บทที่ 5 ฟันเฟืองที่เริ่มขับเคลื่อน
ประเทศไทยเวลา19:20บ้านวารีนนท์
“ถึงซะที ยะฮู้!!” กานน์วิ่งร่าเข้ามาและกระโดดลงแอ๊บกับโซฟากลางบ้าน
“ไอ้อาการโวยวายตอนโดนงูกัดนั่นหายไปไหนละฟะ” วิทย์มองท้าทีกระดี๊กระด๊าของกานน์ด้วยความเอือมระอา “แล้วแผลไม่เป็นอะไรแล้วเหรอนะ?”
“หายห่วง เอาปาสเตอร์ยาที่รถของท็อปแปะไว้แล้ว ไม่ค่อยเจ็บแล้วด้วย”
“ถึงปาสเตอร์นั่นจะเป็นแบบพิเศษที่มีตัวยาช่วยลดอาการเจ็บแต่ก็ไม่ควรขยับแรงๆ นะ เดี๋ยวแผลก็เปิดหรอก” ท็อปกล่าวเตือน ซึ่งคนเจ็บก็ทำแค่โบกมือหย็อยๆ และดีดดิ้นไม่สนใจ
“จะว่าไปเฟิร์ส แกไปรู้วิธีแก้พิษแบบนี้มาจากไหนฟะ หมอยาตำรับจีนโบราณแบบหนังกำลังภายในเรอะ?”
นพหันไปถามเฟิร์สด้วยความสนใจเพราะตัวเขาเองสนเรื่องวิธีเอาตัวรอดในแบบต่างๆ เป็นพิเศษ ซึ่งเจ้าตัวที่กำลังคาบขนมปังจากร้านสะดวกซื้อพร้อมกับถือขนมเต็มถุงผ้าก็กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะเบื้องหน้าและวิ่งหนีเข้าไปในครัวแทน
พอเจ้าตัวกลับมาก็สะดุ้งเมื่อเห็นเพื่อนๆ จ้องมาเป็นตาเดียว โดยเฉพาะวิลที่หรี่ตามองแบบไม่ไว้วางใจ
“อ..อะไรเล่า!”
“บอกมาซะดีๆ ว่าแกรู้วิธีรักษาแบบนั้นมาจากไหน ไม่ใช่ว่าไปทดลองอันตรายอย่างไปฉีดยาพิษใส่ใครเล่นหรอกนะ”
“ใครจะบ้าเอายาพิษไปฉีดใส่คนโน้นคนนี้เล่นล่ะ ขืนเกิดอาการแพ้ขึ้นมานี่รถพยาบาลมารับไม่ทันนะเว้ย!” เฟิร์สโดยก่อนที่เขาจะพูดกับตัวเองเบา“ความรู้สึกตอนฉีดพิษครั้งที่สิบสามยังจำฝังใจอยู่เลย”
“ว่าไงนะ!”
“เปล๊า! ไม่มีอะไรไหนใครพูด!”เฟิร์สพูดเสียงสูงและเบือนหน้าหนี
“ไม่เชื่อโว้ย! เวลาแกโกหกมักจะเบือนหน้าหนีแบบนี้แหละ บอกมาซะดีๆ”
“บอกว่าไม่มีอะไรก็ไม่มียังไงล่ะ เดี๋ยวไปเอานินสวิตซ์ที่บ้านมาต่อเล่นก่อนนะ จะได้ปาร์ตี้ยาวๆ”
ว่าแล้วเจ้าตัวก็หาข้ออ้างหนีจากการสืบสวน ทางด้านหกหน่อที่คาดคั้นคำตอบก็หรี่ตามองตาก่อนที่วิลจะเลิกล้มความคิดจะซักถามต่อเพราะรู้ถึงความปากแข็งของเพื่อน ถ้ามันไม่คิดจะบอกต่อให้จับกดน้ำก็ไม่บอกหรอก
“มันไม่อยากบอกก็ช่างเถอะ ต่อให้ง้างปากก็ไม่พูดอยู่ดี” วิลพูดก่อนจะเดินเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมขนมที่เฟิร์สเอาไปวางไว้มาเตรียมใส่จาน “จะว่าไป..รินล่ะ?”
“..............”
ความเงียบเป็นคำตอบของทุกคน
“คนขับรถไอท็อปไปรึยัง รีบไปลากมันลงมาจากรถเร็ว!”
“จะว่าไป...มีใครอยากเลี้ยงหมาไหม? ...” รินกล่าวขึ้นขณะที่กำลังมองเพื่อนๆ เล่นSmash Bros.กันอยู่ “เบสเพิ่งคลอด...เลี้ยงไม่ไหว”
ท็อปที่กำลังกดจอยในมืออยู่สะดุ้งเฮือกจนตัวละครที่เล่นเสียการควบคุมโดนต่อยกลายเป็นดาวลูกไก่
“นิสัยกลัวหมาเอ็งยังแก้ไม่หายอีกเรอะ” วิลเอ่ยถามขึ้น
“อย่าว่าอย่างงั้นดิ ครั้งล่าสุดที่ฉันไปบ้านรินคุณเธอจ้องตาเป็นมันเลยอ่ะ” ท็อปหวนนึกถึงครั้งแรกที่เขาไปบ้านริน คุณเธอเห่าโฮ่งก่อนจะวิ่งไล่เขาตั้งแต่หน้าบ้านยังหน้าปากซอย แค่นี้ยังไม่พอมันเล่นเรียกพวกมาทั้งซอยเล่นเอาเขาโบกแท็กซี่กลับแทบไม่ทัน
“เออน่าสน” กานน์เผยรอยยิ้มชั่วร้าย “เอามาเลี้ยงสักตัวดีมะ? ”
“อย่านะเฮ้ย! เข้าบ้านรินคนเดียวไม่ได้ก็พอแล้ว!”
พอเห็นอาการกลัวหมาขึ้นสมองของเพื่อนแล้วทุกคนก็อดหัวเราะไม่ได้ ดูเหมือนปาร์ตี้ของพวกเขาจะดำเนินไปอีกยาว
“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว มาเล่นเกมเสี่ยงดวงหน่อยดีกว่า” กานน์กล่าวก่อนจะเปลี่ยนเป็นปาร์ตี้เกมประจำนินสวิตซ์แทน “แต่แบบนั้นมันเด็กๆ ไป มันต้องมีของเดิมพันกันหน่อย”
“เอาแล้วไง ผีพนันเข้าสิงอีกแล้วเว้ยเฮ้ย” วิทย์กล่าวด้วยความเอื่อมระอา
“มันก็แค่เพิ่มสีสันให้กับเกมนิดหน่อยเอง แกเองก็เล่นไหมล่ะ? หรือว่าป๊อดกลัวเสียตังค์”คำพูดเชิงยั่วยุทำเอาเส้นเลือดปรากฏที่ขมับของวิทย์ก่อนที่เจ้าตัวจะนั่งลงพร้อมกับถือจอยไว้ในมือ
“หมดตัวแล้วอย่าร้องไห้ล่ะ”
“ว้ายยย กลัวจังเลย~” กานน์บิดตัวสะดีดสะดิ้งได้อย่างน่าถีบเป็นที่สุด“ยังเหลืออีกสองที่นั่ง ใครจะเล่นอีกบ้าง?”
“ขอผ่าน พอดีเกิดมาใต้เทพีแห่งหายนะ” เฟิร์สโบกมือหย็อยๆ ก่อนจะหันไปถามวิลที่ไม่ได้มีท่าทีสนใจเหมือนกับเขา “แล้วเอ็งไม่เล่นเรอะ? ”
“ของฉันเกิดโดยมีเทพีแห่งความฉิบหายกินกบาลอยู่ว่ะ” วิลพูดยิ้มๆ ก่อนจะหันไปมองคนที่เหลือ“แล้วพวกเอ็งล่ะ เล่นไหม?”
“ฉันเล่นก็ได้นะ เรื่องเงินก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรอยู่แล้ว” ท็อปกล่าวพร้อมกับโบกจอยในมือไปมา
“งั้นฉันเอาด้วย” นพเองก็เริ่มรู้สึกสนุกแล้วและเดินเข้ามาหยิบจอย
ส่วนรินนั้นไหลลงไปนอนกับโซฟาแล้ว...
“เท่านี้ก็ครบกันแล้วนะ งั้นเริ่มเกมโลดดด!”
ผลลัพธ์ออกมาในเวลาไม่นาน โดยมีวิทย์เป็นผู้ชนะและกวาดเงินเข้ากระเป๋าอย่างสุขสำราญ
“ทำม้ายยยย ทำไมแกถึงถอยลูกเต๋าไปตกช่องดีๆ ตลอดเลยวะ?!!” กานน์โวยน้ำตานองหน้า“เอ็งโกงใช่ไหม?แฮคเกมใช่ไหม?!!!”
“อ่อนเองอย่ามาโวย เกมมันไม่ได้ใช้ดวงขนาดนั้น” วิทย์กล่าวขณะนับเงินอย่างสบายใจ “หนึ่งร้อย‘โอ๊ย!’สองร้อย‘อึก!’สามร้อย‘อัก!’อ๊ะ! แบ้งค์พันอีกหนึ่ง‘เอื้อ!’ ”
กานน์และนพทรุดลงไปนอนพื้นในขณะที่ท็อปเพียงหัวเราะแห้งๆ เพราะเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องเงินสักเท่าไหร่
“เฮ้ย สามเกลอ เอาน้ำใบบัวบกหน่อยไหม” วิลพูดขึ้น
“จัดมาเลย ขอเป็นแกลลอนด้วย!!” กานน์พูดทั้งน้ำตานองหน้า เงินที่เขาอุตส่าห์ถนอมเก็บไว้ไหลไปกับน้ำเพราะผีพนันแท้ๆ
หลังจากมองอาการช้ำใจของผู้สูญเสียจนพอใจแล้วเฟิร์สก็หวนนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า
“เออวิล เมื่อเช้านายบอกว่าเพิ่งฝึกเพลงใหม่ได้ไม่ใช่เหรอ? ”
“อ๋อ พอดีเมื่อวานลงไปห้องเก็บของใต้ดินเพื่อคุ้ยหาเครื่องดนตรีเก่าๆ มาทำความสะอาดแล้วไปเจอเข้ากับสมุดโน๊ตเพลงของแม่เข้าน่ะ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็เดินไปที่แกรนด์เปียโนประจำบ้าน บนนั้นมีสมุดโน๊ตเพลงที่เขากล่าวถึงวางไว้อยู่ “มีอยู่ทั้งหมดสามเพลง ฝีมือฉันตอนนี้พอจะเล่นได้แค่เพลงเดียวเท่านั้นแหละ อยากลองฟังกันดูไหมล่ะ? ”
“เอาดิ ฝีมือนายตอนเล่นเปียโนนี่ของจริงที่สุดแล้ว”
เฟิร์สกล่าวก่อนที่จะไปเรียกเพื่อนที่เหลือให้สนใจการแสดงโชว์ไลฟ์สดของนักดนตรีหนุ่มอัจฉริยะคนนี้ที่ไม่ได้หาดูได้ง่ายๆ
วิลเองก็นั่งลงบนเก้าอี้เปียโน ไล่เสียงเปียโนเพื่อเช็คเสียง ก่อนจะหลับตารวบรวมสมาธิ นึกถึงโน๊ตเพลงที่จะเล่นในหัวเพื่อให้การบรรเลงไม่สะดุดแล้วพรมนิ้วมือลงกับเปียโน บรรเลงบทเพลงสุดแสนอัศจรรย์ออกมา
ชื่อของเพลงคือRaining Drop (เรนนิ่ง ดรอป - เม็ดฝนที่ตกกระทบ)
เพียงแค่วิลกดคีย์เดียว รินที่สะลึมสะลือก็หลับทันทีชนิดที่คอหักกลางอากาศ
ทุกคนปรายตามองก่อนจะหันกลับไปสนใจเพลงที่วิลบรรเลงต่อ
เสียงเปียโนดังขึ้นเพียงท่อนแรกก็สะกดทุกคนให้ดังฟังหยุดการกระทำหันมาฟังบทเพลงอันไพเราะนี้
โน๊ตท่อนแรกถึงท่อนที่สามที่วิลเล่นออกมาเป็นเสียงทำนองที่ไพเราะ เป็นท่วงทำนองที่ร่าเริงอ่อนหวานชวนให้ทุกคนที่ได้ฟังนั้นเผลอยิ้มออกมาไม่ได้
ท่อนต่อมาจากท่วงทำนองที่ไพเราะอ่อนหวานค่อยๆ ช้าลงจนกลายเป็นท่วงทำนองที่สงบเหมือนผืนน้ำที่สงบนิ่ง เสียงจากเปียโนเหมือนมีมนต์สะกดบางอย่างที่ชวนให้หนังตาของผู้ฟังทั้งห้า (ตัดไปหนึ่งเพราะรินหลับไปตั้งแต่แรกแล้ว) เริ่มหนักอึ้ง
เฟิร์สกะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่ความง่วงในขณะที่ผู้ฟังอีกสี่คนนั้นหลับไหลไปตั้งแต่เริ่มท่อนที่ห้าแล้ว
ขณะที่เฟิร์สพยายามถ่างตาไม่ให้มันหลับนั้น อยู่ๆ เหมือนร่างกายเกิดปฏิกิริยาบางอย่างขึ้น เหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้เกิดขึ้นรอบๆ ตัวของเขา เฟิร์สลืมตามองไปยังวิล ความรู้สึกบางอย่างทำให้หัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะ ไม่ได้เต้นเร็วขึ้น แต่มันเต้นช้าจนเหมือนหยุดเต้นเลยตางหาก!!
ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อเห็นรอบๆ ร่างของวิลส่องประกายออร่าสีฟ้าน้ำทะเลอย่างน่าประหลาด หากแต่กะพริบตาอีกครั้ง ออร่าสีฟ้าน้ำทะเลก็หายไปพร้อมกับบทเพลงที่ค่อยๆ ช้าลงจนหยุดไป
“เป็นไงเพลงนี้ ไพเราะชวนฟังใช่ไหมล่ะ แต่แย่นิดหน่อยที่ยังเล่นได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คงต้องใช้เวลาฝึกนิดหน่อยกว่าจะเล่นได้ดี อ้าว...ไหงหลับไปหมดอย่างนี้ละ? ” วิลพูดขึ้นเมื่อเล่นจบเพลงแล้ว แต่ก็ต้องเสียอารมณ์เมื่อเห็นเหล่าผู้ฟังหลับไม่รู้เรื่องเหลือแต่เฟิร์สที่เบิกตาค้างเหมือนตกใจอะไรบางอย่าง“แล้วนี่เป็นอะไรไปด้วยอีกคน ไหงตาค้างเติ้งแบบนั้นล่ะ? ”
“ไม่มีอะไร สงสัยฉันจะตาฝาดไปเอง” เฟิร์สนวดตาเพื่อไล่ภาพแปลกๆ ที่เห็นเมื่อสักครู่แล้วหันไปสนใจเกลอทั้งหลายที่นอนคอหักกันเป็นแถว
“เอายังไงกับพวกนี้ดี? ”
“ปล่อยไว้อย่างนี้แหละ เดี๋ยวตอนเช้าค่อยบอกให้คนขับรถไอท็อปมารับไปส่งโรงเรียนรวดเดียวเลย โทรบอกที่บ้านกันหมดแล้วด้วยนี่นะ” วิลยักไหล่อย่างไม่คิดจะใส่ใจมากนัก
ทางด้านเฟิร์สเองก็เหลือบไปเห็นนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังก็พบว่าเวลานี้มันดึกพอควรแล้ว
“ถ้าอย่างงั้นฉันกลับก่อนนะ” เฟิร์สโบกมือลา “เจอกันพรุ่งนี้”
“อ่า เจอกันพรุ่งนี้” วิลตอบกลับ
ก่อนที่เฟิร์สจะเดินออกจากบ้านเขาหันกลับมาชี้ไปที่สมุดโน๊ตเพลงของวิลแล้วกล่าวขึ้น
“เอ้อ! แล้วก็ไอ้สมุดเพลงนั้นฝึกให้คล่องล่ะ เหมือนลางสังหรณ์ฉันมันจะบอกว่าเพลงนั่นน่าจะมีประโยชน์ในอนาคต”
“แกย้อนเวลามาจากอนาคตเรอะ” วิลแขวะ “ไม่บอกฉันก็ฝึกอยู่แล้วล่ะน่า”
เจ้าตัวที่ได้ยินดังนั้นก็เพียงฉีกยิ้มก่อนจะกลับเข้าบ้านตัวเองไป วิลเองเมื่อเห็นเฟิร์สเดินกลับเข้าบ้านแล้วก็เดินไปจัดการกับศพทั้งห้าศพที่นอนไม่รู้เรื่องอยู่บนโซฟา...อย่างน้อยก็คงต้องหาผ้าห่อศพมาสักหน่อย
หลังจากกลับเข้าบ้านเฟิร์สก็ตรงไปอาบน้ำก่อนจะทำงานที่ค้างไว้เล็กน้อย ท่องอินเทอร์เน็ตเพื่อแชตกับหลายๆ คนที่เขารู้จักทั้งเรื่องงานและเรื่องเล่นๆ สัพเพเหระ โดยไม่รู้ตัวเวลาก็ล่วงเลยไปเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว
ความง่วงเข้าจู่โจมหนังตาของเฟิร์สอย่างหนัก ยิ่งบวกเข้ากับเพลงที่วิลเพิ่งเล่นให้ฟังแล้วยิ่งทวีความง่วงเข้าไปอีก เมื่อหนังตาสู้กับความหนักอึ้งที่ถาโถมเข้ามาไม่ไหวแล้วเจ้าตัวเลยตัดสินใจปิดคอมพิวเตอร์แล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มๆ สุดสบายของเขาและจมลงสู่ห้วงนิทรา
หลังจากที่เฟิร์สหลับสนิทไปได้สักพัก จู่ๆ ก็มีแสงไฟสว่างจ้าลอดออกมาจากทางหน้าต่างตามด้วยก้อนพลังงานบางอย่าง มันวนเวียนอยู่รอบๆ เฟิร์สสักพักก่อนจะพุ่งเข้าไปในร่างกายของเฟิร์ส
จากนั้นการเปลี่ยนแปลงบางอย่างก็เกิดขึ้น
ร่างกายของเฟิร์สเริ่มทอประกายแสงสีฟ้านวลก่อนที่จะค่อยๆ ลอยขึ้นจากเตียงอย่างผิดธรรมชาติ หลังจากนั้นสายน้ำบริสุทธิ์จำนวนมากต่างหลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศมาหลอมรวมกันเป็นบอลน้ำครอบคลุมร่างของเฟิร์สเอาไว้ ความรู้สึกเย็นสบายราวกับกำลังลอยตัวอยู่ท่ามกลางสายน้ำในฤดูร้อนหลั่งไหลเข้ามาในประสาทสัมผัสของเขา เป็นความรู้สึกที่อยากให้คงอยู่แบบนี้ตลอดไป
แต่แล้วความรู้สึกขั้วตรงข้ามก็เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน
ร่างกายของเฟิร์สทอประกายสีฟ้าสลับกับสีแดง อุณหภูมิที่เคยเย็นสบายแปรเปลี่ยนเป็นร้อนราวกับอยู่ในหม้อต้นน้ำเดือดก่อนจะสลับเป็นเย็นยะเยือกราวกับแช่อยู่กลางน้ำในขั้วโลกเหนือ เฟิร์สดิ้นรนตะเกียกตะกายเพราะทรมานกับความเจ็บปวดจนแทบคลั่งแต่ก็ไม่อาจทำให้อะไรเปลี่ยน ความรู้สึกทั้งสองแบบวนเวียนจนกระทั่งเฟิร์สนิ่งลงเพราะร่างกายไม่อาจทนรับความเจ็บปวดระดับนี้ได้อีกต่อไป
ในตอนนั้นเองที่โครงสร้างร่างกายของเฟิร์สเริ่มเปลี่ยนแปลง...
“ฮ้า! เสร็จสักที”ไมล์บิดขี้เกียจหลังจากที่เพิ่งโหมทำงานจนเสร็จ พอเหลือบตามองนาฬิกาที่ปรากฏบนคอมพิวเตอร์ก็พบว่าเวลาได้ล่วงเลยเที่ยงคืนไปแล้ว
“ทำงานหามรุ่งหามค่ำแบบนี้ก็ไม่ไหวน้า~” ไมล์บ่นกับตัวเองก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อเช็คข้อความ สิ่งที่เด่นหราคือข้อความจากแฟนของเขาที่ให้กำลังใจได้อย่างน่ารักที่สุดด้วยการถ่ายรูปมงกุฎดอกไม้ที่ตรงกลางเขียนข้อความไว้
‘สู้ๆ นะ แต่อย่าโหมงานหนักล่ะ♡’
ว่าแล้วก็ส่งสติ๊กเกอร์รูปหมีตะเบ๊ะพร้อมกับข้อความว่า‘รับทราบ’ไปให้ก่อนที่เขาจะปิดคอมพิวเตอร์และเตรียมตัวเข้านอน
ในตอนนั้นเองที่เขาเริ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในบ้านของเขา
น้ำจากในห้องน้ำ ห้องครัว และทุกๆ ห้องที่มีระบบน้ำต่างไหลออกมาบรรจบกันราวกับถูกบางอย่างควบคุม เมื่อเดินตามการไหลก็พบว่าสายน้ำเหล่านั้นต่างไหลเข้าไปในห้องนอนของเฟิร์ส
“ไอ้น้องคนนี้มันทดลองอะไรพิเรนทร์ๆ อีกแล้ว!” ไมล์บ่นก่อนที่จะเดินตรงปรี่เข้าไปเคาะประตูห้อง
“เฟิร์ส! เปิดประตูให้พี่หน่อย มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ยน้ำท่วมบ้านหมดแล้ว!”
“...............”
“เฟิร์ส!” ไมล์ร้องเรียกอีกครั้ง ความรู้สึกไม่สบายใจค่อยๆ เกาะกินหัวใจของเขาเพราะปกติแล้วถ้าน้องของเขาไม่หลับก็มักจะขานรับอยู่เป็นนิจ
“..............”
ความเงียบที่ได้รับอีกครั้งทำให้ไมล์เริ่มใจเสีย
“ไม่เล่นน่าเฟิร์ส! เปิดประตูให้พี่เดี๋ยวนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นพี่จะพังประตูเข้าแล้วนะ!”
“.............”
“โธ่เว้ย!”
โครม!
ไมล์ต้องกุมไหล่ตัวเองเพราะความแข็งของประตู...
“ลืมไปเลยว่าประตูบ้านเรามันทำมาจากเหล็กพิเศษ”
ไมล์เดินปรี่เข้าไปในห้องของเขาและรื้อลิ้นชักที่เก็บกุญแจสำรองของทั้งบ้านเอาไว้ เมื่อคุ้ยจนเจอแล้วก็วิ่งไปไขกุญแจห้อง และภาพที่อยู่เบื้องหลังประตูนั้นก็ทำให้เขาเบิกตากว้างอย่างเหลือเชื่อ
สิ่งที่ไมล์เห็นคือร่างของสาวน้อยภายในลูกบอลน้ำที่ลอยอยู่เหลือพื้นอย่างผิดธรรมชาติ เขาตะลึงอยู่สักพักก่อนจะตั้งสติและตรงปรี่เข้าไปช่วยเด็กสาวคนนั้นก่อนที่เธอจะขาดอากาศหายใจ และทันทีที่เขาดึงเด็กสาวคนนั้นออกมาบอลน้ำนั้นก็แตกออกราวกับฟองสบู่
สาวน้อยในอ้อมแขนของไมล์สำลักน้ำออกมาก่อนที่ดวงตาของเธอจะปรือขึ้นมองหน้าเขาก่อนจะพูดด้วยเสียงที่เบาพอๆ กับกระซิบ
“พี่...”
สรรพนามที่เด็กสาวเรียกไมล์ทำให้เขานิ่งค้างไปสักพัก ส่วนเด็กสาวคนนั้นก็หมดสติไปโดยทิ้งระเบิดตู้มใหญ่เป็นที่ระลึก
อย่างไรก็ตามไมล์ต้องย้ายสาวน้อยออกจากห้องที่เปียกไปด้วยน้ำก่อน เขานำร่างของเด็กสาวไปที่ห้องรับแขกและทำการเปลี่ยนเสื้อผ้าของเธออย่างยากลำบาก (เพราะต้องสู้กับสัญชาตญาณความเป็นชายและจิตสังหารอ่อนๆ จากแฟนสาวที่แม้จะอยู่ไกลแต่ก็สัมผัสได้) ปิดท้ายด้วยการห่มผ้าให้และถอนหายใจดังเฮือกด้วยความเหนื่อยล้า
“มันเกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย...” ความสับสนและคำถามมากมายหลั่งไหลออกมาจากสมองของเขา ไม่ว่าสาวน้อยคนนี้มาจากไหน เกิดอะไรขึ้นกับเฟิร์ส และทำไมเด็กสาวคนนี้ถึงเรียกเขาว่า ‘พี่’
แต่ความจริงที่ว่าเฟิร์สหายไปก็ยังอยู่ สิ่งที่เขาควรจะทำอย่างแรกคือส่งข่าวให้กับครอบครัวและปรึกษาหารือว่าจะเอายังไงต่อ
ว่าแล้วเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือและเลื่อนไปหยุดอยู่ตรงรายชื่อหนึ่ง เขาชั่งใจอยู่สักพักเพราะเบอร์นี้เขาไม่ได้ติดต่อมาเป็นปีๆ แล้ว ไม่เพียงเท่านั้นการติดต่อครั้งล่าสุดเจ้าตัวยังกำชับไว้ว่าถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายจริงๆ ก็อย่าโทรไปเป็นอันขาด
แต่ถ้าไม่โทรตอนนี้แล้วจะโทรตอนไหนล่ะ น้องชายทั้งคนหายไปแล้วมีเด็กสาวมาแทนเนี่ย...
เสียงสัญญาณรอสายดังขึ้นขณะที่คนโทรก็ลุ้นว่าอีกฝ่ายจะรับสายไหม แล้วเขาก็ถอนหายใจโล่งอกเมื่อเสียงที่ไม่ได้ยินมานานเป็นปีๆ ดังขึ้น
“มีอะไรหรือจ๊ะไมล์?”
“แม่ครับ...ผมมีเรื่องอยากจะปรึกษานิดหน่อย”
“หือ? เรื่องอะไรหรือจ๊ะ”
“ถ้าจู่ๆ มีเด็กผู้หญิงอายุประมาณสิบสามสิบสี่อยู่ในบ้านแม่จะทำยังไงครับ”
“..................”
เสียงปลายสายเงียบไปสักครู่....
“นี่ลูกกินเด็กเหรอ?”
“ไม่ช้ายยยยยยยย!!!!!!!!!!” ไมค์เผลอร้องออกมาลั่น
“ก็ดีแล้วละ นึกว่าเราจะเลิกกับยัยเมย์แล้วหันไปกินเด็กแทนซะแล้ว”
“ขอเหอะแม่ ซีเรียสนะเนี่ย” ไมล์ถึงกับทำหน้าเบื่อในความขี้เล่นของแม่เขา
“จ้าๆ แล้วมีปัญหาเรื่องอะไรเหรอ?” เสียงหัวเราะของผู้เป็นแม่ดังขึ้นหลังจากนั้น
“พอดีที่บ้านเกิดปรากฏการณ์แปลกๆ ขึ้นน่ะครับ อยู่ๆ น้ำก็ไหลไปรวมกันอยู่ที่ห้องเฟิร์สและพอเปิดประตูเข้าไปก็พบเด็กสาวคนหนึ่งอยู่ในลูกบอลน้ำที่ลอยเหนือพื้นอย่างเหนือธรรมชาติ แถมเธอยังใส่ชุดนอนของเฟิร์สด้วยนะแม่ เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนด้วย...”
“..............” ปลายสายเงียบไปสักพักใหญ่จนไมล์ต้องยกโทรศัพท์มาดูว่าสายยังต่ออยู่รึเปล่า ก่อนที่เสียงจากปลายสายจะดังขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความจริงจังในบทสนทนา
“อธิบายรายละเอียดมาหน่อยซิ”
แล้วไมล์ก็อธิบายทุกอย่างโดยละเอียดอีกครั้ง
