Warning 03 [2]
@มหาวิทยาลัยดีเอ็ม
เมื่อวานหลังจากกลับมาจากบ้านของไทม์ พอถึงบ้าคิริวฉันก็ยื่นหมวกกันน็อคใบใหญ่คืนให้เขา แล้วรีบเดินเข้าห้องนอนตัวเองทันที โดยไม่หันกลับไปมองว่าคิริวจะทำหน้าแบบไหน ช่างสิ…ทีเขายังทำเรื่องทุเรศ ๆ กับฉันเลย
”สรุปแกเลยต้องไปอยู่บ้านหลังเดียวกับคิริวเหรอ” เสียงของเฟียร์ทำให้ฉันดึงสติกลับมาอีกครั้ง
“อือ” ตอนนี้ฉันกำลังนั่งเล่าเรื่องที่ต้องออกจากคอนโดให้เฟียร์ฟังอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนที่เดิม
“ฉันเคยได้ยินมาว่าคิริวอันตรายออก เหมือนจะเคยไปมีเรื่องกับรุ่นพี่คณะตัวเองจนถึงขั้นขึ้นโรงพักเลยนะ“
”ฉันก็ได้ยินมาบ้าง”
“แล้วแกไปอยู่นั่น เขาทำอะไรแกรึเปล่า” เฟียร์ถามฉันอย่างเป็นห่วง จะให้บอกว่ายังไงดี…
ถึงเขาจะไม่ได้ทำอะไรรุนแรงหรือใช้กำลังกับฉันก็เถอะ แต่จะให้บอกเรื่องที่คิริวทำกับฉันก็คงไม่ดี ยัยเฟียร์ก็เพื่อนฉันไง เอาไงดีล่ะเนี่ย…
“เขาไม่ได้ทำอะไรฉันหรอก” ขอโทษนะเฟียร์ ฉันไม่อยากให้แกเป็นห่วงฉันน่ะ
“ดีแล้ว แกก็ดูแลตัวเองดีๆด้วยล่ะ”
“โอเค ๆ”
”เออลาน่า พี่เฟิร์สเพิ่งกลับมาจากอังกฤษได้สองสามวันแล้วนะ วันนี้ฉันเลยว่าจะชวนแกให้ไปเป็นเพื่อนหน่อย” เฟียร์พูดขึ้นเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ พี่เฟิร์สเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของเฟียร์น่ะ ไปเรียนต่ออังกฤษเป็นปีแล้ว สงสัยปิดเทอมเลยกลับมาที่ไทย
“ไปไหนอะ”
“ก็พี่เฟิร์สนัดเพื่อนฉลองกลับมาไทยไง แล้วก็บังคับให้ฉันไปด้วย ฉันไม่อยากไปเลยว่ะ”
“ทำไมแกต้องไม่อยากไปด้วย พี่ชายตัวเองเพิ่งกลับมาบ้านแท้ ๆ”
“เพื่อนพี่ฉันมีแต่พวกเสือผู้หญิงไง ชอบมาวุ่นวายกับฉันทุกทีเลย” เฟียร์พูดแล้วก็ทำหน้าเหม็นเบื่อใส่
“คิดมากน่า พวกเขาเป็นเพื่อนพี่แกก็คงแหย่เล่นแค่นั้นแหล่ะ”
”ถึงยังไงฉันก็ไม่ชอบอะ แกไปเป็นเพื่อนหน่อยดิ”
“เพื่อนพี่เฟิร์สจะมีแต่ผู้ชายหรือไง ทำไมต้องหอบฉันไปด้วย”
“คงจะมีผู้หญิงด้วยแหล่ะ แต่ฉันไม่ค่อยสนิท ถ้าฉันต้องไปคนเดียวคงได้เป็นบ้าตายแน่ๆ”
”งั้นฉันขอกลับไม่ดึกนะ” ฉันตอบกลับไปอย่างช่วยไม่ได้ ก็เพื่อนเฟียร์สุดที่รักพูดขนาดนี้ไง ใครจะไปปฏิเสธได้อะ
”โอเค! เดี๋ยวฉันไปส่งแกเอง”
@Forever Bar
