Translate to love แปลสองหัวใจให้กลายเป็นคำว่ารัก

139.0K · จบแล้ว
SevenCats
45
บท
5.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

'แซม'นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ เป็นผู้ชายธรรมดาที่กลืนไปกับสังคมยุคปัจจุบัน ภายนอกอาจดูดิบเถื่อน แต่ภายในกลับมีเพียงใครคนหนึ่งที่ชื่อ ‘กันต์’ มองเห็นว่าผู้ชายคนนี้ช่างแตกต่างและโดดเด่น ไม่แปลกที่จะเผลอทำตัวให้ใครอีกคนหลงรักแบบที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว'กันต์'เด็กรักเรียนสายภาษาที่ทั้งเรียนเก่งและยิ้มเก่ง เกิดในครอบครัวนักธุรกิจ มองเผิน ๆ ก็ลูกคุณหนูดี ๆ นี่เอง แต่ใครจะไปรู้ว่าชีวิตครอบครัวก็แค่ฝืนยิ้ม ไม่เคยสบายใจเท่าการที่ได้อยู่กับเพื่อนและใครอีกคนที่เสนอตัวมารองรับทุกความรู้สึกแย่ ๆ ซึ่งใครจะเป็นความสุขได้มากกว่า ถ้าคนคนนั้นไม่ใช่ ‘แซม’เพราะโปรเจ็กต์ข้ามคณะอย่างวิศวะและภาษานั่นแหละ มันถึงได้เหวี่ยงสองคนนี้ให้มาเป็นฟันเฟืองที่ขับเคลื่อนไปพร้อมกัน

นิยายรักโรแมนติกนิยายรักนิยายปัจจุบันนิยายYaoiโรงแรม/มหาลัยรักหวานๆโรแมนติก

Intro

INTRO

SAM's Part

“แซม กูหิวข้าว”

ในห้องเรียนที่ตอนนี้ผมกำลังเล็กเชอร์ข้อมูลอย่างไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่นัก ‘เป้’ เพื่อนรักเพื่อนเลิฟหน้าตี๋ผิวขาวที่ตามติดกันมาตั้งแต่ม.ต้น ส่งเสียงงุ้งงิ้งชวนปวดหัวมาเป็นระยะ

“กูอุดปากมึงไว้ปะ”

“แล้วตอนนี้มันได้เวลาหรือยังล่ะวะ...เชี่ยเอ๊ย ทำไมมึงตั้งใจเรียนจังอะ นี่มึงอยากได้เกียรตินิยมเหรอครับ”

ผมปล่อยให้เป้มันพล่ามของมันต่อไป ส่วนสายตาก็จดจ่ออยู่กับสไลด์ต่อ

“เอ้า! นักศึกษาครับ...” พอจะวางปากกาลงได้บ้างเมื่ออาจารย์ลุกออกจากโต๊ะเดินมาหน้าสไลด์ “อย่างที่ผมสัญญากับพวกคุณไว้ว่าวันนี้จะสอนแค่ครึ่งคาบ ตอนนี้ผมต้องขอหยุดการบรรยายตรงนี้ไว้ก่อนเพื่อจะแจ้งสิ่งสำคัญกับมหาวิทยาลัยของเรา...”

ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกลกำลังจะพูดสิ่งที่ยิ่งใหญ่ตามที่เขาว่า ผมกับไอ้เป้และคนทั้งห้องก็ต้องพากันเงียบเพื่อรอฟังสิ่งที่เขากำลังจะกล่าว

“ผมเคยแจ้งพวกคุณไว้ตั้งแต่ต้นเทอมแล้วว่าปลายเทอมจะมีการประกวดสิ่งประดิษฐ์ระดับชาติ แล้วทีมที่จะส่งประกวดนั้น ทุกสถาบันจะส่งได้แค่สถาบันละหนึ่งทีม แล้วหัวข้อของการประกวดคือ สิ่งประดิษฐ์อะไรก็ได้ที่อยู่ในโจทย์พลังงานทางเลือก เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเกษตรในประเทศไทย และสุดท้าย ราคาประหยัด” สิ่งประดิษฐ์ที่เพอร์เฟ็กขนาดนี้นี่ใครได้เป็นตัวแทนไปแข่งนี่มันจะเมพเกินไปแล้วมั้ง “ทั้งนี้ ทางคณาจารย์ได้คัดเลือกกันไว้แล้วว่าจะต้องมีสมาชิกจากภาคเกษตรหนึ่งคน ภาคเราหนึ่งและไฟฟ้าอีกหนึ่งคน และมีที่ปรึกษาภาคเราซึ่งอยู่ปี 4 และสิ่งที่ผมจะบอกพวกคุณคือ ผมได้เลือกสมาชิกภาคเครื่องกลของเราไว้แล้ว”

แน่นอนว่าท่านศาสตราจารย์สาธยายเสร็จ นักศึกษาในห้องร่วมสี่สิบชีวิตต่อ หนึ่งเซ็คก็ส่งเสียงฮือฮาออกมา

“ขอเสียงปรบมือให้นายอดุลฤทธิ์หน่อยครับที่จะมาเป็นตัวแทนให้ภาคเรา”

อดุลฤทธิ์? ชื่อคุ้น ๆ เหมือนเคยได้ยินที่ไหนสักแห่ง

“อ้าวไอ้แซม!” สิ้นเสียงอาจารย์ได้ไม่ถึงสองวิ เป้ก็หันมาผลักไหล่ผมทีหนึ่งก่อนที่ผมจะหันไปมองหน้ามันแบบงง ๆ

อะไรกันรึ?

“ผมพิจารณาจากเกรดรายวิชาของคุณ รวมถึงโปรเจ็กต์พิเศษที่คุณทำในปีก่อน ๆ ด้วย ผู้ใหญ่หลายท่านไว้ใจคุณให้คุณทำงานนี้”

หา?

เดี๋ยว...วัน ๆ ผมก็เอาแต่นั่งเรียนไปตามประสานักศึกษาธรรมดาทั่วไป จู่ ๆ รายชื่อกับเกรดเฉลี่ยมันไปเตะตาอาจารย์เขาได้ไงวะ

เฮ้ย! นี่ล้อกันเล่นหรือเปล่า เอางานระดับชาติมาให้ผมทำเนี่ยนะ มหา ’ลัยตกรอบเสียชื่อไปโทษผมไม่ได้นะเว้ย

“เฮ้ย นี่มึงทิ้งกูเหรอ!” ทิ้งพ่องเหรอ เห็นหน้ากูไหม รับรู้อะไรกับเขาไหมเนี่ย

“วันพฤหัสนี้ผมขอคุยเรื่องงานตอนเย็นที่ห้อง 209 นะ...อ้อ! งานนี้เป็นการสานความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น จะมีเพื่อนจากเอกญี่ปุ่นมาหนึ่งคน ซึ่งเขาจะมาทำหน้าที่แปลเอกสารทุกอย่างรวมถึงขึ้นพูดในวันแสดงผลงานแทนพวกคุณด้วย”

“อาจารย์คร้าบ! ถ้าชนะ มหา ’ลัยจะได้อะไรเหรอครับ” เสียงนั้นไม่ได้มาจากผม หากแต่เป็นเป้ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ยกมือขึ้นถามเสียงดัง

“ก็จะมีทุนให้ไปเรียนต่อทั้งระยะสั้นและระยะยาวให้ทางสถาบันอยู่หลายทุนเหมือนกันถ้าผมจำไม่ผิด แล้วทีมที่ชนะสามอันดับแรกก็จะได้ไปดูงานที่ญี่ปุ่นฟรีตลอดทริปด้วยนะ”

“เหยดแหม่...เพื่อนแซม เอาให้ได้นะเว้ย กูรอของฝากจากมึงอยู่ ฝากเลยได้ปะรองเท้าสักสองคู่ น้ำหอมอีกสอง...” ไม่พูดเฉย ๆ มือแม่งเป็นปลาหมึกเกาะผมแทบไม่ปล่อย พลางออกแรงเขย่าจนตัวผมโยกไปตามแรงมัน

เห็นแบบนี้เป้มันก็เป็นเพื่อนสนิทผมมาตั้งแต่ม.ต้นแล้ว หลายคนเลยคิดว่าผมกับมันเป็นคู่เกย์กันไปแล้วด้วยซ้ำ คบกับมันมาเก้าปีแล้วมั้ง นานวันยิ่งรู้สึกว่ามันเหมือนครอบครัว พ่อแม่ผมก็รักมันเหมือนลูกอีกคน

ส่วนผมเหรอ ก็บอกไปแล้วว่าชีวิตผมก็แค่นักศึกษาธรรมดา นั่งเรียนให้คุ้มกับเงินที่พ่อแม่ส่งมา ทำกิจกรรมให้ได้ทุกอย่างเท่าที่ร่างกายจะไหวเพราะคิดว่าคงจะได้เพื่อนเยอะ ๆ จากการทำกิจกรรม

แล้วมันก็จริง เพื่อนเอาไว้ทำงาน เอาไว้กินเหล้า ผุดขึ้นมาอย่างกับไฮดราแยกหน่อ

ส่วนรูปร่างหน้าตาผมเหรอ...เป้มันเคยบอกผมนะว่าหน้าผมออกไทย ๆ สีผิวก็ไม่ได้ขาวอะ ตัวสูงเกือบร้อยแปดสิบละมั้งมันถึงพูดแบบนั้น

ส่วนเรื่องผู้หญิงหรือความรักผมไม่เคยใส่ใจมันว่ะ ไม่ใช่ไม่สนใจนะ ก็มอง แบบสวย ๆ เดินผ่านอะไรแบบนี้หรืออยู่ร้านเหล้า ได้อารมณ์เต็มที่ผมก็เวียนทุกโต๊ะ รู้จักใครโต๊ะนั้นเสร็จผมหมด แล้วผู้หญิงโต๊ะนั้น ๆ ก็มาควงแขนดื่มกับผมทุกคน แต่มันก็จบแค่นั้น ผมทำไปเพื่อความสนุกในแบบที่มันมีขอบเขต

เมื่อกี้ผมพูดถึงผู้หญิงใช่ไหม

แต่ถ้าเป็นกับผู้ชาย...

ไว้ค่อยดูกันอีกทีแล้วกันเนอะ

…………………………………..

GUN's Part

“通訳になりますね。おめでとうございます” (จะได้เป็นล่ามแล้วนะ ยินดีด้วยนะครับ)

“えっ、どういうことですか” (เรื่องอะไรเหรอครับ)

“職員室の前にガンさんの名前がはって、まだ見ていないんです” (ก็ที่หน้าห้องมีชื่อคุณติดอยู่น่ะ ยังไม่ได้ดูหรอกเหรอ)

บทสนทนาของผมกับอาจารย์ชาวญี่ปุ่นที่เดินเข้ามาทักทายผม ซึ่งมันก็ไม่ใช่สวัสดีอะไรทั่วไป แต่มันก็ทำให้ผมแปลกใจว่าสิ่งที่เขาพูดมานั้นคืออะไร

ว่าแล้วผมก็ขอตัวอาจารย์ไปดูรายชื่อตัวเองที่บอร์ดหน้าห้องพักอาจารย์ ที่มีข่าวสารประชาสัมพันธ์ติดทับกันทั้งเก่าและใหม่

‘กันตพล ศิริมหา’

ที่ผมอ่านไปคือชื่อตัวเองไม่ผิดเพี้ยน แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีรายชื่อตัวเองแปะหลาอยู่ตรงนั้น ก่อนที่ความสงสัยจะคลายออกไป ผมถึงกับอ้าปากหวอ ก่อนจะร้องอ๋อในใจ

รายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกเป็นตัวแทนล่ามอาสาในงานสิ่งประดิษฐ์ระดับประเทศ

จำได้แล้ว เพราะก่อนหน้านี้ประมาณสองอาทิตย์ ทางภาควิชาผมเขาให้ทำแบบทดสอบอะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับศัพท์เฉพาะทางอุตสาหกรรม แล้วผมก็ทำได้บ้าง มั่วบ้าง ดิ่งบ้างเป็นบางข้อ จนรู้แล้วว่าที่อาจารย์ให้ผมกับเพื่อน ๆ ทำเป็นร้อยข้อในวันนั้นจะต้องเกี่ยวอะไรในวันนี้แน่ ๆ

ได้เป็นล่ามเลยนะกันต์...แต่ไหงไม่ได้รู้สึกดีใจเหมือนที่สอบได้ทุนไปทัศนศึกษาที่ญี่ปุ่นเหมือนตอนม.ปลายเลย กลับมีความรู้สึกว่าคนที่สมควรจะได้หน้าที่นี้ควรจะเป็นเรียว หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นหน้าหวาน พูดญี่ปุ่นได้ไม่ต่างจากเนทีฟ แทนที่จะดีใจนะกลับต้องมารู้สึกหน่วงเสียแบบนั้น

ขอเชิญนักศึกษาที่มีรายชื่อต่อไปนี้ เข้าร่วมประชุมที่ห้อง 209 ภาควิชาเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ ในวันพฤหัสที่...

อุตส่าห์ (ใช้ดวง) สอบผ่านแท้ ๆ แต่ต้องไปถึงคณะวิศวะที่อยู่ไกลจากคณะผมคนละทางกันเลย แถมไม่ได้เก่งพอที่จะรู้ว่าภาคเครื่องกลมันอยู่ตรงไหนด้วย เพราะคณะนั้นเคยเป็นที่ที่ผมหลงมาแล้วตอนเข้าปี 1 ใหม่ ๆ แน่นอนแหละ คณะเขามันใหญ่จนกินที่ของมหา ’ลัยไปแล้วเกือบครึ่ง

“กันต์ นี่มึงได้เป็นล่ามให้ทีมของมหา ’ลัยด้วยเหรอ”

สายตาของผมที่กำลังจับจ้องไปที่บอร์ดหน้าห้องต้องเสมองออกมาข้างตัวเมื่อได้ยินเสียงใส ๆ คุ้นหูของผู้หญิงคนหนึ่งที่วิ่งมาทางนี้

ใช่ครับ เธอเป็นเพื่อนสาวผมเอง เพื่อนเพศหญิงที่หาได้แสนง่ายดายและแทบจะขี่คอกันเรียนในสาขาภาษาแบบนี้

จิ๋ว ผู้หญิงร่างเล็กเด็กต่างจังหวัด ผิวสีแทนไว้ผมหน้าม้า ปล่อยผมยาวประบ่า ตาโต มันก็วิ่งเข้ามาเกาะแขนผมเหมือนเด็ก

“มั้ง”

“เฮ้ยอย่ามั้งดิ หูย...ได้ไปอยู่กับพวกวิศวะด้วย กูอิจฉามึงจัง” พูดแล้วก็บึนปาก เพราะมันคลั่งผู้ชายคณะนี้มาก ว่างไม่ได้โรงอาหารวิศวะตลอด

“วิศวะก็คนหรือเปล่า...เออ วันพฤหัสนี้กูต้องไปประชุมที่ภาคเครื่องกลอะ แต่กูไม่รู้ว่ามัน...”

“กูรู้ ๆ”

“ยังพูดไม่จบเลย”

“กูรู้ว่ามึงจะถามอะไร มึงจะถามว่าภาคเครื่องมันอยู่ตรงไหนใช่มะ...ถามเลย ๆ กูรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับที่นั่น” ผมเชื่อ ตาเป็นมันมากเมื่อพูดถึงคณะนี้ “กี่โมง เดี๋ยวน้องจิ๋วเป็นไกด์นำทางให้นะจ๊ะ เพื่อพี่กันต์ผู้น่ารักของน้อง น้องยอมค่ะน้องยอม”

“ผลประโยชน์ก็เข้ามึงทั้งนั้น”

“เออน่า ให้กูได้มองเป็นอาหารตาบ้าง ไม่รู้เหรอว่าคณะนี้น่ะสเป็คกูทั้งนั้น”

ก็เห็นว่าสเป็คทุกคณะ “อะตามใจ...เออมึง แล้วอาหารตาของมึงนี่อิ่มยัง ยังไม่มีอาหารใจตกมาบ้างเหรอ”

เงียบเลย

“หนาวไหม อากาศข้างบนเป็นไงบ้าง แอบมองเขามาก ๆ ระวังพลาดห้อยหัวตายอยู่ข้างบนละกัน”

“อีกันต์! นี่มึงแช่งกูให้อยู่บนคานเหรอ” ยังไม่ได้พูดเลย “ไม่! เขาเรียกว่ามันยังไม่ถึงเวลาโว้ย กูจะต้องรอจนกว่าพระเจ้าจะปั้นชิ้นเนื้อในส่วนที่หายไปของกูให้ได้”

ตั้งแต่ที่ผมรู้จักมันมา ก็ไม่เคยเห็นจิ๋วคบกับผู้ชายคนไหนเลย ผมกลัวจริง ๆ ว่ามันจะนึกคึกไปคบกับผู้หญิงในห้องด้วยกันเอง ผู้ชายที่สาขาก็ยิ่งหายาก ๆ อยู่ เรียกสุภาพสตรีว่าชะนีไปแล้วครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งคืออะไรไม่รู้

แต่ปากผมก็ว่าแต่จิ๋ว ไม่ได้ดูตัวเองเลยว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยรู้จักคำว่าความรักสักครั้ง จนถึงตอนนี้สิ่งที่ผมรู้จักคงมีแต่การเรียนและกิจกรรม

ถึงจิ๋วจะเคยบอกผมว่าผมหน้าตาดี ตัวสูงผิวขาว แต่ผมก็คนธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่ไม่เคยมีความรักอย่างที่บอกไป แต่ถามว่าอยากมีไหม อารมณ์ชั่ววูบก็อยากมีบ้าง แต่มันก็หายไปพร้อมกับฝันกลางคืน

หรือว่าคนอย่างผมไม่จำเป็นต้องมีความรักกันแน่นะ

อ่า...ช่างเถอะ

มีเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละนะ