน และขึ้นบันไดไปที่ห้องตัวเองทันที โดยไม่สนใจจะหันไปพูดอะไรกับเขาต่อด้วยซ้ำ
”หนาวชะมัด” ฉันยืนตัวสั่นอยู่ในห้องนอนของตัวเอง เดินไปหยิบผ้าขนหนูแล้วเข้าไปอาบน้ำอุ่นในห้องน้ำด้วยความรวดเร็ว
ผ่านไปประมาณสิบห้านาที ฉันก็ออกมาแต่งตัวสวมกางเกงวอมเสื้อกล้ามสีขาว สวมเสื้อกันหนาวทับอีกที แล้วเดินลงไปหาป้านวลที่ครัวชั้นล่าง
”ป้านวลมีอะไรให้ลาน่าช่วยมั้ยคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะหนูลาน่า ป้าทำเสร็จพอดี คุณท่านกับคุณยูมิน่าจะไม่อยู่สักสองอาทิตย์นะคะ เห็นบอกว่าต้องไปประชุมที่ฝรั่งเศส”
“อ้าวเหรอคะ”
”แล้วนี่หนูทานอะไรมารึยัง” ป้านวลหันมาถาม พร้อมกับส่งยิ้มใจดีให้ ฉันส่ายหน้าเล็กน้อย แล้วส่งยิ้มบางกลับไป
”ยังเลยค่ะ มีอะไรทานบ้างคะ”
“วันนี้ป้าทำแกงจืดเต้าหู้ กับพะโล้ของโปรดคุณคิริวเขาน่ะค่ะ”
“คิริวชอบพะโล้เหรอคะ ไม่เห็นจะเข้ากับเขาเลย” หน้าแบบนั้นน่าจะชอบพวกลาบเลือด ผัดเผ็ดขี้เมาอะไรแบบนั้นมากกว่านะฉันว่า
”คุณคิริวชอบทานตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ“
“งั้นหนูตักใส่ชามเลยนะคะป้า“ ฉันกำลังจะตักแกงใส่ชาม แต่สายตาเหลือบไปเห็นคิริวแต่งตัวดูดีสวมเสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนสีเข้มราคาแพงผ่านมาพอดี นั่นเขาจะออกไปไหนน่ะ
“หนูลาน่าตักทานเลยก็ได้ค่ะ วันนี้คุณคิริวคงไม่อยู่ทานข้าว“
“เขาออกไปทุกวันเลยเหรอคะป้านวล”
“เกือบจะทุกวันนั่นล่ะค่ะ บางวันก็กลับเช้าทีเดียว คุณท่านก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน เห็นช่วงนี้ท่านอาการไม่ค่อยดีด้วยคงเพราะเรื่องงานด้วยมั้งคะ”
“น้าแพทริคเป็นอะไรเหรอคะ” พอฉันถามคำถามนี้ไปป้านวลก็ดูลำบากใจที่จะพูดขึ้นมาทันที
“คือคุณท่านเพิ่งป่วยเป็นความดันน่ะค่ะ แต่หนูลาน่าอย่าให้คุณคิริวทราบนะคะ คุณท่านไม่อยากให้ใครเป็นห่วง มีแค่ป้ากับคุณยูมิเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้” ฉันพยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วส่งยิ้มกว้างให้ป้านวล
ฉันหันกลับไปมองคิริวที่กำลังใส่รองเท้าผ้าใบหน้าบ้านอีกครั้ง ทำไมเขาต้องทำตัวแบบนี้ให้พ่อแม่ตัวเองต้องไม่สบายใจด้วยนะ ยิ่งรู้ว่าน้าแพทริคกำลังป่วยฉันยิ่งรู้สึกขัดใจแปลก ๆ
