บทที่ 1 การเดินทางไปโรงเรียนอันแสนตื่นเต้นเร้าใจ
กริ้งงงง!
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น มือเอื้อมควานหานาฬิกาปลุกที่ส่งเสียงน่ารำคาญกวนประสาทนี่แล้วทำให้มันหยุดซะ พอเจอแล้วก็หาปุ่มกดให้มันหยุดส่งเสียงแหลมกวนประสาทนี่ซะที แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ด้วยความง่วงที่เมื่อคืนนอนดึกไปหน่อยบวกกับความหงุดหงิดในยามเช้า เขาจึงทำสิ่งที่ทำให้ผมเดือดร้อนในอนาคต....
ด้วยการขว้างมันเข้ากับกำแพง...
ตูมม!!
...บอกได้คำเดียวครับ เละ
“เฮ้ย! เฟิร์สตื่นได้แล้วจะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงเมื่อไหร่!”
“จ๊ากกกกกกกกก!!!”
เสียงตะโกนปานสายฟ้าฟาดทำเอาผมที่นอนอยู่อย่างสบายใต้ผ้าห่มถึงกับสะดุ้งโหยงก่อนจะหันมาโวยกับพี่ชายตัวดี
“โห่พี่ไมล์ไม่เห็นต้องปลุกแบบนี้ทุกเช้าก็ได้นิ ทำอย่างนี้ทุกเช้าหูผมจะตึงเอาเข้าสักวัน”
ไมล์ผู้เป็นพี่ชายยักไหล่ก่อนจะตอบกลับน้องชายของเขาที่พอตื่นมาก็โวยวายจนน่ารำคาญ
“ทำไงได้ในเมื่อแกขี้เซาขนาดนี้ ใช้วิธีธรรมดาปลุกก็ไม่เห็นจะตื่นเลยนี่ ถ้าไม่อยากให้พี่ทำอย่างนี้บ่อยๆ ก็รีบๆ ตื่นสิไอ้น้องเวร”
“ค๊าบบบ~”
เฟิร์สทำได้เพียงลากเสียงยาวเพราะมันก็ผิดที่เขาจริงๆ ก็จะเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองโยนนาฬิกาไปที่ไหนก็ไม่รู้ พอลองมองหาก็พบกับเศษซากของนาฬิกาที่หน้าปัดเข็มสั้นชี้ไปที่เลขเจ็ดและเข็มยาวชี้ไปที่เลขสิบสอง
7.00 น.
ตายหอง!!!
“พี่ตอนนี้กี่โมงแล้ว!”
“7.40น.พี่พูดตามตรงว่าแกไม่น่าเข้าเรียนทันฟะ” ไมล์แสยะยิ้มอย่างน่าถีบเป็นที่สุด “ได้ข่าวว่าครูที่โรงเรียนโหดนี่ ทำใจไว้ด้วยนะ”
“ฉิบหายแล้วววว!!!”
ว่าแล้วคนตื่นสายก็รีบกุลีกุจอแต่งตัวเข้าห้องน้ำ ผมสีดำกระเซอะกระเซิงของเขาถูกเอาน้ำกวักลวกๆ พอให้ผมที่ยุ่งหลังจากตื่นนอนมีน้ำหนักพอจัดทรงได้ ดวงตาสีน้ำตาลลุกลี้ลุกลนมองหาน้ำยาบ้วนปากที่เขามักใช้ประจำยามตื่นสาย อย่างน้อยก็ไม่อุบาทว์ทิ้งกลิ่นปากอันสดชื่นยามเช้าให้ลำบากคนอื่นทั้งวัน
เสื้อผ้าชุดนักเรียนถูกสวมใส่อย่างลวกๆ เอาให้พอไม่ผิดระเบียบลงเรียนและทำการวิ่งลงจากห้องนอนชั้นสองมาอย่างลานจอดรถหน้าบ้านเร็วที่สุดเท่าที่เด็กวัยสิบสามปีอย่างเขาพอจะทำได้
“สายแล้วๆๆ สายอีกแล้ว!”
เฟิร์สรีบวิ่งกระโดดควบซีบีอาร์สีดำคันโปรดของเขาอย่างรีบร้อน
“7.45น. แล้วนะไอ้น้อง”
อย่าย้ำนักได้ม้ายยยย!!!
“สายแล้วๆๆ สายจริงๆ แล้วแบบนี้!” เสียงร้องโวยวายจากบ้านข้างๆ เขาหันไปตามต้นเสียง โอ้!! เพื่อนรักร่วมชะตาเขานี่เอง
ใบหน้าคมเข้มแสดงอาการรีบร้อนและเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อตามปอยผมสีน้ำตาลกับดวงตาสีน้ำเงินเข้มที่ดูลุกลี้ลุกลนนั้นเป็นสิ่งยืนยันได้เลยว่ากำลังหาทางรอดจากเวลาที่ไม่เคยสงสารใคร และดูเหมือนทางรอดนั้นจะไม่มีซะด้วย
“ว่าไงวิล วันนี้ตื่นสายเหรอ”
เฟิร์สเอ่ยถามขึ้น เรียกสายตาลุกลี้ลุกลนนั้นให้มามองตน
วิณภัทร วารีนนท์ หรือวิล เป็นเพื่อนที่เขารู้จักมาตั้งแต่จำความได้แล้ว ทั้งสองคนมีชะตาคล้ายๆ กันตรงที่ว่าพ่อกับแม่ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ด้วยที่ว่าพ่อเป็นทหารเรือที่ต้องไปประจำการอยู่ที่กรุงเทพ กับแม่ที่เป็นนักเปียโนในวงออเคสตร้าที่ต้องเดินสายออกแสดงเลยไม่ค่อยได้กลับมาบ้าน แม่ของวิลเลยฝากให้ไมล์ช่วยดูแลด้วยอีกคน เรียกได้ว่าตัวแทบจะติดกันมาตั้งแต่เด็กเลย
“เออ เมื่อวานฝึกเปียโนเพลงใหม่เพลินเลยนอนดึกไปหน่อย แล้วแกละ”
วิลถามกลับบ้าง ซึ่งคนถูกถามก็เพียงยิ้มและตบมอเตอร์ไซค์ที่นั่งอยู่เบาๆ
“โมดิฟายด์ลูกรักเฟ้ย”
วิลได้เพียงเอียงคอกับคำตอบกำกวมของเพื่อนซี้สมัยเด็กคนนี้
โดยที่ไม่รู้ตัว ไมล์มาโผล่อยู่ตรงหน้าประตูบ้านพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเนิบๆ
“7.50 น.แล้วนะน้องๆ ทั้งหลาย”
““อ๊ากกกกก!!!””
ทั้งคู่ตะโกนแทบจะพร้อมกันเมื่อเส้นตายบีบเข้ามาทุกทีๆ
“เฮ้ย วิลซ้อนมอร์’ ไซค์เร็ว เดี๋ยวก็ไปโรงเรียนสายหรอก!”
วิลหน้าซีดเผือด ความทรงจำตอนที่ซ้อนมอเตอร์ไซค์เฟิร์สครั้งล่าสุดโผล่พรวดขึ้นมาทันที
“ม่ายยยย!!! ยังไงฉันก็ไม่ซ้อนมอร์’ ไซค์แกอีกแล้วโว๊ย แกจำคราวที่แล้วที่แกพาฉันแหกด่านได้ไหม คราวนั้นเกือบตายแล้วนะเฮ้ย!”
“ครั้งนั้นมันเหตุจำเป็นจริงๆ ใครจะไปรู้เล่าว่าตำรวจจะคิดพิเรนไปตั้งด่านตรงนั้นล่ะ”
“แล้วแกก็มันเขี้ยวแหกด่านว่างั้นเหอะ อีกอย่างแกขับรถผิดกฎจราจรจริงๆ นะเว้ย!”
วิลโวยวายอย่างเคืองเมื่อนึกถึงตอนที่เพื่อนรักคนนี้บิดด้วยความเร็ว125กิโลเมตรต่อชั่วโมงฝ่าด่านตรวจจนตำรวจแกวอ.เรียกพวกยกมาทั้งกรมไล่จับกันเกือบครึ่งวัน แต่ที่น่าทึ่งคือไอ้คนที่แหกด่านมันหนีรอดมาได้อย่างน่าเหลือเชื่อด้วยเทคนิคที่สุดแสนจะอันตราย เสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินเป็นที่สุด (เขาเรียกว่าหนีตำรวจด้วยเทคนิคเทพท่องยมบาลเฟ้ย:เฟิร์ส) (งั้นแกไปคนท่องยมบาลคนเดียวเหอะ:วิล)
“เออน่า ตกลงแกจะไปหรือไม่ไปฮะ คาบแรกวิชาวิทยาศาสตร์ครูนัยนาสอนด้วยนะเฮ้ย”
“ต่อให้ยมบาลมาลากฉันไปซ้อนท้ายแกฉันขอดับสลายดีกว่า”
ถึงปากจะพูดอย่างนั้นแต่วิลเริ่มมีอาการลังเลแล้ว ก็ครูวิชาวิทยาศาสตร์ของเราโหดอย่างกับอะไรดี ไมล์เห็นไม่ไปสักทีเลยเตือนน้องๆ ทั้งสองด้วยน้ำเสียงเหมือนพูดเรื่องลมฟ้าอากาศ
“7.55น.แล้วนะหนูๆ ทั้งสอง”
วิลกระโดดขึ้นซ้อนท้ายเฟิร์สแทบจะทันที
“ไปเลยเพื่อนอย่าให้เสีย”
ไหนบอกว่ายมบาลมาลากก็จะไม่ซ้อนท้ายตูไงฟะไอ้หอกหักเอ้ยยยยย!!!!
จะว่าไปยังไม่ได้บอกสินะ พ่อของเฟิร์สเป็นนักแข่งรถมืออาชีพล่ะ
“เฮ้ยๆๆ ข้างหน้าๆ จะชนแล้ว จะชนแล้ววววว!!!!!!!!!!!!!!!!!”
“เงียบๆ หน่อยได้ม้ายยย!!!” เฟิร์สตะโกนด้วยความรำคาญ ก่อนจะหักรถหลบรถเก๋งที่อยู่ด้านด้วยระยะห่างเพียง1ฟุต ก่อนจะบิดพุ่งทะยานไปด้วยความเร็ว125กิโลเมตรชั่วโมง ทุกท่านฟังไม่ผิดหรอกครับ125กิโลเมตรต่อชั่วโมงท่ามกลางถนนที่รถติดอย่างกับอะไรดีนี่แหละครับ
“จะบิดแรงไปไหมเนี่ย!!”
“นี่แหละธรรมดาแล้ว เออ... เกาะให้แน่นๆล่ะ”
“หา?”
คำตอบของวิลปรากฏขึ้นเมื่อเฟิร์สทำการยูเทิร์นโดยการดริฟท์พร้อมกับเอี้ยวตัวจนหน้าแข้งเกือบถูพื้นรอดใต้รถสิบล้อที่ขับมาตามทางของเขาไปยังเลนในของถนนก่อนจะหมุนตัวสามรอบเพื่อคืนสมุดลของรถ
“อ๊ากกก นี่ไงเหตุผลที่ฉันไม่อยากซ้อนท้ายแกไอ้บ้า! แล้วไอ้เทคนิกดริฟท์ลอดใต้รถสิบล้อนี่มันสมควรไหม?! แกกะจะฆ่าฉันด้วยการทำให้หัวใจวายใช่ไหม?!!”
“เออน่า เดี๋ยวไม่ทันนะเว้ย ไปสายรับรองแกได้เจอลงโทษแน่”
เฟิร์สตอบกลับอย่างอารมณ์ดีที่ได้กวนประสาทเพื่อนสนิท
“เฮ้ยๆๆๆ ไฟแดง! ไฟแด๊ง!! สิบล้อมาโน้นแล้ว!! เบรคโว้ย!!! เบรคคคคคค!!!”
“เบรคก็ไม่ทันแล้วโว้ย!”
“ขอเวลานอก!!! เบรก เบรกกกก!!!”
ตอนนั้นเองก็เป็นเวลาที่เพลงชาติดังขึ้น
เอี๊ยดดดดดดดด!!!!!!!!!!!!
เสียงเพลงชาติดังขึ้นพร้อมกับเสียงเบรกสนั่นถนน วิลที่ซ้อนอยู่เมื่อรับรู้ถึงแรงเบรกก็แทบจะตกรถทันที พอตั้งตัวได้ก็จ้องตาเฟิร์สผ่านกระจกรถด้วยสายตาเคียดแค้นปานจะกลืนกิน
“แกเบรกหาบรรพบุรุษท่านหรือครับไอ้เฟิร์ส”
วิลกัดฟันพูดด้วยอารมณ์อยากจะฆาตกรรมคนตรงหน้าหมกท่อ
“อ้าว!! ก็เพลงชาติขึ้นจะให้ทำยังไงอะ คนไทยป่าวๆ”
“ตอนนี้มันเวลาเร่งด่วนเฟ้ย ไม่ทันเข้าแถวแล้วแกรีบบิดให้มิดเลยอย่างน้อยก็ทันคาบแรกแหละ ฉันยังไม่อยากเสียประวัติการเรียนหรอกนะ”
“เอางั้นนะ”
เฟิร์สเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ
วิลพยักหน้าตอบ
และเจ้าตัวก็แสยะยิ้มกว้างทำให้วิลหนาวๆ ร้อนๆ เหมือนจะเกิดอาเพศแก่ตน
นี่เราคิดถูกรึเปล่าที่ไปเร่งเฟิร์สวะ?
ไม่นานบทสนทนาที่พูดกับเฟิร์สก่อนออกมาก็แวบขึ้นมาในหัว
“ว่าไงวิล วันนี้ตื่นสายเหรอ”
“เออ เมื่อวานฝึกเปียโนเพลงใหม่เพลินไปหน่อยเลยนอนดึกไปหน่อย แล้วแกละ”
“โมดิฟายด์ลูกรักเฟ้ย”
“โมดิฟายด์ลูกรัก”
“โมดิฟายด์…”
“........”
ฉิบหาย!!!! ไอ้นี่มันแต่งเครื่องมาใหม่นี่หว่า!!!!!!!!!!!!!
รู้ตัวอีกทีก็เป็นตอนที่เพลงชาติจบไปแล้ว
แว้นนนนนนน!!!!!!
“อ๊ากกกกกกก!!!!!”
วิลตะโกนสุดเสียเมื่อเจอความเร็วใหม่แรงกว่าเดิมด้วยความเร็ว200กิโลเมตรต่อชั่วโมง
แรงต้านที่มีต่อการเครื่องที่ฉับพลันทำให้วิลแทนตกรถไปในทันทีหากเกาะเฟิร์สไม่ทัน
“แกจะแต่งเครื่องเอาเร็วไปถึงไหน!!!”
“จนกว่าจะเร็วเหนือเสียงแหละเพื่อน ฮาฮาฮ่า”
เสียงหัวเราะและเสียงโวยวายยังคงดังอยู่อย่างนั้นตลอดทางไปโรงเรียนของทั้งสอง
ลานจอดรถในโรงเรียนที่เฟิร์สและวิลเรียนอยู่
ลุงยามประจำโรงเรียนนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ไปเหลือบมองถนนหน้าโรงเรียนไปอย่างเสียวๆ ก่อนจะเปรยออกมาเบาๆ
“หวังว่าไอ้หนูนั่นวันนี้คงลาหยุดนะ ไม่งั้นมีหวังได้หัวใจวายแน่ ว่าแล้วก็เสียวๆ ไปกินยากันไว้ก่อนดีกว่า” พูดเสร็จก็ลุกขึ้นกะว่าจะไปจริงๆ แต่แล้วก็มีเสียงที่ลุงยามไม่อยากได้ยินที่สุดในวันนี้ก็มาถึง
แว้นนนนนน!!!
