บท
ตั้งค่า

บทที่ 14 ห่ากระสุนในความมืด

คืนนั้น สมาชิกแก๊งองค์กรลับใต้ดินทั้งหมดยกเว้นบัวบก รวมตัวกันออกปฏิบัติการซ้ำอีกครั้งตามแผนการของพักตรา ราวกับจะเป็นการท้าทายกฎหมายและตำรวจ ท่ามกลางการประโคมข่าวของบรรดาสื่อมวลชน ยิ่งทำให้ผู้เกี่ยวข้องกับคดีทั้งหลายพากันใช้ชีวิตอย่างไม่เป็นสุข ถึงแม้เวลาจะล่วงเลยผ่านมาอีก 1 คืนแล้วก็ตาม

“หายไปกับเงามืดเกือบ 1 อาทิตย์ หลังการบุกเข้าจับกุมระหว่างออกปฏิบัติการโดยฝีมือของเจ้าหน้าที่กองปราบปราม วันนี้แก๊งองค์กรลับใต้ดินออกอาละวาดอีกแล้วครับ คืนก่อนบ้านส.ส.วิชิต ส่วนคืนที่ผ่านมาเป็นคิวของ ส.ว.อวยชัย...”

ธนูเปิดโทรทัศน์ดูสกู๊ปข่าวพิเศษภาคดึก แต่ไม่ทันจะรู้เรื่องเท่าไหร่ หมอนหนุนใบเขื่องก็ลอยเฉี่ยวหัวไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด

“อะไรของเธออีกล่ะ เดี๋ยวก็โดนข้อหาทำลายทรัพย์สินราชการอีกกระทงหรอก” ชายหนุ่มหันไปโวยวายเอาเรื่องของเจ้าของการกระทำอันป่าเถื่อน ไร้อารยธรรม

“นายนั่นแหละลงใจยั่วโมโหฉัน จะเปิดดูอะไรนักหนา แค่มานั่งเฝ้านอนเฝ้าให้รำคาญ ยังไม่ใจพออีกหรือไง !” บัวบกเท้าเอวหน้าบูด เข้ากับเสียงเขียวๆ ที่ใช้

“คิดว่าฉันอยากมานอนเฝ้าเธอมากหรือไง ฉันสงสารผู้กองที่ต้องเทียวไปเทียวมา ทั้งทำคดีทั้งเฝ้าเธอจนเป็นไข้ต่างหาก ! " ธนูตอบเซ็งๆ พร้อมกับเร่งเสียงโทรทัศน์ให้ดังขึ้น

“นี่คือสภาพบ้านหลังการถูกปล้นครับ จะเห็นได้ว่าไม่มีห้องไหนถูกรื้อค้นเลยนอกจากห้องครัว ทั้งอาหารแห้งและอาหารปรุงสำเร็จไม่มีเหลือเลยครับ แถมเครื่องปรุงทั้งหลายยังถูกลำเลียงขึ้นไปใช้ในการแต่งหน้าให้เจ้าบ้านด้วย ตามรูปเลยครับ นี่คือใบหน้าของท่าน ส.ว.อวยชัยและภรรยา บีฟอร์แอนด์อาฟเตอร์ ก่อนและหลังการปล้น แทบจำเค้าเดิมไม่ได้เลย ขาวๆ ที่รองพื้นอยู่ทั่วหน้านี่คาดว่าคงเป็นแป้งชุบไข่ครับ สีแดงนี่คงเป็นซอสมะเขือเทศ...”

เสียงรายงานของผู้สื่อข่าวในโทรทัศน์เป็นดั่งเข็มแหลมคมนับพันๆ เล่ม ที่ทิ่มแทงลงบนหัวใจและร่างกายของบัวบก เสมือนกับเธอได้ถูกบังคับส่งตัวไปเข้าคอร์สฝังเข็มอย่างไรอย่างนั้น

“พอได้แล้ว ! ดูไปแล้วมันได้อะไรขึ้นมา พ่อนายสั่งให้เลิกยุ่งกับคดีพวกฉันไม่ใช่หรือไง” บัวบกลุกเดินไปปิดโทรทัศน์ ท่าทางโมโหๆ แต่ธนูก็รู้ว่านั่นคือสิ่งที่ทำเพื่อกลบเกลื่อนเท่านั้น

“ทำไม ! อายที่ต้องไปปล้นของกินเขาหรือไง นี่แหละที่เธอทำเพื่อปากท้องตัวเอง ไม่ใช่เพื่อคนเดินดินทั้งประเทศ หรือเธอจะเถียงว่าของกินพวกนั้น เธอเอาไปบริจาคตามมูลนิธิด้วย พวกของแห้งก็ยังพอว่า แต่พวกอาหารปรุงสำเร็จเนี่ย กว่าจะถึงเช้าต้มจืดหมูสับกับแกงหมูคงบูดแล้วมั้ง” ชายหนุ่มแกล้งขุดคุ้ยเรื่องต่างๆ ขึ้นมาแทงใจดำบัวบก แล้วลุกหนีไปที่ประตู คล้ายตั้งใจจะปล่อยให้อีกฝ่ายคลุ้มคลั่งอยู่คนเดียว

“อีตาบ้า ! นายเห็นหรือไง พูดเหมือนรู้ดีไปหมดซะทุกเรื่อง” บัวบกเถียงข้างๆ คูๆ แต่ใช้ตัวช่วยเป็นเสียงเขียวๆ เข้าข่มไว้ก่อน

“ก็เพราะเห็นไง ! ของพวกนั้นถูกแบ่งเป็น 3 ส่วน เธอ นายขจร นายประยุทธ์ 3 คนพอดี ถ้าผิดตรงไหนก็เถียงมาได้เลย ไปออกแรงปล้นเขามา เลยต้องเติมพลังงานสินะ”

คำตอบของธนูทำเอาบัวบกยืนสะอึกอีกรอบ

“นะ... นั่นฉันเอาไปเลี้ยงหมาแถวมูลนิธิต่างหาก กะ... ก็ทีนายล่ะ ยังหลอกพาผู้หญิง 2 คนไปประมูลหมวกแก๊ปคุณชวินเลย” เธอหาเรื่องมาเถียงธนูจนได้ แม้มันจะไม่เกี่ยวข้องกันเลยก็ตาม แต่นั่นเองที่ทำให้ชายหนุ่มชะงักมือที่กำลังจะเปิดประตู พร้อมกับหันขวับมาจ้องหน้าบัวบกจนเธอสะดุ้ง

“อย่ายุ่งกับผู้หญิง 2 คนนั้นเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน !”

เสียงขุ่นๆ กับใบหน้าถมึงทึงของธนู ทำเอาบัวบกปิดปากที่กำลังจะเถียงต่อแทบไม่ทัน

“คบผู้หญิงทีละ 2 คน แถมไม่ยอมสับรางอีก คนอะไรหน้าหนาชะมัด !” เธอแอบบ่นอยู่คนเดียว เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายออกไปจากบ้านแล้ว

“ผู้หญิงอะไรตาไวเป็นบ้า แต่ 2 คนนั้นแต่งหน้ากันขนาดนั้นคงไม่มีใครจำตัวจริงได้หรอกมั้ง” ธนูเองก็ยืนบ่นอยู่หน้าประตู แต่กลับต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นในความเงียบของราตรี

“อ้าว ! คุณธนู ผมนึกว่าเป็นผู้กองซะอีก” พงศ์เดินยิ้มร่าเข้ามา ใบหน้ายามต้องแสงไฟถนนมองดูคล้ายซอมบี้ร่างอ้วนกำลังฉีกยิ้มอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์สุกสกาว

“ผมเห็นผู้กองเป็นไข้ เลยกล่อมให้กลับไปนอนที่บ้านแล้วล่ะครับ เดี๋ยวเป็นหนักขึ้นมาถึงขั้นหามส่งโรงพยาบาลจะยุ่ง เอ่อ... แล้วที่ผมขอให้พี่พงศ์ช่วยสืบ ได้เรื่องอะไรบ้างไหมครับ ?” ธนูตอบยิ้มๆ แล้วถือโอกาสถามถึงเรื่องที่ค้างคากันอยู่

“แหม ! ก็ต้องได้สิครับ แต่กว่าจะจิ๊กรูปสเกชต์ไปถ่ายเอกสารได้ ก็แทบเอาตัวไม่รอดเหมือนกันครับ” พงศ์พูดพร้อมกับล้วงกระดาษแผ่นหนึ่งออกจากกระเป๋ากางเกง และคลี่ส่งให้ธนู

“ขอบคุณครับ” ธนูรับกระดาษมาเพ่งมองรูปสเกชต์ในมือ แล้วเงยหน้าขึ้นมองหลอดไฟเหนือศีรษะ ซึ่งมีแมลงเม่าบินมาเกาะอยู่เต็ม จำต้องหันไปหาพงศ์อีกรอบ “พี่มีไฟฉายไหมครับ ?”

“สองกระบอกไปเลยครับ จะได้เห็นชัดๆ” สิบตำรวจรุ่นพี่ส่งไฟฉายที่เหน็บอยู่ที่เอวให้กระบอกหนึ่ง มืออีกข้างถือไฟฉายอีกกระบอกบริการส่องให้แบบรวดเร็วทันใจ ด้วยลำแสงแบบสปอร์ตไลท์ มองเห็นลึกถึงรูขุมขน

“ขอบคุณมากครับ” ธนูรับไฟฉายมาเปิด แล้วนั่งลงเพ่งมองรูปภาพในมืออีกครั้ง

...มันคือใบหน้าของหญิงสาว 1 ในสมาชิกแก๊งองค์กรลับใต้ดินผู้เข้ามาแทนที่บัวบก โดยการสเกชต์ภาพจากคำบอกเล่าของพยานในที่เกิดเหตุ และแม้จะถูกบังด้วยหมวกไอ้โม่ง จนมองเห็นเพียงดวงตากลมโตคู่นั้น ถึงอย่างนั้นก็มั่นใจว่าหากบังเอิญได้เดินสวนกันบนถนน เขาจะต้องนึกสะกิดใจแน่ เพราะคงไม่มีผู้หญิงคนไหนที่มีดวงตาฉายแววเลือดเย็นได้ขนาดนี้อีกแล้ว !

“แล้วเรื่องทำร้ายร่างกายนั่นล่ะครับ เจ้าทุกข์ให้รายละเอียดอะไรบ้างไหมครับ ?” ชายหนุ่มหันไปถามสิ่งที่อยากรู้ต่อ

“คนร้ายเป็นคนเดียวกันครับ ดูเหมือนเขาจะโกรธ แล้วก็พาลทำร้ายทุกคนที่เข้าไปขวางเขา ไม่ให้เข้าถึงตัวส.ส.วิชิต ทุกคนให้การตรงกันว่าท่าทางเหมือนคนคลุ้มคลั่งไร้สติ ขนาดหัวหน้าแก๊งที่เข้าไปห้ามยังโดนทำร้ายด้วยเลย” พงศ์ใส่อารมณ์เสียจนเผลอพ่นฝอยละอองออกมาจากปากด้วย

“ขนาดนั้นเลยหรือครับ ?” ธนูนิ่วหน้าถามย้ำ

“ครับ ท่าทางหัวหน้าแก๊งจะเป็นคนดีนะครับเนี่ย” อีกฝ่ายพยักหน้าหงึกๆ พลางแสดงความคิดเห็นส่วนบุคคลที่ตำรวจทั้งหลายไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง

“นั่นสินะครับ” ธนูตอบยิ้มๆ แล้วลุกขึ้นยืน พลอยให้พงศ์ต้องลุกขึ้นยืนไปด้วย “เดี๋ยวผมขอยืมไฟฉายก่อนนะครับ ว่าจะไปเดินดูแถวนี้สักหน่อย” เขาบอกระหว่างพับกระดาษใส่กระเป๋ากางเกง

“มืดออกนะครับคุณธนู มีตำรวจยืนเฝ้ารอบบ้านอยู่แล้ว ไม่มีอะไรหรอกครับ เดี๋ยวไปเหยียบงูหรือตะขาบเข้า ท่านได้เล่นงานผมตายแน่เลย” พงศ์แย้ง สีหน้าไม่สู้ดีนัก

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมอยู่กับความมืดจนชินแล้ว แถมใส่กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบอีกต่างหาก ส่วนเรื่องพ่อ ถ้าผมเป็นอะไรเพราะการกระทำของผมเอง คนที่จะโดนเล่นงานซ้ำก็คือผมครับ ไม่ใช่พวกพี่ๆ แน่” ธนูตอบยิ้มๆ ก่อนจะเดินถือไฟฉายส่องไปรอบๆ ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมครุ่นคิดอีกครั้ง

“คุณธนูขยันจังเลยนะครับ”

เสียงทักทายดังมาจากบรรดาตำรวจที่ยืนเฝ้าอยู่รอบตัวบ้าน ซึ่งธนูก็ได้แต่ยิ้มรับพลางมองสำรวจไปเรื่อยๆ กระทั่งเหยียบเข้ากับอะไรบางอย่าง

กร๊อบ !