“ทำไมแกต้องให้ฉันเปลี่ยนเป็นชุดนี้ด้วยเนี่ย” ฉันลุกจากรถเฟียร์แล้วจัดการดึงชุดเดรสรัดรูปสายเดี่ยวสีดำที่ยาวมาถึงแค่ต้นขาแถมยังแหวกหลังของเฟียร์ขึ้น
“เอาแกมาล่อเพื่อนพี่เฟิร์สแทนฉันไง” เฟียร์หันมาหัวเราะคิกคักใส่ฉัน
“ฉันไม่ตลกนะเฟียร์” ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ตอนแรกฉันใส่แค่กางเกงยีนขายาวรัดรูปกับเสื้อครอปสายเดี่ยวสีขาวก็ว่าโป๊แล้ว ยัยเฟียร์ยังจะจับฉันเปลี่ยนชุดทันทีที่ฉันมาถึงบ้านมันอีก
“ล้อเล่นน่า แค่อยากเห็นแกแต่งแบบนี้เอง เห็นมั้ยล่ะสวยเฉี่ยวออก“ เฟียร์ที่อยู่ในชุดเดรสสีขาวปาดไหล่ยืนยิ้มอย่างพอใจ
“ฉันไม่น่ามาเป็นเพื่อนแกเลย”
“เลิกบ่นแล้วเข้าไปกันเถอะ แกดูสวยจะตาย เชิ่ดสิเชิ่ด” แล้วเฟียร์ก็ลากแขนให้ฉันเดินตามเข้าไปในบาร์
เสียงเพลงสากลเปิดคลอเบา ๆ คนก็เริ่มแน่นขึ้น มีโซนโซฟาให้นั่งดื่มชิล ๆกับฟลอกว้างด้านหน้าสำหรับสายแด๊นซ์ และชั้นสองสำหรับโซนวีไอพีที่มีโซฟากว้างดูเป็นส่วนตัวมากกว่าชั้นล่าง แถมยังมีโซนของบาร์ค็อกเทลสวยหรูอีกด้วย
“อ้าวเฟียร์“ ฉันหันไปมองตามเสียงทุ้มด้านหน้า เห็นพี่เฟิร์สกำลังเดินมาทางเฟียร์กับฉันพอดี
”พี่่เฟิร์สอยู่ตรงไหนอ่ะ”
“ไปดิ เดี๋ยวพาไป” ฉันกับเฟียร์เดินตามพี่เฟิร์สไปที่นั่งโซฟาอีกมุมของบาร์ ถึงจะอยู่ชั้นล่างแต่ตรงนี้ดูคนไม่พลุกพล่านดี ส่วนใหญ่คนก็จะไปออกันตรงกลางบาร์นั่นแหล่ะ
”พวกมึง นี่เฟียร์น้องสาวกูเอง แล้วก็นี่น้องลาน่าเพื่อนเฟียร์” พี่เฟิร์สแนะนำฉันกับเฟียร์ให้เพื่อนของเขาห้าหกคนได้รู้จัก ฉันกับลาน่าเลยยกมือไหว้ตามมารยาท แล้วเพื่อน ๆ ของพี่เฟิร์สก็แนะนำตัวเองกันจนครบ ถึงฉันจะยังจำชื่อไม่ได้ทุกคนก็เถอะนะ
“น้องเฟียร์กับน้องลาน่าแม่งน่ารักว่ะ” ฉันที่นั่งโซฟาอีกตัวแอบได้ยินพี่เวียร์เพื่อนของพี่เฟิร์สที่หันไปพูดกับพี่เจข้าง ๆ
“เออ แต่น้องลาน่าสเปคกูเลย” พี่เจพูดแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นกระดกรวดเดียวจนหมด
“เด็ดจริง” ฉันก็ไม่อยากจะมาได้ยินอะไรพวกนี้หรอกนะ แต่พี่ ๆ เขาพูดกันจนไม่เหมือนกระซิบอ่ะ
“น้องลาน่ากับน้องเฟียร์ไม่เห็นค่อยดื่มเลย ไม่สนุกเหรอ” พี่เกวที่นั่งฝั่งตรงข้ามถามขึ้นยิ้ม ๆ พี่เกวเป็นผู้หญิงที่สวยมาก เหมือนนางแบบเลย
“เปล่าหรอกค่ะ ก็สนุกดี” เฟียร์ตอบแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม ฉันเลยได้แต่ส่งยิ้มไปให้แทน
“พวกน้องไม่ต้องไปสนใจพวกปากหมานี่หรอก มันก็พูดแบบนี้ตลอดแหล่ะ“ พี่นาเดียร์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กับพี่เกวพูดขึ้นบ้าง แล้วส่งสายตาขุ่นเคืองไปให้พี่เวียร์กับพี่เจที่กำลังดื่มเหล้า และพูดคุยกับเพื่อนของพวกเขาอยู่อย่างสนุกสนาน
”ไม่เป็นไรค่ะ” ฉันส่งยิ้มแห้ง ๆ กลับไป แต่พี่นาเดียร์นี่สวยดุดีนะ
“แล้วนี่เรียนอยู่ปีไหนกันเนี่ย”พี่เกวหันมาถามฉันกับเฟียร์บ้าง
“อยู่ปีสี่ค่ะ ใกล้จะจบแล้ว“ เฟียร์ตอบกลับไป และที่ที่พวกฉันนั่งอยู่ส่วนใหญ่จะมีแต่พี่เกว พี่นาเดียร์ เฟียร์และก็ฉัน ส่วนข้างๆโต๊ะเดียวกันก็เป็นกลุ่มเพื่อนผู้ชายของพี่เฟิร์สที่ดื่มกันอย่างสนุกสนาน
พวกเราคุยกันได้สักพักฉันก็รู้สึกมึนนิดหน่อยเพราะพี่นาเดียร์คอยแต่จะให้ฉันยกดื่มท่าเดียวเลย ส่วนเฟียร์น่ะเหรอยกไปหลายทีแล้วน่ะ แต่รายนั้นคอแข็งกว่าฉันอีก
”เพลงนี้พี่ชอบ เราไปฟลอกัน” พี่นาเดียร์พูดพร้อมกับดึงแขนฉันกับเฟียร์ให้ลุกขึ้นเดินตาม พี่เกวก็มาลากแขนฉันด้วยอีกข้าง คือยังไงฉันก็ต้องไปเต้นให้ได้ใช่มั้ย แล้วดูยัยเฟียร์ดิไม่หือไม่อือแถมยังเต้นอย่างสนุกอีกต่างหาก
เอาวะไหนๆก็มาทั้งทีสนุกหน่อยก็ดี…
-ชั้นสองโซนวีไอพี-
“มึงมองอะไรวะไอ้ริว” ไทม์หันมาถามคิริวที่มองลงมาที่ชั้นล่างโซนฟลออยู่นาน ผู้หญิงสวยเฉี่ยวใส่เดรสสีดำแหวกหลังกำลังเต้นไปตามเพลงสากลเบา ๆ โดยมีสายตาของพวกผู้ชายโต๊ะใกล้ ๆ กำลังมองไปที่เธอแต่เธอคงไม่รู้ตัว คิริวมองด้วยสายตาดุดันแล้วยกแก้วเหล้าสีอำพันขึ้นดื่มนิ่ง ๆ
”ไม่มีอะไร”
“ก็กูเห็นมึงมองอยู่เนี่ย ไหนวะมีอะไรเด็ด” ไทม์ก้มลงไปมองตามสายตาของคิริวดูบ้าง
ผลั่ก!
“เรื่องของกู“
“ไอ้สัสริว!” คิริวผลักหน้าไทม์ออกจนเจ้าตัวต้องลงไปนั่งบนโซฟาด้วยความหงุดหงิดแล้วหันไปดื่มเหล้าคุยเล่นกับเติ้ลและเลย์ต่อ
สายตาดุดันของคิริวยังคงจ้องมองไปยังลาน่าที่กำลังเต้นอยู่กลางฟลอไม่วางตา ยิ่งเขาเห็นสายตาของพวกผู้ชายใกล้ ๆ ที่กำลังมองเธออยู่ จิตใจเขาก็ยิ่งร้อนรุ่มไปหมด…
ไม่รู้ว่าเพราะฉันกำลังมึนๆหรืออะไรกันแน่ ตอนนี้รู้เพียงว่าดนตรีมันสนุกจนต้องเต้นไปตามเพลง พี่เกว พี่นาเดียร์ และเฟียร์เต้นอย่างเมามันส์ จนจะไปอยู่หน้าฟลออยู่แล้ว ให้ตายเถอะ!
ฉันส่ายหัวแล้วหัวเราะให้กับเฟียร์ที่หันมากระดิกนิ้วเรียกฉัน นี่มันกำลังท้าฉันเหรอ บ้าบอชะมัดเลย ฉันได้แต่ส่ายหัวแล้วหัวเราะส่งกลับไป เฟียร์เบะปากใส่แล้วยกนิ้วโป้งคว่ำลงเหมือนจะเยาะเย้ยฉัน ยัยเพื่อนตัวแสบ
ฉันที่รู้สึกตึง ๆ อยู่แล้วพอเห็นเฟียร์ทำแบบนั้นแล้วเหมือนโดยหยามชัดๆ ฉันเลยเต้นตามจังหวังเพลงสากลที่ดนตรีหนักหน่วงอย่างไม่ลืมหูลืมตา โดยที่เริ่มจะรู้สึกปวดหัวตุบ ๆ ขึ้นมาเล็กน้อย
ปึก!
“ขอโทษครับ” ฉันหันไปมองเสียงทุ้มด้านหลัง และสายตาก็เจอกับหนุ่มตี๋หน้าตาดี สูงสมส่วนส่งยิ้มมาให้ ฉันเลยส่งยิ้มบางกลับไป แล้วหันไปเต้นกับเฟียร์ต่อ แต่นิ้วที่สกิดที่ไหล่ก็ทำให้ฉันต้องหันกลับไปอีกรอบ และเป็นผู้ชายหน้าตี๋คนเดิม ฉันเลยขมวดคิ้วอย่างสงสัยทันที
“ชนแก้วด้วยได้มั้ยครับ“ เขายิ้มให้พร้อมกับยื่นแก้วเหล้ามาทางฉัน
”ฉันไม่มีแก้วค่ะ ขอโทษนะคะ”
หมับ!
ฉันบอกปัด และกำลังจะเดินไปหาเฟียร์ที่เต้นลืมโลกจนเกือบไปอยู่หน้าฟลอ แต่แขนก็ถูกดึงไว้ก่อน
“เดี๋ยวก่อนสิ นิดนึงนะ” หนุ่มตี๋คนเดิมจับต้นแขนฉันไว้แล้วยังคงดึงดันจะให้ฉันดื่มให้ได้ ฉันถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วรับแก้วเหล้าจากมือเขามาจิบไปนิดหน่อย จากนั้นก็ยื่นแก้วเหล้าคืนไปให้เขา และรีบสะบัดแขนออกจากมือของเขาเล็กน้อย แค่ดื่ม ๆ ไปเขาจะได้เลิกยุ่งกับฉันสักที
“ผมดิวนะ เธอชื่ออะไรเหรอ”
“ลาน่าค่ะ ขอตัวนะคะ” ฉันพูดจบก็รีบเดินฝ่าผู้คนออกมา เพื่อที่จะไปนั่งที่โต๊ะของตัวเอง
ปึก!
”โอ๊ย ขอโทษค่ะ” ฉันเงยหน้าขึ้นไปขอโทษคนที่เพิ่งเดินชนแผ่นหลังของเขา ผู้ชายคนที่ฉันเดินชนหันมามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วส่งยิ้มที่ฉันรู้สึกถึงอันตราย
“น่ารักจัง ชื่ออะไรครับ”
“เอ่อ ขอตัวนะคะ” ฉันรีบหันไปอีกทางแล้วพยายามฝ่าผู้คนที่เนืองแน่นออกไป
“เดี๋ยวดิ จะรีบไปไหนมาคุยกันก่อน” ผู้ชายที่ฉันเดินชนยังคงเดินตามมาไม่หยุด ฉันเลยรีบเดินไปทางห้องน้ำหญิงทันที นี่มันบ้าอะไรกัน! ทำไมฉันต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย แล้วทำไมร่างกายฉันมันร้อนแปลก ๆ ด้วยความที่ฉันดื่มเหล้าเยอะจนมึนเลยทำให้เดินได้ช้ากว่าปกติ โอ๊ย ไม่น่าดื่มเยอะเลย
หมับ!
”โห ยิ่งมองใกล้ ๆ ยิ่งน่ารัก หุ่นก็ดี” ไอ้ผู้ชายบ้านั่นมันดึงข้อมือฉันไว้แน่น จนรู้สึกเจ็บไปหมดแล้ว
”ปล่อยฉันนะ!” ฉันตะโกนเสียงดังแต่รู้สึกว่าเสียงจะหายจนดูแหบพร่า
“เซ็กซี่ว่ะ” ผู้ชายคนที่กำลังจับข้อมือฉันไว้พูด แล้วส่งสายตาระยิบระยับมาให้ ฉันพยายามดึงข้อมือออก แต่ก็ไม่สำเร็จ
“ปล่อยนะ” เสียงฉันแหบพร่าเบาหวิบ จนเสียงดนตรีกลบไปหมด
ผลั่ก! หมับ!
ผู้ชายคนที่จับข้อมือฉันไว้แน่นโดนผลัก และเซหลังไปกระแทกกับผนังอย่างแรง แล้วร่างฉันก็ถูกท่อนแขนแข็งแรงรัดรอบเอวบางเอาไว้ จนแผ่นหลังของฉันไปชนเข้ากับแผงอกกำยำของคนด้านหลัง
“อะไรวะ!” ผู้ชายคนที่โดนผลักหันมาตะคอกเสียงดังใส่เจ้าของท่อนแขนที่ยังคงโอบรัดรอบเอวฉันไว้ทันที
โต๊ะที่อยู่ใกล้กับพวกเราสามสี่โต๊ะหันมามองกันเต็มไปหมด ฉันรู้สึกมึนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และได้แต่จับแขนของคนที่โอบเอวฉันไว้ แล้วมืออีกข้างก็กุมหัวตัวเองไปด้วย
“ถอย” เสียงเข้มต่ำด้านหลังพูดเสียงดัง จนผู้ชายที่ชนกับผนังถึงกับชะงักไปเล็กน้อย แล้วตะคอกกลับอีกครั้งอย่างไม่เกรงกลัว
”มึงเป็นใครวะไอ้สัส! ปล่อยผู้หญิงคนนั้นนะเว้ย!“
“กูไม่ปล่อย“
“ไอ้เวร!”
พรึ่บ!
ท่อนแขนแข็งแรงของคนด้านหลังปล่อยจากรอบเอวบางของฉัน แล้วเดินเข้าไปหาผู้ชายตรงหน้าแทน ฉันที่กำลังมึนงงเงยหน้ามองแผ่นหลังกว้างของคนที่เพิ่งปล่อยเอวบางของตัวเอง แต่ทำไมแผ่นหลังนี้ถึงดูคุ้นจัง และหัวก็ปวดไม่หยุดร่างกายก็รู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาอีกแล้ว อะไรกันเนี่ย!
ผลั่ก! ตุบ! เคร้ง! ปึก!
”มึงพูดไม่รู้เรื่องใช่มั้ย” เสียงเข้มคุ้นหูพูดเสียงดัง คนที่อยู่ใกล้ ๆ ต่างมุงดูผู้ชายสองคนที่กำลังมีเรื่องกันจนเต็มไปหมด
เสียงแก้วแตก โต๊ะล้ม ทำให้ฉันพยายามมองให้ชัดขึ้น ดึงสติที่ขาดหายของตัวเองกลับคืนมา และเพ่งมองคนที่กำลังกระชากคอเสื้อผู้ชายอีกคนขึ้นมาจากพื้น แล้วชกเข้าไปที่หน้าของอีกฝ่ายจนเลือดไหล
ฉันมองภาพทุกอย่างที่ดูชุลมุน เละเทะอย่างตกใจ นั่นมันคิริวหรือเปล่าน่ะ เขากำลังทำบ้าอะไร!
หมับ!
ฉันรีบเดินไปดึงเสื้อยืดสีดำทางด้านหลังของคิริวเอาไว้ไว้ ก่อนที่เขาจะทำอะไรให้มันวุ่นวายมากกว่านี้
“ปล่อย” คิริวหันมามองฉันอย่างโมโห เสียงเข้มที่ต่ำลงกว่าเดิม ทำให้ฉันกลัวเขามากขึ้น แต่ฉันก็ส่ายหน้ากลับไป
“อย่า” ฉันพูดเสียงแหบพร่า เสียงมันหายไปไหนหมด รู้สึกคอแห้ง ร่างกายก็ร้อนแปลก ๆ ให้ตายเถอะ!
“มึงปล่อยกู!” ผู้ชายคนที่คิริวกำลังกำคอเสื้ออยู่ตะคอกกลับมาอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่เลือดยังกลบปากของเขาอยู่
ตุบ! ปึก!
“หุบปาก!” คิริวหันกลับไปตะคอก แล้วเหวี่ยงผู้ชายคนนั้นลงพื้นอย่างแรง
“ไอ้เวร!”
“ถ้ามึงไม่หุบปาก ไม่ได้ตายดีแน่” คิริวก้มลงไปพูดใส่เขาด้วยน้ำเสียงที่ต่ำจนดูน่ากลัว คนรอบข้างที่มามุงดูไม่มีใครกล้ามาห้าม หรือพูดอะไรออกมาสักคน รวมทั้งผู้ชายคนที่กำลังเลือดกลบปากคิ้วแตกนี่ด้วย
“คิริว..อย่า” ฉันได้แต่พูดเสียงขาดหายห้ามเขาเอาไว้ และรู้สึกหายใจแรงจนทำอะไรไม่ถูกไปหมด
“แม่งเอ้ย” คิริวหันมามองหน้าฉันด้วยความโมโห แล้วหันกลับไปมองผู้ชายคนที่นั่งหมดสภาพบนพื้นด้านหน้า จากนั้นเขาก็หันกลับมาดึงข้อมือฉันให้เดินตามไป
“ฉัน..เจ็บ” ฉันกัดริมฝีปากล่างของตัวเองไว้ รู้สึกเจ็บข้อมือข้างที่คิริวกำลังจับไว้แน่น เขาคงจับข้างเดียวกับที่ไอ้ผู้ชายบ้านั่นจับแน่เลย มันถึงได้เจ็บขนาดนี้ แต่คิริวก็ไม่ยอมปล่อย แถมยังจับแน่นมากขึ้นกว่าเดิม แล้วลากฉันจนมาอยู่ข้างนอกหน้าบาร์ด้วยความรวดเร็ว
“วุ่นวายฉิบหาย” คิริวหยุดเดิน แล้วหันกลับมามองหน้าฉันด้วยสายตาคมดุดัน เขาขบกรามเอาไว้แน่น มือใหญ่บีบมาแก้มของฉัน จนรู้สึกเจ็บไปหมด ฉันขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่เข้าใจและหอบหายใจแรงอีกครั้งทันที
“ฉันเจ็บนะ” เสียงฉันก็ยังคงแหบพร่าเบาหวิวเช่นเคย ร่างกายก็ร้อนขึ้นจนไม่รู้จะทำยังไงได้แต่เอามือกอดแขนตัวเองไว้
คิริวไม่พูดอะไร แต่ปล่อยมือออกจากแก้มของฉัน แล้วลากให้ฉันเดินตามไปทางที่จอดรถบิ๊กไบค์คันโปรดของเขา จากนั้นคิริวก็คร่อมรถ และหันมาสวมหมวกกันน็อคใบใหญ่ให้ฉันด้วยความรวดเร็ว
“ขึ้น” เสียงเข้มต่ำที่ดูหงุดหงิด ทำให้ฉันต้องจำใจขึ้นไปซ้อนท้ายรถบิ๊กไบค์ของคิริวอย่างช่วยไม่ได้ แล้วรีบจับเสื้อยืดด้านข้างเขาเอาไว้แน่นทันที เพราะตอนนี้ฉันใส่ชุดเดรสอยู่ไงเลยต้องนั่งพ่ายอยู่เนี่ย จะตกรถตายก่อนหรือเปล่าก็ไม่รู้ บ้าจริง!