พ่อฉันท่านเสียไปตั้งแต่ฉันยังเด็กถึง จะจำอะไรไม่ค่อยได้เท่าไหร่ แต่ฉันก็รักท่านมาก นึกถึงตรงนี้ฉันก็รู้สึกลึก ๆ ว่าไม่อยากให้คิริวต้องมาเสียใจทีหลัง ป้านวลเองก็ดูจะเป็นห่วงน้าแพทริคกับน้ายูมิ และก็คิริวด้วยเหมือน ฉันที่เป็นคนมาอาศัยจะทำอะไรให้พวกท่านได้บ้างมั้ยนะ
“ป้านวลคะ เดี๋ยวลาน่ามานะคะ”
“หนูลาน่าจะไปไหนคะน่ะ”
”ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะป้า เดี๋ยวก็กลับค่ะ” ฉันวางชามลงที่เดิม แล้วเดินไปทางหน้าบ้านด้วยความรวดเร็ว และเห็นคิริวกำลังคร่อมบิ๊กไบค์คันโปรดของเขาอยู่พอดี ฉันจึงรีบวิ่งไปยืนขวางหน้ารถของคิริวทันที
“นายจะไปไหน”
”ทำไมต้องบอก” คิริวมองหน้าฉันอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์
“ทำไมนายต้องทำให้น้าแพทริคกับน้ายูมิเป็นห่วงด้วย”
“ยุ่ง” คิ้วเข้มของคิริวขมวดเข้าหากันอย่างหงุดหงิดแล้วเขาก็สวมหมวกกันน็อคโดยไม่สนใจฉันเลย ให้ตายสิ! น่าโมโหชะมัด
”งั้นฉันไปด้วย” ฉันกระโดดขึ้นซ้อนท้ายรถบิ๊กไบค์ของคิริวทันที ถึงแม้ว่าตอนนี้จะใส่รองเท้าสลิปเปอร์ที่ไว้ใส่ในบ้านก็เถอะ ถ้าลงไปเปลี่ยนตอนนี้ คิริวก็หายหัวไปก่อนพอดี เอาสิ ฉันจะตามไปจนเขารำคาญแล้วกลับมาบ้านเลยคอยดู
บรื้นนน!
”อ๊ายยย นายจะรีบไปไหนเนี่ย!” ฉันยังไม่ทันจัดท่านั่งให้ดี คิริวก็บิดรถออกไปซะแล้ว ดีนะที่ฉันคว้าเสื้อยืดเขาไว้ทันน่ะ ไม่งั้นหัวทิ่มพื้นตายไปแล้ว
บรื้น บรื้นน!
คิริวขี่ให้เร็วขึ้นไปอีกจนผมฉันที่ไม่ได้มัดปลิวว่อนพันกันยุ่งเหยิงหัวฟู ลมตีหน้าจนแสบไปหมด ฉันเลยซุกหน้าไปกับแผ่นหลังกว้างของเขา มือก็กำเสื้อยืดข้างเอวสอบของคิริวเอาไว้แน่น ฉันจะมาตกรถตายก่อนไม่ได้นะ
ฉันนั่งเกาะคิริวเป็นปลิงอยู่นานจนรถบิ๊กไบค์ของเขาจอดนิ่ง เลยลองเงยหน้าขึ้นจากการซุกแผ่นหลังกว้างไปมองข้างหน้า แล้วสายตาของฉันก็พบกับบ้านหลังใหญ่โตสวยหรู นี่เขาพาฉันมาที่ไหนเนี่ย
“ลง” คิริวพูดเสียงเข้มต่ำ แล้วถอดหมวกกันน็อคใบใหญ่ออกมาวางลงบนรถบิ๊กไบค์ของเขา ฉันรีบกระโดดลงจากรถ แล้วยืนจัดทรงผมตัวเองให้เป็นระเบียบมากขึ้น หัวฟูพันกันไปหมดแล้วเนี่ย
”เฮ้ยไอ้ริว พาใครมาด้วยวะ” ฉันหันไปมองผู้ชายร่างสูงเจาะหูหลายรูดูทะเล้นตรงหน้า ถ้าจำไม่ผิดเหมือนจะชื่อเติ้ลเลย
”แม่บ้าน”
“ห้ะ?!” ฉันหันขวับไปมองทางคิริวคอแทบเคล็ด เขาบอกว่าฉันเป็นแม่บ้านงั้นเหรอ ไอ้บ้า!
“ทำไมแม่บ้านมึงคุ้นๆ” เติ้ลหันมาจ้องฉันด้วยความสงสัย แต่แล้วก็มีเสียงผู้ชายที่ชื่อเลย์ดังขัดขึ้นจากในตัวบ้านเสียงดังซะก่อน
”แม่บ้านเหรอ ดี ตอนนี้พวกกูหากับแกล้มอยู่พอดี” ฉันเดินตามเติ้ลกับคิริวเข้ามาที่โถงกลางบ้านแบบมึนงงระดับสิบ
“ไอ้เชี่ยริวมาแล้วโว้ย! กูนึกว่าตายห่าไปแล้ว” เสียงผู้ชายอีกคนที่ฉันไม่รู้จักแหกปากตะโกนดังลั่นบ้าน ไม่เจ็บคอกันบ้างหรือไงไอ้พวกนี้ หนวกหู!
“เชี่ยไทม์เสียงดังฉิบหายเลยไอ้สัส” เลย์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ คนชื่อไทม์ยกมือขึ้นมาปิดหู เออสมควรโดนเพื่อนตัวเองด่า
“ไหนแม่บ้าน ไปทำอะไรมาให้กินหน่อยดิ” เติ้ลพูดแล้วหันมามองทางฉัน พร้อมกับยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
”แม่บ้านแน่เหรอวะ ทำไมมันดูน่ารักเกินไป” ไทม์พูดแล้วจ้องมองฉันอย่างสำรวจ ฉันรีบรูดซิบเสื้อกันหนาวที่สวมทับเสื้อกล้ามสีขาวขึ้นจนถึงคอทันที แอบเห็นคิริวมองมาทางฉันด้วยสายตาดุดันด้วย จะมามองหาอะไรก็ไม่รู้
“กูก็กำลังคิดอยู่“ เติ้ลหันมามองฉันอีกรอบ คนพวกนี้มันจะอะไรกันนักหนา
”พวกนายจะกินอะไรล่ะ” ฉันไม่อยากจะมาอยู่ท่ามกลาวฝูงขี้เมานี่นานเท่าไหร่เลยพูดเพื่อออกไปจากตรงนี้เป็นแม่บ้านก็ยอมอะตอนนี้
“อะไรก็ได้ หิวแล้ว” เลย์พูดแล้วลูบท้องตัวเองไปมา
”ไหนครัว” ฉันเงยหน้าไปถามคิริวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“เดินตรงไปขวามือ” ฉันเดินไปตามทางที่คิริวบอก สักพักก็เจอครัวกว้างขวางอุปกรณ์ครบ มีบาร์ดื่มไวน์ด้วย ดูดีชะมัด
ฉันจัดการเปิดตู้เย็นหาอาหารมาทำให้พวกเขา ทำยำทะเลกับต้มยำกุ้งก็แล้วกัน นึกเมนูเสร็จก็ลงมือทำอย่างรวดเร็ว เกิดไอ้บ้าพลังพวกนั้นโมโหหิวรุมแทะหัวฉันกินแทนคงไม่ไหว
ใช้เวลาไม่นานยำทะเลก็เสร็จ ฉันเดินเอาไปวางไว้ที่โต๊ะใหญ่ที่โถงกลางบ้าน พอพวกขี้เมาสามคนเห็นก็รีบมาตักกินอย่างหิวโหย นี่ไปอดอยากปากแห้งมาจากไหนกันบ้านก็ออกจะใหญ่ เมื่อกี้ก็เห็นมีแม่บ้านกับยามด้วยนะ ทำไมไม่ให้ทำให้กินก็ไม่รู้ แต่คิริวกลับนั่งยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มไม่ลงมากินเอา แต่มองหน้าฉันอยู่นั่นแหละ ประสาท!
