บทที่ 13 ปริศนาสมาชิกคนที่ 6 (จบตอน)
“แกแน่ใจนะธนูว่าทำแบบนี้แล้วจะได้ผล ?” คนเป็นพ่อเอ่ยถามลูกชาย
“ครับ ยังไงคนคนนั้นก็ต้องมาที่นี่” ชายหนุ่มตอบขรึมๆ “ผมเตรียมของไว้พร้อมแล้ว เดี๋ยวแจกให้ตำรวจทุกนายได้เลยครับ"
ทั้งน้ำเสียงและท่าทางนิ่งขรึมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จนแม้แต่บัวบกยังอดชำเลืองมองไม่ได้ แต่นั่นเองที่ทำให้เธอถึงกับชะงักไป
“หมอนี่...” หญิงสาวพึมพำหน้าเครียด เธอจำได้แล้วว่าเขาคือคนที่พาผู้หญิง 2 คนไปประมูลหมวกแก๊ปของชวิน การที่เขาปล่อยให้สุนัขตัวนั้นวิ่งเข้าใส่กลุ่มของพวกเธอ ก็เพื่อให้มันพิสูจน์กลิ่น ส่วนการที่เขารู้ว่าเธอเป็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิ ก็เพราะเขาเห็นเธอที่ไปร่วมรับเงินบริจาคกับแม่ครูในวันนั้น ผู้ชายคนนี้ยังเป็นคนเดียวกับที่ขี่มอเตอร์ไซค์มาดูพวกเธอที่หอพักของประยุทธ์ หลังจากที่เจอกันก่อนหน้านั้นที่ร้านอาหารตามสั่ง
“บ้าที่สุด !” บัวบกกัดปากด้วยความเจ็บใจตัวเองที่จดจำธนูได้ช้าไป
“คนเจ็บที่อาการหนักสุดพ้นขีดอันตรายแล้วครับ” ภูผารายงาน พล.ต.ต.เกรียงไกรเป็นระยะ ระหว่างคุยโทรศัพท์กับพงศ์ซึ่งได้รับมอบหมายให้ไปคุ้มกันผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาล พร้อมกำลังตำรวจอีกส่วน
“บอกเขาด้วยว่าให้นัดคนที่หมออนุญาตให้กลับบ้านได้ มาให้ปากคำในวันพรุ่งนี้ด้วย” ท่านนายพลสั่งการเสียงเครียด ตรงข้ามกับใบหน้านิ่งๆ ปานหุ่นขี้ผึ้งในพิพิธภัณฑ์
“คนที่จะทำแบบนั้นได้ น่าจะเป็นอดีตนักมวยอย่างนายขจรนะครับ” ธนูครุ่นคิดก่อนจะพูดขึ้นขรึมๆ แต่นั่นเองที่ทำให้บัวบกหันขวับมามองเขาอย่างคาดไม่ถึง
“ไปสืบมาเพิ่มอีกหรือไง ?” คนเป็นพ่อนิ่วหน้าถาม
“ครับ... ขจร เรืองเมืองเคยเป็นนักมวยสังกัดค่ายแมน ศักดิ์ศรี แต่หลังจากขึ้นชกแพ้รุ่งเรือง โกสินทร์ ค่ายชาญชัย ก็หายหน้าไปจากวงการ ข่าวว่าตอนนั้นมีการบังคับจ้างล้มมวยด้วย”
“รุ่งเรือง โกสินทร์นี่เด็กปั้นของ ส.ส.วิชิตไม่ใช่เหรอ !?” ภูผาถามขึ้นด้วยความตกใจ
“ทั้งในฐานะคนที่มีความแค้นส่วนตัว และฐานะการ์ดของแก๊ง ไม่ผิดแน่ครับ !” ธนูพยักหน้ายืนยันข้อมูลที่ตนได้ จากการสืบค้นต่อยอดข้อมูลที่เขาได้รับมาจากกองทะเบียน
“พูดต่อไปซิ รู้อะไรมาอีก” พล.ต.ต.เกรียงไกรสั่งลูกชายซึ่งดูจะเป็นการเป็นงานกว่าทุกครั้ง แต่สำหรับบัวบกแล้ว ท่าทางของธนูในวันนี้ทำให้เขาดูเป็นบุคคลอันตรายยิ่งขึ้นไปอีกมากกว่า !
“แฮกเกอร์ของทีมคือ ลิชล สินธนาวัฒนะ เป็นนักศึกษาวิศวะปี 4 มหาวิทยาลัยเอกชนเดียวกับหัวหน้าแก๊ง จึงไม่จำเป็นต้องขู่บังคับถามรหัสผ่าน เวลาโอนเงินจากบัญชีธนาคารของ ส.ส.แต่ละคนเข้าบัญชีมูลนิธิแต่ละที่” ธนูแจกแจงรายละเอียดของแต่ละคนได้อย่างชัดเจน จนบัวบกใจหาย
“คนที่เป็นเหมือนกุญแจผีของทีม คือ ประยุทธ์ เจริญงาน ซึ่งน่าจะเป็นพวกสิบแปดมงกุฎ เพราะไม่สามารถตรวจสอบอาชีพประจำที่แน่นอนได้ ส่วนหัวหน้าแก๊งนี้ ก็คือ ชะ...”
“พอได้แล้ว !”
เสียงขุ่นๆ ของบัวบกที่ดังขัดขึ้น ทำเอาทุกคนชะงักหันไปมองเธอ
“รู้ขนาดนี้แล้ว ยังจะต้องมาคาดคั้นอะไรจากฉันอีก เอาฉันเข้าคุกไปซะเลยก็สิ้นเรื่อง หรือคิดจะเอาตัวฉันไว้ใช้ประโยชน์อย่างอื่น คนอย่างพวกนายมันก็ดีแต่รังแกคนจนเท่านั้นแหละ !” หญิงสาวจ้องหน้าธนูด้วยความเจ็บแค้น เจ็บใจตัวเองที่เสียรู้ผู้ชายท่าทางไม่เต็มบาทคนนี้
“เธออายุยังไม่ถึง 20 เข้าคุกไม่ได้หรอก อย่างมากก็ส่งบ้านเมตตา แต่พรรคพวกของเธอน่ะโดนแน่ ความผิดหลายกระทงเลยด้วย พวกเราถึงอยากรู้ปูมหลังของแต่ละคน เผื่อจะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้บ้าง หรือเธออยากเห็นแฟนเธอติดคุกหัวโต หมดอนาคต ต้องขึ้นคานชั่วชีวิต เอ... หรือจะเป็นม่ายกันแน่นะ” ธนูมิวายกวนประสาท ด้วยเรื่องส่วนตัวของคนทั้งคู่
“รู้แล้วมีประโยชน์แน่เหรอ ในเมื่อแรงผลักดันที่ทำให้พวกเราต้องทำแบบนี้ มันก็มาจากพรรคพวกของนายทั้งนั้น !” บัวบกสวนกลับ แต่พอธนูอ้าปากจะเถียงต่อ ก็กลับถูกผู้เป็นพ่อยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้หยุดพูด
“พอได้แล้ว ! จากนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้กองภูผาสืบคดีต่อ แกไม่จำเป็นต้องเข้ามายุ่งกับคดีนี้อีก”
ประกาศิตของท่านนายพลแห่งกองปราบฯ ทำเอาธนูถึงกับอ้าปากค้าง และแม้จะรู้ดีว่านั่นคือคำสั่งในฐานะพ่อที่เป็นห่วงลูก แต่ชายหนุ่มก็ยังอดดึงดันอยู่ในใจไม่ได้ นั่นคือสิ่งที่คนเป็นพ่ออย่างพล.ต.ต.เกรียงไกรเองย่อมรู้ดีเช่นกัน
ระหว่างที่ฝ่ายตำรวจกำลังเป็นกังวลกับสถานการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้น แก๊งองค์กรลับใต้ดินของชวินก็กำลังประชุมเครียดกับเหตุการณ์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วไม่แพ้กัน
“แทนที่จะได้รับการชื่นชมจากพวกชาวบ้าน ฉันว่าพวกเราจะโดนสมน้ำหน้าเวลาติดคุกมากกว่า !” ลิชลบ่นใส่ชวินระหว่างนั่งรับประทานอาหารกลางวัน ภายในร้านอาหารใกล้บริษัทที่หนุ่มแว่นตัวอันตรายฝึกงานอยู่ “นายคิดยังไงถึงให้ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาในกลุ่มแทนบัวบก ไหนว่าจะไปช่วยยัยนั่นให้ได้ไง ?”
“ฉันไม่มีทางเลือก ผู้หญิงคนนั้นบอกว่ามีวิธีช่วยบัวบก แล้วก็รับรองผลร้อยเปอร์เซ็นต์” ชวินซึ่งมีรอยช้ำอยู่ที่มุมปากตอบซึมๆ ข้าวในจานยังไม่พร่อง
“นี่แกเป็นคนบอกแม่คนนั้นนั่นเหรอว่าพวกเราทำอะไรน่ะ !?” ลิชลตบโต๊ะเสียงดังจนจานชามสะเทือน และจนลูกค้าคนอื่นในร้านหันมาจ้องมองพวกเขากันเป็นตาเดียว
“เบาๆ หน่อยก็ได้ครับคุณลูกค้า คนเขาหันมามองกันทั้งร้านแล้วครับ” ประยุทธ์ที่ปลอมตัวเป็นพนักงานเสิร์ฟประจำร้านก้มลงไปกระซิบบอก ขณะทำทีเข้ามารับออเดอร์รายการอาหาร
“กาแฟดำถ้วยนึง” ลิชลหันมาสั่งเครื่องดื่มเพิ่ม แล้วหันกลับไปจ้องหน้าคาดคั้นชวินต่อ “แกบ้าหรือเปล่าชวิน ! แกบอกอะไรผู้หญิงคนนั้นไปบ้าง !”
“ฉันไม่ได้บอกอะไรทั้งนั้น แล้วฉันก็ไม่รู้ด้วยว่าผู้หญิงคนนั้นรู้เรื่องนี้ได้ยังไง !” ชวินถอนหายใจหนักๆ สีหน้าเคร่งเครียดกับสิ่งที่ประเดประดังกันเข้ามา
“ไว้ใจไม่ได้จริงๆ ทีนี้จะทำยังไงกันล่ะ ความคิดผู้หญิงคนนั้นใช่ไหมที่ให้ไปบ้านส.ส.นั่น แล้วดูจรมันทำ ขนาดแกมันยังไม่เว้นเลย” ลิชลชี้ไปที่รอยแตกที่ปากมุมของชวิน “ถึงขนาดนี้แล้ว แกยังจะให้แม่คนนั้นอยู่ในกลุ่มอีกเหรอ หายนะมาเยือนแน่ๆ !”
“บอกแล้วไงว่าฉันไม่มีทางเลือก ยังไงก็ต้องเดินตามแผนจนกว่าจะช่วยบัวออกมาได้” ชวินยังคงยืนยันคำพูดเดิม ในเมื่อบัวบกคือคนที่เขาเป็นห่วงที่สุด ณ เวลานี้
“แล้วผู้หญิงคนนั้นบอกคุณชวินหรือเปล่าล่ะครับว่าเมื่อไหร่ ?” ประยุทธ์ถามขึ้นบ้างอย่างใจเย็น
“พรุ่งนี้ !”
คำตอบของชวิน กับระยะเวลาที่กระชั้นกระชิดอย่างที่ใครก็ไม่อาจตั้งตัวได้ทัน ทำเอาสองหนุ่มที่เหลือถึงกับชะงัก !?
