Trick or Treat แสบ... กวน... ป่วนเมือง!!

137.0K · จบแล้ว
พลอยนิล, Ameyuki, ต้นส้มในป่าสน
52
บท
168
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

เมื่อแก๊งปล้นนักการเมือง ต้องมาเจอกับสายสืบสุดกวน ผู้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวชนิดโจรยังอาย ชนักติดหลังกำลังจะพลิกผันไปเป็นอย่างอื่น หรือเมืองหลวงศิวิไลซ์จะอยู่ท่ามกลางเปลวไฟสีแดงฉาน !!

นิยายแอคชั่นนิยายสืบสวนสอบสวนนิยายปัจจุบันนักศึกษาอัจฉริยะสายลับตำรวจรักวัยรุ่นพระเอกเก่งตลก

บทนำ

ค่ำคืนดึกสงัด ท่ามกลางแสงจันทร์เสี้ยวและหมู่ดาวที่แข่งกันส่องประกาย แต่งแต้มผืนฟ้าสีดำสนิทให้สวยงาม ที่ด้านหน้าโกดังไม้ร้างไร้ผู้คนแถบชานเมือง ซ้ำยังอยู่ในสภาพเก่าๆ ผุๆ พังๆ เหม็นอับ รวมทั้งล้อมรอบไปด้วยต้นหญ้ารกชัฏ ชายในชุดสูทดำกลมกลืนกับความมืด 2 กลุ่ม จำนวนรวมกันเกือบ 10 คน กำลังแลกของบางอย่างซึ่งบรรจุอยู่ในกระเป๋าเจมส์บอนด์หนักอึ้ง เปล่า... พวกเขาไม่ใช่แก๊งองค์กรยิ่งใหญ่และใหญ่ยิ่งที่หลุดออกมาจากการ์ตูนหรืออนิเมะเรื่องใด ทว่าเป็น...

“โอเค ของครบ”

“เงินก็ครบ”

ต่างฝ่ายต่างตรวจดูสิ่งของของอีกฝ่ายอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาด แม้เพียงน้อยนิด อันจะนำไปสู่ชะตาชีวิตที่พลิกผันกลับหน้ามือเป็นหลังเท้า แต่ตอนนั้นเองที่เสียงของใครอีกคนดังขึ้น

“เงามืดที่ดำมืดยิ่งกว่าเงาแห่งราตรี ก็คือ เงามืดในจิตใจมนุษย์”

เสียงทุ้มๆ ของเขาคนนั้น ทำเอาพวกมันที่กำลังจะแยกย้ายกันกลับรังนอนแสนสุขที่อุดมไปด้วยเหล้ายาปลาแซลมอนถึงกับชะงัก

“เฮ้ย ! ใครวะ... แกเป็นใคร ! ?”

ทั้งสองฝ่ายกราดปืนไปที่กิ่งไม้ใหญ่เบื้องหน้า อันเป็นที่ที่เจ้าของเสียงมาดกวนสถิตอยู่ ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มในชุดสูทขาวก็ยังคงนั่งปั้นยิ้มปั้นจิ้มปั้นเจ๋อเก๊กหล่อแบบทองไม่รู้ร้อน

“พูดแค่นี้ร้อนตัวกันใหญ่เลยนะ”

“แกนั่นแหละที่รนหาที่... ยิงมันให้พรุน อย่าให้มันหนีรอดไปได้นะเว้ย !”

สิ้นเสียงสั่งการ ห่ากระสุนก็พุ่งออกจากปากกระบอกปืนทุกกระบอกพร้อมกัน ก่อกำเนิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวหูดับตับไหม้ โดยไม่มีใครรู้ว่านั่นเป็นเพียงแค่กระจกเงาแปะสติ๊กเกอร์ 3D ขนาดเท่าคนจริง ที่ถูกติดตั้งไว้บนกิ่งไม้เพื่อใช้ตบตาพวกมันทั้งหลายเท่านั้น

เพล้งๆ ๆ ๆ

กระจกเงาบานใหญ่ที่ว่าแตกละเอียดจากห่ากระสุน เศษกระจกร่วงกราวลงมาใส่มนุษย์ปืนไวทั้งหลายจนต่างพากันร้องลั่น

“เฮ้ย ! อะไรเนี่ย เศษกระจกมาจากไหนวะ ! ?”

เสียงโวยวายดังขึ้นพร้อมเพรียงจนฟังแทบไม่ได้ศัพท์ ยิ่งเมื่อดังประสานกับเสียงกรอบๆ แกรบๆ กร๊อบๆ แกร๊บๆ ของกระจกชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ถูกรองเท้าหนังเหยียบแล้ว ช่างเป็นดนตรีที่ฟังไพเราะเสียนี่กระไร อา... นี่สินะที่เค้าว่ากันว่าฟังดนตรีเถิดชื่นใจ

“มัวไปยิงที่ไหนกันล่ะนั่นน่ะ ฉันอยู่ตรงนี้ต่างหาก วู้ว... ทางนี้ๆ”

เสียงทุ้มๆ ดังขึ้นอีกหลังเสียงปืนสงบลง คราวนี้ต้นเสียงมาจากบนหลังคาโกดัง สถานที่ซึ่งชายหนุ่มปริศนานั่งอยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรกแล้ว

“แก ! ! ไปอยู่บนนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่... นะ... นะ... นี่แกเป็นใครกันแน่เนี่ย ! ?” พวกสูทดำละล่ำละลักถามด้วยความตกใจ พลางจ้องมองอีกฝ่ายด้วยอาการตกตะลึง และยิ่งตะลึง ตึง ตึง เมื่อได้เห็นชุดคอสเพลย์ที่เขาคนนั้นสวมอยู่

...ชายหนุ่มในชุดสูทสีขาวสะอาดทั้งชุด เชิ้ตสีน้ำตาลแก่กับไทค์สีครีม ถุงมือ หมวกทรงสูง และรองเท้าหนังสีขาวเข้าชุด สุดท้ายคือแว่นขาเดียวสีชาที่ช่วยปกปิดใบหน้าที่แท้จริงไว้ได้นิดหนึ่ง

“ฉันเป็นใครน่ะเหรอ ? ...นั่นสินะ ไม่ค่อยมีใครรู้จักฉัน เพราะใครที่ได้เจอฉันแล้วมักจะไม่รอด” เขายิ้มที่มุมปาก แล้วถอดหมวกทรงสูงมาถือไว้ ทำเอาพวกสูทดำสะดุ้ง พากันกราดปืนมาที่เขาอีก

“ฉันคงเป็นนักมายากล... ล่ะมั้งนะ” ชายหนุ่มเก็บใบไม้แห้ง 2-3 ใบ บนหลังคาโกดังใส่ลงไปในหมวก ดึงผ้าเช็ดหน้าสีขาวของตัวเองมาปิดไว้ พอเปิดออกลูกโป่งสีขาวก็ลอยออกจากหมวกของเขาขึ้นไปบนท้องฟ้า

“แกทำอะไร จะส่งสัญญาณเรียกพวกหรือไง หรือว่าเรียกตำรวจ ! ? ลงมาดีกว่าถ้าไม่อยากเจ็บตัว !” คนเป็นหัวหน้าร้องสั่ง ทั้งยังวางท่าให้ดูเหี้ยมโหดสมฐานะมือสังหารประจำแก๊ง

“กลัวจัง” เขาหัวเราะหึๆ ในลำคอ มือล้วงเข้าไปข้างในเสื้อสูท “ลืมบอกไปว่าฉันคงจะเป็นนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะด้วย”

“เหอะ ! นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะงั้นเหรอ น่าขำว่ะ ฉันว่าเป็นพวกที่หลุดออกมาจากโรงพยาบาลบ้ามากกว่าล่ะมั้ง” พวกมันหัวเราะกันครืน และยิ่งฮากันท้องคัดท้องแข็ง เมื่อเห็นว่าสิ่งที่เขาล้วงออกมา คือลูกบอลสีขาวขนาดเหมาะมือ

“นั่นไง ! เล่นลูกบอลด้วย” ใครคนหนึ่งชี้ให้เพื่อนร่วมแก๊งดูของที่เหมือนลูกบอลหากแต่ไม่ใช่ลูกบอลชิ้นนั้น

“ลูกบอลงั้นเหรอ จะใช่ไหมนะ ใช่หรือเปล่า ใช่ไหมหว่า ใช่ไหมๆ” ชายหนุ่มโยนวัตถุทรงกลมในมือข้ามหัว มืออีกข้างตั้งท่าเตรียมรับทันทีที่มันตกลงมา แต่ปรากฏว่าพลาดถูกนิ้วกระเด็นร่วงไป

“ฮ่าๆ โยนบอลแค่ลูกเดียวยังรับไม่ได้ นี่เหรอนักมายากล” เสียงสบประมาทยังดังตามมาไม่หยุดหย่อน

“นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะต่างหาก” เขาตอบยิ้มๆ ไม่ทันขาดคำ...

บึ้มมม ! !

เสียงระเบิดดังก้องกัมปนาท พร้อมๆ กับกลุ่มควันที่ฟุ้งตลบอบอวลไปทั่วอาณาบริเวณโกดังร้าง ไม่มีเลือด ไม่มีเสียงร้องแสดงความเจ็บปวด มีเพียงร่างสลบไสลไม่ได้สติของบรรดามนุษย์สูทดำโง่เขลา ที่ต่างสูดหายใจเอายานอนหลับเข้าไปซะฉ่ำปอด

“อย่างฉันน่ะเหรอจะโยนพลาด” ชายหนุ่มชะโงกหน้ามองเยาะๆ ก่อนจะชะเง้อมองไปที่ถนนลูกรังทางเข้าเขตโกดังร้าง “เสียงกรีดร้องกับลูกไฟสีแดงเพลิง... มาแล้วสินะ” เขายิ้มอย่างพอใจ และยังคงนั่งเก๊กหล่อทำเท่รอการมาของคนอีกกลุ่ม

หวอ หวอ หวอ หวอ ! !

เสียงไซเรนตำรวจดังประสานมาแต่ไกล ต่างพร้อมใจกันห้อตะบึงมาหยุดที่หน้าโกดังไม้เก่าแก่ จวนพังแหล่มิพังแหล่ท่ามกลางทุ่งหญ้ารกร้างสูงท่วมหัวหลังนี้ ซึ่งอาจเต็มไปด้วยสัตว์เลื้อยคลานไม่ทราบจำนวนนานาชนิด จากนั้นประตูรถตราโล่ก็เปิดผางออกแทบจะพร้อมเพรียง

“หยุดนะ ! นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ยอมให้จับซะโดยดี” ตำรวจนับสิบนายกราดปืนใส่เป้าหมาย แต่ก็ต้องยืนงงไปตามๆ กัน เมื่อพบว่าคนทั้งหมดต่างพากันนอนแอ้งแม้งไม่ได้สติอยู่บนพื้น

“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ! ? คุณๆ เป็นอะไรกันไปหมด ! ?” แต่ละนายช่วยกันเขย่าตัวพวกสูทดำว่าที่ผู้ต้องหาคดียาเสพย์ติด ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครฟื้นจากนิทราในค่ำคืนนี้

“ทั้งหมดนอนนิ่งเลยครับ แต่ยังหายใจอยู่ ตามร่างกายไม่พบบาดแผล ส่วนของกลางยังอยู่กับมือผู้ต้องหา ทั้งเงินแล้วก็ยาเสพย์ติดครับ”

ร.ต.อ.ภูผา ผู้กองหนุ่มมือดีจากกองปราบปราม ซึ่งอยู่ในชุดนอกเครื่องแบบ แจ็คเก็ตผ้าร่มดำกับยีนส์ กลมกลืน ทะมัดทะแมง หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการในครั้งนี้ ทำความเคารพพร้อมกับรายงานสถานการณ์ แก่นายตำรวจร่างท้วมผู้ลงจากรถเก๋งตราโล่ที่แล่นเข้ามาจอดตรงหน้าโกดังร้างเป็นคันสุดท้าย

“อย่างนั้นเหรอ” อีกฝ่ายหน้าขรึม พลางกวาดตามองสถานที่เกิดเหตุ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปบนหลังคาโกดัง มือดึงปืนจากเอวเล็งขึ้นไปบนนั้น “คนที่อยู่บนนั้น ลงมาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันยิงแน่ !”

เสียงเข้มๆ ของ พล.ต.ต.เกรียงไกร ทำเอาบรรดาตำรวจชั้นผู้น้อยหันมองหน้ากันเลิกลั่ก แล้วต่างพากันยกปืนขึ้นเล็งไปที่หลังคาโกดังบ้าง นั่นเองที่ทำให้เสียงโอดครวญของบุรุษสูทขาวดังขึ้น

“อะไรกัน ! ผมเป็นพลเมืองดีแท้ๆ นะเนี่ย” น้ำเสียงของเขาเจือแววขบขัน โดยไม่ได้หวาดกลัวต่อห่ากระสุนใดๆ

“ขะ... ขะ... คุณธนู ! !” ภูผาอุทานชื่อของเขาด้วยความตกใจ ชายหนุ่มรีบส่งสัญญาณมือให้ตำรวจทุกนายลดปืนลง ตรงข้ามกับนายพลมือฉมังแห่งกองปราบฯ ที่ยิ่งเดือดดาลมากขึ้น ซ้ำยังเตรียมเหนี่ยวไกปืนที่บรรจุกระสุนอยู่เต็ม