“อร่อยว่ะ มีอีกมั้ยมันจะหมดแล้ว” เติ้ลหันมาถามฉัน แล้วก้มลงซัดปลาหมึกในยำต่อ
”กำลังทำต้มยำกุ้งอีก รอแปบหนึ่ง”
ฉันเดินกลับไปที่ครัวแล้วลงมือทำต้มยำกุ้งต่อ นี่ฉันเหมือนแม่บ้านเข้าไปทุกทีแล้วนะ มันใช่เวลามาทำอาหารเหรอ นี่มันจะเที่ยงคืนแล้วด้วย… เกือบลืมไปเลยว่าฉันก็ยังไม่ได้กินข้าว
แกร๊ง
เสียงน้ำแข็งกระทบกับแก้วดังอยู่ใกล้ ๆ พอฉันหันไปมองก็เจอคิริวกำลังเอาน้ำแข็งในตู้เย็นใส่แก้วเหล้าที่เขาถืออยู่ในมือใหญ่ แล้วเขาก็ยืนพิงผนังห้องครัวมองฉันคนหม้อต้มยำอยู่ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“มองอะไรนักหนา ประสาท” ฉันหันไปพูดเสียงขุ่นเคืองใส่คิริว แล้วหันมาปรุงต้มยำต่อ
พรึ่บ!
”พูดว่าอะไร” ท่อนแขนแข็งแรงกักฉันไว้ในอ้อมแขนของเขาด้วยความรวดเร็ว จนฉันตกใจตั้งตัวแทบไม่ทัน คิริวเท้ามือใหญ่ทั้งสองข้างลงมาอยู่ข้างลำตัวฉัน โดยที่เขายืนซ้อนอยู่ด้านหลัง กลิ่นแอลกอฮอล์ผสมกับกลิ่นบุหรี่ของคิริวทำสมองฉันมึนเบลอไปหมด
”ปะ..เปล่า” ฉันสะดุ้งพูดจนลิ้นพันกัน จู่ๆก็มาทำอะไรแบบนี้ตกใจหมด!
“ไหนต้มยำ”คิริวโน้มหน้าลงมาดูที่หม้อต้มยำ ลมหายใจอุ่นร้อนของเขาสัมผัสกับผิวแก้มฉันอย่างแผ่วเบาจนน่าใจหาย ฉันเลยรีบเอียงตัวหลบมายืนชิดท่อนแขนแข็งแรงของเขาอีกข้างแทน
”จะเสร็จแล้ว ถอยไป” ฉันเอาศอกกระทุ้งซิกแพคของคิริวทันที แต่เขากลับหลบได้ซะก่อน
“สงสัยวันนั้นทำเบาไป”
“คิริว!” ฉันตะโกนใส่หน้าเขาเสียงดังทันทีที่คำพูดทุเรศๆออกมาจากปากเขา คิริวมองฉันด้วยสายตาข่มขู่ และฉันก็มองเขาอย่างโกรธเคืองกลับไปเหมือนกัน
ฉันกับคิริวเราสบสายตากันนิ่ง ฉันกำมือแน่นด้วยความโกรธ แต่คิริวยังคงยืนกักขังฉันไว้ในอ้อมแขนแข็งแรง ฉันหันไปเผชิญหน้ากับเขา ระยะห่างระหว่างเราน้อยนิดชนิดรับรู้ถึงลมหายใจของคิริวที่กำลังโดนหน้าผากของฉัน
”อย่ามาทำอวดดี” เสียงเข้มต่ำที่ติดจะหงุดหงิดพูดขึ้น ฉันเงยหน้าไปมองเขาอย่างไม่เกรงกลัว เพราะตอนนี้ฉันก็โมโหเขาเหมือนกัน
“ฉันไม่ได้อวดดี นายนั่นแหละคิริว ทำไมถึงทำทุเรศ ๆ กับฉัน คอยหาเรื่องฉันตลอด ฉันไปทำอะไรให้“
“...” คิริวไม่ตอบอะไร แต่กลับจ้องหน้าฉันและส่งสายตาคมดุดันมาให้ ทำเหมือนว่าฉันไม่ได้ถามอะไรเขาออกไป
