บทที่ 9 : ไม่ชัดเจน
บทที่ 9
GUN's Part
00.05 น.
"เฮ้อ..."
ท่ามกลางความมืดของห้องนอนที่ผมปิดไฟไปตั้งแต่สี่ทุ่มแต่กลับนอนไม่หลับจนถึงเที่ยงคืน เอาแต่พลิกไปพลิกมาจนแอร์เย็นเฉียบเริ่มร้อนไปหมด
ให้ตายเถอะ สมองมันเอาแต่คิดเรื่องเมื่อตอนสาย ๆ จนข่มตาหลับไม่ได้จริง ๆ
เรื่องที่พี่เอเธนส์บอกว่ารู้แล้วว่าผมมีความรู้สึกแบบนั้นกับใคร แต่พูดเหมือนไม่แน่ใจว่าคนคนนั้นเป็นใครกันแน่ อีกอย่าง ผมออกอาการมากขนาดนั้นเลยเหรอ ทั้ง ๆ ที่ตัวผมเองก็ไม่แน่ใจว่าความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไร...มันสามารถเรียกว่าชอบได้แล้วเหรอ
แล้วทำไมพี่เธนส์ถึงรู้แล้วอะ
การที่ผมชอบคุยกับแซม ชอบมองใบหน้าดุ ๆ ของแซม ชอบเห็นคนหน้านิ่งแบบแซมยิ้มกว้าง ๆ เลือกที่จะโทรไปหาแซมมากกว่าจิ๋วเวลามีปัญหากับทางบ้าน
ทั้งหมดที่พูดมา มันแสดงว่าผมชอบเขาอย่างนั้นเหรอ หรือว่าความจริงมันก็แค่ความสบายใจที่รู้สึกว่าตัวเองมีที่พึ่งมากกว่า
ถ้าผมชอบแซมขึ้นมาจริง ๆ ก็แสดงว่าผมเป็นเกย์งั้นสิ
ขวับ ๆ ๆ ๆ ๆ
ถึงกับสะบัดหัวแรง ๆ เลยแฮะเรา ตั้งแต่เกิดมาคำว่าความรักก็ยังไม่รู้จัก พอรู้สึกอะไรแปลก ๆ แค่นิดเดียวทำไมถึงรู้สึกได้กับคนเพศเดียวกันได้นะ แทนที่จะให้เขาได้ไปเจอคนที่ดี ให้เขาได้ไปเจอผู้หญิงที่ใช่ ผมควรจะรั้งตัวเองไม่ให้ถลำลึกไปมากกว่านี้หรือเปล่า
แอบกลัวเหมือนกันนะ กลัวว่าสักวันความรู้สึกมันจะถลำลึกและชัดเจนไปมากกว่านี้ หรือผมควรรีบตัดใจตั้งแต่ตอนนี้ให้แซมไปเจอกับคนที่ดี?
เฮ้อ...รอบที่เท่าไหร่แล้วที่เอาหน้าซุกหมอนพยายามปล่อยใจให้มันว่างเปล่า แต่สุดท้ายความคิดก็กลับมาเต็มหัวทะลักลงมาถึงความรู้สึกอีกครั้ง
ก๊อก ๆ
"กันต์ แม่โทรมา"
ผมลุกขึ้นเปิดไฟที่หัวเตียงก่อนจะออกไปเปิดประตูให้เฮียก้อง พี่ชายแท้ ๆ ที่ยื่นมือถือตัวเองมาให้
"ฮัลโหลครับ"
[ว่าไงลูกชาย ได้ข่าวว่าได้เป็นล่ามทีมมหา’ลัยเหรอ ไม่เห็นเล่าให้แม่ฟังบ้างเลยนะ] ได้ยินเสียงนั้นผมก็ยิ้มกว้าง โดยที่เฮียก้องก็เดินเข้ามานั่งที่โต๊ะอ่านหนังสือข้างเตียงนั่งมองบทสนทนาที่ผมคุยกับแม่อยู่แบบนั้น
"ใครเล่าให้แม่ฟังเนี่ย กะว่าจะเอาไว้เซอร์ไพรส์วันจริงเสียหน่อย"
[อย่า ๆ ๆ อย่าคิดจะปิดแม่ สายแม่น่ะเยอะจะตาย] อดเหลือบตาไปมองไอ้พี่ชายหน้าหล่อที่ส่งสายตามีพิรุธมาให้ไม่ได้เลย [แล้วเมื่อไหร่จะมาหาแม่ล่ะกันต์ จะส่งตั๋วเครื่องบินไปให้อยู่แล้วเนี่ย]
"แล้วถ้าแม่จะส่ง แม่จะส่งมากี่ใบล่ะครับ"
"ผมเอาด้วย" ไม่วาย เฮียก้องก็ตะโกนแทรกมาอย่างกับเด็ก ทั้ง ๆ ที่ลูกเมียก็มีแล้ว
[ถ้าส่งให้ก้องแม่ก็ต้องให้หนูผึ้งกับหลานแม่ด้วยน่ะสิ] ผมหัวเราะเมื่อได้ยินแบบนั้น [เออกันต์ ไม่ได้คุยกันนาน มีแฟนหรือยังล่ะลูก]
“........"
[เงียบ...เงียบแบบนี้แสดงว่ามีแล้วแน่ ๆ เลยใช่ไหม]
"แฟนเฟินอะไร ยังหรอกครับ" ผมตอบพลางยิ้มอ่อนกับตัวเอง อย่างผมน่ะเหรอจะมีใครคนนั้นมาอยู่ข้าง ๆ
พอคุยกันให้หายคิดถึงเข้าหน่อย แม่ก็วางสายไปเพราะตอนนี้ที่ญี่ปุ่นก็ตีสองกว่าแล้ว
ผมคืนมือถือให้เฮียก้องไปและแทนที่เฮียมันจะเดินกลับห้องไปนอนกับพี่ผึ้งกับน้องน้ำขิง มันกลับนั่งมองหน้าผมเหมือนจะเค้นเอาความจริงอะไรสักอย่างให้ได้
ให้ตายเถอะ ทำไมวันนี้มีแต่คนมานั่งจ้อง
"กลับห้องไปได้แล้วไป จะนอนแล้ว"
"อย่าเพิ่งสิ นี่ก็นานแล้วนะที่เฮียไม่ได้คุยกับแกแบบนี้" ไม่ว่าเปล่า เฮียก้องลุกจากโต๊ะมาลงนอนที่เตียงผม
ก็อย่างที่เฮียว่า ผมกับเฮียก้องอายุห่างกันห้าปี เราเลยสนิทกันเหมือนเพื่อน ก่อนหน้าที่เฮียจะแต่งงานเราสองคนก็นอนห้องเดียวกัน มีเรื่องอะไรก็คุยกัน ทั้งความลับและไม่ลับ และหนึ่งในนั้นคือเรื่องที่ผมมีปากเสียงกับคนในบ้านจนเฮียก้องต้องคอยออกมาเคลียร์ให้อยู่บ่อย ๆ
"จะคุยอะไรเล่า พรุ่งนี้ต้องออกไปมอแต่เช้านะ"
"แหม่ ๆ ๆ ...เดี๋ยวนี้หัดมีความลับ ทีเมื่อก่อนยังคุยได้ทุกเรื่อง แกเห็นเฮียเป็นคนอื่นหรือยังไง แค่เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าแกมีเรื่องอะไร"
สมกับเป็นพี่ชายผมจริง ๆ รู้ดีมันเสียทุกเรื่องแถมวิเคราะห์เก่ง และตอนนี้ความลับของผมที่อุตส่าห์จะเก็บไว้และรอวันเปิดเผยเมื่อมันถึงเวลา คงต้องถึงเวลาที่จะบอกให้คนใกล้ตัวรู้สักทีสินะ
"เฮีย...ถามไรอย่างดิ"
"อือฮึ"
"ตอนเฮียชอบพี่ผึ้ง เฮียรู้สึกยังไงกับเขาก่อนเหรอ"
"หือ?" ครับ พอได้ยินแบบนั้นเฮียก้องก็เลิกคิ้วใส่ผมเลย "ถามทำไม"
"ตอบ"
"ก็...เฮ้ย! อย่าบอกนะว่าแกแอบชอบใครเข้าแล้วน่ะ" อย่าเสียงดังดิ นั่งกันอยู่สองคน
"........"
"เงียบอีก จริงเหรอ...นี่หัวใจน้องกูกำลังจะเป็นสีชมพูถูกมะ เชี่ย...เรื่องนี้ต้องบอกซ้อแล้วปะ"
"อย่าเพิ่ง!" รู้ว่าแซวเล่น แต่อย่าเพิ่งทำจริงนะเว้ย
"เออ ๆ ว่าแต่...ถามทำไมอะ อย่าบอกนะว่าไม่รู้จริง ๆ ว่าความรู้สึกที่เรียกว่าชอบมันเป็นยังไง"
ได้ยินแบบนั้นก็ทำได้แค่พยักหน้าหงึกหงัก ให้เฮียมันพ่นลมหัวเราะออกมาเบา ๆ
ครับ ผมมันอ่อนหัด
“ก่อนที่จะให้คำปรึกษาได้น่ะ ไหนลองเล่าอาการให้หมอฟังหน่อยสิครับ เผื่อจะได้วินิจฉัยได้ตรงจุด”
และไม่นาน ผมก็เล่าทุกอย่างให้เฮียก้องฟัง ทั้งตอนที่ผมอยู่กับแซม คุยกับแซม หรือตอนที่ไม่เจอแซม ผมรู้สึกยังไง แต่ผมก็ยังไม่ได้บอกว่าคนคนนั้นเป็นใคร
"เออ ข้อสรุปก็คือ..." เฮียก้องเม้มปากแน่นมองผมด้วยสายตาที่ไม่ค่อยจะน่าไว้วางใจเท่าไหร่ "จะเรียกว่าชอบก็คงเร็วเกินไป ให้เรียกความรู้สึกแบบนี้ว่าก้ำกึ่งดีกว่า แบบว่ามันสามารถพัฒนาไปเป็นสิ่งที่ดีกว่านี้ หรือตรงข้าม มันก็สามารถถอยลงมาให้ได้แค่นี้”
พัฒนาเหรอ ถ้าผมได้อยู่กับเขาบ่อย ๆ ความรู้สึกผมจะชัดเจนขึ้นกว่านี้ใช่ไหม แล้วถ้าผมเกิดเห็นแก่ตัวขึ้นมาล่ะ อยากให้เขารู้สึกเหมือนผมด้วย แบบนี้มันจะดีไหมนะ
"ลองดูไปเรื่อย ๆ ถ้าความรู้สึกมันปริ่มน้ำจะบอกให้เขารู้เลยก็ได้หรือจะใช้วิธีไหนที่มันเป็นการกระทำ ทำไงก็ได้ให้เขารู้สึกแล้วก็ดูท่าทีเขา ถ้าเขาชอบแล้วตอบกลับมาด้วยวิธีของเขา แสดงว่าเข้าเป้าละ"
“ดูไปเรื่อย ๆ ก่อนเหรอ"
“ใช่สิ ของแบบนี้รีบร้อนได้เหรอ” แต่อย่างว่าเรื่องของความรู้สึกน่ะนะ “เออ ยังไม่ได้บอกเลยว่าตอนที่เฮียเจอผึ้ง เฮียก็รู้สึกแบบแกนั่นแหละ หวิว ๆ ไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง แต่ก็สบายใจจนอยากอยู่ด้วยนาน ๆ นะ”
ที่เฮียก้องพูดมามันก็น่าคิด ลองศึกษาไปเรื่อยๆ แล้วเดี๋ยวก็ได้คำตอบเอง...
อืม ก็คงจะเป็นอย่างนั้นมั้ง
พี่ชายผมลุกขึ้นตบไหล่ผมสองก่อนจะเดินกลับเข้าห้องไปแบบเดิม ทิ้งให้ผมจมอยู่กับความคิดที่กำลังตีกันอยู่เพียงคนเดียว
แต่หนึ่งในความคิดคือหนึ่งประโยคที่แล่นเข้ามาในหัว...
ว่าผมเองก็อยากให้เขาคิดเหมือนอย่างที่ผมกำลังคิดอยู่เหมือนกัน
วันพฤหัส
เลิกเรียนแล้วก็มีนัดกับเพื่อน ๆ ไว้ว่าจะไปเดินเล่นตลาดนัดในมอหาของกินเอาแรงก่อนจะไปภาคเครื่องกลต่อ และแน่นอน ผมก็ไม่ลืมที่จะหยิบมือถือชวนคนที่ปกติแล้วจะใช้ชีวิตอยู่ในคณะนั้นให้มาเดินเที่ยวด้วยกัน แต่สุดท้ายคำตอบที่ได้กลับมาคือ...
[มึงไปเหอะ ตอนนี้เดือดแล้ว]
ทำเอาคอตกไปนิดหน่อย แถมรู้สึกผิดด้วยซ้ำที่ช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย
งั้นไม่เป็นไร ถึงแซมจะมาไม่ได้ และผมเองที่คงจะรู้สึกผิดอย่างเดียวไม่ได้ อาจจะต้องซื้ออะไรเข้าไปฝากเขาหน่อยแล้วกัน
"あの..." ในขณะที่ผมกำลังเก็บของเพื่อเตรียมตัวตามไอ้จิ๋วที่วิ่งร่าออกไปจากห้องเรียบร้อยแล้ว ข้างตัวก็ได้ยินเสียงใส ๆ ของใครคนหนึ่งดังลอดมา
เป็นอายาโนะ นักศึกษาแลกเปลี่ยนนั่นแหละที่ผมลืมไปเลยนะว่าวันนี้เขามานั่งเรียนที่ภาคผมเป็นวันสุดท้าย
"明日、工学部に行くから、ガンくんは今晩、マーケット案内してくれない? (พรุ่งนี้เราจะไปวิศวะแล้ว เย็นนี้กันต์พาเที่ยวตลาดนัดหน่อยได้ไหม)"
"あっ、いいよ。自分たちと行こうか?行くところだ (ดีเลย ไปกับพวกเราไหม กำลังจะไปนี่แหละ)"
ยิ่งผมเป็นคนปฏิเสธใครไม่ค่อยเป็น เวลาไปไหนมาไหนหากไปกันหลาย ๆ คนก็ยิ่งปฏิเสธใครไม่ได้
แล้วดูเหมือนอายาโนะเองก็ดูจะพอใจที่ได้ยินแบบนั้น เธอถึงได้ยิ้มกว้างจนตาหยีแก้มป่องออกข้างแบบที่ผมเองก็ต้องยิ้มตามไปด้วย
.....................................
ตลาดนัดในมหา’ลัยที่ผมกับเพื่อน ๆ มักจะมากันประจำทุกวันพฤหัส พอวันนี้ได้มีสมาชิกใหม่อย่างอายาโนะมาเดินด้วยกันเลยรู้สึกว่าเธอดูตื่นเต้น โดยเฉพาะส่วนที่เป็นโซนของกิน ท่าทางตื่นตาตื่นใจจนต้องแวะเกือบทุกร้าน
ทั้งยำ ข้าวหมกไก่ ขนมจีน หมูย่าง แทบไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงตัวเล็ก ๆ จะยัดของหนัก ๆ พวกนี้ได้มากขนาดนี้
"จิ๋ว กูฝากอายาโนะไว้ก่อนได้ไหม พี่เขาไลน์มาตามกูแล้วว่ะ" เมื่อเดินได้สักพักแล้วมือผมก็มีกับข้าวหลายอย่างพอที่จะฝากพวกแซมไปเป็นมื้อเย็น โทรศัพท์ผมก็สั่นเป็นสัญญาณให้รู้ว่าใครไลน์มา
"อ้าวมึง ก็ไหนอายาโนะบอกว่าให้มึงพาเขามา..."
"กูก็อยากเดินต่อนั่นแหละ แต่เดี๋ยวพี่เขาว่าอะ" ถึงพี่เอเธนส์จะใจดี แต่เวลางานผมก็ไม่อยากให้มันเป็นปัญหา
"เออ ๆ มึงไปบอกเขาหน่อยแล้วกัน"
ว่าแล้วก็ต้องเดินไปหาอายาโนะที่กำลังเพลิดเพลินกับของกิน คิดแล้วก็อยากจะขอโทษเป็นร้อยรอบที่ต้องขอตัวกลับไปทำธุระของตัวเองเอากลางคันแบบนี้
"もう帰るの? (จะกลับแล้วเหรอ)"
"うん、ごめんね 今から工学部に行かなきゃ (อืม โทษทีนะต้องไปวิศวะต่อน่ะ)"
"わたし、行ける? (ฉันไปด้วยได้ไหม)"
ผมถึงกับเลิกคิ้วให้กับคำถามของคนตาใสตรงหน้า จริง ๆ ก็ไม่ได้อยากปฏิเสธหรอก แต่ที่ผมจะไปมันดูน่าสนุกยังไงเขาถึงขอไปด้วย แต่สุดท้ายที่ทำได้ก็คงจะเป็นแค่...
พยักหน้ารับ
ไหน ๆ เพื่อนใหม่ก็จะไม่ได้มาปรับตัวที่ภาคผมแล้ว ถือซะว่าผมพาเธอไปเที่ยวในคณะที่เธอกำลังจะไปเรียนก็แล้วกัน
แต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกแปลก ๆ ว่าเริ่มมีความรู้สึกเห็นแก่ตัวแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ พออายาโนะขอจะไปด้วย ใจผมถึงกับโหวงแถมลอบกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากไปหลายครั้ง เหมือนกำลังกลัวอะไรสักอย่าง กลัวบางอย่างที่ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
ให้ตายเถอะ อย่าคิดมากน่า
เพื่อนเขาก็แค่ขอไปด้วยเท่านั้นเอง