เสียงคล้ายบางสิ่งแตกหักอยู่ใต้พื้นรองเท้า ทำให้ธนูจำต้องหยุดเดินและย่อตัวลงตะแคงเท้า พร้อมกับส่องไฟฉายดูให้รู้แน่

“หมากฝรั่ง ?” ชายหนุ่มนิ่วหน้า เขาคงคิดว่ามันเป็นแค่หมากฝรั่งธรรมดาที่คนอื่นเคี้ยวแล้วคายทิ้งไว้ ถ้ามันไม่มีเสียงเหมือนอะไรแตกด้วย หึ ! คงไม่ใช่เม็ดมะขามคลุกหรอกนะ ธนูหัวเราะฝืดๆ ขณะแกะสิ่งที่อยู่ข้างในหมากฝรั่งออกมาดู

“นี่มัน !!” เขาเบิกตากว้างกับสิ่งที่อยู่ในนั้น มันคือเครื่องส่งสัญญาณวิทยุชนิดความถี่ต่ำ ซึ่งนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ และแน่นอนว่ามันต้องเป็นของแก๊งนายชวิน พวกนั้นคงสืบจนรู้ว่าบัวบกอยู่ที่ไหน แล้วแอบติดหมากฝรั่งห่อเจ้าเครื่องนี่ เข้ากับรถของตำรวจคนใดคนหนึ่งที่ต้องมาอยู่เวรเฝ้าที่นี่

...หมากฝรั่งที่เริ่มแห้งและหลุดร่วงลงมาที่พื้น บ่งบอกว่าพวกนั้นคงรู้ที่อยู่ที่แท้จริงของบัวบกหลายวันแล้วว่าเป็นที่นี่ ไม่ใช่ที่กองปราบปรามตามที่ทางตำรวจปล่อยข่าวออกไป แต่ก็ช่างเถอะ ในเมื่อพวกเขาต่างก็เตรียมพร้อมกับเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วเหมือนกัน

“พี่พงศ์ครับ เสื้อเกราะกันกระสุนที่ผมทำมาให้ เอาให้ทุกคนใส่กันครบแล้วใช่ไหมครับ ?” ธนูเดินกลับมาหาพงศ์ที่หน้าประตูบ้าน พร้อมคำถามที่ทำให้อีกฝ่ายนิ่วหน้าสงสัย

“ครับ คุณธนูไปเจออะไรมาหรือครับ ?” เจ้าของหุ่นมะขามข้อเดียวถามกลับด้วยอาการวิตก

“เครื่องส่งสัญญาณครับ พวกนั้นคงรู้แล้วว่าเป็นที่นี่” ชายหนุ่มแบมือที่กำแน่นมาตั้งแต่เมื่อครู่ออก เผยให้เห็นเครื่องส่งสัญญาณรูปวงกลมขนาดจิ๋ว ซึ่งบัดนี้แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจากแรงเหยียบ

“ถึงว่าสิครับ เวลาใช้โทรศัพท์มือถือทีไร เหมือนมีคลื่นแทรกทุกที หลงนึกว่าแถวนี้สัญญาณไม่ดีเสียอีก ที่แท้ก็เครื่องนี่ ใช้แบบสัญญาณต่ำ เลยไม่มีใครเอะใจสักคน” พงศ์หยิบเศษเล็กเศษน้อยเหล่านั้นขึ้นมาดู สีหน้าเคร่งเครียดขึ้น “แต่คงไม่เป็นไรมั้งครับ พวกนั้นมีกันแค่ 5 คน ถึงจะบุกมาแบบไม่ทันตั้งตัว ก็คงสู้พวกเราตั้ง 15 คนไม่ได้ ต่างกันทั้ง 3 เท่า”

“คงอย่างนั้นมั้งครับ” ธนูตอบขรึมๆ ท่าทางไม่มั่นใจ เพราะไม่รู้ว่าลูกน้องของชวิน นอกเหนือจากคนที่ขับเฮลิคอปเตอร์มารับวันนั้นแล้ว ยังมีอีกกี่คน พลอยทำให้พงศ์ที่พยายามยิ้มสู้ปลอบใจตัวเอง เป็นกังวลไปด้วย

“ขอกำลังเสริมมาช่วยดีไหมครับ ?” พงศ์เสนอความคิด

“เรายังไม่รู้นะครับว่าพวกนั้นจะบุกมาวันนี้หรือเปล่า แล้วถ้าเกิดโทรไปเจอพ่อล่ะก็ โดนสวดเละกันหมดแน่ เพราะวันนี้พ่ออยู่เวรที่กองปราบฯ แทนตำรวจที่มาเฝ้าที่นี่ แล้วก็ยังไม่รู้ด้วยว่าผมมาอยู่เวรที่นี่แทนผู้กอง” ธนูถอนหายใจหนักๆ แล้วหมุนลูกบิดเปิดประตูเข้าไปในบ้าน เป็นเหตุให้เสียงเขียวๆ ของหญิงสาวที่กำลังเคลิ้มหลับ อยู่บนที่นอนปิกนิกตรงกลางโถงดังขึ้นอีกครั้ง

“ตาบ้า ! มายืนคุยกันหน้าประตู แล้วยังจะเปิดประตูเข้ามาให้ไฟแยงตาฉัน ให้ยุงมันบินเข้ามากัดฉันอีกหรือไง มารยาทน่ะมีไหม !” บัวบกลุกพรวดขึ้นนั่ง หน้าตาบูดบึ้งบอกบุญไม่รับ

“พี่พงศ์ครับ ผมขอยืมกุญแจมือหน่อย” ธนูไม่ตอบ แต่หันไปบอกพงศ์ มือยื่นไปรอรับสิ่งที่ร้องขอ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมส่งให้แบบงงๆ

“นี่นาย ! จะบ้าหรือไง ฉันพูดแค่นี้ถึงกับต้องใส่กุญแจมือกันเลยเหรอ เป็นลูกผู้ดีทนฟังไม่ได้ก็กลับไปนอนดูดนมพ่อซะไป” บัวบกม้วนที่นอนปิกนิกปาใส่ธนูที่เดินย่างสามขุมเข้ามาหา แต่พลาดไปโดนหน้าพงศ์จนเขาหงายหลัง หัวโขกประตู

“โอ๊ย ! มาปาผมทำไมครับเนี่ย” สิบตำรวจหนุ่มกุมทั้งหัวทั้งสันจมูก หน้าเบ้

“เพิ่มข้อหาทำร้ายเจ้าพนักงานอีก 1 กระทง” ธนูพูดขณะที่ยังคงถือกุญแจมือเดินตรงเข้ามาหาบัวบก จนเธอต้องถัดตัวหนี

“นั่นฉันจะปานายต่างหาก นี่ ! ถ้าเข้ามา ฉันสู้ยิบตาแน่” หญิงสาวมิวายใช้คำข่มขู่เป็นอาวุธ

“ยิ่งต้องเพิ่มโทษข้อหาทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานเลย อย่าลืมสิว่าฉันเป็นสายสืบสังกัดกองปราบปราม แถมวันนี้ยังมาปฏิบัติหน้าที่แทนเจ้าหน้าที่ด้วย โดนชุดใหญ่แน่คุณบัวบก” ชายหนุ่มใช้คำพูดประเภทเดียวกันสวนกลับ

“ขู่ฉันเหรอ ! อีตามนุษย์บ้าอำนาจ ! ฉันอยู่ที่นี่มาตั้งหลายวันแล้ว ไม่เห็นมีใครคิดจะใส่กุญแจมือฉันสักคน ตำรวจตั้งมากมายขนาดนี้ใครจะไปหนีได้ จิตหลอนหรือไง” บัวบกพยายามใช้พลังเสียงเข้าข่ม แต่ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์ เพราะประสาทหูของธนูชาชินกับเสียงประเภทนี้เสียแล้ว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel