บทที่ 2 ลบเจอลบเป็นบวก
โรงเรียนที่เฟิร์สและวิลเรียนอยู่นั้นเป็นโรงเรียนเอกชนที่มีหลักสูตรที่ไม่เหมือนโรงเรียนไหน ตำราทุกตำราและบุคลากรทุกคนในโรงเรียนล้วนแล้วแต่เอามาตรฐานปกติมาวัดไม่ได้ รวมถึงกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในโรงเรียนนี้ก็ถือว่าเป็นที่สุดเช่นกัน
ตัวอย่างที่กลายเป็นตำนานคือวีรกรรมของนักเรียนม.ต้นคนหนึ่งกับครูสุดโหดประจำวิชาเคมี ครูนัยนา
เคยมีนักเรียนในระดับม.ต้นคนหนึ่งโดดเรียนไปร้านเกมซึ่งเปิดกิจการอยู่ในมุมมืดของตลาดซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน พอเจ๊แกรู้เรื่องเข้าก็คว้าจักรยานของลุงยามและปั่นไปตามถึงร้านเกม แม้ว่าเจ้าตัวจะรู้ตัวเพราะเห็นครูท่านจากกล้องวงจรปิดและพยายามโดดหน้าต่างหนีแต่ก็ไม่อาจรอดพ้นการไล่ตามของเจ๊แกที่แม่นยำราวกับติดจีพีเอสไว้กับเด็กนักเรียนได้ พอโดนจับเข้าก็ถูกโบกหน้าเข้าให้หนึ่งทีแล้วลากเข้าห้องปกครองไปสวดศพอยู่สามชั่วโมง
เพื่อนของเด็กนักเรียนคนนั้นถามว่ารู้สึกยังไงที่โดนครูนัยนาลูบหน้าเข้าให้ เด็กนักเรียนคนนั้นหัวเราะก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงระรื่น
“ถ้าเอามือลูบหน้ายังเอาซะลูกตาเกือบหลุด ครูแกตบจริงสมองฉันไม่กระฉอกออกจากหูเลยล่ะ”
เรื่องมันควรจะจบแค่นั้นหากครูนัยนาไม่ได้มาอยู่ด้านหลังตอนมันพูดเข้า...
ครับ ผลลัพธ์คือเด็กคนนั้นถูกส่งเข้าห้องพยาบาลเพราะกระดูกคอเคลื่อนด้วยแรงปะทะ
มาที่ห้อง1Aซึ่งเป็นห้องซึ่งเป็นห้องประจำของสายวิทย์ชั้นมัธยมต้นปีที่1
“วันนี้ครูนัยนาบอกให้ขึ้นไปเรียนที่ห้องวิทยาศาสตร์นะ เตรียมหนังสือเรียนกันไปด้วยล่ะ”
เด็กผู้หญิงซึ่งรับหน้าที่เป็นหัวหน้าห้องนำข้อความของครูประจำวิชาเคมีมาถ่ายทอดให้กับทุกคนในห้อง
“เฮ้อ~ ทำไมคาบแรกของวันจันทร์ถึงต้องเป็นวิชาเคมีด้วยนะ การเริ่มต้นของสัปดาห์มันควรเป็นอะไรที่มีสนุกและครื้นเครงมากกว่านี้ดิ”
เด็กผู้ชายคนหนึ่งเมื่อได้ยินคำบอกของหัวหน้าห้องก็นึกขึ้นมาได้ว่าคาบแรกนั้นเป็นวิชาเคมีอันแสนน่าเบื่อหน่าย หน้าตาที่ดูดีกว่าเด็กในวัยเดียวกันบู้บี้เนื่องจากเขานอนเกยโต๊ะอยู่
เสียงบ่นของเขาทำให้เพื่อนของเขาที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ ต้องชำเลืองตามองผ่านกระจกแว่นสายตามองเขาด้วยความเหนื่อยหน่าย
“อย่าบ่นไม่เป็นเรื่องน่ากานน์ เข้าสายวิทย์มานายก็ควรเตรียมใจไว้ด้วยสิว่าจะต้องเรียนหนักขึ้น แล้วก็รีบเตรียมหนังสือได้แล้วเดี๋ยวก็โดนโบกลูกตาหลุดหรอก”
คำพูดของเด็กแว่นเพื่อนซี้ทำให้เจ้าตัวถึงกับสะดุ้งเฮือกและแหวกลับ
“อย่าพูดเป็นลางได้ป่ะวิทย์! คราวที่แล้วนี่ถึงกับกระดูกคอเคลื่อนเลยนะเว้ย ถูกหามไปห้องพยาบาลและโดนบิดคอกลับดังแกร๊ก! เลยนะเฮ้ย! เจ็บสุดๆ และเข็ดไปจนวันตายด้วย!”
ว่าแล้วเจ้าตัวก็รีบเตรียมหนังสือเรียนและเดินตัวปลิวไปยังห้องวิทยาศาสตร์อันเป็นห้องเรียนในคาบที่กำลังจะมาถึง
ใช่แล้วครับ คนที่สร้างตำนานคือเจ้าเด็กปากมากคนนี้เองแหละ...
วิทย์เห็นดังนั้นก็อดถอนหายใจไม่ได้ สายตาของเขาเหลือบไปเห็นเพื่อนซี้ก๊วนเดียวกันอีกสามหน่อที่กำลังฟุบหน้านอนอยู่
“พวกแกสามคนก็เหมือนกัน อย่าเอาแต่นอนสิฟะนี่ยังไม่ทันได้เริ่มเรียนเลยนะเฮ้ย”
สามหนุ่มที่ได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าออกมาแล้วพูดสลับกัน
“พอดีเมื่อคืนนพมันนัดเล่น DOTA2” คนที่นั่งอยู่ซ้ายสุดพูด
“ตอนจะเลิกท๊อปมันก็ถามว่าต่ออีกสักตาไหม รู้ตัวอีกทีก็ตอนไอรินมันเข้าดิสคอร์ตมาแล้วบอกว่า ‘พวกนายเนี่ยตื่นเช้าดีนะ หกโมงเช้าก็ออน’ ดิสคอร์ตแล้ว” ผู้ที่ถูกล่าวถึงหรือก็คือนพที่อยู่ตรงกลางพูดต่อ
“Zzzz” รินหรือก็คือคนที่นั่งอยู่ขวาสุดก็ยังนอนกรนไม่สนโลกอยู่อย่างนั้น
ซึ่งคำตอบของทั้งสองรวมถึงเสียงกรนของคนที่สามนั้นทำให้วิทย์ถึงกับเลือดขึ้นหน้า
“พวกแกสามคนเข้าสายวิทย์มาทำไมฟะเนี่ย!”
“ไม่รู้อ่ะ แม่บอกแค่ว่าให้เรียนสายวิทย์และก็ไปหาผอ. พร้อมกับซองอะไรก็ไม่รู้”
มันยัดใต้โต๊ะนี่หว่า!!!!
“พวกแกสองคนรีบเตรียมของและไปที่ห้องวิทยาศาสตร์ได้แล้ว! หรือต้องให้ฉันไปตามครูนัยนามาลากพวกแกถึงที่! ”
เพียงเท่านั้นทั้งสามหน่อก็ลุกขึ้นไม่เว้นแม้แต่คนที่นอนอยู่เพราะสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตจากเพื่อนซี้สวมแว่นคนนี้
รินที่เพิ่งตื่นก็ปรือตามองเพื่อนๆ ของเขาก่อนที่จะสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ
“เฟิร์ส..กับวิล?”
วิทย์ที่ได้ยินดังนั้นก็เพิ่งนึกได้ว่ายังไม่เห็นหน้าเพื่อนซี้อีกสองคนเลย
“เฟิร์สมันคงจะตื่นสายอีกตามเคย ส่วนวิลก็คงติดสอยห้อยตามมาด้วยเพราะบ้านมันอยู่ใกล้กัน” ว่าแล้วก็ถอนหายใจอีกคำรบเพราะเพื่อนแต่ละคนนี่ตัวปัญหาทั้งนั้น “หวังว่าคงมาถึงห้องก่อนที่ครูแกจะเช็คชื่อนะ”
ว่าแล้วทั้งสี่ก็เดินไปสมทบกับกานน์และเดินไปยังห้องวิทยาศาสตร์ ระหว่างนั้นเองก็ได้ยินเสียงเบรคดังลั่นอันเป็นสัญญาณว่าเพื่อนอีกสองคนมาถึงโรงเรียนแล้ว
และเมื่อมาถึงห้องวิทยาศาสตร์ ครูนัยนาก็เริ่มเช็ครายชื่อเด็กๆ เพื่อตรวจว่าใครกันแน่ที่กล้าโดดในรายวิชาของเธอ เสียงขานชื่อดังขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั้งมาถึงรายชื่อหนึ่ง
“กฤษณะ”
คำตอบที่ได้คือความเงียบ
“กฤษณะ อรุณกาล”
“ครับ!!!”
เสียงขานรับที่ดังมาแต่ไกลทำให้ครูนัยนาหรี่ตามองไปที่ประตูก็พบกับเด็กนักเรียนคนหนึ่งกำลังเบรคสุดตัวโก่งจนดอกยางรองเท้าเสียดสีกับพื้นดังเอี้ยด! เจ้าของชื่อกุมเข่าและหอบใจหนักๆ หลายทีก่อนจะเงยหน้าขานรับอีกครั้ง
“มาครับ! ”
“ถือว่ามาทันก็แล้วกันนะ แต่วันหลังช่วยมาเร็วกว่านี้ด้วย ถ้าไม่รีบปรับปรุงระวังจะติดเป็นนิสัยไปจนโตล่ะ”
เฟิร์สที่ได้ยินดังนั้นก็ทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขานรับไปเท่านั้น
“งั้นก็เริ่มเช็คชื่อต่อแล้วกัน...วิณภัทร”
คำตอบที่ได้คือความเงียบ...
“วิณภัทร วารีนนท์” ครูนัยนาขานชื่ออีกครั้ง
คำตอบที่ได้ก็ยังคงเป็นความเงียบ...
“แปลกจริงๆ นะ ปกติวิณภัทรไม่เคยมาสายนี่”
“เออ..ครูครับ”
“มีอะไรหรือกฤษณะ? ”
“วิลมันอยู่นี่ครับ”
“อุ๊ยตายแล้ว! ทำไมวิณภัทรไปเกาะติดอยู่อย่างนั้นล่ะลูก! ”
เฟิร์สหันหลังให้เผยให้เห็นวิลที่ช็อคจนตาเหลือกเกาะหลังเฟิร์สแน่นยิ่งกว่าตุ๊กแกติดกาวตราช้าง เฟิร์สทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และตอบไป
“มันไม่เป็นอะไรหรอกครับ แค่หมดสติเพราะเจอเหตุการณ์ตื่นเต้นเกินจะรับได้เอง ปล่อยไว้เดี๋ยวก็ฟื้นขึ้นมาเองแหละครับ”
“เออๆ งั้นก็พาเพื่อนไปนั่งไป”
ครูนัยนาโบกมือให้เด็กนักเรียนของเธอไปนั่งที่ประจำของพวกเขา เฟิร์สตรงไปยังโต๊ะกลุ่มก็พบกับเพื่อนซี้ทั้งห้านั่งกุมท้องกลั้นหัวเราะกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ฟ..เฟิร์ส ถามจริง แกไปทำอีท่าไหนให้วิลมันแปลงร่างเป็นตุ๊กแกเกาะอยู่บนหลังแบบนั้นได้วะ?”
กานน์เอ่ยทำด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ เขากุมท้องและอยากทุบโต๊ะรัวๆ ติดที่ว่ายังอยู่ในคาบเรียนเลยทำไม่ได้
“อย่าเพิ่งถามดิ ช่วยกันแกะมันออกก่อนได้ไหม? หนักจะตายอยู่แล้วเนี่ย”
หลังจากงัดวิลที่ยากเย็นจนแทบจะใช้แชลงงัดออกเป็นที่เรียบร้อยแล้วพวกเขาก็คุยกันเงียบๆ ระหว่างรอครูเช็คชื่อตามประสาเด็กม.ต้น
“กานน์ แกเป็นอะไรวะเห็นจับต้นคอมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”
เฟิร์สเอ่ยถามขึ้นเพราะเห็นท่าทางไม่ค่อยปกติ
“ไม่รู้อ่ะ พอเห็นครูนัยนาแล้วมันรู้สึกปวดคอขึ้นมาตงิดๆ เหมือนอาการตอนคอเคลื่อนจะกำเริบฟะ”
“เขาเรียกอาการบาดเจ็บจากความทรงจำ อะไรที่เป็นต้นเหตุของความเจ็บปวดพอกลับมาเห็นก็หวนนึกถึงความเจ็บปวดเวลานั้น” วิทย์เอ่ยเสริม “แต่ครูห้องพยาบาลเราก็เก่งเนอะ ดัดคอแกกลับมาเป็นปกติได้โดยแทบไม่ต้องอาศัยเครื่องมือทางการแพทย์เลย”
“น..นั่นสินะ”
จู่ๆ กานน์ก็หน้าแดงแปร๊ดจนเพื่อนๆ รู้ได้ทันทีว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับหมอนี่แน่ๆ
“อาการแบบนี้แกไปทำอะไรไว้อีกรึเปล่าเนี่ย? ”
ท็อปเอ่ยถามขึ้นเพราะด้วยนิสัยค่อนข้างไปทางเด็กเกรียนของกานน์ทำให้เจ้าตัวมักจะหาเรื่องเข้าตัวโดยไม่รู้ตัว แต่สิ่งที่น่าแปลกคือเจ้าตัวมักจะรอดจากปัญหาเพราะได้รับการอุปถัมภ์จากเหล่าสตรีในโรงเรียนซะส่วนใหญ่
“คาวเกิร์ล...”
“ว่าไงนะ? ”
“ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ! ครูเช็คชื่อเสร็จแล้ว ตั้งใจเรียนๆ”
ดูเหมือนระฆังจะดังทำให้กานน์รอดจากการสอบปากคำไป
“ก่อนที่จะเริ่มเรียนครูมีเรื่องจะเตือนไว้ก่อนนิดหน่อย เห็นตู้กระจกเล็กๆ ที่มีผ้าคลุมวางอยู่ตรงโต๊ะครูไหม ในนั้นมีงูที่ครูจะใช้ในการวิจัยอยู่นะเพราะฉะนั้นห้ามยุ่งเด็ดขาด เข้าใจนะ”
“ครับ/ค่ะ”
การเรียนดำเนินไป ผ่านคาบวิชาและพักเที่ยงจวบจนถึงเลิกเรียน
“เออเว้ย ฉันลืมหนังสือเคมีไว้ที่ห้องวิทยาศาสตร์ฟะ”
ในตอนที่กำลังจะกลับบ้านนั้นกานน์ก็โพล่งขึ้นกลางวง ซึ่งทั้งหกคนที่เดินอยู่เดินอยู่ด้วยกันก็หันมามองเห็นตาเดียว
“ไปเป็นเพื่อนหน่อยดิ”
ว่าแล้วทั้งเจ็ดก็เฮโลกันไปที่ห้องวิทยาศาสตร์อีกครั้งแม้จะมีคำบ่นของวิทย์กับท็อปอยู่ตลอดทางก็ตาม
“แล้วแกลืมไว้ที่ไหนล่ะ? ” วิทย์เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงปนหงุดหงิด “รีบๆ หาเข้านะเฟ้ย ฉันมีเรียนพิเศษตอนหกโมงเย็น”
“มันน่าจะอยู่ในเก๊ะของโต๊ะวิทยาศาสตร์...เจอแล้ว! ” กานน์ชูหนังสือวิทยาศาตร์ขึ้นเหนือหัวและยิ้ม “ครูแกให้การบ้านไว้ให้ส่งพรุ่งนี้ด้วย ขืนไม่ทำมีหวังกระดูกคอเคลื่อนอีกแหง”
“จะว่าไปวันนี้มีเรียนเคมีด้วยเหรอ ทำไมไม่เห็นรู้เรื่องเลยฟะ?”
วิลเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย เพราะเขาหมดสติไปทั้งคาบเลยทำให้ไม่มีความทรงจำส่วนนี้หลงเหลืออยู่เลย เหล่าเพื่อนๆ ก็ทำได้เพียงหัวเราะแห้งๆ โดยเฉพาะเฟิร์สที่มองนกมองไม้เพื่อหลบหนีความผิด
“ได้หนังสือแล้วก็รีบกลับกันเถอะ ใกล้มืดแล้ว รินมันทำท่าสัปหงกแล้วน่ะ”
ท็อปเอ่ยเร่งเพื่อนๆ ให้รีบออกจากห้อง เพราะห้องวิทยาศาสตร์อยู่ในมุมที่หลีกเลี่ยงแสงมากที่สุดเนื่องจากมีสารเคมีหลายชนิดที่มีผลกระทบต่อแสงอาทิตย์ห้องนี้จึงมืดเร็วกว่าที่ภายนอกเป็น ด้วยบรรยากาศของห้องวิทยาศาสตร์ที่ดูมีมนต์คลังเมื่อตกอยู่ในความมืดทำให้ที่นี่ไม่น่าอยู่เลยสักนิด
เมื่อโดนเพื่อนเร่งทั้งเจ็ดก็รีบออกจากห้อง แต่เพราะความมืดทำให้กานน์มองไม่เห็นรายละเอียดของห้องและเดินชนเข้ากับโต๊ะครู มือที่สะบัดไปมาเพื่อทรงตัวนั้นปัดโดนเข้ากับอะไรบางอย่างเข้า
เสียงกระจกแตกดังขึ้นและหลังจากนั้นไม่นานความเจ็บปวดก็แล่นแปร๊บที่บริเวณขาของกานน์
“โอ้ย! อะไรวะเนี่ย!! ”
เฟิร์สกวาดสายตามองไปในความมืดและเห็นบางอย่างเคลื่อนที่อยู่ มันเป็นงูที่ครูนัยนาพูดถึงเมื่อเช้าแน่ๆ เขารีบตะโกนบอกคนที่พอจะจัดการมันได้
“นพ งูหลุด! จับมันที!! ”
“จัดไป!”
ว่าแล้วนพก็คว้าหมับเข้าที่บริเวณส่วนหัวของงูเพื่อไม่ให้มันสามารถแผ่แม่เบี้ยและกดส่วนหัวและปากไม่ให้มันอ้าปากกัดหรือพ่นพิษใส่ใครได้
“อะไร ตัวอะไรกัดฉัน งูใช่ไหม มีพิษหรือไม่มีพิษกันแน่! ”
ส่วนเจ้าคนที่โดนงูกัดนั้นนอนลงไปดิ้นเร้าๆ อยู่บนพื้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ข่าวดีว่ะเพื่อน” เฟิร์สที่กำลังพิจารณางูในมือของนพเอ่ยขึ้น
“ไม่มีพิษ? ”
“งูแมวเซาว่ะ มีพิษต่อระบบเลือดด้วยล่ะ”
“ข่าวดีบ้านเตี่ยเอ็งดิไอเฟิร์ส!! ”
“ใจเย็นๆ ดิเพื่อน ส่งโรง'บาลทันก็รอดแล้วป่ะ? ”
“เอ็งไม่เป็นคนโดนไม่รู้หรอกว่ามันรู้สึกยังไง! ”
“งั้นรอแป๊บ” เฟิร์สกล่าวก่อนที่เขาจะคุ้ยบางอย่างในกระเป๋านักเรียนและหยิบกระเป๋าเล็กๆ เมื่อเปิดออกก็พบกับเข็มฉีดยาเล็กๆ อยู่ภายในนั้น
“เคยได้ยินสมการที่ว่าลบเจอลบเป็นบวกไหมกานน์” เฟิร์สพูดขึ้นพร้อมกับดันอ๊อกซิเจนออกจากเข็มฉีดยา ทำให้สารที่อยู่ในเข็มฉีดยาพุ่งปรี๊ดออกได้อย่างน่าหวาดเสียวเป็นที่สุด
“ทำไมเหรอ? ” กานน์ถามกลับอย่างงงๆ
เฟิร์สไม่ตอบและไม่พูดพร่ำทำเพลง แทงเข็มฉีดยาเข้าบริเวณเหนือบาดแผลและฉีดเข้าสู่ร่างกายกานน์อย่างรวดเร็วเล่นเอากานน์ร้องจ๊าก
“ทำอะไรของแกฟะ!” กานน์ร้องประท้วง
“ไม่เห็นรึไง ฉีดยา”
“รู้เฟ้ยว่าฉีดยา แต่แกฉีดอะไรให้ฉัน!”
“พิษ” เฟิร์สพูดขึ้นก่อนจะเก็บเข็มฉีดยา
“................”
สะตั้นกันถ้วนหน้าห้าวิ
“อ๊ากกกก!!!” กานน์ร้องลั่นด้วยความตกใจ
“แกจะบ้าเหรอฉีดพิษเข้ามาได้ เดี๋ยวก็ตายเร็วกว่าเดิมหรอก!”
“บอกแล้วไงว่าลบเจอลบเป็นบวก” เฟิร์สพูดพลางกลั้วหัวเราะ
“ฉันเชื่อแต่ว่าบวกเจอบวกเป็นบวกเฟ้ย”
“เอาน่าจะอธิบายอะไรให้นะ ถึงจะเป็นพิษก็เถอะแต่ถ้าเจอพิษที่มีฤทธิ์ตรงกันข้ามมันก็หักล้างกันที่ฉีดเมื่อเข้าไปเมื่อกี้เป็นพิษของแมงป่องประเภทหนึ่งที่มีฤทธิ์ตรงกันข้ามกับพิษของงูแมวเซา เลยมีการหักล้างกันทำให้ฤทธิ์ของพิษทั้งสองชนิดนี้มันไม่แสดงผล และก็ปล่อยให้เวลามันผ่านไปภูมิคุ้มกันก็จะเริ่มปรับสภาพได้ พิษในร่างกายก็จะหายไปเองแหละ วิธีนี้นอกจากจะแก้พิษที่อยู่ในร่างกายได้แล้วยังทำให้ภูมิคุ้มกันของเราต้านทานพิษสองชนิดนี้ด้วย เห็นไหมล่ะ แผลเริ่มหายบวมแล้ว เลือดก็เริ่มหยุดไหลแล้ว” เฟิร์สพูดพลางชี้ไปที่บาดแผลที่เริ่มหายบวมพองอย่างที่เฟิร์สพูดไว้
“ไอ้ทฤษฎียาวเฟื้อยนั่นมันอะไรฟะ..อ๊ะ! เลือดหยุดไหลแล้ว" กานน์มองบาดแผลที่ถูกงูกัด เลือดที่ไหลไม่หยุดเมื่อสักครู่เริ่มก่อตัวกันแล้ว
“ก็บอกแล้วไงว่าลบเจอลบเป็นบวกนะ” เฟิร์สพูดพลางหัวเราะ
“แล้ว...”
เสียงหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจไปยังต้นเสียงก็พบกับนพที่กำลังจะถูกงูรัดแขนด้วยความโมโห
“เอายังไงกับงูของครูนัยนาดี”
วันต่อมางูนั้นก็อยู่ในขวดโหลดองที่ยังไม่ได้ใช้ของห้องวิทยาศาสตร์โดยมีจดหมายขอโทษเหน็บไว้ข้างๆ
