บท
ตั้งค่า

Warning 01

หมับ

”อย่ามาแตะตัวฉัน!” ฉันนอนหอบหายใจแรงอยู่บนเตียงใหญ่ ดึงผ้าห่มเข้าหาตัวแน่นมากขึ้น และพยายามดึงข้อมือออกจากฝ่ามือใหญ่ของคิริวที่จับเอาไว้แน่น เขานอนตะแคงเอามือเท้าหัวตัวเองไว้

สายตาคมดุดันมองมาทางฉันที่นอนหันหลังให้เขานิ่งอยู่ในผ้าห่มผืนเดียวกัน หลายชั่วโมงที่คิริวทำเรื่องบ้าๆกับฉันจนเรี่ยวแรงหายไปหมด บ้าชะมัด แล้วฉันดันไปทำเหมือนยินยอมด้วยนี่สิที่น่าโมโหที่สุด!

“หันมา” มือใหญ่ยังคงจับข้อมือฉันไว้ แล้วออกแรงดึงจนฉันต้องหันหน้าไปทางเขา ฉันเงยหน้าสบตากับคิริวอย่างโกรธเคืองที่เขาทำเรื่องแบบนั้นกับฉัน นั่นมันครั้งแรกของฉันนะ! อยากจะร้องไห้แต่คิดไปคิดมาก็ไม่อยากเสียน้ำตาให้กับคนอย่างเขาเลยให้ตายเถอะ!

“ไปให้พ้น”

“หึ ทำเป็นไล่ เมื่อกี้ยังครางเสียงดังอยู่เลย”

“ทุเรศ!” ฉันกัดริมฝีปากล่างของตัวเอง เพื่อระงับอารมณ์โกรธที่กำลังขาดผึ่ง คิริวยังคงทำหน้าเรียบเฉยเหมือนเขาไม่ได้พูดอะไรบ้า ๆ ออกมา

ตุบ!

ฉันหยิบหมอนข้าง ๆ ขว้างใส่หน้าคิริวแรง ๆ เขามองหมอนที่ตกอยู่ด้านหน้า แล้วหันมาส่งสายตาคมดุดันน่ากลัว จากที่ฉันมีความกล้าขว้างหมอนใส่เขาเพราะความโกรธ แต่พอเห็นสายตาที่คิริวกำลังมองมาฉันกลับรีบลุกขึ้นนั่งขยับตัวถอยห่างจากเขาทันที

”จะหนีไปไหน”

”อย่าเข้ามานะ!” ฉันขยับตัวถอยหนีจนมาอยู่ชิดขอบเตียงอีกฝั่ง มือก็ดึงผ้าห่มมาแนบชิดตัวมากยิ่งขึ้น

“อวดดีนักใช่มั้ย”

หมับ!

“นายอย่าทำอะไรฉันนะ!” คิริวดึงข้อมือฉันแล้วดึงเข้าหาตัวจนหน้าฉันทิ่มกับแผงอกที่มีแต่มัดกล้ามแข็งแรงของเขา ฉันรีบเอามือดันแผงอกกำยำของคิริว ออกด้วยความรวดเร็ว

“จะนอนดี ๆ หรือจะให้ฉันทำต่อ” ฉันเงยหน้ามองคิริวด้วยความสงสัยทันที

“ทำ..ทำอะไร”

”...” คิริวไม่ตอบ แต่เอามือล้วงเข้ามาในผ้าห่มที่ฉันกับเขากำลังห่มอยู่ แล้วมือใหญ่ของเขาก็สัมผัสกอบกุมจุดเสียวกลางกายของฉัน นิ้วเรียวยาวลูบไล้ไปมาตรงที่มันกำลังบวมแดงอยู่อย่างแผ่วเบา จนฉันตกใจสะดุ้งรีบเอามือมาจับยึดท่อนแขนแข็งแรงของคิริวให้เขาหยุดนิ่งไว้แน่น

“นะ..นอนแล้ว ฉันจะนอนแล้ว” ฉันรีบบอกเขาเสียงสั่น อยากควบคุมตัวเองไม่ได้

“นอนสิ”

“อื้อ นาย..อย่า!” คิริวดันนิ้วเรียวยาวของเขาเข้ามาภายในตัวของฉันเล็กน้อย ฉันพยายามจับยึดแขนแข็งแรงของเขาเอาไว้แน่น แต่แรงของคิริวเยอะเกินไป จากนั้นเขาก็ดันนิ้วเข้ามาจนสุดแล้วแช่ค้างไว้

“หึ ตอดแรงดี” ฉันไม่รู้ว่าต้องทำหน้าแบบไหน เมื่อคิริวสบสายตาคมกับฉันแล้วพูดคำนั้นออกมา มันน่าอายจนต้องหันใบหน้าหนีไปอีกทางด้วยความรวดเร็ว หัวใจก็เต้นแรงไปหมด

“อะ..เอาออกไป” คิริวงอนิ้เรียวยาวที่อยู่ภายตัวของฉัน มันเกิดความรู้สึกแปลก ๆ จนฉันต้องจิกเล็บลงไปที่ท่อนแขนแข็งแรงของคิริวแรง ๆ

“ทีหลังอย่าอวดดี” เขาค่อย ๆ ดึงนิ้วออกช้า ๆ ฉันสูดลมหายใจเอาอากาศเข้าปอดทันที คิริวลุกขึ้นยืน แล้วหยิบกางเกงยีนขายาวของเขาที่หล่นอยู่ข้างเตียงขึ้นมาสวม ยังดีนะที่คิริวสวมบ็อกเซอร์อยู่ไม่งั้นฉันเป็นตากุ้งยิงแน่ ๆ ฉันรีบหันหน้าหนีไปทางหน้าต่างทันทีที่คิริวหันกลับมามองหน้าฉัน

“มองอะไร รีบ ๆ ออกไปสักที อื้อ!” จุ่ ๆ คิริวก็ยกฝ่ามือใหญ่มาดึงท้ายทอยฉันให้หันไปหาเขา แล้วก้มลงมาประกบริมฝีปากฉันด้วยความรวดเร็วจนฉันตั้งตัวไม่ทัน ลิ้นเปียกชื้นตวัดลิ้นเล็กไปมาอย่างเร่าร้อน แล้วคิริวก็ขบกัดริมฝีปากล่างของฉันเบาๆ ก่อนจะผละออก

”อวดดีแบบนี้ให้ได้ตลอดล่ะ” ฉันได้แต่มองแผ่นหลังกว้างของคิริวที่เดินออกไปทางประตูอย่างโกรธเคือง

เสียงปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับฉันที่ล้มตัวลงนอน แล้วความคิดในหัวก็ตีกันจนยุ่งไปหมด ยังสับสนและสงสัยไม่หายว่าคิริวจะทำกับฉันแบบนี้เพื่ออะไร อยากร้องไห้ให้กับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นแต่มันก็ร้องไม่ออก

คนอย่างลาน่าจะมาเสียน้ำตาให้คนที่ทำเรื่องบ้าบอแบบนั้นไม่ได้! คิดซะว่าทำบุญทำทานให้คนอดอยาก ถ้าฉันเสียตัวเขาก็เสียตัวเหมือนกันนั่นแหละ ให้ตายสิ! อย่าคิดว่าฉันจะทำตัวเป็นนางเอกร้องไห้ฟูมฟายนะไอ้บ้าคิริว

@มหาวิทยาลัยดีเอ็ม

พอหมดคาบเรียน ฉันก็มานั่งทำรายงานอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนบริเวณสวนสาธารณะเล็ก ๆ ภายในมหาวิทยาลัย เมื่อเช้านี้น้ายูมิเห็นว่าฉันกับคิริวเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันเลยจะให้ฉันมาพร้อมกับเขา แต่ฉันก็ปฏิเสธ และอ้างไปว่ามีเวลาเรียนไม่ตรงกัน ใครมันจะไปอยากมาเรียนพร้อมคิริวล่ะ ยิ่งเขาทำเรื่องทุเรศแบบนั้นกับฉันก็ยิ่งไม่อยากจะยุ่งด้วยเลยจริง ๆ

”ลาน่า” ฉันเงยหน้าไปมองเฟียร์ที่กำลังยืนกอดอกทำสีหน้าหงุดหงิดบูดบึ้งอยู่

”ว่าไง ทำไมหน้าเป็นแบบนั้น”

“จะไม่ให้ฉันเป็นแบบนี้ได้ไง ก็เมื่อกี้ฉันไปซื้อน้ำมา แอบได้ยินคนใส่ร้ายแกเสียหายด้วย” เฟียร์พูดแล้วก็นั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามฉันอย่างไม่สบอารมณ์ ฉันได้แต่ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ

“ช่างเถอะ”

”ช่างได้ไงวะ ผู้หญิงพวกนั้นเห็นแกเป็นเด็กทุนแล้วก็พูดเสียๆหายๆไปหมดแล้วนะ หาว่าเป็นเด็กเสี่ยบ้างล่ะ ฉันนี่อยากจะเดินไปตบให้หุบปากชะมัด” เฟียร์ยกน้ำส้มขึ้นดูดพร้อมกับมองหน้าฉันด้วยความโมโห

ฉันเข้าใจมันนะ ก็มันเป็นเพื่อนคนเดียวของฉันในมหาวิทยาลัยนี้นี่ อย่างที่เฟียร์บอกนั่นแหละ ที่นี่มีแต่ลูกคนรวยมาเรียน เด็กทุนส่วนใหญ่ก็จะโดนแบบฉันบ้างล่ะนะ แต่ฉันที่อยู่มาสี่ปีก็ชินซะแล้ว

“มันไม่จริงแกก็ไม่ต้องสนใจหรอก ใครอยากพูดอะไรก็ปล่อยให้พูดไป”

“แกก็เป็นแบบนี้ตลอดไง คนในมหาลัยถึงเอาแกไปนินทาสนุกปากไปหมดแล้ว”

“ฉันรู้ว่าแกโกรธแทนฉัน แต่แกอย่าเอามาใส่ใจดิ มีแต่เรื่องไร้สาระ”

“เออ ๆ ก็ได้ แล้วนี้แกเลิกทำพาร์ทไทม์ที่ร้านกาแฟแถวคอนโดแล้วเหรอ เมื่อวานฉันไปซื้อกาแฟที่ร้านไม่เจอแกเลย”

พอเฟียร์พูดถึงฉันเลยเพิ่งนึกได้ว่าลืมบอกมันไปเลยว่าออกจากคอนโดแล้ว เมื่อก่อนฉันทำพาร์ทไทม์อยู่ที่ร้านคาเฟ่ใกล้กับคอนโด เวลาไม่มีเรียนก็ไปทำงานสะดวกแต่พอต้องย้ายไปอยู่ที่บ้านน้ายูมิเลยต้องลาออกเพราะระยะทางที่ไกลและมันคนระทางกัน จะให้ขึ้นรถมาทำก็คงจะหมดกับค่าเดินทางมากกว่าเงินเดือน

”ฉันไปอยู่บ้านเพื่อนแม่ก่อนน่ะ”

“ทำไมล่ะ ถ้าแกมีปัญหาอะไรก็บอกฉันได้นะ”

“เรื่องที่บ้านน่ะ แต่ตอนนี้โอเคแล้ว” เฟียร์พยักหน้าเข้าใจ แล้วก็ลงมือทำรายงานโดยไม่ถามอะไรฉันต่อ

มันก็เป็นคนแบบนี้ล่ะถึงเป็นเพื่อนกับฉันได้ แม้จะทำตัวแรงไปหน่อยก็เถอะ แต่เฟียร์ก็เป็นคนที่จริงใจแล้วก็ดีกับฉันมาตลอดตั้งแต่ปีหนึ่ง

“เชี่ยแม่ง! สายแล้วพวกมึง วันนี้อาจารย์นัดสอบนะโว้ย!” ฉันกับเฟียร์หันไปมองตามเสียงแหกปากโวยวายของผู้ชายด้านข้างที่กำลังเดินผ่านโต๊ะที่พวกฉันนั่งพอดี

คนที่ตะโกนหันไปด่าเพื่อนตัวเองที่เดินเอื่อยเฉื่อยไม่รู้ร้อนรู้หนาวอีกสองคน แล้วฉันก็เผลอสบสายตากับคนที่กำลังสูบบุหรี่เข้า เขามองมาที่ฉันนิ่งจนฉันสะดุ้งตกใจรีบหันหน้าหนีก้มลงทำรายงานของตัวเองต่อทันที นั่นมันคิริวนี่! ให้ตายสิ ยิ่งไม่อยากเจออยู่ด้วย บ้าชะมัดเลย

”ยืม” ฉันตกใจจนเกือบหงายหลังตกเก้าอี้ ก็คิริวมายืนอยู่ข้างๆฉันน่ะสิ แถมในมือยังหยิบปากกาฉันไปอีก ฉันเงยหน้ามองเขาเคืองๆแต่ไม่ได้ตอบอะไรออกไป คิริวสบตาฉันสักพักก็เดินตามเพื่อนเขาที่เดินไปก่อนแล้ว ฉันยังไม่อนุญาตให้ยืมเลยเหอะ

“แกรู้จักคิริวด้วยเหรอลาน่า” เฟียร์จ้องหน้าฉันอย่างสงสัย ฉันได้แต่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้ว่าจะบอกเฟียร์ยังไงดี

“ก็นิดหน่อย”

“ไปรู้จักได้ไง เห็นผู้หญิงในมหา’ลัยซุบซิบว่าเขาอันตรายจะตาย แต่ฉันก็ยังเห็นพวกนั้นแอบชอบเขาอยู่นะ ฉันนี่ถึงกับงง”

“เรื่องมันยาวน่ะ เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟังทีหลังนะ”

”แล้วทำไมแกต้องตกใจขนาดนั้น”

”เปล่า ไม่มีอะไร” ฉันรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุดทันที ยกชาเขียวขึ้นมาดูดจนเกือบหมดแก้ว นี่ฉันแสดงออกขนาดนั้นเลยเหรอ แต่เห็นหน้าคิริวแล้วฉันไม่ตกใจนี่สิแปลก แถมเขายังหน้าด้านมายืมปากกาฉันไปอีก มาเรียนแบบไหนน่ะไม่มีอะไรมาจด

“ฉันกลับก่อนนะ แกแน่ใจนะที่ไม่ให้ฉันไปส่งน่ะ” เฟียร์หันมาถามฉันอีกครั้ง ฉันเลยส่ายหน้าแทนคำตอบ มันเลยเดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไป ส่วนฉันก็เดินไปหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อเรียกแท็กซี่

หลังจากที่นั่งทำรายงานเสร็จ นี่ก็เริ่มจะมืดค่ำแล้วน่ะสิ ทำไมเวลามันเดินเร็วจัง แล้วนี่แท็กซี่หายไปไหนหมดก็ไม่รู้

“ใช่ลาน่ามั้ยครับ” เสียงทุ้มของผู้ชายดังอยู่ด้านข้าง ทำให้ฉันต้องหันไปมองอย่างสงสัย

”เอ่อ…ใช่ค่ะ มีอะไรรึเปล่าคะ”

“ผมชื่อบาสนะ พอดีเห็นยืนรอรถนานแล้วน่ะ ให้ผมไปส่งมั้ยเหมือนฝนใกล้จะตกแล้วด้วย” ถ้าจำไม่ผิดเขาคงจะเป็นบาสอดีตเดือนคณะแพทย์แน่เลย แล้วเขามารู้จักฉันได้ยังไงกัน

”ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” ฉันส่งยิ้มบางไปให้บาส เขาเลยพยักหน้าเข้าใจพร้อมกับส่งยิ้มกว้างมาให้ ก่อนจะขึ้นรถยนจ์ราคาแพงของตัวเองที่จอดอยู่ใกล้ ๆ แล้วขับออกไป

ซ่าๆ!

