บทที่ 11 ปากที่ปิดสนิท (จบตอน)
“กุญแจมือเอามาจากบ้าน กุญแจที่จะไขก็ต้องอยู่ที่บ้านสิ จะมาอยู่อะไรที่นี่ ฉันเคยบอกแกแล้วใช่ไหมว่าอย่าเอาอะไรมาใช้สุ่มสี่สุ่มห้า แกเคยฟังที่ฉันพูดบ้างหรือเปล่า นอกจากจะไม่ฟังแล้วยังสร้างปัญหาบ้าๆ บอๆ ให้ฉันไม่รู้จักเหนื่อย แกน่ะโตแล้วนะธนู ไม่ใช่เด็กเล็กๆ หัดคิดก่อนทำบ้าง ที่ฉันพูดมาแกเข้าใจบ้างไหม !” ท่านนายพลตำหนิลูกชายเสียงเครียด ส่วนบัวบกเพียงชำเลืองมองหน้าชายหนุ่มนิ่งๆ ไม่ยอมปริปากพูดอะไรเช่นเคย
“ครับ พ่อมีลวดเล็กๆ ไหมครับ ?” ธนูตอบรับและตั้งคำถามต่อไปอีก
“ฉันจะไปมีได้ยังไง !” คนเป็นพ่อหัวเสียหนักขึ้น
“กิ๊บติดผมก็ได้ครับ”
แต่ละคำพูดที่ออกมาจากปากคนเป็นลูก ดูเหมือนจะสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้ท่านนายพลไม่รู้จักจบสิ้น
“แกเห็นพ่อกับกองปราบฯ เป็นอะไร ร้านขายของชำหรือไง !”
อารมณ์เดือดปุดๆ ของพล.ต.ต.เกรียงไกร คงพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุดอยู่ในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า ถ้าหาก...
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ผมแค่จะเอามาไข... ปัดโธ่ ! มีกิ๊บอยู่ก็ไม่บอก” ธนูยิ้มออกมาได้ เมื่อเหลือบไปเห็นกิ๊บที่ติดอยู่บนผมของบัวบก และไม่รอช้าที่จะดึงมันออกมาใช้ โดยไม่รอให้เจ้าของอนุญาตเสียก่อน
“นี่ ! จะทำอะไรน่ะ !?” บัวบกสะบัดตัวหนีไปที่ประตู
“ฉันจะไขกุญแจมือออกให้ หรือเธออยากออกไปพบเจ้าของมูลนิธิในสภาพนี้ ?”
คำตอบของชายหนุ่มทำให้บัวบกชะงักไปในทันที เธอปล่อยให้เขาใช้กิ๊บไขปลดกุญแจมือออกอย่างชำนาญราวกับเป็นโจรเสียเอง และ...
“เอาล่ะ ! ไปกันได้แล้ว อย่าให้ผู้ปกครองของเธอต้องรอนาน” เขาเก็บกุญแจมือ และส่งกิ๊บคืนให้เธอ แต่แล้วตอนนั้นเอง...
เพียะ !!
หน้าของธนูหันไปตามแรงตบของบัวบก มันรวดเร็วเสียจนท่านนายพลที่กำลังจะบ่นว่าลูกชายถึงกับอ้าปากค้าง
“นายมันร้ายกาจที่สุด ! คิดจะเอาแม่ครูมาบีบให้ฉันยอมพูดหมดทุกอย่างงั้นสิ แม่ครูกับมูลนิธิไม่เกี่ยวอะไรด้วย อย่าดึงทุกคนเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่อย่างนั้นก็อย่าหาว่าฉันไม่เตือน” หญิงสาวกำหมัดสั่นระริก น้ำเสียงเกรี้ยวกราด ดวงตาคู่สวยที่จ้องมองมาที่ธนูบ่งบอกความเจ็บแค้น เหมือนกับริมฝีปากที่ถูกกัดจนขาวซีด ตรงข้ามกับธนูที่ยังคงเยือกเย็น... เขาบอกตัวเองให้เย็นไว้ เย็นจนถึงที่สุด !
“แล้วตอนที่คิดจะทำเรื่องพวกนี้ ทำไมไม่คิดถึงแม่ครูกับมูลนิธิ ไม่ใช่ไม่เกี่ยวข้อง แต่ทุกคนจะพลอยติดร่างแหกับสิ่งที่เธอทำ อย่าลืมว่าฉันมีหลักฐานว่าแก๊งของเธอโอนเงินเข้ามูลนิธิของเธอทุกครั้งที่ทำการปล้น ในขณะที่เธอมีแต่คำพูด”
คำพูดของธนูทำให้บัวบกชะงักไปอีกครั้ง
“เดี๋ยวผมมานะครับพ่อ” ชายหนุ่มหันไปบอกผู้เป็นพ่ออีกครั้ง ก่อนจะดันตัวบัวบกออกไปทางประตู ถึงอย่างนั้นก็ไม่ลืมที่จะฉวยแจ็คเก็ตซึ่งแขวนอยู่ภายในห้องมาด้วย
“เอ้า ! ใส่ซะ เดินโชว์เสื้อมีแต่รอยตะเข็บแบบนั้น ได้อายเขาตาย” เขายัดเสื้อใส่มือบัวบก และแม้จะยอมสวมมันแต่โดยดี แต่หญิงสาวก็ยังมิวายประชดประชัน
“กลัวแขกไปใครมาตำหนิพวกเดียวกันงั้นสิ !”
“เธอมากกว่ามั้งที่ต้องกลัวถูกเจ้าของมูลนิธิซักที่มาที่ไปของเสื้อ”
คำพูดของธนูแทงใจดำบัวบกอย่างแรง แต่เพราะเดินมาถึงห้องรับแขกที่ซึ่งแม่ครูของเธอนั่งรออยู่แล้ว เธอจึงได้แต่ชำเลืองมองเขาอย่างแค้นๆ
“ผมพาตัวคุณบัวบกมาแล้วนะครับ เชิญคุยกันตามสบายเลย เรื่องความปลอดภัยไม่ต้องเป็นห่วงครับ ผมจัดกำลังตำรวจเฝ้าไว้ทุกจุด” ธนูบอกแม่ครูกรุณา แต่เหมือนเป็นการจงใจบอกบัวบกไม่ให้คิดหนีมากกว่า
“ขอบคุณมากนะคะคุณตำรวจ” อีกฝ่ายยิ้มแย้มตอบ แล้วนั่งมอง ‘คุณตำรวจ’ ที่ว่า เดินออกจากห้องไปด้วยความชื่นชม
“แม่ครูไปขอบคุณเขาทำไมกันคะ คนแบบนั้นน่ะ” บัวบกมองตามหลังธนูไปด้วยแววตาเกลียดชัง ที่จริงเธออยากจะบอกด้วยซ้ำว่าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่ตำรวจ แต่ก็เกรงว่าคำพูดของเธอจะยิ่งทำให้แม่ครูต้องเดือดร้อนมากขึ้นไปอีก หากว่าภายในห้องนี้ติดเครื่องดักฟังหรือเครื่องบันทึกเทป
...คนพวกนั้นอาจจะใช้มันเพื่อบีบให้เธอยอมทำอย่างอื่นอีกก็ได้ !
“ไม่เอานะบัวบก ทำไมพูดจาแบบนั้นล่ะลูก คุณตำรวจเขาอุตส่าห์ช่วยดูแลความปลอดภัยให้เรา มีอะไรที่เป็นประโยชน์ก็บอกเขาไปให้หมดเถอะ เขาจับคนร้ายได้ก็เท่ากับว่าเราได้ทำประโยชน์ให้สังคมนะ”
คำพูดของแม่ครูกรุณา ทำให้บัวบกถึงกับนิ่วหน้าด้วยความงุนงง
“เอ่อ... ผู้ชายคนนั้นเล่าอะไรให้แม่ครูฟังบ้างคะ ?” เธอถามตะกุกตะกัก เพราะคาดไม่ถึงว่าทุกอย่างจะกลับตาลปัตรไปเสียหมด
“เขาบอกว่าหนูเห็นเหตุการณ์การปล้น แต่ไม่ยอมให้ปากคำ เลยต้องรับแม่มาช่วยพูด ไม่ถูกหรือลูก ?”
“เอ้อ... ถะ... ถูกค่ะ” บัวบกตอบตะกุกตะกัก เพราะรู้ดีแก่ใจว่ากำลังโกหกผู้มีพระคุณ ถึงอย่างนั้นทั้งหมดมันก็เป็นผลมาจากคำพูดของผู้ชายคนนั้น หญิงสาวไม่เข้าใจว่าเขาทำแบบนี้เพื่ออะไรกันแน่ หวังจะซื้อใจ หรือวางแผนบีบให้เธอยอมบอกสิ่งที่ต้องการ ไม่ว่าจะเพราะอะไรเธอก็ไม่มีทางมองเขาดีไปกว่านี้ได้ ไม่มีทาง !
หลังจากปล่อยให้ทั้งคู่ได้คุยกันเป็นการส่วนตัวประมาณครึ่งชั่วโมง ธนูก็ขับรถพาแม่ครูกรุณากลับมูลนิธิ โดยที่ตัวเขาเองนั่งเงียบมาตลอดทาง เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายสังเกตเห็นใบหน้าที่นวลเนียนจากการใช้รองพื้นลบรอยฝ่ามือแดงๆ บนแก้มซ้าย แต่แล้วเสียงของแม่ครูก็ดังทำงายความเงียบขึ้น
“ต้องขอโทษคุณตำรวจแทนบัวบกด้วยนะคะ ตั้งแต่เด็กมาแล้วที่บัวบกฝังใจอคติกับตำรวจ แม่ถูกพ่อเลี้ยงทำร้าย พอไปแจ้งความ ตำรวจเห็นว่าเป็นเรื่องครอบครัวก็เลยแค่ลงบันทึกประจำวันไว้ สุดท้ายแม่ก็เสีย พ่อเลี้ยงก็หนีไปอยู่ชายแดน ตามจับไม่ได้ บัวบกถูกส่งเข้ามาเป็นเด็กกำพร้าของมูลนิธิ พอโตขึ้นมาเป็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิแล้ว ก็มีเหตุให้ต้องขึ้นโรงพักไปแจ้งความเรื่องมูลนิธิถูกข่มขู่ แล้วก็ไปเจอร้อยเวรที่รับแจ้งเอาแต่สนใจกับรายการทีวีอีก ยิ่งทำให้บัวบกฝังใจหนักขึ้น”
น้ำเสียงของแม่ครูบ่งบอกถึงความกังวลที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจ กว่าสิบปีที่บัวบกเติบโตขึ้นมาภายใต้การดูแลของมูลนิธิ ทำให้แม่ครูรู้ดีว่าอีกฝ่ายยังมีความลับที่ไม่ได้เอ่ยปากพูดออกมามากมาย และมันก็เป็นเรื่องคอขาดบาดตายเสียด้วย !
“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ” ธนูยิ้มฝืดกับสิ่งที่หล่อหลอมอคติของบัวบกขึ้นมา พลางครุ่นคิดถึงคำพูดของตำรวจหญิงฝ่ายเอกสาร เจ้าของครีมรองพื้นบนหน้าเขา และเป็นเจ้าของเสื้อใหม่ที่บัวบกสวมอยู่ด้วย
“ขนาดพี่เสียสละเสื้อของพี่ให้ แถมยังต้องนั่งเย็บเสื้อที่ผ่าใส่ให้ตั้งนาน ยังไม่มีขอบคุณพี่สักคำ แย่จริงๆ เลย อายุก็ตั้ง 19 แล้ว ใช่ว่าเด็กเล็กๆ ซะเมื่อไหร่ แล้วดูซิเนี่ย ตบหน้าคุณธนูซะแบบไม่มีการยั้งมือเลยล่ะมั้งท่า” เจ้าของคำพูดเผลอใส่อารมณ์ลงไปกับการทารองพื้นให้เขา จนธนูได้แต่นั่งหน้าเหยเกให้กับเรื่องราวที่รับฟัง รวมทั้งรอยช้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าบนใบหน้า
“ไม่เป็นไรครับ ผมยุ่งกับเรื่องนี้มากไปเอง” เขาตอบยิ้มๆ ยิ้มฝืดๆ เหมือนกับตอนนี้นี่แหละ !
“ทั้งๆ ที่ย้ำอยู่เสมอว่าทุกอาชีพมีทั้งคนดีและคนไม่ดี แต่แกก็ไม่ยอมเข้าใจเสียที” เสียงพูดของแม่ครูทำให้ธนูกลับสู่ปัจจุบันอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรครับ ผม... ไม่ถือหรอกครับ” เขากัดฟันพูดยิ้มๆ เพราะยังรู้สึกเจ็บๆ ชาๆ ไม่หาย
“ยังไงก็ต้องขอโทษแทนเด็กในปกครองจริงๆ ค่ะ แกอาจจะเครียดเพราะใกล้สอบด้วย” แม่ครูย้ำคำ พร้อมกับบอกชื่อมหาวิทยาลัยที่บัวบกเรียนอยู่ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเดียวกับที่ธนูเรียนพอดี
“อย่างนั้นหรอกหรือครับ พวกผมจะพยายามเร่งทำคดีให้เสร็จก่อนการสอบแล้วกันนะครับ คุณบัวบกเธอจะได้กลับไปอ่านหนังสืออย่างสบายใจ” ชายหนุ่มหันไปยิ้มให้แม่ครูเจ้าของมูลนิธิอีกครั้ง แต่เป็นรอยยิ้มที่ต่างไปจากเมื่อครู่ แบบที่เรียกว่า ‘ยิ้มสนุก’
...แผนการต่อไปผุดขึ้นในสมองแล้ว และมันจะเริ่มขึ้นหลังจากที่เขากลับไปกองปราบนี่แหละ!
