บทที่ 10 ปากที่ปิดสนิท
การสอบสวนกินเวลาหลายชั่วโมง ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรคืบหน้า พลอยให้ผู้รับผิดชอบคดีแต่ละรายไม่เป็นอันกินอันนอน และไม่ได้กลับบ้านกลับช่อง ทั้งหมดทั้งปวงที่ว่าหมายรวมถึงบิดาของธนูด้วย นั่นเองที่ทำให้ธนูต้องโทรศัพท์ไปรบกวนภูผาในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น เพื่อติดตามความคืบหน้าของคดี
“ไม่ยอมให้ความร่วมมืออะไรเลยหรือครับ ? ธนูนิ่วหน้าถามภูผาผ่านโทรศัพท์มือถือ ระหว่างรอการเรียนการสอนในคาบแรก
“ก็อย่างนั้นแหละครับ บอกว่าจะกันตัวไว้เป็นพยานก็แล้ว ขู่ก็แล้ว กล่อมก็แล้ว...” อีกฝ่ายตอบกลับเนือยๆ เหมือนกำลังจะสิ้นใจ ซ้ำยังพูดเสียงเบาลงเรื่อยๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอดนอน อดข้าว สัญญาณโทรศัพท์มือถือคุณภาพต่ำ หรือ...
“อ๊ายยย ! คุณชวินของน้ำหวาน ต่อไปนี้คุณกับน้ำหวานจะอยู่เคียงข้างกัน เช้า สาย บ่าย เย็น ค่ำ เราจะไม่พรากจากกันนะคะดาร์ลิงก์ โอ้มายเดียร์ มายเลิฟ”
เสียงแปดหลอดของน้ำหวานดังแทรก จนธนูฟังภูผาพูดไม่รู้เรื่อง... เขาพึ่งยกหมวกแก๊ปจากการประมูลให้เธอ ก่อนหน้าที่จะโทรศัพท์คุยเรื่องงานไม่นาน และเธอก็เอาแต่พร่ำเพ้อพรรณนาถึงหมอนั่น ธนูกำหมัดกัดฟันทนๆ ๆ กระทั่งทนไม่ไหวอีกต่อไป
“คุณชวินขา ...”
“นี่ ! ยัยจิตหลอน คร่ำครวญเบาๆ ไม่เป็นหรือไง ฉันคุยโทรศัพท์ไม่รู้เรื่องเลย เดี๋ยวก็เอาคืนซะเลยนี่” ธนูขู่หน้าตาขึงขัง จนน้ำหวานปิดปากตัวเองแทบไม่ทัน และแม้บทสนทนาทางโทรศัพท์จะจบลงแล้ว แต่ชายหนุ่มก็ยังคงนั่งหน้าตาเคร่งเครียด ท่าทางราวกับครุ่นคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา จนอริศราอดที่จะถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
“มีอะไรหรือเปล่า ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ?” เธอจ้องหน้าเขา ราวกับจะมองให้ทะลุเข้าไปถึงสิ่งที่อยู่ในแกนสมอง
“ไม่มีอะไรหรอก แค่ปัญหาเรื่องงานนิดหน่อย” ธนูตอบเลี่ยงๆ เพราะน้อยคนนักที่จะรู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ และอริศราก็เป็น 1 ในนั้น ธนูรู้ดีว่าถ้าหญิงสาวรู้ว่า เขาโปรดปรานงานเสี่ยงอันตรายแบบนี้ล่ะก็ มีหวังโดนบ่นหูชาแน่
“ถ้ามีอะไรให้ช่วยอีกก็บอกได้นะ” เธอบอกยิ้มๆ เป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนเสียจนธนูอดชำเลืองมองอีกรอบไม่ได้ อย่างน้อยความละเอียดอ่อนของผู้หญิง ก็อาจจะช่วยให้หาวิธีจัดการปัญหาอันเกิดจากผู้หญิงด้วยกันได้ดีกว่า ธนูเริ่มเปลี่ยนความคิดที่จะไม่ให้อริศราเข้ามายุ่งกับเรื่องพวกนี้ เป็นตั้งคำถามประหลาดกับเธอแทน
“ถ้าเธอเป็นครู แล้วเจอนักเรียนที่ทั้งดื้อเงียบ แถมยังเป็นใบ้อีกต่างหาก เธอจะทำยังไง ?”
“ก็คง... เชิญผู้ปกครองของเด็กมาช่วยกันแก้ปัญหาล่ะมั้ง” อริศราตอบคำถามด้วยอาการงุนงง แต่นั่นคือคำตอบที่ทำให้ธนูอ้าปากมองเธอแบบทึ่งๆ ทำไมเขาถึงนึกวิธีนี้ไม่ออกนะ !
“ขอบใจมากเลยอ้อ ขอบใจจริงๆ เธอนี่มันสุดยอดเลย !” ธนูเขย่าตัวอริศราด้วยความดีใจ แผนแก้เผ็ดเจ้าของปากที่ปิดสนิทบังเกิดขึ้นในสมองทันที และแน่นอน ! มันจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้านี้
ขณะที่ธนูกำลังยินดีกับแผนการแก้ปัญหาอยู่นั้น ภายในห้องสอบสวนกองปราบปรามก็กำลังประสบสภาวะตรงกันข้าม ในเมื่อเวลานี้มันกลายเป็นแหล่งรวมตัว ของเหล่ามนุษย์หน้าตาบูดบึ้งทั้งหลายไปเสียแล้ว
“เธอจะเอายังไงก็ว่ามา !” พล.ต.ต.เกรียงไกรซึ่งลงมาทำหน้าที่พนักงานสอบสวนด้วยตัวเองบอกบัวบก หลังจากการสอบสวนยืดเยื้อมากว่าครึ่งวัน โดยไม่ได้ข้อมูลหรือสาระใดๆ เลยแม้แต่น้อย
“ดิฉันไม่เอายังไงค่ะ” บัวบกที่ได้รับการเปลี่ยนชุดแล้ว โดยความอนุเคราะห์จากตำรวจหญิงฝ่ายเอกสารของกองปราบปราม ตอบคำถามหน้านิ่งเสมือนไร้ความรู้สึก เป็นเช่นนี้ตั้งแต่เหยียบย่างเข้ามาที่นี่
“ทำแบบนี้ ฉันจะถือว่าเธอไม่ยอมให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่นะ เธออาจจะไม่ได้รับการลดโทษ ถึงแม้ว่าเธอจะอายุไม่ถึง 20 ก็เถอะ” ท่านนายพลยังไม่ยอมแพ้
“ดิฉันก็ไม่ได้ร้องขอให้ลดโทษนี่คะ”
คำตอบของบัวบกทำเอา พล.ต.ต.เกรียงไกรแทบกุมขมับ อยากจะมองให้ลึกลงไปในดวงตาว่างเปล่าคู่นั้นว่า เจ้าของของมันกำลังคิดอะไรอยู่ แต่กลับต้องชะงักไปกับแววเคียดแค้นที่ปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง ก่อนจะเลือนหายไป และนั่นก็คือสิ่งเดียวกับที่ภูผา รวมไปถึงนายตำรวจที่เข้าร่วมในการสอบสวนอีกหลายคนสัมผัสได้เช่นกัน
“ขออนุญาตครับ คุณธนูมาแล้วครับท่าน”
เสียงรายงานของนายสิบตำรวจพงศ์ ปลุกนายพลประจำกองปราบฯ ให้ตื่นจากภวังค์ หันไปออกคำสั่ง
“ไปตามมาเลย บอกว่าฉันมีเรื่องจะคุยด้วย !”
“ครับท่าน !” พงศ์ตะเบ๊ะรับคำสั่ง แล้วรีบเดินเร็วออกไป ไม่นานก็กระหืดกระหอบกลับมา ในสภาพที่เหลือเสื้อยืดสีขาวคอกลมแขนสั้นเพียงตัวเดียว
“ไหนล่ะเจ้าลูกบ้านั่นน่ะ มาหรือยัง ?” ท่านนายพลถามหน้านิ่วคิ้วขมวด ตามองสำรวจความไม่เรียบร้อยของพงศ์อย่างไม่ชอบใจนัก
“เอ่อ... คือ คุณธนูขับรถตำรวจออกไปแล้วครับ แถมเอาแจ็คเก็ตของผมไปด้วย ไม่ยอมบอกว่าจะไปที่ไหน บอกแค่ว่าจะกลับมาพร้อมตัวแปรสำคัญครับ” พงศ์ยิ้มเจื่อนๆ ให้ผู้บังคับบัญชา เหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นเต็มหน้า ด้วยเกรงว่าตนจะถูกหักเงินเดือนอันน้อยนิด หรือได้รับตำแหน่งใหม่บริเวณชายแดนของประเทศ
“ลูกคนนี้มันเป็นยังไง ทำอะไรไม่เคยปรึกษากันเลย !”
คำตอบที่ได้ยินทำให้พล.ต.ต.เกรียงไกรคลายความเครียดลงไปได้บ้าง ถึงอย่างนั้นก็อดบ่นตามประสาคนเป็นพ่อไม่ได้ ตรงข้ามกับบัวบกที่มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาแทน เพราะไม่รู้ว่าจอมวางแผนอย่างธนูจะมาไม้ไหนอีก
รถกระบะตราโล่ถูกขับเข้ามาจอด ภายในอาณาบริเวณมูลนิธิเด็กกำพร้าบ้านแม่กรุณาอันร่มรื่นไปด้วยสีเขียวของต้นไม้นานาชนิด ก่อนที่คนขับซึ่งสวมแจ็คเก็ตสำหรับตำรวจนอกเครื่องแบบ จะลงจากรถเดินผ่านกลุ่มเด็กๆ ที่วิ่งเล่นกันเจี๊ยวจ๊าว เข้าไปติดต่อขอพบเจ้าของมูลนิธิกับเจ้าหน้าที่ที่ด้านในอาคารสำนักงานไม้สองชั้น สภาพกลางเก่ากลางใหม่
“คุณตำรวจ”
ไม่นานนักหญิงวัยกลางคนร่างบางผู้เป็นเจ้าของมูลนิธิ หรือที่เด็กๆ พากันเรียกว่า ‘แม่ครู’ ก็เดินเร็วลงมาจากชั้น 2 ของสำนักงาน ตรงเข้ามาหาผู้มาเยือนแปลกหน้า ซึ่งยืนรอพลางกวาดตามองไปรอบๆ
“สวัสดีครับ คุณกรุณาใช่ไหมครับ ?” ธนูหันกลับมาตามเสียงเรียก พยายามปั้นหน้าเคร่งขรึมให้ดูแก่ชรากว่าวัย พร้อมกับดึงบัตรประจำตัวออกมาแสดง ที่จริงมันเป็นบัตรประจำตัวสายสืบ แต่แค่แวบเดียวฝ่ายนั้นคงไม่ทันสังเกตหรอกมั้ง แล้วเขาก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายนี่นา ธนูปลุกปลอบตัวเอง
“ค่ะ เอ่อ...คุณตำรวจมาเรื่องบัวบกหรือเปล่าคะ ?”
กลับกลายเป็นฝ่ายเจ้าบ้านที่ถามขึ้นก่อนด้วยความร้อนใจ แน่ล่ะ ! ก็แม่คุณไม่ได้กลับบ้านมาตั้งแต่เมื่อคืน แถมพอตรวจดูภูมิลำเนาก็ยังพบว่าอาศัยอยู่กับเจ้าของมูลนิธิอีกต่างหาก
“ครับ ตอนนี้คนของคุณกรุณาปลอดภัยดี แต่ทางเราจำเป็นต้องกันตัวไว้เป็นพยาน เนื่องจากคุณบัวบกเป็นผู้เห็นเหตุการณ์การปล้นทรัพย์ ที่ผมมาก็เพื่อจะแจ้งให้ทราบ แล้วก็... อยากจะขอร้องให้คุณกรุณาไปช่วยพูดกับคนของคุณที่กองปราบฯหน่อยน่ะครับ เพราะเธอไม่ยอมให้การอะไรเลย” ธนูพูดตามแผนที่วางไว้ระหว่างขับรถมา ขณะเดียวกันก็จับตามองอีกฝ่ายไปด้วยว่า รู้เห็นเป็นใจกับเรื่องที่เจ้าหน้าที่มูลนิธิทำหรือเปล่า
“อย่างนั้นหรือคะ โล่งอกไปที กำลังคิดว่าถ้าครบ 24 ชั่วโมงจะไปแจ้งความ ขอบคุณคุณตำรวจมากนะคะ ดิฉันยินดีให้ความร่วมมือเต็มที่ค่ะ จะให้ดิฉันไปตอนนี้เลยหรือเปล่าคะ ?” แม่ครูของเด็กๆ ยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ ท่าทางกระตือรือร้นที่จะให้ความร่วมมืออย่างที่ไม่ใช่แค่การเสแสร้ง
“เอ่อ... ครับ เชิญครับ” ชายหนุ่มผายมือไปที่รถด้วยอาการงุนงงเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าทุกอย่างจะง่ายดายขนาดนี้
“พุดจีบ เดี๋ยวแม่มานะลูก ฝากบอกทุกคนด้วยว่าเจอบัวบกแล้ว” คุณกรุณาหันไปบอกเจ้าหน้าที่สาวคนหนึ่งที่เดินผ่านมาพอดิบพอดี นี่ถ้าธนูเป็นพวกโจรเรียกค่าไถ่ในคราบตำรวจคงหัวเสียน่าดู แต่เวลานี้เขากำลังรับบทสายสืบในคราบตำรวจเพื่อความก้าวหน้าของคดีต่างหาก ชายหนุ่มลอบถอนหายใจ และยังคงตั้งหน้าตั้งตาเล่นตามบทต่อไป
1 ชั่วโมงต่อมา ธนูก็บึ่งรถตำรวจฝ่าเปลวแดดและการจราจรอันติดขัด พาแม่ครูกรุณาของบรรดาเด็กกำพร้ามาจนถึงกองปราบปราม โดยมีพงศ์ซึ่งได้รับคำสั่งให้ทำหน้าที่ ‘ ยืนรอ ‘ รีบกุลีกุจอออกมาต้อนรับด้วยชุดตำรวจที่ไปบังคับหยิบยืมคนอื่นมาสวมใส่อีกที
“พี่พงศ์พาคุณกรุณาไปนั่งรอที่ห้องรับแขกก่อนนะครับ ผมจะไปพาคุณบัวบกมาเอง” ชายหนุ่มบอกอีกฝ่ายด้วยใบหน้าที่พยายามเสกสรรปั้นแต่งให้ดูเคร่งขรึม แต่มิวายขยิบตาส่งสัญญาณให้ช่วยรับมุข
“อ๋อ ! ได้ครับ คุณ... เอ๊ย ! น้องนู” พงศ์ใช้ปฏิภาณเฉพาะตัวแก้สถานการณ์แบบงงๆ ก่อนจะหันไปทางแขกผู้มาเยือน “ เชิญทางนี้เลยครับคุณกรุณา”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ” แม่ครูกรุณายิ้มสองหนุ่ม โดยไม่มีท่าทีระแคะระคายใดๆ ขณะที่ธนูก็ยิ้มตอบ แล้วรีบเดินเร็วไปยังห้องสอบสวนสถานที่ซึ่งพงศ์เคยบอกว่า ผู้เป็นพ่อกำลังรอพบเขาอยู่นานแล้ว
“ไง ! ได้อะไรมาบ้างล่ะ ?”
เสียงของพล.ต.ต.เกรียงไกรดังขึ้น ทันทีที่ลูกชายตัวแสบเปิดประตูเข้ามา
“ได้คนที่พอจะช่วยทำให้ผู้หญิงคนนี้ยอมเปิดปากนั่นแหละครับ ว่าแต่พ่อเก็บกุญแจไขไอ้นี่ไว้ไหนครับเนี่ย ?” ธนูเดินอ้อมมาข้างหลังบัวบก พร้อมชี้ไปที่กุญแจมือเป็นเชิงสื่อถึงมัน
“นั่นไม่ใช่กุญแจมือของผู้กองภูผาหรอกเหรอ ?” คนเป็นพ่อนิ่วหน้าถาม ลึกๆ ข้างในแววตาบ่งบอกว่ากำลังกังวลเกี่ยวกับการกระทำแผลงๆ ผิดมนุษย์มนาของอีกฝ่าย
“กุญแจมือของพ่อนั่นแหละครับ พอดีผมเอาติดมาจากบ้านด้วย แค่ไขปล่อยตัวผู้ต้องหาพักเดียวเท่านั้น ไม่ให้หนีไปไหนได้หรอกครับ” คนเป็นลูกยิ้มฝืดๆ เพราะรู้ดีว่าหลังจากนี้จะมีประโยคยืดยาวอะไรตามมา