”ฉันถามว่า..อื้อ!” จู่ ๆ คิริวก็ก้มหน้าลงมาประกบริมฝีปากฉันทันที มือใหญ่จับท้ายทอยของฉันแน่น ส่วนท่อนแขนแข็งแรงก็โอบกอดรอบเอวบางฉัน แล้วดึงเข้าไปใกล้เขามากกว่าเดิม
ลิ้นเปียกชื้นดุนดันเข้ามาในโพรงปากของฉัน แล้วดูดดึงหยอกเย้าลิ้นเล็กของฉันอย่าช่ำชอง คิริวเอียงหน้าเล้กน้อยเพื่อให้จูบฉันได้ถนัดขึ้น ลิ้นของเราพัวพันดูดดึงกันไปมาจนฉันหายใจแทบไม่ทัน
มือใหญ่ข้างที่โอบกอดฉันอยู่เปลี่ยนมาสอดเข้าไปในเสื้อกล้ามสีขาวข้างในเสื้อคลุมของฉันขึ้นมา จนถึงหน้าอกแล้วกอบกุมบีบเค้น นิ้วเรียวยาวก็สะกิดยอดอกที่แข็งชูชัน จนฉันต้องครางออกมาเบา ๆ มือของฉันที่พยายามจะทุบไหล่กว้างกลับต้องจับยึดไหล่ทั้งสองข้างของคิริวไว้แน่นแทน
ทำไมเขาถึงต้องทำแบบนี้กับฉันด้วย ถึงฉันอยากจะผลักคิริวออกไปให้พ้นแค่ไหนก็ทำไม่ได้อยู่ดี…
”กลิ่นต้มยำกุ้งเว้ยพวกมึง!” เสียงตะโกนเสียงดังของเลย์ที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ทำให้เรียกสติฉันกลับมาอีกครั้ง
“อื้อ!” ฉันทุบไหล่กว้างของคิริวแรง ๆ หลายครั้ง เขาขมวดคิ้วมุ่นอย่างขัดใจ แต่ก็ยอมหยุดทุกการกระทำและถอนริมฝีปากออก ฉันรีบหันหลังกลับไปคนต้มยำในหม้อต่ออย่างรวดเร็ว ใจเต้นตึกตักรัวเร็วไม่เป็นจังหวะ ส่วนคิริวก็ขยับตัวออกห่างจากฉันไปเล็กน้อย แล้วยืนถือแก้วเหล้าพิงตู้เย็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ต้มยำเสร็จยัง ทำไมมันนานจัง” เลย์ที่เดินเข้ามาในครัว แล้วยืนมองหม้อต้มยำอยู่ข้าง ๆ ฉันเลยหันไปบอกเขา โดยพยายามทำตัวให้ปกติที่สุด ทั้ง ๆ ที่ในใจนี่เต้นไม่เป็นส่ำ
”เสร็จแล้ว พวกนายตักไปกินกันได้เลย” ฉันปิดเตาแก๊ส และหันหลังเดินไปทางห้องโถงใหญ่ โดยไม่ได้สนใจสีหน้ามึนงงของเลย์เท่าไหร่นัก แล้วเดินสวนกับเติ้ล และไทม์ที่กำลังเดินไปทางห้องครัวพอดี
“เธอจะไม่กินด้วยกันเหรอ” เติ้ลหันมาถาม ฉันเลยส่ายหน้าแทนคำตอบกลับไปให้เขา
”แล้วนั่นจะไปไหนน่ะ” ไทม์ทักขึ้น เมื่อเห็นว่าฉันเปลี่ยนใจเดินไปทางหน้าบ้านแทน
”อยากหาที่เงียบๆอยู่สักพัก”
“เป็นอะไรรึเปล่า“ ไทม์ถามขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าสงสัย ไม่ต่างจากเติ้ลที่มองมายังฉันเช่นกัน
”เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร”
“มีสวนเล็ก ๆ หลังบ้าน เธอไปนั่งเล่นได้นะ” ไทม์บอกพร้อมกับส่งยิ้มบางมาให้เล็กน้อย แล้วเดินไปในห้องครัวพร้อมกับเติ้ลทันที ไปหาที่นั่งสงบจิตสงบใจเงียบๆหน่อยก็ดีเหมือนกัน
“เฮ้อ” ฉันเดินมาทางหลังบ้านตามที่ไทม์เจ้าของบ้านบอก สายตาก็เจอกับศาลาใหญ่สีขาวทรงวินเทจน่ารัก ๆ ไฟตามทางเดินทำให้ที่สวนดูไม่มืดมาก เหมาะกับก่อนพักผ่อนจริงๆนั่นแหล่ะ
ฉันเข้าไปนั่งเก้าอี้ภายในศาลาวินเทจสีขาว แล้วเงยหน้ามองดาวบนท้องฟ้า ถึงจะเห็นไม่เยอะแต่ก็มีอยู่บ้าง มันก็สวยดีน่ะนะถึงจะน้อยก็เถอะ
สักพักฉันก็ได้กลิ่นบุหรี่เลยหันไปมองทางด้านหลัง คิริวยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างล่างศาลา และเขากำลังมองฉันอยู่ก่อนแล้ว เราเลยสบสายตากัน แต่ฉันก็รีบหันหน้าหนีคิริวกลับไปมองดาวบนท้องฟ้าตามเดิม
“มานั่งทำไมตรงนี้” เสียงเข้มต่ำที่ยืนอยู่ข้างล่างศาลาวินเทจถามขึ้น
”เรื่องของฉัน” ฉันตอบโดยที่ยังมองดาวบนท้องฟ้าอยู่อย่างนั้น ไม่อยากเห็นหน้าคิริวเลย ให้ตายเถอะ!
“หึ ปากดี” ฉันหันกลับไปมองคิริวด้วยสายตาขุ่นเคืองทันที
”ถ้านายจะตามมาเพื่อว่าฉันก็กลับไปซะ..”
“ไปกินข้าว” คิริวพูดแทรกขึ้นมาทันที โดยไม่สนใจที่ฉันพูดสักนิด เขาเงยหน้าขึ้นไปมองดาวบนท้องฟ้า แล้วพ่นควันบุหรี่ขึ้นไป จนควันสีขาวลอยฟุ้งอยู่ด้านบน จากนั้นคิริวก็หันกลับมามองที่ฉันใหม่ด้วยสายตาคมดุดันอีกครั้ง ฉันถอนหายใจออกมาเบา ๆ อย่างเหนื่อยหน่าย
“เดี๋ยวไป”
“มา” เสียงเข้มกดต่ำลงจนดูเหมือนกำลังบังคับ ฉันมองคิริวอย่างหงุดหงิด แต่พอสายตาของเราสบกันพอดี ถึงรับรู้ว่าคิริวกำลังเริ่มโมโห ฉันไม่อยากมีปัญหามากเรื่องมากราวจึงลุกขึ้น แล้วเดินไปที่ห้องครัวโดยที่คิริวเดินตามมาไม่ห่าง
ฉันเดินตามคิริวเข้ามาที่โถงกลางบ้าน และเห็นขี้เมาทั้งสามคนกำลังดื่มเหล้ากับกินต้มยำกุ้งอย่างเอร็ดอร่อย แถมไทม์ยังจะหากลองมาตี แล้วเติ้ลก็ร้องเพลงประกอบ เอาเข้าไปบันเทิงไปอีก
“อ้าวเธอ มากินข้าวดิ” เติ้ลกวักมือเรียก ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินลงไปนั่งที่พื้นข้างเติ้ล โซฟาก็ออกจะใหญ่จะนั่งที่พื้นทำไมกันพวกนี้
“ตกลงเธอชื่ออะไร” เลย์ที่นั่งฝั่งตรงข้ามฉัน โดยมีโต๊ะวางกับข้าวคั่นอยู่ถามขึ้น
”ฉันเป็นแม่บ้าน จะอยากรู้ไปทำไม”
”คิดว่าฉันไม่รู้เหรอ ว่าไอ้ริวมันแกล้งน่ะ“ ฉันหันไปมองคิริวที่นั่งอยู่ที่โซฟาด้านหลังของฉัน เขานั่งพิงโซฟายกแก้วเหล้ากระดก พร้อมกับเปิดทีวีดูบอลไปด้วย เสียงเพื่อนเขาร้องเพลงตีกลองดังขนาดนี้ดูรู้เรื่องด้วยหรือไง
คิริวก้มลงมาสบตากับฉันนิ่ง จากนั้นเขาก็หันไปมองทีวีต่อ ฉันเลยทำเป็นไม่สนใจแล้วตอบคำถามของเลย์แทน
“ลาน่า”
“ใช่ลาน่าเด็กทุนรึเปล่า”
“นายรู้จักฉันได้ไง” ฉันขมวดคิ้วมุ่นมองเลย์ด้วยความสงสัย ฉันคิดว่าก็ไม่ได้ลงกิจกรรมอะไรจนคนต้องรู้จักนะ
”ผู้ชายวิศวะพูดถึงเยอะจะตาย”
“เหอะ พวกนายนี่วันๆทำอะไรถามหน่อย”
“เห็นงี้พวกฉันก็สอบได้ท็อปกันนะครับ โดยเฉพาะไอ้ริว แม่งตอนเรียนก็เห็นหลับ เสือกได้คะแนนสอบเยอะสุดในคณะอีก” ไทม์หันไปด่าคิริวด้วยความหงุดหงิด แล้วหันไปดื่มเหล้าของตัวเองต่อ
“อะไร” คิริวไม่ได้สนใจคำด่าของไทม์ แต่หันมาส่งสายตาดุดันให้ฉันที่หันไปมองหน้าเขาอย่างเหลือเชื่อ หน้าอย่างคิริวน่ะเหรอคะแนนสอบเยอะสุดในคณะ! บ้าบอชะมัด
”เปล่า“ ฉันหันมาตักข้าวกิน แล้วดูบอลที่คิริวเปิดไปพราง ๆ
ตอนนี้ขี้เมาทั้งสามคนเลิกตีกลองร้องเพลงกันหมด แต่พวกเขาขึ้นไปนั่งบนโซฟาแล้วเล่นเกมส์แข่งกันแทน ส่วนฉันก็นั่งพื้นกินข้าวเป็นแจ๋วต่อไป
“เออ ว่าแต่มึงไปเอาลาน่ามาได้ไงวะ รู้จักกันมาก่อนเหรอ” เติ้ลเงยหน้าจากโทรศัพท์มือถือที่กำลังเล่นเกมส์ แล้วหันมาถามคิริวที่นั่งโซฟาอีกตัวข้าง ๆ
”ยุ่ง” คิริวตอบโดยที่สายตาคมจ้องมองไปที่ทีวี ถ้าเกิดเติ้ลลุกขึ้นมาต่อยเขาฉันจะไม่แปลกใจเลย
“เอ้า ไอ้ห่านี่ กูไม่อยากรู้ก็ได้วะ” เติ้ลหงุดหงิดเล็กน้อย แล้วก้มหน้าก้มตาเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือของตัวเองต่อทันที
เมื่อฉันกินข้าวเสร็จ ก็ลุกขึ้นเก็บจานที่วางอยู่บนโต๊ะทั้งหมดไปล้างให้เรียบร้อย แล้วเดินกลับมาที่ห้องโถงเหมือนเดิม กำลังจะมองหาที่นั่งที่มันไม่ใกล้กับคิริว แต่ขี้เมาทั้งสามคนก็ไปออกันอีกฝั่ง และนั่งสุมหัวกันเล่นเกมอยู่ จะเหลือก็แต่ข้างคิริวอีกด้านนี่ไง
คิริวหันมามองหน้าฉันพร้อมกับส่งสายตาคล้ายกับบังคับให้ฉันนั่งลงตรงที่ว่างข้างเขา ฉันถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วก็ต้องนั่งลงข้างเขาอย่างช่วยไม่ได้
พรึ่บ!
ท่อนแขนแข็งแรงของคิริวพาดมาบนผนักพิงโซฟาด้านหลังของฉัน แล้วเขาก็ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มดูบอลอย่างสบายใจ ฉันชำเลืองมองคิริวด้านข้างแวบหนึ่ง แล้วหันไปดูบอลในทีวีจอใหญ่ด้านหน้าต่อ
”คิริว เมื่อไหร่นายจะกลับบ้าน” ผ่านไปหลายนาทีจนฉันเริ่มง่วง นี่ฉันหาวหลายรอบแล้วนะ
“ยัง อยากตามมาเอง”
“แต่นี่มันจะตีสามแล้วนะ” ฉันหันไปขมวดคิ้วมุ่นใส่คิริว บอลก็จบไปแล้วนี่เขายังจะดูแข่งรถต่ออีกเหรอ!
“แล้วไง”
“ฉันง่วงแล้ว“
“แล้วไง” ฉันมองคิริวที่กำลังดูแข่งรถด้วยความหงุดหงิดทันทีที่เขากวนประสาทใส่
”เอาน่าๆ ไอ้ริวมันกลับเช้ามั้งวันนี้” ไทม์หันมาบอกฉัน พวกขี้เมาเลิกเล่นเกมส์กันไปตั้งนานแล้ว จากนั้นพวกเขาก็นั่งกินขนมดูแข่งรถกับคิริวต่อ ไม่ง่วงไม่หลับไม่นอนกันหรือไง ดื่มแต่เหล้าเดี๋ยวก็ตับแข็งตายก่อนหรอก
“เธอก็กินด้วยสิ เอ้า” เติ้ลพูด แล้วยกแก้วเหล้ายื่นมาให้ฉันที่กำลังนั่งหงุดหงิดคิริวอยู่
“ไม่เอา”
“อะไร อุตส่าห์มาแล้วก็กินด้วยกันหน่อย”
“ฉันง่วง” ฉันพูดแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ทันที
“งั้นเธอก็คุยกับไอ้ริวเองแล้วกัน แต่คนอย่างมันใครบอกก็ไม่ฟังง่ายๆหรอก” เติ้ลเอาแก้วเหล้าที่จะให้ฉันวางไว้ที่โต๊ะ แล้วหันไปกินขนมดื่มเหล้าของตัวเอง
“คิริว นายจะไม่กลับบ้านเหรอ”
“อือ”
“แต่ฉันมากับนายด้วยนะ”
”อยากมาเอง”
”นายจะทำแบบนี้ไม่ได้นะคิริว”
”พรุ่งนี้มีเรียนรึไง” คิริวหันมาถามฉันบ้าง
”ไม่มีหรอก”
“ก็ไม่เห็นต้องรีบ” แล้วเขาก็ดูการแข่งรถต่อ โดยไม่สนใจฉันทันที
“แต่มันจะเช้าแล้ว” ฉันพูดเสียงขุ่นเคืองใส่คิริวด้วยความหงุดหงิด และง่วงไม่หาย
”อือ”
“คิริว!”
”อะไรอีก”
”ฉันง่วง!”
“ก็นอนดิ จะมาบอกทำไม” ฉันถอนหายใจจนไม่รู้จะทำยังไงแล้วเนี่ย ทำไมคิริวพูดยากชะมัด
“คิริว ฉัน..”
“ยังไม่กลับ” ฉันหันไปพูดกับคิริวยังไม่ทันจบประโยคเขาก็พูดแทรกขึ้นมา จนฉันเริ่มโมโห แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เลยต้องทนพิงโซฟาดูแข่งรถกับเขาต่อไป ตาก็จะปิดอยู่แล้วถึงจะพยายามถ่างตาดูการแข่งรถต่อก็ไม่ค่อยจะไหว ง่วงก็ง่วง เขาเห็นใจฉันบ้างไหมเนี่ย ฉันอุตส่าห์ทำกับข้าวให้กินเลยนะ!
