10 : บะหมี่แสนอร่อย
บทที่ 10
SAM's Part
“ยกขึ้นสูงอีกนิดนึง...”
“พอยัง”
“อีกนิด ๆ”
“ได้ยัง”
“มันไม่ขยับเลยอะ”
“โอ๊ย!”
“เฮ้ย!”
แล้วนี่ก็เป็นอีกบทสนทนาและความวุ่นวายที่ผมกับมีนอยู่ด้วยกันในช็อป เพราะต้องประกอบตัวเครื่องให้เสร็จภายในคืนนี้ ส่วนกอล์ฟน่ะเหรอ แผงโซล่าเซลล์ยังไม่เสร็จก็เลยมาช่วยตรงนี้ไม่ได้
สุดท้ายก็ต้องขอแรงผู้หญิงตัวบาง ๆ มายกเหล็กเพื่อช่วยกันเชื่อมติดกับโครงที่คิดกันไว้แล้ว แต่แม่เจ้าประคุณเหมือนจะหมดแรงปล่อยให้เหล็กที่ถืออยู่หลุดมือทับเท้าตัวเอง
“เลือดออกเปล่า” ผมค่อย ๆ วางโครงเหล็กลงก่อนจะก้มไปลงไปดูที่เท้าของมีน
ดิ้นพล่านเลย เจ็บน่าดู
“ไม่ออกอะ แต่เจ็บโคตร ๆ เลย ฮือ...”
“เออ ๆ เดี๋ยวกูทำเองก็ได้ ไปนั่งไป”
“ไม่ ๆ ยังไหว ๆ ถ้าทำคนเดียวแล้วแซมจะทำยังไงล่ะ”
“เออน่า...” ทำไมจะทำไม่ได้วะ แค่นี้เอง
ระหว่างที่ผมเงยหน้าขึ้นมาและพยุงให้มีนลุกขึ้นไปด้วย ที่ทางเข้าช็อปก็เห็นคนสองคนยืนอยู่ “อ้าวกันต์...”
“เอ่อ...แซมทำงานอยู่เหรอ”
“ไม่เป็นไร ๆ เรายืนเองได้!” ว่าแล้วมีนก็สะบัดตัวออกจากผมก่อนจะลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล
“วันนี้ไม่มีเอกสารให้แปลนี่ มึงไม่รีบกลับบ้านวะ” ก่อนที่ผมจะหันไปคุยกับไอ้กันต์ที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษาถูกระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้า และเสตามองไปยังเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิด น่าจะใช่คนที่ชื่ออายาโนะ นักศึกษาแลกเปลี่ยนภาคคอมคนนั้น
“ก็พี่เธนส์เรียกเราไม่ใช่เหรอ...เอ้อ แล้วแซมกินข้าวหรือยัง เราซื้อของมาจากตลาดนัดน่ะ มีนด้วย เราเห็นว่าไม่มีเวลาไปกินกันกลัวว่าจะหิว” กันต์ว่าพลางยื่นถุงกับข้าวมาทางพวกผม
“พี่เธนส์เรียก?”
“ใช่ เขาบอกมีเอกสารให้แปลน่ะ อยู่ไหนเหรอ” พี่ผมมันต้องเบลอไปแล้วแน่ ๆ จำไม่ได้เหรอวะว่าเอกสารทุกอย่างอยู่ที่เขา เคยแบ่งให้ใครที่ไหน
“สงสัยพี่เธนส์เขาเข้าใจผิด กูไม่เห็นมีอะไรเลยนะ”
“อ้าวเหรอ” รู้สึกไปเองหรือเปล่า ว่าสีหน้าไอ้กันต์ดูลดลงไปเล็กน้อย แอบคิดล่ะสิว่าต้องมาเสียเที่ยวแน่ ๆ “งั้น...เราอยู่ช่วยแซมได้ไหม”
“หือ?”
“ไหน ๆ ก็มาแล้ว มีอะไรให้เราช่วยก็บอกได้นะ จริง ๆ ให้เราช่วยบ้างก็ได้ ไม่ค่อยได้ทำอะไรเลย...”
“แล้วเพื่อนมึงล่ะ เขาไม่เบื่อเหรอถ้ามึงจะมาอยู่นี่ครึ่งค่อนคืนน่ะ”
“อ๋อ อายาโนะน่ะเหรอ...” คนข้างหน้าผมหันไปคุยภาษาญี่ปุ่นกับคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะหันมาหาผมด้วยรอยยิ้มที่มันชอบยิ้มประจำ
รอยยิ้มที่ทำให้คนมองรู้สึกสบายใจไม่แพ้กัน
“เขาบอกว่าถ้าดึกมากเดี๋ยวจะกลับมอเตอร์ไซค์ แต่ตอนนี้ขออยู่ด้วยแป๊บหนึ่งก่อน ถือว่ามาเที่ยว เพราะพรุ่งนี้เขาก็ต้องมาเรียนที่นี่แล้ว...แซมไม่ว่าอะไรเขาใช่ปะ”
“กลับดึก ๆ ไม่เป็นไรเหรอวะ”
“เดี๋ยวเราแวะไปส่งแก็ได้แล้วค่อยกลับมาใหม่”
“กูหมายถึงมึง ที่บ้านเขาจะไม่ว่าเหรอ”
ผมเข้าใจนะ ว่าถ้าไอ้กันต์กลับบ้านเร็วมันก็ต้องเจอหน้าอาที่มันไม่ค่อยชอบ แต่ถ้ามันกลับดึกมากกว่านี้เพื่อถ่วงเวลา ครอบครัวที่ไม่ได้หมายถึงอามันเขาจะเป็นห่วงเอาเปล่า ๆ ถึงความจริงจะอยากให้มันอยู่ด้วยกันนานกว่านี้ก็เถอะ
“เราเหรอ ไม่เป็นไรหรอก กลับดึก ๆ สิดี”
“แน่นะ”
“อื้ม”
ถ้าพูดขนาดนั้นก็คงทำได้แค่พยักหน้าก่อนจะรีบหันมาทางงานที่กองไว้ตรงนี้เพราะรู้สึกว่าจิตใจมันไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่เวลาที่ต้องมองใบหน้าของกันต์ที่มีรอยยิ้มนาน ๆ
ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ แต่มองแล้วเหมือนรู้สึกว่าไม่กล้าสบตามันมากกว่าเดิม อีกอย่าง ผมไม่ชิน ที่มันทำตัวร่าเริงมากกว่าปกติจนรู้สึกว่า...
น่ารัก...
น่ารักเหรอ...
เออ น่ารัก!
เชี่ย! คิดเหี้ยอะไรอยู่เนี่ย ไร้สาระ รีบทำงานต่อให้เสร็จไปแซม
สรุปแล้ว ผมก็ต้องปล่อยให้ผู้หญิงสองคนนั่งคุยกันเป็นภาษาอังกฤษ ส่วนผมกับไอ้กันต์ก็ต้องมาช่วยกันเชื่อมเหล็กเข้าด้วยกัน แล้วพรุ่งนี้ถึงจะเข้าสู่กระบวนการถัดไป
“แรงเยอะดีนี่...” ผมหันไปพูดกับอีกคนก่อนจะถอดหน้ากากสำหรับเชื่อมเหล็กออก พร้อม ๆ กับอีกคนที่ยกหน้ากากออกเช่นกัน
“หือ? ทำไมอะ แซมเห็นว่าเราไม่มีแรงเหรอ”
“เปล่า” เอ็นดู ผิดเหรอ
“อะไรว้า...เออ แซมไปกินข้าวสิ ยังไม่ได้กินใช่ไหมล่ะ เราซื้อบะหมี่ไก่ทอดมาด้วยนะ เห็นคนเยอะดีคิดว่าน่าจะอร่อยเลยไปต่อคิวกับเขาด้วย”
“มึงไปกินก่อนเหอะ กูขอทำตรงนี้ให้เสร็จก่อนดีกว่า เดี๋ยวเอาไปกินที่หอดึก ๆ ทีเดียว” ผมพูดพลางจัดการกับงานข้างหน้าต่อไป ก่อนจะยกมือเลอะ ๆ นั่นปาดเหงื่อที่มันไหลลงข้างแก้มตัวเองทั้งสองข้าง
ที่จริงก็หิวเหมือนกัน อีกอย่างนี่มันก็จะสามทุ่มแล้ว มื้อล่าสุดที่กินไปก็เมื่อเที่ยงนี่เอง
“แซม...มากินข้าวเถอะ เดี๋ยวเรากลับมาจากส่งอายาโนะแล้วเราทำต่อให้” แต่ก็ยังไม่ทันที่ผมจะหันกลับไป เสียงแหลม ๆ ของมีนก็ดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะลุกจากเก้าอี้อย่างทุลักทุเล
“เฮ้ย เดินได้แล้วเหรอ”
“ได้แล้ว ๆ ที่จริงมันก็เจ็บแค่ตอนโดนแรก ๆ นั่นแหละ พอดีว่าหลบทันนิดหน่อย” ทีเมื่อกี้มึงแหกปากร้องเหมือนจะตาย “งั้นเดี๋ยวเราไปส่งอายาโนะให้นะกันต์”
“เฮ้ยไม่เป็นไร เราไปเองมีน มืด ๆ แบบนี้น่ากลัวจะตาย”
คนหน้าหวานแทบจะทิ้งชิ้นส่วนที่ถือให้ผมก่อนจะออกตัวไปทั้งแบบนั้น แต่ก็จริงอย่างที่มันว่า มหา’ลัยผมไม่รู้จะประหยัดไฟอะไรนักหนา ยิ่งคณะเกษตรข้าง ๆ นี่อย่างกับป่า มองไม่เห็นตัวตึกเลยให้ตาย
“ไม่เอา ๆ กันต์อยู่นี่แหละ เดี๋ยวแซมไม่มีคนช่วย”
“แล้วตอนกลับจะกลับกับใคร” ผมถามบ้าง เพราะถึงแม้จะคณะตัวเอง แต่ถ้าเกิดมันไปแวะเถลไถลที่ไหนแล้วเกิดดึกขึ้นมาจะทำยังไง
“ก็กลับ...คนเดียวไง”
“กันต์ ไปกับไอ้มีนด้วย ตรงนี้กูทำเอง”
ว่าเสร็จผมก็หันมาจัดการกับเครื่องไม้เครื่องมือตรงหน้าต่อ ปล่อยให้สองคนนั้นจัดการกับเพื่อนใหม่ที่ผมไม่ค่อยจะสนใจเท่าไหร่นัก แต่ก็มองว่าเป็นเพื่อนไอ้กันต์คนหนึ่ง
ถึงมือผมจะยุ่งกับงานตรงหน้า แต่สมองกับจิตใจมันดูไม่มีสมาธิกับสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้เลย ดูว้าวุ่น ดูเลื่อนลอย ขนาดที่พยายามดึงสติกลับมาก็ยังรู้สึกว่าใจมันไม่นิ่งเหมือนวันอื่นเลย
แกร๊ง!
และนี่คือโมเมนต์ที่แย่ที่สุด แทนที่จะก้มเก็บประแจที่จู่ ๆ ก็หลุดมือหล่นลงไปดื้อ ๆ กลับยืนนิ่งมองมือตัวเองที่กำลังสั่นบวกกับตอนนี้ที่ความร้อนเขาสุมอยู่ที่ใบหน้า จนเริ่มรู้สึกรำคาญตัวเองแบบที่บอกไม่ถูกยังไงยังงั้น
บางทีผมอาจจะแค่หิวเกินไป
“แซม”
ผมหันไปยังต้นเสียงที่ถูกเรียก ที่จริงก็ตกใจเหมือนกันนะที่มืด ๆ ค่ำ ๆ มาเรียกเสียงเอื่อยแบบนี้ แต่พอหันไปก็ต้องรู้สึกโล่งใจว่าคนเรียกคือครัวซอง ศิราณีประจำมหา’ลัยที่มาพร้อมกับแฟนของเธอที่เป็นรุ่นน้องในทีมฟุตบอลเดียวกับผม
“อ้าว มาทำไรกันน่ะ”
“ขนมตาลเอาของมาให้พี่” แฟนครัวซองที่เป็นรุ่นน้องในทีมว่าก่อนจะแย่งของในมือแฟนมันมาถือ
อ้อ แล้วเหตุผลที่มันต้องเรียกแฟนมันอย่างนั้นก็เพราะว่าตัวมันไม่ชอบชื่อเล่นจริง ๆ ของแฟนมัน เลยตั้งให้เป็นชื่อขนมที่มันชอบ มันเคยบอกผมแบบนี้
“อะไรเหรอ”
“มีคนเขาฝากจดหมายมาให้แซมน่ะ”
“ใคร” ผมรับซองจดหมายสีฟ้าสดใสมากจากมือของผู้หญิงข้างหน้า ก่อนจะพลิกไปพลิกมาหาชื่อคนส่ง แต่ก็ไม่มี
“โอนิสึกะ”
“หืม?”
“เขาฝากมาถามนะว่ารองเท้ารับไม่ได้ แต่จดหมายรับได้ใช่ไหม”
ตื๊อเอาเรื่องว่ะ แต่ก็นะ ถ้าวานให้ศิราณีประจำมหา’ลัยทำงานแบบนี้ ถ้าไม่รับก็คงเสียมารยาทน่าดู “ได้สิ ขอบคุณมากนะ...เข้ามานั่งก่อนไหม”
“ไม่ล่ะ ดึกแล้ว งั้นเรากลับก่อนนะ”
ผมมองคู่รักสองคนที่ก่อนหน้านี้ทะเลาะกันจะเป็นจะตายที่กำลังพากันเดินกลับไป ส่วนผมก็ค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้แถวนั้นจากความเหนื่อยล้าที่มีมาทั้งวัน ก่อนจะเปิดซองจดหมายนั่นเพื่อจะอ่านข้อความที่อยู่ในนั้น แต่...
“คือจะไม่หยุดใช่ไหมเนี่ย” อยากจะสบถให้มากกว่านี้นะ เพราะสิ่งที่มันอยู่ในนั้นคือภาษาญี่ปุ่นประมาณสิบกว่าบรรทัด แต่ไม่ได้มาพร้อมลายแทงเหมือนรอบที่แล้ว คราวนี้พิมพ์ออกมาด้วยฟ้อนต์ที่สวยกว่าเดิม
แต่ถามว่าช่วยให้ผมอ่านออกกว่าเดิมไหม ก็ไม่นะ
ที่จริงผมก็อยากจะให้ความสนใจกับจดหมายนี้เหมือนกัน แต่เจ้าตัวดูจะลึกลับซับซ้อนเกินไป รอบที่แล้วผมแค่แชร์เว็บโอนิสึกะในเฟซ แต่กลับมีรองเท้าของจริงมาให้ผมแถมมาพร้อมจดหมายภาษาญี่ปุ่นแต่ก็ไม่ได้บอกชื่อแซ่ รอบนี้ก็เหมือนเดิม ผมไม่รู้ว่าเขามาไม้ไหน แต่ถ้าจะรักจะเกลียด ได้โปรดบอกผมตรง ๆ เถอะ อย่าให้ผมต้องรบกวนไอ้กันต์ไปมากกว่านี้เลย
“อะไรแซม ยังไม่ได้กินข้าวอีกเหรอ”
และเสียงนั้นก็ทำให้ผมต้องรีบพับจดหมายนั่นก่อนจะเก็บมันลงกระเป๋าช็อป
“กำลังจะกินเนี่ย ทีแรกก็ว่าจะไปกินที่หอแหละ”
“กินเลย ๆ นานแล้วไก่มันจะไม่กรอบนะ”
ผมยิ้มให้กับท่าทีของกันต์ที่ไม่ได้แตกต่างจากเด็กคนหนึ่งที่กำลังเห็นสิ่งที่ตัวเองกำลังพอใจ หน้าใส ๆ ที่ยิ้มอย่างจริงใจแบบที่นานนักผมจะได้เห็น แววตาเป็นประกายเหมือนจะลุ้นว่าเมื่อไหร่ผมจะเปิดกล่องบะหมี่ที่มันซื้อมา
“ซื้อมาเท่าไหร่วะ เดี๋ยวกูจ่ายคืน”
“ไม่เอา”
“ได้ไง แล้วของที่มึงซื้อมาไม่ได้มีแค่ไอ้นี่กล่องเดียว มึงจะออกคนเดียวหรือไง”
“ก็เราอยากซื้อมาฝากนี่ อีกอย่าง ดึก ๆ ถ้าหิวขึ้นมาอีกจะทำไง โรงอาหารแถวนี้ก็ปิดหมดแล้ว”
“ไม่ ยังไงก็ต้องให้กูออกครึ่งหนึ่ง ไม่งั้นกูไม่กิน”
“ถือว่าตอบแทนที่แซมเคยช่วยเราหลาย ๆ เรื่องไม่ได้เหรอ” เดี๋ยว น้ำเสียงออดอ้อนนี่คืออะไร
“กูช่วยอะไรมึง”
“หลายอย่างอะ จำไม่ได้ล่ะสิ แต่เราจำได้ เพราะงั้นกินไปเลย ห้ามเอาเงินมาฝากใครให้เรานะ กินให้หมดด้วย"
ผมเกือบจะพ่นลมหัวเราะกับท่าทีของมันที่เหมือนเด็กเอาแต่ใจแบบนั้น ยิ่งกันต์มันส่งสายตางอน ๆ มาให้ ยิ่งรู้สึกว่า...
น่าแกล้ง
“อุ๊บ!” แน่นอนครับ ใครมันจะไปทนไหว ผมก็เลยจัดการคีบเนื้อไก่ทอดยัดปากไปตอนที่มันเผลอ แล้วนั่นยิ่งทำให้ผมหัวเราะออกมากับหน้าตาของมันมากกว่าเดิม
“ถ้าไม่ให้กูออกก็ช่วยกูกินด้วย” ก่อนที่จะคีบเส้นในกล่องเข้าปากตัวเองแล้วมองคนข้าง ๆ เคี้ยวไก่ชิ้นโตจนแก้มตุ่ยออกข้าง
ผมจำไม่ได้ว่าสิ่งที่ตัวเองเคยทำไปคือการช่วยมันหรือเปล่า แต่มันก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งไม่ใช่เหรอที่ผมพอจะทำให้เพื่อนคนหนึ่งไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวดไปมากกว่านี้
ดูๆ แล้ว ไอ้กันต์ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร แถมยังเป็นคนดีจนน่าเป็นห่วงอีกต่างหาก โลกสวยจนน่ากลัวว่าสักวันคงจะต้องเจ็บปวดเพราะความคิดของตัวเอง ซึ่งแตกต่างจากผม ที่มองโลกในแง่ของความเป็นจริงจนรู้สึกว่าตัวเองดูจะมองในแง่ร้ายเสียด้วยซ้ำ
ตอนนี้ในช็อปและบริเวณข้างเคียงเงียบเกินไป ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าว่าทำไมผมรู้สึกว่ามันเงียบกว่าทุกวันที่ผมเคยอยู่ดึก ๆ แบบนี้ เงียบจนสงสัยว่าไอ้มีนมันหายไปไหน ทำไมถึงให้ผมกับไอ้กันต์นั่งกินบะหมี่กันสองคน แล้วนึกออกไหมครับ ผมกินคำหนึ่ง ส่งไปให้ไอ้กันต์กินคำหนึ่ง ภาพตอนนี้มันดูไม่เหมือนผู้ชายสองคนนั่งอยู่ด้วยกันแต่เหมือนผมกำลังดูแลลูกอยู่อะ ถ้าป้อนได้ผมคงป้อนมันไปแล้ว
“กินผักด้วยสิวะ” ผมบ่นอุบเมื่อเห็นมันยื่นกล่องมาให้พร้อมผักคะน้าครึ่งกล่องและไก่อีกสองชิ้น
“ไม่ชอบคะน้า”
“ไหนมึงเคยบอกว่าไม่ชอบขิงอย่างเดียว”
“ก็ตอนนั้นมันมีแค่ขิง ก็เลยไม่กิน”
“ดื้อจังวะ ไม่ชอบแล้วเคยกินไหม”
“เคย...ทำไมต้องดุอะ” ดุห่าไรเขาเรียกถาม แต่ก็ได้แค่บ่นในใจเพราะผมเห็นเจ้าตัวเริ่มคีบคะน้าเข้าปากช้า ๆ ค่อย ๆ เคี้ยว
ทำหน้าเหมือนถูกบังคับให้กินหญ้าเลยนะมึง
“เออ ๆ ไม่ชอบก็ไม่ชอบ กูกินให้เองก็ได้ มึงกินไก่ให้หมดไป” ว่าแล้วผมก็แย่งตะเกียบออกจากมือมัน ร้านก็งกเหลือเกิน ให้สักสองคู่ก็ไม่ได้
“ไม่เอา เรากินไก่เยอะแล้ว แซมกินไปเลย”
“มึงคิดว่ากูมีความสุขกับไก่ทอดขนาดนั้นเลยไงวะ บางทีกูก็คิดนะว่าสักวันไขมันมันจะอุดเส้นเลือดกูตาย”
“แซมตัวแค่นี้จะไปกลัวอะไร...อ้ะ” กันต์ว่าพลางคีบไก่ทอดชิ้นนั้นมาจ่อที่ปากผม
ผมจำเป็นต้องมองไก่ชิ้นนั้นสลับกับใบหน้าขาว ๆ ของมัน คือจะรับมากินเองก็ทุลักทุเล เพราะมันเป็นตะเกียบไงไม่ใช่ช้อนใช่ส้อม ถ้าร่วงลงพื้นก็เสียดายอีก เลยอ้าปากรอไก่ชิ้นนั้นเข้าปากลูกเดียว
ปากก็เคี้ยวไป แต่สายตาผมกลับมองใบหน้าที่เปื้อนยิ้มของคนตรงหน้าไปด้วย
จำได้ไหมครับเมื่อชั่วโมงก่อนผมยังไม่กล้ามองหน้าแบบนั้นของไอ้กันต์อยู่เลย เพราะไม่ชินไงที่เห็นผู้ชายด้วยกันยิ้มซะหวานเยิ้มแบบนั้น แต่ตอนนี้ผมกลับชอบที่จะมองใบหน้าที่มีความสุขแบบนี้ ใบหน้าที่สบายใจ พอได้มองก็อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้เลย
.....................................
MEEN's Part
นี่นะ มีอะไรจะเม้าต์มอยมากมายมหาศาล ก็คืองี้ ตอนที่ไปส่งอายาโนะกลับหอกับกันต์มาน่ะ ฉันละอยากส่งแม่สาวญี่ปุ่นนั่นกลับ ๆ ไปจะแย่อยู่แล้ว แล้วไหนจะอยากให้แซมกับกันต์อยู่ด้วยกันตามความประสงค์ของตัวฉันเอง แต่พ่อเจ้าประคุณสปอร์ตแมนอย่างพี่แซมของเราดันมาโชว์แมนอะไรตอนนี้ คือนี่ก็คณะฉันปะวะ ทางหนีทีไล่อยู่ตรงไหนรู้หมดแหละย่ะไม่ต้องห่วงมาก
สุดท้ายก็ได้กันต์มาร่วมเดินด้วยอีกคน แต่ก็ดี ฉันจัดการถามไถ่ชีวิตกันต์มาเรียบร้อยแล้ว ว่าตอนนี้เขาชอบใคร หุ ๆ แต่เขาก็ไม่ได้บอกอะไรมามากหรอก แล้วคิดว่าอดีตดาวคณะอย่างฉันสมองจะเท่าเม็ดมะขามเหรอคะ รู้หมดแหละใครพูดอะไร แค่เห็นกันต์ยิ้มเขิน ๆ ก็รู้หมดแล้วว่าที่ยิ้มน่ะคิดถึงหน้าใครอยู่
และตอนนี้จ้า...สองหนุ่มเมะและเคะกำลังป้อนบะหมี่ให้กัน และภาพนั้นก็ถูกบันทึกลงในมือถือฉันอย่างรัว ๆ แบบว่าลั่นชัตเตอร์ประมาณสิบรูปต่อวินาที เห็นแล้วเลือดม่วงมันกระจายทุกอวัยวะแล้วจ้า มีความสุขในมุมมืดอยู่คนเดียว
พี่เอเธนส์จ๋า...มีนบอกได้คำเดียวว่าพลาดแล้ว
ฮิๆ คือเข้าใจปะคนมันมีความสุขอะ ผู้ชายดี ๆ มากองอยู่ตรงหน้ายังไม่มีความสุขเท่าผู้ชายสองคนอยู่ด้วยกันเลย ใครไม่อยู่สายนี้ไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของมีนหรอกค่ะ
แต่สงสัยต้องรีบออกละ อยู่ในมุมมืด ยุงก็มาตามเสื้อช็อปสีเข้ม ๆ ของฉันแล้วเนี่ย
TBC
เจอกันตอนหน้าค่ะ