“เฮ้ย!!” แทบไม่ต้องคิด ลุงยามแกกระโดดหมุนตัว360องศาหลบรถซีบีอาร์ที่ทะยานมาได้อย่างเฉียดฉิวชนิดที่ในชีวิตแกไม่เคยทำได้มาก่อนเลย
ซีบีอาร์คันนั้นทะยานเข้าไปบริเวณที่จอดรถช่องที่ว่างอยู่ ก่อนจะเบรกดันเอี๊ยดดังสนั่นไปทั่วโรงเรียนจนคนแถวนั้นต่างหันมามองกันใหญ่ แต่เมื่อเห็นต้นเหตุเป็นใครก็เลิกสนใจ...ดูเหมือนจะเกิดเรื่องแบบนี้บ่อยจนชินแล้วละมั้ง
คนขับมอเตอร์ไซค์ถอดหมวกกันน๊อกออกก่อนจะยกนิ้วให้ลุงยาม
“เซฟ! เอาไปสิบคะแนนเลยลุง”
“เซฟบ้านแกดิ! เล่นเอาข้าอายุสั้นลงไปตั้งครึ่งหนึ่งเลยนะเว้ย!!!”
“ลุงยังมีอายุให้สั่นลงอีกเหรอ” เฟิร์สทำตาโต
“ไอ้นี่ปากเสีย”
ลุงแกสบถเล็กน้อยตามความเคยชิน แต่ไอ้การที่เจอมอเตอร์ไซค์พุ่งเข้ามาในโรงเรียนด้วยความเร็ว200กิโลเมตรต่อชั่วโมงทุกวันเนี่ยทำเอาเขาเป็นโรคหัวใจแล้ว ดีนะวันนี้อดีนารีนในร่างกายทำงานดี ไม่งั้นเขาคงม้วนมรณากลายเป็นวิญญาณเฝ้าป้อมโรงเรียนแน่
เฟิร์สกำลังจะลงจากมอเตอร์ไซค์ แต่ติดที่ยังมีมือตุ๊กแกที่เกาะเขาแน่นราวกับชาตินี้จะไม่มีวันปล่อยลงแน่นอน
“เฮ้ย วิลถึงโรงเรียนแล้ว เอามือตุ๊กแกของแกออกไปได้แล้วโว้ย”
..... ไม่มีเสียงตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก
เฟิร์สมองกระจกรถก็พบว่าวิลนั้นสลบไปแล้ว เขาถึงกับนับถือในสัญชาตญาณเอาตัวรอดของวิล
ในเมื่อรับไม่ไหวก็ไม่ต้องรับสิ สลบไปเลยง่ายกว่า
ดูเหมือนเจ้าตัวจะคิดอย่างนั้นนะ
“ผมไปก่อนนะลุง ฝากกุญแจรถด้วยนะ”
เฟิร์สพูดก่อนจะแบกวิลขึ้นหลังและวิ่งไปที่ชั้นเรียนของตน
“รีบๆ ไปเลย เดี๋ยวอีก10นาทีจะเข้าเรียนแล้ว อย่าให้สายละ”
พอเฟิร์สไปแล้วลุงยามก็ถอดกุญแจออกจากมอเตอร์ไซค์ของเฟิร์สมาเก็บไว้ก่อนจะไปนั่งที่ป้อม
“โอย โรคหัวใจกำเริบ กินยาก่อนดีกว่าวะ วันนี้มันขับเร็วกว่าปกติสงสัยไปแต่งรถมาใหม่ด้วย อ๊ากกก! นี่เราต้องเจอแบบนี้อีกทุกวันเลยหรือเนี่ย!!!”
ลุงยามเบ้ปากและไว้อาลัยให้กับชีวิตของตัวเองเมื่อนึกถึงอนาคตอันใกล้นี้
