บทที่ 7 : นักศึกษาแลกเปลี่ยน
บทที่ 7
GUN's Part
ตอนนี้เด็กเอกญี่ปุ่นทั้งเซ็คต่างรอให้ถึงเวลาเรียนอยู่เงียบ ๆ บ้างก็ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ บ้างก็นั่งเปลี่ยนท่าไปแล้วไม่รู้กี่ท่าอย่างผมเพื่อรอให้หนุ่มลูกครึ่งคนนั้นมารับของไปคืนใครอีกคน
ใจมันไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตั้งแต่จ้องเข้าไปยังนัยน์ตาของแซมแล้วนะ ถึงได้มากระวนกระวายอยู่แบบนี้ไง
ความรู้สึกเมื่อกี้...
มันอะไรกันนะ
"ไง...เขาไม่เอาเหรอ" ระหว่างที่นั่งคิดอะไรไปเรื่อย ๆ ก็รู้สึกว่าที่นั่งข้าง ๆ ควรจะเป็นเพื่อนอีกคน แต่กลับเป็นเรียวที่เดินเข้ามานั่งแทน
ผมมองไปยังถุงสีสวยที่ตามบทแล้วมันควรจะไปอยู่ที่แซม "อืม"
"แล้วอย่างนี้เราจะไปบอกกับเจ้าตัวยังไงว่าแซมไม่เอา"
"แซมเขาต้องเห็นหน้าหรือรู้จักกันก่อนน่ะเขาถึงจะรับได้ แล้วถึงจะรับได้ก็คงไม่ใช่ของแพงขนาดนี้" มันเหมือนเป็นความผิดของผมยังไงไม่รู้ที่เห็นสายตาของเรียวฉายแววผิดหวังแบบนั้น "เรียว"
"หืม?"
"ใครเป็นคนให้รองเท้าคู่นี้มาเหรอ" อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่สมควรหากผมถามแบบนั้นออกไป แต่ถ้ามีคนฝากมาอีกทีจริง ๆ ทำไมเขาถึงต้องทำเหมือนผิดหวังขนาดนั้นด้วย
"ไม่ต้องรู้หรอก"
เหมือนโดนตบหน้าด้วยคำตอบ ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นเดินกลับโต๊ะตัวเองไปพร้อมถุงรองเท้าคู่นั้น อาจจะเจ็บที่ถามเขาออกไปแล้วได้คำตอบแบบนั้นกลับมา แต่ตรงข้ามมันกลับทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจแปลก ๆ เพราะเท่าที่ดูจากลายมือ วิธีการเขียน การพูดในจดหมายที่ผมแปลให้แซม มันเป็นรูปประโยคที่ไม่สามารถแปลเป็นไทยแบบตรง ๆ ได้
ซึ่งแน่นอนคนไทยที่เรียนหากไม่แม่นหรืออ่านบทความไม่มากพอ จะคิดรูปประโยคแบบนี้ออกมาไม่ได้
"เฮ้ย! วันนี้มีนักศึกษาแลกเปลี่ยนมาด้วยแหละเว้ย" เพื่อนผู้ชายคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นจนผมต้องหันไปมองกลุ่มเพื่อนที่กำลังจะนั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะแถวหลังห้อง
"ต้องเป็นผู้ชายใช่ไหม เพราะห้องเราที่ไปเป็นผู้หญิงอะ"
"ไม่เกี่ยวอะ หน่วยข่าวกรองอย่างกูสืบมาแล้วว่าเป็นผู้หญิงต่างหาก"
"โหย...ไรวะ"
จริงด้วย มีเพื่อนในเซ็คผมตอนนี้เขาไปแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่นนี่นา แล้วทางนั้นเขาก็ส่งนักศึกษาเขามาที่นี่เป็นการแลกเปลี่ยนกันด้วย แต่จะคณะไหนก็ต้องไปดูกันอีกที
แต่ผู้หญิงงั้นเหรอ...
คงจะสไตล์น่ารัก ๆ แบบผู้หญิงญี่ปุ่นแหละมั้ง
"กันต์!" และไม่ทันที่อะไร ๆ จะเข้าที่เข้าทาง ไอ้จิ๋วก็มาจากไหนไม่รู้วิ่งเข้ามากระโดดกอดผมจนตัวมันแนบอยู่ที่หลังผม "เออมึงรู้ยัง อายาโนะจังจะมานะ"
"ใครอีก”
"ก็นักศึกษาแลกเปลี่ยนไง เขาจะมาเรียนวิศวะที่นี่สามเดือน แต่เห็นว่าวันนี้วันแรกเลยจะมานั่งเรียนกับเราสองสามวัน แล้วค่อยไปเรียนกับพวกวิศวะ”
ไงล่ะเพื่อนผม เมื่อกี้น่ะหน่วยข่าวกรอง ส่วนจิ๋วนี่ไม่กรองเลย มาทั้งชื่อทั้งคณะที่เขาจะมาเรียน
"กูจะเปิดทัวร์พาเขาเที่ยวทั่วมหา’ลัยเลย" นี่ขนาดไม่ใช่ผู้ชายนะ ยังดี๊ด๊าขนาดนี้
"แล้วเห็นหน้าเขาแล้วเหรอ"
"เห็นแล้วเว้ย สวยมากอะมึง กูอยากสวยแบบเขาบ้างอะกูควรทำไงดีวะกันต์"
"ตัดคอแล้วไปเปลี่ยนกับเขา"
"อีบ้า!”
สักพัก อาจารย์ประจำวิชาญี่ปุ่นธุรกิจก็เข้ามาในห้องเพื่อเตรียมสอนเนื้อหาในคาบเช้าวันนี้ต่อไป แต่ความสนใจของนักศึกษาร่วมสามสิบชีวิตก็ไม่ได้จดจ่ออยู่กับการเรียนเท่าไหร่ เพราะเอาแต่นั่งจ้องนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่มาพร้อมอาจารย์ที่ตอนนี้เธอกำลังยืนอยู่หน้าห้อง
อาฮะ อายาโนะจังอย่างที่จิ๋วมันว่า เป็นผู้หญิงสวยสไตล์ญี่ปุ่นแบบไม่ต้องแต่งอะไรเลย ปากนิดจมูกหน่อย ผิวสีขาวจัด พร้อมกับแก้มแดงระเรื่อที่ดูไม่คุ้นชินกับอากาศประเทศไทย
"มึง เดี๋ยวกูดูแลเขาเอง"
"ไม่ ๆ ๆ เดี๋ยวกูคอยเซอร์วิสเขา"
"อย่า! กูเอง พวกมึงไม่มีรถ ไปกับพวกมึงอายาโนะดำหมด"
"หยุดเลยพวกมึงอะ ชายฉกรรจ์อย่างพวกมึงมันไม่น่าไว้ใจต้องกูนี่"
เหล่าผู้ชายที่มีอยู่น้อยนิดที่นั่งหลังผมก็ถกเถียงกันว่าใครจะได้ใจอายาโนะคนนี้ไปครอบครอง แต่ก็ต้องถูกไอ้จิ๋วห้ามทัพไว้ก่อนจนพวกผู้ชายหันมายื่นนิ้วกลางรัว ๆ ใส่
"ここに座ってもいいですか (นั่งตรงนี้ได้ไหมคะ)" และไม่ทันไร โต๊ะข้าง ๆ ที่ปกติแล้วจะมีเพื่อนนั่ง แต่วันนี้น่าจะป่วย อายาโนะจึงหยุดยืนอยู่ข้างผมพร้อมเอ่ยเสียงใสทักมา
ส่วนผมก็ตอบไปโดยพยักหน้าให้พร้อมยิ้มนิด ๆ ให้เธอรู้สึกไม่เกร็ง
"อย่าจีบเชียวนะมึง" จิ๋วแอบชะโงกหน้ามาจากโต๊ะอีกแถวพร้อมขู่เสียหน้ายับเลย
บ้าหรือไง ใครจะกล้าจีบวะ
แต่ระหว่างที่ผมกำลังจะหันกลับมาเพื่อจดจ่ออยู่กับสไลด์ของอาจารย์ต่อ สายตาดันไปสะดุดกับคนที่นั่งอยู่แถวหลังจิ๋ว คนที่มีถุงรองเท้าคู่นั้นวางอยู่ข้าง ๆ ตัว
เริ่มอยากรู้ขึ้นมาตงิด ๆ แล้วเนี่ยว่าสรุปแล้วใครเป็นคนให้รองเท้าคู่นั้นกับแซมกันแน่
พักเที่ยง
"アヤノちゃん、一緒に昼ご飯を食べましょうか? (อายาโนะจัง กินข้าวกลางวันด้วยกันไหมจ๊ะ)"
จะเป็นใครไม่ได้ถ้าไม่ใช่จิ๋วที่พร้อมจะรับปากกับอาจารย์ว่าจะดูแลเพื่อนใหม่คนนี้ให้ดีที่สุด เลิกคาบปุ๊บ ไม่ใช่แค่จิ๋วที่วิ่งร่าเข้าไปหาอายาโนะ แต่มีเพื่อนคนอื่น ๆ ที่อยากจะคุยกับเพื่อนใหม่คนนี้ไม่ต่างกัน
แต่ก็ต้องหันไปมองเรียวที่ตอนนี้ก็กำลังเก็บของใส่กระเป๋ากับเพื่อนกลุ่มเขา พร้อมกับถุงรองเท้าที่ตอนนี้เขากำลังถือมันออกไปหลังจากหมดคาบ
ถือถุงออกไปแล้ว งั้นแสดงว่าไม่ใช่เพื่อนในห้อง
แต่ก็ไม่แน่หรือเปล่า อาจจะไปนัดยื่นของให้กันที่ไหน...
โอ๊ย! มึงเป็นบ้าอะไรวะกันต์ ทำไมช่วงนี้ต้องอยากรู้อยากเห็นอะไรไม่เข้าเรื่องอะ เมื่อก่อนก็เห็นไม่ค่อยสนใจอะไรไม่ใช่เหรอ ทำไมพอมาเป็นเรื่องของแซมเข้าหน่อยนี่อยากรู้จนจะไปตามสืบเองอยู่แล้ว
โดนคนที่บ้านเหวี่ยงใส่จนประสาทกลับไปแล้วแน่ ๆ เลยผม
"工学部の食堂に行こうか? (ไปโรงอาหารที่วิศวะไหมล่ะ)" ผมถึงกับหันไปมองไอ้จิ๋วที่พูดกับอายาโนะทันที แต่พอรู้ว่าพวกนี้จะพาเพื่อนใหม่ไปที่ไหนก็ต้องหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อไลน์หาใครคนนั้น
ถ้าชวนแซมกับเพื่อนมากินข้าวด้วยก็คงจะดี จะได้ทำความรู้จักกับเพื่อนในคณะตัวเอง ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้อยู่ภาคเดียวกันก็ตาม
แต่ไม่รู้ทำไม ก่อนที่ผมจะเข้าหน้าแชต ผมกลับเปิดรูปโปรไฟล์ไลน์ของเขาที่รูปรูปนั้นเหมือนถูกแอบถ่าย ท่าทางกำลังนั่งกดโทรศัพท์กับชุดนอกที่ไม่ใช่เสื้อช็อปที่ผมมักเห็นประจำ
รูปที่เห็นแค่เสี้ยวหน้าด้านข้าง คนทั่วไปดูแล้วอาจจะไม่มีอะไร แต่ความรู้สึกผมมันบอกเลยว่าผู้ชายคนนี้แตกต่าง
เท่แฮะ
ไม่นาน จิ๋ว อายาโนะ และพวกผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่ติดรถผมไปวิศวะเพื่อไปกินข้าวด้วยกัน ก็มาถึงโรงอาหารที่คนนอกคณะอย่างพวกเราคุ้นเคยมากที่สุด
ไลน์!
เสียงแจ้งเตือนไลน์ดังขึ้นขณะที่ผมเดินเข้ามาในโรงอาหารกลางของวิศวะ จนเมื่อเดินตามสาว ๆ มาได้สักพักก็เปิดดูข้อความหนึ่งที่เด้งขึ้นมาที่หน้าจอก่อนปลดล็อก
[กูอยู่โยธา เดี๋ยวตามไป]
แอบอมยิ้มไม่ได้เลยแฮะกับข้อความที่ตอบกลับมาอย่างลืมตัว เอาจริง ๆ ผมอยู่กับแซมแล้วสบายใจนะ อาจจะเป็นเพราะว่าเพื่อนผู้ชายในภาคตัวเองค่อนข้างมีน้อย จะมีก็แต่เพื่อนที่ทำงานกลุ่มกับเพื่อนที่เอาไว้เที่ยวนี่แหละ แต่ถ้าเอาไว้คุยได้ทุกเรื่องก็คงจะมีแค่จิ๋วและแซมที่เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน
GUN
ทำไรอยู่โยธา
SAM AD
ถ่ายเอกสาร
GUN
เดี๋ยวไปหา
SAM AD
จะไปแล้วเนี่ย มึงรออยู่นั่นแหละ
คิดว่าผมจะทำตามที่เขาบอกเหรอ ช่วงนี้ยิ่งมีอะไรจะคุยเยอะแยะอยู่ด้วย อีกอย่างเพิ่งรู้มาหมาด ๆ ว่าอายาโนะอยู่ภาคคอม ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้แซมมีเพื่อนอยู่ภาคคอมด้วยจัง จะได้ฝากอายาโนะได้
คิดอย่างนั้นเลยเดินออกจากโรงอาหารไปแบบไม่ได้บอกใครที่โต๊ะก่อนจะตรงดิ่งไปที่โยธาอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าแซมจะทำธุระของเขาเสร็จเสียก่อน แต่ก็ลืมไปว่า...
ผมไม่ค่อยได้มาวิศวะเท่าไหร่ และนึกขึ้นได้อีกว่าทั้งคณะนี้ผมรู้จักแค่ภาคเครื่องกลอย่างเดียว
เวรกรรมแล้วไหมล่ะ โยธาอยู่ตรงไหนล่ะทีนี้
"ไงล่ะมึง บอกแล้วให้รออยู่ที่โรงอาหาร"
"แหะ ๆ”
“ไม่ต้องมาแหะเลย” หึ้ย โดนแซมเอาม้วนชีตที่ถืออยู่เคาะหัวเบา ๆ เลย
อา...ผมรู้สึกสบายใจอีกแล้ว
"แซมกินข้าวยังเนี่ย"
"ยังเลย กูรอไอ้เป้ออกมาจากห้องไม่ไหว ไปกินกับมึงก่อนก็ได้"
ได้ยินแบบนั้นก็ต้องพยักหน้าและพากันเดินกลับโรงอาหารที่พวกเพื่อนนั่งรอกันอยู่
"วันนี้มีเพื่อนใหม่มาจากญี่ปุ่นด้วยนะ เขาจะมาเรียนวิศวะที่นี่สามเดือน" ผมไม่ค่อยจะเห่อเพื่อนใหม่เท่าไหร่หรอก แล้วดูเหมือนแซมจะเลิกคิ้วแปลกใจไปเล็กน้อย ดูท่าสนอกสนใจท็อปปิกที่ผมเอามาพูดเสียด้วย
"ภาคไรวะ"
"คอม"
"ว้า...แต่ก็ช่างเถอะ ขืนมาอยู่กับพวกกูก็ลำบากตายกันพอดี ญี่ปุ่นก็พูดไม่ได้ อังกฤษนี่งู ๆ ปลา ๆ ยังอาย...แต่เป็นผู้ชายหรือผู้หญิงอะ"
"ผู้หญิงน่ะ น่ารักมากเลยนะ"
"ยิ่งเป็นผู้หญิง ก็ยิ่งไม่อยากได้"
"ทำไมล่ะ"
"เดี๋ยวก็เสร็จไอ้พวกจัญไรในเซ็คกันพอดี" ว่าเพื่อนตัวเองอีก
และพอแซมเห็นเพื่อนผมคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อายาโนะ เขาก็ยิ้มให้ตามมารยาทของคนที่เพิ่งรู้จักกัน แต่มันอาจจะไม่ใช่ยิ้มที่ดูเป็นมิตรเหมือนคนอื่น ๆ เพราะอย่างที่รู้ ๆ แซมเป็นคนหน้านิ่ง เวลายิ้มทีก็คงจะยิ้มแค่ปาก มันอาจจะกลายเป็นรอยยิ้มที่น่ากลัวในสายตาของเพื่อนผมไปเลยก็ได้ และมั่นใจว่าหนึ่งในนั้น น่าจะมีอายาโนะอยู่ด้วย
ผมกับแซมแยกออกมาซื้อข้าวกันสองคนโดยการสั่งข้าวยำไก่กรอบเหมือนกันกับเขา แต่แล้ว...
"กินเผ็ดไม่ได้ไม่ใช่?"
"อ๋อ...ก็กินไปเถอะ ฝึก ๆ ไว้"
"แต่กูสั่งเผ็ดจัดเลยนะ เปลี่ยนเป็นไก่กรอบดีกว่า...ป้าครับ เอายำไก่กรอบกับไก่กรอบธรรมดา"
"ไม่เป็นไรแซม เรากินได้" ผมรีบท้วงเพราะมันก็แค่เรื่องกินปะ ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่
"ไม่ต้องอะ กูไม่อยากเห็นมึงหน้าดำหน้าแดงเหมือนกินก๋วยเตี๋ยววันนั้นอีก"
"แซมจำได้?"
"เออ ก็มึงมันขาวอะ เวลามีอะไรมากระตุ้นแล้วมันแดงแบบเห็นชัดเลย ทำไม? ทีมึงยังจำได้เลยว่ากูชอบไก่ทอด"
ได้ยินแบบนั้นเป็นต้องเสมองไปทางอื่นอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาจนอีกคนยกกระเป๋าสตางค์มาเคาะจมูกผมเบา ๆ
ทำไมผมรู้สึกคิดถูกยังไงไม่รู้ที่ชวนเขามากินข้าวด้วยกัน ไม่ใช่แค่ความสบายใจที่ได้อยู่กับแซม แต่มันรู้สึกว่าผมชอบมองใบหน้าดุ ๆ แบบนี้ของเขามากกว่าใบหน้าที่มีรอยยิ้มอีกนะ
โรคจิตหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือมันอาจจะเป็นเพราะ...
ใบหน้าที่หลายคนคิดว่าดุจนไม่น่าเข้าใกล้ แต่ใครจะไปรู้ว่าคนแบบนี้แหละ ยิ่งอยู่ใกล้กันยิ่งไม่อยากไกลกันเลย