”โอ๊ย มาตกอะไรตอนนี้เนี่ย!” จู่ ๆ ฝนก็ตกลงมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ฉันรีบวิ่งเข้าไปในมหาวิทยาลัยด้วยความรวดเร็ว เพื่อหาที่หลบจนมายืนอยู่ใต้ตึกของคณะวิศวะกรรมศาสตร์ ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มขึ้น และคนแถวนี้ก็ไม่ค่อยมี หนาวก็หนาว วันนี้มันวันอะไรเนี่ยเปียกไปหมดแล้ว

“อ้าวเฮ้ย! ฝนตกเฉย มึงเอาบิ๊กไบค์มาไม่ใช่เหรอวะไอ้ริว ไปพร้อมกูกับไอ้เลย์มั้ยจะได้ไม่เปียก”

“มึงไม่ต้องไปชวนมันหรอกไอ้เติ้ล คนอย่างมันเคยทิ้งรถสุดที่รักไว้ที่ไหน หวงยิ่งกว่าเมีย” ฉันไม่ได้สนใจเสียงพูดคุยที่ดังอยู่ใกล้ ๆ เท่าไหร่นัก เพราะมัวแต่ปัดเนื้อปัดหัวที่เปียกของตัวเองอยู่ หนาวจนสั่นแล้วเนี่ย เมื่อไหร่ฝนจะหยุดตกสักที

”เออว่ะ แล้ววันนี้พวกมึงจะไปแดกเหล้าปะ”

”กูไป มึงล่ะไอ้ริว”

”อือ”

“งั้นเจอกันบ้านไอ้ไทม์ เฮ้ย! ใครวะ” ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองตามเสียงที่ตะโกนอยู่ด้านข้าง แล้วสายตาก็เจอกับคิริวและเพื่อนๆของเขาที่กำลังมองมาทางฉันอย่างสงสัย ซวยซ้ำซวยซ้อน! ดันมาเจอคนที่ไม่อยากเจออีก ฉันหันหน้าหนีพวกเขาไปอีกทางทันที

“แม่งน่ารักว่ะ“

”ไหนไอ้เลย์ ขอกูดูหน้าชัดๆหน่อยดิ เอ้า! ไอ้ริวมึงจะมายืนบังพวกกูทำไมวะ” จ่ ๆ ร่างสูงใหญ่ของคิริวก็มายืนบังฉันจากเพื่อน ๆ ของเขาจนมิด

”พวกมึงรีบกลับไปเลย“ เสียงเข้มต่ำของคิริวดังขึ้น ฉันได้แต่ยืนมองแผ่นหลังกว้างของเขาอย่างสงสัย

“อะไรของมึง จะมายืนทำหน้าโหดใส่พวกกูทำไม” เพื่อนของเขาคนที่น่าจะชื่อเลย์พูดขึ้นด้วยความมึนงง

”...” คิริวยังคงเงียบไม่พูดอะไรต่อ ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังทำสีหน้าแบบไหน เพราะเห็นแต่แผ่นหลังกว้างของเขาอยู่นี่ไง

“มึงอย่าทำตัวโหดใส่พวกกูสิวะ กูไปก็ได้ เป็นเหี้ยไรของมันวะ” คนที่ชื่อเติ้ลบ่นอย่างหัวเสีย แล้วเดินไปอีกทางพร้อมกับเลย์ทันที

หลังจากเพื่อน ๆ ของคิริวเดินไปได้สักพัก เขาก็หันหน้ามามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าพร้อมกับกับยิ้มมุมปากขึ้น แล้วสบสายตาฉันด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ จนฉันต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัย และก้มลงมองตัวเองอีกครั้ง ให้ตายสิ เสื้อนักศึกษาสีขาวโดนฝนจนเปียกเห็นบราสีดำด้านในเลย บ้าชะมัด!

พรึบ!

ฉันรีบเอากระเป๋าสะพายขึ้นมากอดไว้บดบังบราสีดำที่เห็นทะลุออกมานอกเนื้อนักศึกษาด้วยความรวดเร็ว แล้วเงยหน้าขึ้นไปจ้องหน้าส่งสายตาขุ่นเคืองขั้นสุดให้คิริวทันที

“มองอะไร!”

“เห็นมาหมดแล้วจะอายทำไม”

“ทุเรศ” ฉันกัดริมฝีปากล่างของตัวเองเอาไว้แน่น ใครมันจะไปหน้าด้านเท่าเขาล่ะ คิริวสบสายตากับฉันอีกครั้ง แล้วเขาก็เดินไปทางที่จอดรถใต้ตึกโดยไม่พูดอะไรออกมา นี่เขาแค่จะกวนประสาทฉันเล่นหรือไงกันเนี่ย!

บรื้น บรื้นน!

ผ่านไปหลายนาที ฉันก็ต้องเงยหน้าไปมองตามเสียงรถบิ๊กไบค์สีดำเทาที่ดังอยู่ข้างหน้า คิริวตั้งขาตั้งรถไว้และเดินเข้ามาในตึกตรงที่ฉันยืนอยู่ จอกนั้นเขาก็ถอดหมวกกันน็อคสีเดียวกับรถวางไว้ที่โต๊ะข้าง ๆ แล้วเดินมายืนมองหน้าฉันด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

“ขึ้นรถ” ฉันมองหน้าคิริวอย่างมึนงง ที่เขาเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรคือเดินไปเอารถเพื่อมารับฉันเหรอ ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วหันหน้าหนีเขาไปอีกทาง

“ฉันไม่ขึ้น”

“อย่าเรื่องมาก”

”ฝนตกอยู่ไม่เห็นเหรอจะมาบังคับทำไม”

“โดนฝนแค่นี้ไม่ตายหรอก“

”แต่ฉันไม่อยากไปกับนาย จบนะ” ฉันหันไปมองหน้าคิริว แล้วรีบหันไปมองทางอื่นอีกครั้ง เมื่อกี้รู้สึกว่าหมือนคิริวจะโมโหฉันขึ้นมาเลย แต่ช่างเขาสิ…

หมับ!

“ไม่อยากไปก็ต้องไป” คิริวกระชากข้อมือฉันอย่างแรงจนตัวฉันเซไปแนบชิดกับแผงอกกำยำแข็งแรงของเขา

“ฉันเจ็บนะ!” ฉันพยายามดึงข้อมือออกแต่คิริวกลับจับไว้แน่นกว่าเดิมจนฉันเจ็บไปหมด นี่แรงคนหรือแรงควายไม่ทราบ!

“เจ็บก็รีบไปขึ้นรถ”

“ฉันไม่ไป”

ปึก!

”คิดว่าฉันไม่กล้าทำอะไรเธอตรงนี้รึไง ลาน่า” คิริวดันตัวฉันจนแผ่นหลังไปกระแทกกับผนัง ฉันนิ่วหน้าขึ้นมาทันที เพราะรู้สึกเจ็บไปหมด

”คิริว ฉันเจ็บ” ฉันเงยหน้ามองเขาด้วยความโกรธ จนต้องกัดริมฝีปากล่างของตัวเองไว้แน่น

”ไปขึ้นรถ” คิริวปล่อยข้อมือฉันออก แล้วยืนส่งสายตาคมกดดันมาให้ ฉันจ้องหน้าเขา แต่สักพักก็ยอมเดินไปทางรถบิ๊กไบค์ที่เขาจอดอยู่ เสียงฝนที่ตกลงมาอย่างหนักทำให้ฉันได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น จะให้ตากฝนไปกับเขาเหรอเนี่ยแล้วที่ฉันมาหลบฝนนี่เพื่ออะไรล่ะ!

พรึ่บ!

”อ๊ะ อะไรอ่ะ” ฉันหันไปมองคิริวที่ยืนอยู่ด้านหลัง ทั้ง ๆ ที่มีหมวกกันน็อคของเขาสวมอยู่ แต่คิริวไม่ได้พูดอะไรแล้วเดินไปคร่อมรถเอาขาตั้งขึ้น ฉันเลยเดินไปยืนข้างๆเขา แล้วนี่ฉันจะขึ้นไปนั่งยังไงล่ะเนี่ย วันนี้ฉันใส่กระโปงทรงเอนะ!

“อย่าลีลา”

หมับ!

”คิริว!” ท่อนแขนแข็งแรงของคิริวเอื้อมมาโอบรอบเอวบางของฉันไว้ แล้วอุ้มฉันจนขึ้นไปนั่งพ่ายบนรถ โดยมีเขานั่งคร่อมอยู่ด้านข้างลำตัวฉัน คิริวจะให้ฉันมานั่งหน้าเขาทำไมเนี่ยไอ้บ้า!

“อยู่เฉยๆ”

“นะ..นายก็เอาแขนออกไปสิ อ๊ะ!”

ฉันโวยวาย แต่คิริวกลับไม่สนใจ และออกรถด้วยความรวดเร็ว จนฉันต้องรีบเอามือไปจับที่เสื้อตรงแผงอกกำยำของเขาไว้แน่น จะขี่เร็วไปถึงไหน ฉันก็กลัวตกเป็นนะ ถึงหน้าฉันจะไม่เปียก แต่ตัวฉันนี่สิเปียกเต็ม ๆ ส่วนคิริวน่ะเหรอ เปียกทั้งตัว แต่ทำไมเขายังดูดีอยู่ก็ไม่รู้ แถมฉันยังเห็นเขาเท่ยิ่งกว่าเดิมอีก บ้าจริง!

คิริวโน้มตัวลงมาเพื่อบังคับรถไว้ แผงอกกำยำของเขาสัมผัสกับด้านข้างลำตัวฉันจนรู้สึกถึงไออุ่นจากร่างกายสูงใหญ่ของเขา และฉันก็จ้องหน้าคิริวผ่านหมวกกันน็อคตลอดทาง

สายฝนที่ตกลงมาอย่างหนักจนทำให้คิริวต้องหลี่ตาลงเล็กน้อย ฉันเลยเอากระเป๋าสะพายขึ้นมาบังหัวไว้ให้เขา คิริวเบนสายตามามองหน้าฉันแวบหนึ่งแล้วกลับไปมองถนนข้างหน้าต่อ ก็ไม่ได้อยากจะบังฝนให้หรอกนะ แต่เห็นว่าเขาหอบฉันกลับบ้านด้วยหรอกถึงทำให้ แม้ว่าตอนนี้ตัวฉันจะเปียกยันกางเกงในแล้วก็ตาม…

หมับ!

”นั่งดีๆ” เมื่อรถจอดติดไฟแดงท่อนแขนแข็งแรงของคิริวก็โอบรอบเอวฉัน แล้วดึงให้ไปนั่งดีขึ้นกว่าเดิม ฉันได้แต่ส่งสายตาขุ่นเคืองไปให้เขาผ่านหมวกกันน็อคใบใหญ่ที่ใส่อยู่นี่เท่านั้น ดีนะที่ฝนเริ่มหยุดแล้วไม่งั้นฉันได้ถือกระเป๋าสะพายบังให้เขาจนแขนเป็นตะคริวแน่ๆ

“นะ..นายถอดเสื้อทำไม” คิริวมองมาที่ฉันแล้วก็ถอดเสื้อคลุมที่เขาสวมอยู่ออกทันที

พรึ่บ!

“อยากโชว์กลางไฟแดงก็แล้วแต่” แล้วคิริวก็เอาเสื้อคลุมมาห่อตัวฉันไว้ คำพูดของเขาทำให้ฉันเข้าใจได้ทันทีว่าตอนนี้เสื้อนักศึกษาคงบางจนเห็นไปถึงไหนต่อไหน เลยรีบดึงเสื้อคลุมของเขาให้กระชับรอบตัวขึ้น มันเพราะใครล่ะที่พาฉันนั่งรถตากฝน จนเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำอยู่เนี่ย ไม่ใช่เพราะเขาหรือไงกัน

บรื้นนน!

“คิริว!” ฉันรีบเอามือขึ้นไปกำเสื้อตรงแผงอกกำยำแข็งแรงของเขาแทบไม่ทัน จะออกตัวตอนไหนก็บอกกันบ้างสิ เกือบตกรถหน้าแหกแล้วนะ!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel