บทที่ 8 : ความลับไม่มีในโลก
บทที่ 8
SAM's Part
"อีกสองสามอาทิตย์แหละแม่...โหย งานผมมันใหญ่นี่จะให้กลับได้ไง...ครับ ๆ เสร็จแล้วรีบกลับแน่นอน"
และนั่นก็เป็นอีกบทสนทนาหนึ่งของวันเสาร์เช้า ๆ ที่ตอนนี้ผมควรจะนั่งเล่นเกมอยู่บ้านไม่ก็นอนตื่นสาย แต่กลับกลายเป็นว่าแม่โทรมาจากต่างจังหวัดปลุกผมตั้งแต่เช้า และยังไม่รวมถึง...
Rrrrr!
"ฮัลโหลพี่" หน้าจอมันฟ้องเลยรู้ว่าใครโทรมา
[ตื่นยัง วันนี้ไปซื้อของนะเว้ย]
"ตื่นแล้วพี่ตื่นแล้ว..." ผมรีบลุกออกจากเตียงสะบัด ๆ ผ้าห่มเตรียมไปทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย พลางมองดูนาฬิกาที่โต๊ะว่าตอนนี้มันก็เพิ่งจะเจ็ดโมง
ทั้งแม่ทั้งพี่ ปลุกแต่เช้าเลยว้อย
ไลน์!
หือ? วันนี้ทุกคนเป็นอะไรกันหมด คิดจะมาปลุกผมพร้อมกันวันนี้เลยถูกไหม บอกตามตรงร้อยวันพันปีไม่เคยมีใครส่งไลน์มาตั้งแต่เช้าตะวันยังไม่เลียก้นขนาดนี้หรอก
GUN
พี่เธนส์บอกจะไปซื้อของ
เราไปด้วยนะ
มือข้างหนึ่งที่แปรงฟันอยู่ก็ถึงกับหยุดลงเมื่ออ่านข้อความของเพื่อนต่างคณะพร้อมสติ๊กเกอร์หมีบราวน์ที่เห็นแล้วก็ทำให้ผมหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ
ที่จริงไม่ได้อยากให้มันไปด้วยหรอก เพราะไปซื้อของทีจะมีแต่พวกเหล็ก โลหะ ของหนัก ๆ ทั้งนั้น กลัวว่าไปแล้วจะไปยกของไม่ไหวพาลจะทำให้ตัวมันเป็นรอยเข้าไปใหญ่
แต่เพราะที่มาขอไปด้วยนี่อาจจะเป็นเพราะไม่อยากอยู่บ้านเพื่อเจอกับคนที่มันไม่ค่อยชอบหน้าหรือเปล่า เลยทำให้ผมจำใจพิมพ์ข้อความนี้ไป
SAM AD
มาดิ เจอกันที่คิวรถตู้หน้ามอนะ
GUN
ไปรถเรา
เราบอกพี่เธนส์ไว้แล้วว่าเดี๋ยวเอารถเราไป
นี่พี่กูอีกแล้วเหรอ
SAM AD
รถมึงเป็นรถเก๋ง จะขนของหนัก ๆ ได้ไง
GUN
ป๊าเรามีรถกระบะ เราขอแล้ว
ผมถึงกับยิ้มกว้างให้กับคำประโยคที่กันต์พิมพ์มา เกรงใจมันอยู่นะ แค่เรียกให้มาเอาแผ่นงานไปแปลก็ต้องขับรถออกมาจากบ้านแล้ว ปล่อยให้มันพักผ่อนบ้างก็ได้
แต่ก็อย่างว่า คนที่บ้านเป็นอย่างนั้นใครมันจะไปอยากอยู่
หน้าตึกภาคเครื่องกล
"เกรงใจว่ะใช้รถกันต์อีกแล้ว" เมื่อรถกระบะสีบลอนซ์มาจอดรับพวกผมที่ยืนรอกันอยู่หน้าตึก มีนก็จีบปากจีบคอพูดกับกันต์ที่นั่งยิ้มอยู่ในรถ
“ไม่เป็นไร จะได้ไม่ต้องเสียค่ารถตู้ไง”
“ยังไงก็ต้องช่วยค่าน้ำมันมึง” ผมว่าพลางจะเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับ “เอ้อ กูนั่งนี่ได้ไหม ไม่ชอบนั่งหลัง เบียด มีนแม่งตัวใหญ่”
ผัวะ!
“เชี่ยไรมีน”
“แกมันเล็กมากมั้งแซม ตูดก็นั่งอยู่โน่น อย่าเสร่อมายุ่งกับคนด้านหลัง”
ดุฉิบหาย ชาตินี้จะมีผัวปะ
"กันต์กินข้าวเช้ามายัง" หลังจากที่รถออกตัวมาได้สักพัก แม่สาวเจ้าคนเดียวในรถที่นั่งอยู่เบาะหลังก็ชะโงกหน้าสวย ๆ ขึ้นมาถาม
"ยังเลย เราว่าจะออกมากินข้างนอกน่ะ"
"เนี่ย ๆ พี่เธนส์เห็นไหม กันต์ก็ยังไม่ได้กินข้าว ไปกินกันก่อนนะพี่ มีนรู้จักร้านอร่อยแถวนั้น"
"แล้วแต่เหอะ รีบกินแล้วกัน เดี๋ยวซื้อของได้ไม่ครบ"
“ผมให้เวลาถึงเที่ยงคืนเลยครับ”
"เห็นไหมพี่ กันต์ยังพูดเลย” กอล์ฟว่า “รีบได้ไงอะกินข้าวนะเว้ย"
“อ่า ๆ ไหน ๆ ก็ออกมาแล้ว มีนหาร้านดี ๆ กินเลยนะ ไม่อร่อยพี่งอนจริง ๆ ด้วย”
วงสนทนาดังลั่นรถจากคนห้าหกคน แต่มันก็ไม่ได้น่าสนใจเท่าคนที่ขับรถอยู่ข้าง ๆ ผมที่ตอนนี้รถติดไฟแดงอยู่หรอก กันต์มันหันหน้ามามองหน้าผมเหมือนเด็กสนใจอะไรสักอย่าง
"มองไรวะ"
"อะ...เปล่า"
"มึงมองอะไร..." อย่ามาทำให้อยากรู้แล้วจากไปแบบนี้สิโว้ย
"ก็แค่...วันนี้แซมดูแปลก ๆ ตาไปน่ะ"
หืม?" ได้ยินแค่นั้นผมก็ดึงที่บังแดดที่มันมีกระจกติดอยู่มาส่องหน้าตัวเอง แล้วก็เห็นว่ามันไม่มีอะไรผิดปกติ นอกเสียจาก...
"ไม่ได้กวนหนวดมาเหรอ"
"เออ ใครไม่รู้โทรมาปลุกกูแต่เช้าเลย"
เพี้ยะ!
สิ้นคำพูดเสียงฝ่ามือที่กระทบกับหัวผมก็ดังขึ้นจนคนที่เหยียบเบรกอยู่เป็นต้องหัวเราะออกมา เอาจริง ๆ มันก็ไม่ได้เจ็บหรอก แต่มันตกใจมากกว่า
พี่เอเธนส์นี่มือกับตีนไวจริง ๆ
"ทำไมเหรอกันต์ ปกติไอ้แซมไม่ค่อยโกนหรอก ชอบไว้ให้รก ๆ" ครับ แซะกันเข้าไปใครมันจะไปหน้าเกลี้ยงอย่างพี่ล่ะครับพี่เธนส์
"เออ จอนกูมันยาวเร็ว ช่วงนี้ตื่นสายด้วย" หน้าอย่างกับเพิ่งออกมาจากป่า มันคงแปลกในสายตากันต์จริง ๆ นั่นแหละ
"เราว่าผู้ชายไว้จอนมีเสน่ห์ออกนะ กันต์ไม่คิดงั้นบ้างเหรอ" เอาอีกละ ไอ้มีนชะโงกหน้ามาคุยกับไอ้กันต์ แต่มันเป็นช่วงเวลาที่ต้องออกรถพอดี คนถูกถามก็ทำได้แค่ยิ้ม ๆ
ไหน เพื่อนสาวมีแผนอะไรอีก
"เราก็ว่าโอเคนะ สมกับเป็นแซมดี" แปลได้ว่าหน้าผมไม่ควรเกลี้ยงเกลาแบบคนอื่นเขาบ้างว่างั้น "เรายังอยากไว้หนวดเลย แต่เคยไว้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องโกนออก มันดูโทรมแทนที่จะดูดีน่ะนะ"
"อย่าเลยมึง เสียดายหน้า"
"ทำไมล่ะ"
"เออน่า...เชื่อกู"
ให้มันใส ๆ แบบนี้ต่อไปน่ะดีแล้ว ค่อยน่ามองหน่อย
"กันต์ ๆ เดี๋ยวแวะกินข้าวร้านนี้นะ เป็นร้านเพื่อนแม่เราเอง"
แล้วเรื่องหนวด ๆ ของผมกับกันต์เป็นอันต้องสิ้นสุดลง เมื่อมีนชี้ไปยังร้านข้าวมันไก่ที่มีรถจอดอยู่เต็มหน้าร้าน และไม่นาน รถกระบะคันนี้ก็เลี้ยวเข้าไปหาที่จอดหลังร้านทันที
ผมเดินรั้งท้ายกับไอ้กันต์มาสองคน มองพี่เอเธนส์ กอล์ฟและมีนที่เดินนำหน้าไปกันก่อน ก่อนจะหันไปข้างตัวที่คนตัวสูงน้อยกว่าผมพยักหน้าให้กับคนที่พลุกพล่านในร้าน
"ไปบอกให้ป๊าขยายร้านดีกว่า..."
"หือ?" ผมหรี่ตาลงกับคำที่มันพึมพำออกมา
"ฮะ ๆ อยากให้ร้านที่ป๊าดูแลอยู่มีสาขาข้างนอกบ้างน่ะ ไม่มีไรหรอก" เจ้าตัวหันมาว่าพลางยิ้มจนตาหวาน ๆ ของมันหยีลงเป็นเส้นตรง
"ที่บ้านเปิดร้านอาหารเหรอ"
"อืม เป็นห้องอาหารจีนน่ะ แต่เราไม่ค่อยได้ไปหรอก" ผมถึงกับอ้าปากขึ้นนิดหน่อยกับคำว่าห้องอาหาร ก็นะ ไม่เคยรู้นี่ว่าบ้านมันทำอะไร "อาหารในโรงแรมก็เยอะจะตาย สู้มาเปิดตามห้างหรือไม่ก็เปิดแยกเป็นอาคารไปเลยน่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง"
"อยู่ในโรงแรมด้วย?"
"ใช่ เราว่ามันน่าเบื่อนะ ลูกค้าก็เจอไม่หลากหลาย ส่วนใหญ่ก็จะมีคนจีนเยอะแยะไปหมด ล้งเล้งกันหนวกหูน่าดู"
"เฮ้ย แต่มึงก็เป็นคนจีนนะ" พวกเราห้าคนเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะว่าง ๆ แทรกกลางเด็กเสิร์ฟมากมายที่วุ่นวายกับงานของตัวเอง
"เป็นคนจีนแต่พูดภาษาจีนได้ไม่มากเท่าญี่ปุ่นน่ะนะ"
"ก็ยังดีไหมล่ะ...เออ อยากลองเรียนดูเหมือนกันนะภาษานี้ มีที่ไหนแนะนำให้เรียนบ้างไหม เอาแบบไม่แพงมากอะ เผื่อกลับใจเลิกเรียนแล้วไม่เสียดายเงิน"
"แซมอยากเรียนเหรอ ที่จริงเรามีชมรมสอนอยู่นะ..."
"เฮ้ย ๆ พวกมึงสองคนเลิกคุยแล้วสั่งได้แล้ว รอนานแล้วครับ" กอล์ฟตบโต๊ะเหล็กเบา ๆ เหมือนเตือนสติพวกผมสองคน
"อ่า ๆ กินไรดีวะ...กันต์มึงเอาไร" ผมว่าพลางส่งใบเมนูให้คนที่นั่งข้าง ๆ เอาไปเลือก
"เราเอาข้าวหมูแดง แซมกินหมูแดงไหม"
"ก็ได้นะ ของกูเอาหมูแดงกับหมูกรอบแล้วกัน"
"จะกินแล้วยังต้องถามกันอีก" แต่ระหว่างที่มีนยกแก้วน้ำแข็งให้ทุกคน พี่เอเธนส์ก็เกิดกวนตีนอะไรขึ้นมาไม่รู้ ก่อนจะลอยหน้าลอยตาจนผมถอนหายใจเบา ๆ
"อะไรพี่"
"เปล๊า"
แน่ะ เสียงสูง
........................................
ATHENS's Part
สวัสดีพ่อแม่พี่น้องมิตรรักแฟนเพลงทุกท่าน ผ่านมาหลายตอนเลยนะกว่าจะได้มาเจอกับผม ผมเอเธนส์ กัปตันทีมฟุตบอลมหาลัย ชั้นปีที่ 4 เอาเป็นว่าอาวุโสกว่าไอ้พวกที่นั่งหัวโด่กันสี่คนนี่แล้วกัน
เอาล่ะ มาเข้าเรื่องของผมดีกว่าว่าทำไมผมต้องโผล่หน้ามาตอนนี้ด้วย
เพราะผมกับน้องมีนอยากจะจับผิดไอ้แซมจนใจจะขาดแล้วน่ะสิ
แซมมันเป็นรุ่นน้องภาคผม และเป็นรุ่นน้องที่ชมรมฟุตบอลเหมือนกัน นิสัยมันผมก็เห็นมันมาตั้งแต่เข้าปี 1 เป็นคนเอาจริงเอาจังกับทุกอย่าง แรก ๆ ก็ดูยิ้มยาก พูดตรง บางทีอาจจะเรียกว่าด่ามากกว่า แต่ผมก็ไม่เคยเห็นเพื่อนมันล้อหรือแซวมันเรื่องผู้หญิงเลยนะ ทั้ง ๆ ที่มันเองก็ใช่ว่าจะหน้าตาไม่ดี แค่มันทำให้ตัวมันน่ามองมากกว่านี้ไม่ได้ แต่อย่างว่าเขาว่าคนเราไม่ควรตัดสินหนังสือที่หน้าปก ผมว่าแซมก็น่าจะเข้าข่ายนั้น
แถมคนอย่างมันน่ะนะไม่มีหรอกที่จะมาดูแลเอาใจใส่หรือถามคนรอบข้างว่าจะกินอะไรแบบวันนี้
ทีนี้เลยต้องมาหางานให้ตัวเองเพิ่มโดยการเป็นศิราณีคอยสร้างตอม่อเพื่อเป็นฐานเชื่อมสะพานให้สองคนนี้ แรก ๆ ก็ว่าน้องมีนเพ้อเจ้อ ที่ไหนได้ ผมเพ้อกว่าน้องมันอีก
แล้วสิ่งที่ผมกับมีนตั้งใจจับตารุ่นน้องที่รักอยู่ตอนนี้ก็น่าจะสัมฤทธิ์ผลบางส่วน เพราะเท่าที่เห็น แซมมันก็ทำตัวแปลกไปจริง ๆ นั่นแหละ อย่างเช่น ถามว่าอีกฝ่ายจะกินอะไรบ้างล่ะ ตอนอยู่บนรถก็บอกว่าเสียดายหน้ากันต์บ้างล่ะ มันทำให้ผมรู้สึกว่า เอ๊ะ น้องผมมันไปโดนตัวอะไรเข้าหรือเปล่าวะ
"เดี๋ยวกูไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ" เนี่ยเห็นไหม แค่จะไปห้องน้ำยังพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนให้รู้กันแค่สองคนเลย
เพราะอย่างนั้นผมเลยขอสวมวิญญาณศิราณีทำเรื่องที่ทั้งตัวผมเองและมีนก็อยากรู้และเป็นการย้ำเตือนความรู้สึกของคนทั้งสองน่าจะดีกว่า โดยการขยับขาไปสะกิดขามีนที่นั่งก้มหน้าก้มตากินข้าวไม่สนใจใครอยู่ข้าง ๆ ให้เริ่มปฏิบัติการตามที่คุยกันไว้
"กันต์ เราถามอะไรอย่างดิ"
"อะไรเหรอ"
"กันต์เคยมีแฟนปะ" เดี๋ยว พี่ว่าคำถามนี้มันไม่ได้อยู่ในลิสต์ที่คุยไว้ แต่ไม่เป็นไร อาจจะเกริ่นแล้วค่อยเข้าเรื่องทีหลังก็ได้
"ไม่เคยอะ ทำไมเหรอ"
"มึงจะจีบไอ้กันต์เหรอ...อย่าเชียวนะไอ้กันต์ ไอ้มีนมันพวกแดกไม่เลือก"
"ไหนมึงลองเงียบแป๊บหนึ่งก่อน...ต่อนะกันต์ แล้วตอนนี้กันต์มีพวก...คนที่ชอบอยู่ไหม" ถ้าผมเป็นศิราณี มีนก็คงเป็นนักข่าวช่างตื๊อที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อแลกข้อมูล
"ชอบเหรอ...” หน้าเสียเลยหนู “ไม่รู้สิ เราก็ยังไม่แน่ใจว่าแบบนั้นเรียกว่าชอบหรือเปล่า อาจจะไม่ใช่ก็ได้มั้ง"
ผมฟังไปก็นั่งกดโทรศัพท์ทำเป็นไม่สนใจคนที่นั่งตรงข้าม แต่หูนี่คอยเก็บข้อมูลประมวลผลเรียบร้อย
"กับใครเหรอ บอกเราได้ไหม"
"เสือกจังมึง จะไปอยากรู้อะไรกับชีวิตคนอื่นวะ" กอล์ฟพูดติดตลกก่อนจะยัดหมูกรอบเข้าปากมีนเพื่อปิดปาก แต่ตอนนี้ไม่มีใครทำอะไรเหยี่ยวข่าวสาวของผมได้แล้ว
"เอ่อ..." กันต์ดูจะหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยจนผมต้องเหลือบตาขึ้นมองใบหน้าขาว ๆ จนแทบไม่มีเลือด
"เฮ้ยมีน! ห้องน้ำอยู่ไหนวะ" และยังไม่ทันที่กันต์จะตอบอะไรกลับมา รุ่นน้องขมองอิ่มของผมก็เดินมาจากไหนไม่รู้ทำเอาคนถามสะดุ้งเฮือกหันไปมองแบบงง ๆ จนผมเองก็หายใจไม่ทั่วท้อง
"กูรู้ ๆ เดี๋ยวพาไป" เยี่ยม ถึงกอล์ฟจะขัดเก่ง แต่ไทม์มิ่งนี้ผมชอบ
"ไม่แน่ใจใช่ไหมว่าคนที่เราไม่แน่ใจว่ารู้สึกยังไงเขาเป็นใคร" คราวนี้ผมขอถามเองบ้าง
"ประมาณนั้นฮะ...แต่มันดูจะแปลก ๆ ไปหรือเปล่าก็ไม่รู้"
"ทำไมล่ะ แล้วที่ว่าไม่แน่ใจ เขาทำอะไรให้กันต์บ้างล่ะ...นี่ ๆ ๆ บอกใบ้หน่อยนะถ้าไม่อยากบอกชื่อ"
"เขาก็แค่ทำให้เรารู้สึกสบายใจเวลาอยู่ด้วยกัน บางทีเขาก็เป็นเดือดเป็นร้อนแทนเราจนเรารู้สึกว่าเขาดูอบอุ่น น่าเข้าใกล้” กันต์ดูอึกอักไป แต่นั่นทำให้ผมเปลี่ยนท่าทีจากนั่งจ้องให้น้องกดดัน มานั่งสบาย ๆ เพื่อให้น้องผ่อนคลายมากขึ้น “แต่เรา...ก็...พยายามไม่คิดอะไร เพราะคงคิดว่านั่นอาจจะเป็นนิสัยของเขาก็ได้"
เอ...ตอนนี้ผมเริ่มเลิกคิ้วมองหน้ากันต์ สงสัยแล้วว่าคนที่กันต์พูดถึงอยู่ใช่ไอ้แซมน้องรักผมหรือเปล่า เพราะที่พูดมายังไม่เคยมีใครในทีมเห็นด้านนี้ของแซมเลยด้วยซ้ำ
"ผู้หญิงใช่ไหม"
"เอ่อ..." กันต์เลิ่กลั่กไปนิดหน่อย ถ้าจะตอบผู้ชายพี่ก็ไม่ว่าอะไรครับ ก็ถือว่าเข้าข่ายที่คิดอยู่ "เขาไม่ใช่ผู้หญิงหรอกครับ"
"อืม..."
"พี่พอจะรู้แล้ว" ผมรีบตัดบทที่มีนกำลังจะพูดเพราะกลัวว่าน้องสาวต่างภาคจะพูดอะไรออกมาแบบไม่ทันได้คิดอีกครั้ง "พี่สังเกตมานานแล้วแหละ แต่ไม่รู้อะไรยังไง ถ้าเป็นอย่างที่พี่คิดก็พยายามเข้าแล้วกัน คนอย่างมันน่ะเข้าถึงไม่ยากหรอก แค่สร้างภาพไปเท่านั้นเอง ความจริงไม่มีอะไรเลย "
"คะ...ครับ? พี่เธนส์รู้เหรอ”
“ก็ไม่รู้ว่าใช่ไหม แต่จะให้กำลังใจไว้ก่อน มีความรู้สึกแบบนี้เท่ากับเป็นใบเบิกทางที่ดีแล้วนะ”
แดกจุดกันเลยทีเดียว ตอนนี้สีหน้ากันต์เปลี่ยนสีจนดูน่ากลัว ยิ่งเห็นกันต์หันไปมองด้านหลัง ผมยิ่งมั่นใจได้เลยว่าคนที่ผมคิดไว้คือคนเดียวกับที่กันต์รู้สึกอยู่ตอนนี้
"ห้องน้ำคนแม่งเยอะว่ะ...ไอ้กันต์ ถ้ามึงจะเข้า กลับไปเข้าที่คณะนะ"
แล้วคนพูดก็ไม่ได้รู้เรื่องเลยว่าตอนนี้ผมกับมีนแอบอมยิ้มกันจนแก้มจะแตกแล้ว
