บทที่ 6 : รองเท้าปริศนา
บทที่ 6
SAM's Part
เช้าวันนี้แทนที่ผมจะได้ไปกินข้าวที่คณะตัวเอง แต่กลับขี่มอเตอร์ไซค์ตรงดิ่งมายังคณะศิลปศาสตร์ และนอกเหนือจากนั้น วันนี้ผมมีเรียนแค่บ่ายอย่างเดียว
แต่เพียงเพราะไอ้กันต์มันมีเรียนเช้าก็เลยต้องแหกขี้หูขี้ตาตื่นมาตั้งแต่ไก่โห่
ผมรีบตื่นมาทำไมน่ะเหรอ ก็จะเอาไอ้รองเท้าคู่แพงที่ใครก็ไม่รู้ฝากไอ้กันต์ให้ไปคืนเขาน่ะสิ ผมไม่รู้หรอกว่าใครพิศวาสหรืออยากจะเต๊าะผมอย่างที่เป้มันว่า แต่การที่จะมาให้ของแพง ๆ แบบนี้ ผมคนหนึ่งแล้วที่รับไว้ไม่ลง
“แซมรอนานไหม” หลังจากที่ผมนั่งรอมันอยู่ที่โรงอาหารของคณะศิลปศาสตร์กดโทรศัพท์ยิก ๆ ก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูดังมาจากข้างหลัง
“กูเพิ่งมา”
“จะเอาไปคืนเจ้าของเขาจริง ๆ เหรอ เขาอุตส่าห์ให้มานะ”
“ถ้าจะให้ควรเป็นของเล็ก ๆ น้อย ๆ กว่านี้สิ ให้แบบนี้ใครเขาจะกล้ารับ จูปาจุ๊บอันเดียวก็ว่าไปอย่าง” ผมพูดพลางยักไหล่ก่อนจะดันไอ้ถุงสีสวยเลื่อนไปหามัน “เออมึง แต่ข้างในมันมีจดหมายด้วยว่ะ มันเป็นภาษาญี่ปุ่นอะ มึงช่วยแปลให้หน่อยได้ไหมวะ”
“ภาษาญี่ปุ่นเหรอ” ไม่บอกก็รู้ว่ามันเบิกตาโตมากแค่ไหน ปากสีชมพูบางสวยนั่นก็อ้าขึ้นเล็ก ๆ ก่อนจะกัดเม้มริมฝีปากตัวเองเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ “คงไม่ใช่หรอกมั้ง”
“อะไรเหรอ”
“อ๋อเปล่า ๆ ไหนจดหมายอะ”
“นี่ไง พิมพ์มายังอ่านไม่ออกเลย เล่นมาเป็นลายมือเลยว่ะ”
คนด้านหน้ารับจดหมายจากมือผมไป และจังหวะนั้นมือมันก็แตะเข้ากับมือผมพอดี ทำให้รู้เลยว่า...
นอกจากตัวจะบางแล้ว มือก็ยังนุ่มอีกด้วยแฮะ ทำให้ผมสงสัยจริง ๆ แล้วล่ะว่ามันเคยใช้ชีวิตแบบสมบุกสมบันบ้างหรือเปล่า หรือตั้งแต่โตมาที่บ้านคงประคบประหงมมากแน่ ๆ
“ไม่มีชื่อคนส่งด้วยเหรอเนี่ย...” ไอ้กันต์พึมพำกับตัวเองเบา ๆ ถึงผมจะไม่สนใจว่าใครส่งมา แต่ก็อยากรู้นะว่าในจดหมายมันเขียนว่าอะไรบ้าง “เนื้อหาในนี้ก็ประมาณว่า ‘สวัสดีแซม เห็นของขวัญข้างในหรือยัง ฉันรู้ว่าแซมอยากได้ของชิ้นนี้มานานแล้วก็เลยอยากจะให้เป็นของขวัญในการรู้จักกันเป็นครั้งแรก แซมอาจจะไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร แต่กรุณารับของชิ้นนี้ไว้ด้วย ฉันเต็มใจให้นะ”
ผมฟังสิ่งที่ไอ้กันต์แปลให้ผม ก่อนที่มันจะเงยหน้าขึ้นมามองสายตาที่ตอนนี้รู้สึกงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ทำไมทำหน้าแบบนั้น...”
“รู้ได้ไงวะว่ากูอยากได้คู่นี้” ถึงผมจะเคยแชร์รูปแบบรองเท้าที่หน้าเฟซตัวเองก็เถอะ แต่ก็ใช่ว่าผมจะโพสต์ไปด้วยนี่ว่าอยากได้ แค่เห็นมันสวยดีและคิดว่าสักวันจะเก็บเงินซื้อเอาเอง แต่ไหงวันนี้มันกลับมีคนมาประเคนให้ถึงที่
“แต่ถ้าแซมอยากได้ ก็รับไว้เถอะ เขาให้ด้วยใจ”
“เข้าข้างมันเหรอ” ผมหรี่ตามองคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม แอบเห็นนะว่าเจ้าตัวสะดุ้งนิด ๆ
“เอ่อ...แต่เราไม่รู้นะว่าคนนี้เป็นใคร ถ้าแซมอยากรู้เดี๋ยวเราไปสืบให้ก็ได้ น่าจะอยู่ในภาคเดียวกันนี่แหละ ถามคนที่ฝากมาอีกต่อไง”
“ไม่ต้อง ๆ เสียเวลามึงเปล่า ๆ แค่บอกว่ากูอยากเห็นหน้าแค่นั้นก็พอแล้ว...แล้วเอาไปคืนให้ได้นะ ทั้งจดหมายแล้วก็รองเท้า”
“อ่าได้...” สุดท้ายไอ้กันต์ก็เก็บจดหมายแผ่นนั้นลงถุงกระดาษไป และนั่นผมก็แอบสังเกตเห็นใบหน้าของมันที่กำลังเงยหน้าขึ้นมามองผม
ใบหน้าที่หล่อแบบไอ้เป้ก็สู้ไม่ได้ แต่ก็คนละสไตล์กับพี่เอเธนส์ที่ขานั้นเขาจะดูจะใช้คำว่าหล่อได้เต็มปาก แต่สำหรับไอ้กันต์ ผมว่ามันน่ารักแบบดูน่าทะนุถนอม
เอ่อ...แซมกินข้าวหรือยัง”
“ฮะ...อ่อ ยัง ๆ ...เออ นี่มึงเรียนกี่โมงเนี่ย”
“เราเรียนเก้าโมงน่ะ นี่เพิ่งแปดโมงเอง...ไปกินข้าวกันก่อนปะ”
“ไปดิ”
ระหว่างที่ต่อแถว ผมดูจะเป็นแกะดำในโรงอาหารนี้ไปหน่อย แกะดำที่หมายถึงในโรงอาหารเต็มไปด้วยชุดนักศึกษาสีขาวสะอาดตา มีผมคนเดียวที่ใส่เสื้อช็อปสีกรมที่เป็นสีเข้มอยู่คนเดียว
“ผมเอาโจ๊กหมูใส่ไข่ไม่ใส่ขิงครับ” กันต์สั่งป้าที่ร้าน และพอได้ยินแบบนั้นก็อยากจะแกล้งอะไรมันสักหน่อย
“อยู่ปี 3 แล้วมึงยังไม่กินผักอีกเหรอ” อ้าว หน้าบูดเฉย
“ไม่ใช่ไม่กินผัก แต่เราไม่กินขิงอย่างเดียวต่างหาก”
“แล้วข้าวเช้ามึงกินแค่เนี้ย ไม่รู้ไงว่าข้าวเช้ามันต้องกินหนัก ๆ”
“เช้ามาก ๆ เราไม่ค่อยอยากกินอะไรหรอก มันจะเหนื่อย ๆ”
“เดี๋ยวใกล้เที่ยงมึงก็จะโคตรหิวถ้ากินแค่นี้ ถ้ายัดไม่ลงแล้วก็ซื้อนมหรืออะไรเผื่อไว้ตอนเบรกก็ได้ จะได้ไม่หิวช่วงสิบเอ็ดโมง” เพราะผมเคยกินแค่โจ๊กตอนเช้าก่อนเข้าเรียน ยังไม่ทันเที่ยงเลยด้วยซ้ำ ไอ้เป้มันเคยได้ยินเสียงท้องผมร้องมาแล้ว “ผมเอาผัดเครื่องในกับไก่ทอดครับ”
“แซมชอบกินไก่ทอดเหรอ” และคนข้าง ๆ ก็หันมาหาผมใช้ดวงตากลมใสเหมือนเด็กนั่นถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เออ ทำไมเหรอ”
“ตอนนั้นเราก็ได้ยินแซมสั่งกับเป้ว่าเอาข้าวไก่กรอบ”
“จำได้ด้วย?”
“แหะๆ”
ทึ่งไปเลยกับไอ้สมองของคนที่เตี้ยกว่าผมไม่เท่าไหร่ ขนาดเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ดูไร้สาระของผมกับไอ้เป้ยังจำได้ แล้วนับประสาอะไร...
กับเรื่องครอบครัวของตัวเอง
ผมถึงกับลดสีหน้าลงเมื่ออารมณ์ที่มันระบายกับผมเมื่อวานยังคงติดหูผมแน่น เสียงร้องไห้ของกันต์ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอึดอัดอยากจะระเบิดออกมาเต็มทียามที่จินตนาการยังคงติดตาผมอยู่แบบนั้น และคิดไปก็นึกโกรธตัวเองเหมือนกัน ที่มารับรู้เรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้แต่กลับช่วยอะไรมันไม่ได้
“แซม...”
“หือ”
“เหม่ออะไรน่ะ ของแซมได้แล้วนะ” รู้สึกตัวอีกที ป้าก็ส่งจานกับข้าวที่ผมสั่งไว้ข้างหน้าผมกับไอ้กันต์ที่ยืนถือชามโจ๊กอยู่ข้าง ๆ รอผมอยู่แล้ว
“โทษที ๆ”
ให้ตาย ใจนี่ลอยไปถึงดาวอังคารแล้วมั้งเนี่ย
GUN's Part
เวลานี้เป็นเวลาที่โรงอาหารคนไม่ได้เยอะเหมือนตอนกลางวัน ผมกับแซมก็เลยไม่ต้องรอคิวนานจากร้านอาหารตามสั่งที่ผมมักจะกินเป็นประจำก่อนเข้าเรียน ไม่ว่าจะเช้าหรือเที่ยง คณะของผมกับข้าวก็อร่อยไม่แพ้คณะอื่นเลย
แล้วตอนนี้ สายตาของบุคลากรเพศหญิงที่แทบจะกลืนกินคณะนี้ได้แล้ว ก็จ้องมายังโต๊ะที่พวกผมสองคนนั่งกินข้าวอยู่ แซมอาจจะไม่รู้สึกถึงรัศมีอะไรบางอย่างที่แผ่ซ่านจนดูน่ากลัว แต่ผมกลับรู้สึกได้เต็มที่ว่าโต๊ะที่ผมนั่งอยู่กำลังถูกจ้องมอง
อาจจะเป็นเพราะว่าแซมเป็นคนต่างคณะ และเสื้อช็อปที่คณะนี้ไม่มีใครเขาใส่กัน เลยทำให้สาว ๆ ดูจะสนอกสนใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะ...
“กันนนต์ ทำไมวันนี้มึงมาเช้าจัง” เสียงแหลม ๆ ใส ๆ ของจิ๋วลอยมาแต่ไกล พร้อมกับร่างไซซ์มินิที่อยู่ดี ๆ ก็วิ่งมานั่งข้างผมพร้อมกับจ้องมองใบหน้าแซมที่พยักหน้าหงึกหงักเหมือนทักทายไอ้จิ๋วทั้ง ๆ ที่ปากก็ยังเคี้ยวตุ้ย ๆ
“อุ๊ย! สวัสดีค่ะ” มารยาทงามจริง ๆ เมื่อเห็นผู้ชายต่างคณะ ไม่พูดอย่างเดียวนะ ยกมือไหว้ด้วย แซมถึงกับวางช้อนไหว้ตอบแทบไม่ทัน
“แกทีมเดียวกับกันต์ใช่ไหม เป็นไงบ้างกันต์ทำงานดีไหม กันต์ทำอะไรไม่เป็นหรือเปล่า หรืออยากใช้งานอะไรก็ใช้ได้เต็มที่เลยนะ...”
“หยุดเลยมึง” ผมถึงกับห้ามไว้ก่อน ไม่งั้นไอ้จิ๋วคงฝอยน้ำหมากกระฉูดจนแซมฟังไม่รู้เรื่องแน่ และในหัวผมก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ขึ้นมา เลยดึงตัวมันมากระซิบเพื่อให้รู้กันแค่สองคน “มึงซื้อรองเท้าให้แซมหรือเปล่า”
“รองเท้าไรวะ”
“โอนิสึกะ”
“ป๊าด! เงินห้องอาทิตย์ละหกสิบกูยังไม่มีปัญญาจ่ายเลย...ทำไม ๆ ใครให้อะไรแซม”
เท่านั้นผมก็จัดการบอกจิ๋วทั้งหมดเลยว่าของที่อยู่ในถุงพลาสติกที่เห็นพร้อมกันวันนั้นคืออะไร เพื่อนผมก็ทำท่าครุ่นคิดเหมือนเป็นปัญหาที่ระดับหน่วยสืบสวนของโลกก็ทำไม่ได้
“กูว่ากูรู้นะว่าใครส่งมา”
“จริงดิ?”
“แต่ก็ไม่แน่ใจว่ะ ถ้าอยากรู้กูขอเวลานิดหนึ่ง เดี๋ยวไปสืบมาให้...เออ เดี๋ยวไปร้านถ่ายเอกสารแป๊บหนึ่งนะ เชิญคุยกันต่อได้ตามสบายเลยนะคะ” ก่อนไปก็ยังคงหยอดให้แซมได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่สักนิดนั่นแหละ
“เพื่อนมึงเหรอวะ”
“อ่าใช่”
“ไปอยู่กับไอ้เป้คงสนุกดี” คนหน้าดุยิ้มออกมาให้ผมต้องหัวเราะและส่ายหัวกับพฤติกรรมของเพื่อนตาม “กันต์”
“หือ?”
“มึงโอเคนะ เรื่องเมื่อวานน่ะ”
กำลังจะถามเลยว่าเรื่องไหน “...อ๋อ...อืม เราเจอมาบ่อยแล้วล่ะ”
ถึงจะบอกไปแบบนั้น ก็ใช่ว่าผมจะโอเคตามที่เขาบอกเสียเมื่อไหร่ ไม่เคยรู้สึกดีเลยสักครั้งที่ต้องมามีปากเสียงกับคนในครอบครัวเพราะเรื่องเดิม ๆ ที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น
“ขอโทษนะที่ช่วยอะไรมึงไม่ได้เลย”
“ไม่ ๆ แซมจะขอโทษทำไม เราต่างหากที่ต้องขอโทษ แซมไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับเราแท้ ๆ ยังอุตส่าห์มารับฟังเรื่องของเราเลย เราต่างหากที่ต้องขอโทษ...ขอโทษที่ทำให้แซมเครียดไปด้วย” ให้ตาย ทำไมเวลาพูดเรื่องนี้ทีไร น้ำตาพาลจะไหลออกมาทุกทีเลย “อีกอย่างนะ ถือว่าแซมช่วยเราได้มากเลยล่ะที่มาคอยรับฟังเรื่องของเรา รู้สึกเหมือนมีที่ระบาย”
มันดีหรือเปล่าที่ผมพูดออกไปแบบนั้น แต่ผลลัพธ์ที่แซมตั้งใจทำถ้ามันทำให้ผมคลี่ยิ้มออกมาได้จากหัวใจ ผมว่าแค่นี้ก็เป็นหนี้บุญคุณเขาได้แล้ว
“กันต์...กูพูดตรง ๆ นะ กูไม่สบายใจที่เห็นมึงเป็นแบบนี้ ถึงกูไม่ได้เป็นมึง กูก็รู้นะว่ามันเหนื่อย”
ใช่ มันเหนื่อยอย่างที่แซมว่าจริง ๆ นั่นแหละ แต่ทำไงได้ล่ะ ก็เรื่องมันเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ไม่เห็นจะมีใครจัดการกับมันได้สักคน
ผมเงยหน้าขึ้นมองแซมที่ตอนนี้สายตาเขาจ้องมองผมอยู่ รู้สึกได้เลยนะว่าดวงตาคู่นั้นมีบางสิ่งที่อ่อนโยนซ่อนอยู่ในความแข็งกระด้างของผู้ชายคนนี้ ดูออกอยู่ว่าแววตาของเขากำลังมองผมด้วยความคาดหวัง ผมไม่รู้ว่าเขาหวังอะไร แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ขนาดที่เฮียก้องเป็นผู้ชายที่มีสายตาอบอุ่นและอ่อนโยนมากแล้ว ผมว่ายังสู้สายตาของผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้เลย
ผมไม่เคยตกหลุมรักใครนะ เพราะบอกแล้วว่าชีวิตผมตั้งแต่เกิดมามีแค่การเรียนกับกิจกรรม แต่ถ้าตอนนี้ผมเป็นผู้หญิง ผมต้องกำลังตกหลุมรักสายตาของแซมแน่ ๆ เวลานี้เขาอ่อนโยนจริง ๆ ผิดกับมาดดุ ๆ และคำพูดที่พูดตรงแบบไม่เหลือเยื่อใยในแบบฉบับของเขา
หรือเหตุผลที่ผมไม่เคยชอบใครหรือรักใครได้เลย เป็นเพราะผมกำลังรอใครคนนั้นอยู่ ผมกำลังรอคนที่พร้อมจะมาแบกรับปัญหาทุกอย่างด้วยกันอย่างนั้นน่ะเหรอ แต่การทำแบบนั้นก็เท่ากับว่าผมเห็นแก่ตัวไม่ใช่หรือไง
“กันต์...”
แล้วจะให้คนที่ไม่รู้เรื่องแบบแซมมาแบกรับความเจ็บปวดนี้เพื่ออะไร จะเอาเขามายุ่งให้ปวดหัวซ้ำอีกทำไม
“กันต์...”
แล้วไอ้ที่เขาบอกว่าตกหลุมรัก...
มันจะมาจากการได้มองตาใครสักคนได้หรือเปล่านะ
“ไอ้กันต์!”
“อะ...ฮะ?”
“เป็นอะไรของมึง ทำตาลอยไปลอยมา กูพูดคนเดียวกี่รอบแล้วเนี่ย”
เผลอคิดเยอะไปอีกแล้วเหรอเนี่ย ไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้สีหน้าตัวเองเป็นยังไง รู้สึกอย่างเดียวคือ...
ไออุ่นจากมือข้างหนึ่งของแซมจับเข้าที่แขนขวาของผมจนผมต้องก้มลงไปมองมือมือใหญ่ข้างนั้น ที่ดูแล้วอาจจะสามารถปกป้องใครสักคนได้
“จะเก้าโมงแล้ว ขึ้นเรียนไป...อย่าลืมเอาของไปคืนให้ด้วย”
“เอ่อ...แล้วแซม...”
“กูเรียนบ่าย” คำตอบสั้น ๆ ทำให้ผมพยักหน้าหงึกหงักรู้สึกเกรงใจยังไงไม่รู้ที่เขาต้องถ่อมาถึงคณะผมแถมยังเหลือเวลาอีกตั้งหลายชั่วโมง
“งั้นเราไปก่อนนะ” ผมรวบกระเป๋ากับถุงใบนั้นก่อนจะหันหลังเดินขึ้นตึกเรียน แต่ก่อนจะก้าวขาเดิน เจ้าของน้ำเสียงทุ้มใหญ่นั่นก็เอ่ยเรียกผมอีกครั้ง
“กันต์”
“หือ?”
“...มีอะไรก็โทรหากูได้นะ”
“อะ...อื้ม”
นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่เคยรู้สึกสูญเสียความเป็นตัวเองเท่านี้มาก่อน รู้สึกได้ว่าฝ่ามือ ใบหน้า หรือแม้กระทั่งแผ่นหลัง แทบจะทุกส่วนของร่างกายร้อนระอุไปหมด หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะเหมือนขึ้นพูดสุนทรพจน์ภาษาญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก ระหว่างทางที่เดินมันเงียบจนผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นแรงและถี่ยิบขนาดนี้
ฮือ...
ทำไมมันเหนื่อยแบบไม่มีเหตุผลแบบนี้วะเนี่ย เป็นอะไรอีก โกรธเหรอหรือว่าอะไร
รีบ ๆ เข้าห้องแอร์ดับความร้อนในร่างกายดีกว่า
