บทที่ 5 : สาววาย
บทที่ 5
SAM's Part
“กันต์...มึงเป็นอะไรมึงบอกกู” ผมลุกออกมาจากงานตรงหน้า กะว่าจะโทรไปหาไอ้กันต์สักหน่อยว่าใครเป็นคนฝากของขวัญกล่องนี้มาให้ แต่ดันได้ยินน้ำเสียงของปลายสายที่สั่นจนฟังไม่รู้เรื่องแทน
[แซม เราขอโทษ...เราอดทนอย่างที่แซมบอกไม่ได้จริง ๆ] เสียงของไอ้กันต์สั่นขึ้นเรื่อย ๆ นั่นทำให้ผมต้องขอตัวละออกจากช็อปออกมาห้องน้ำแถว ๆ นั้นเพื่อจะได้คุยกับมันได้ง่ายขึ้น
“มึงอดทนอะไรไม่ได้...”
[เราพยายามแล้ว แต่เราทำไม่ได้...]
“เขาว่าอะไรมึงอีกใช่ไหม” ถึงจะรู้ว่าคน ๆ นั้นเขาพูดอะไรใส่คนที่ผมกำลังคุยอยู่ ท้ายที่สุดแล้วก็คงไปทำอะไรเขาไม่ได้ เพราะมันอยู่ภายใต้ของคำว่าครอบครัว แต่ถึงยังไงไอ้กันต์มันก็เพื่อนผมคนหนึ่ง ถ้าจะให้มานั่งฟังมันร้องไห้เสียใจเพราะคนในบ้านอย่างเดียว พูดก็พูดเถอะ ผมทำไม่ได้
[แซม...เขาไม่ผิด ปกติเขาพูดแบบนี้ทุกวันอยู่แล้ว เราแค่ทนไม่ได้เท่านั้นเอง]
ไม่อยากจะคิดเลยว่าตั้งแต่เด็ก ๆ ไอ้กันต์มันทนมาได้ยังไง ผมว่ามันคงมีความสุขมากที่มันได้ไปโรงเรียน มามหา’ลัย ไม่ต้องอยู่ในบ้านที่เต็มไปด้วยความเหน็บแนมแบบนั้น
แต่ไป ๆ มา ๆ ผมก็นั่งคุยอยู่กับไอ้กันต์ที่หน้าห้องน้ำนี่จนเย็น ยุงเริ่มมาให้เห็นและเริ่มเจาะปากแหลม ๆ ของมันทะลุกางเกงยีนส์ผมเรียบร้อย
แม่งเอ๊ย ตัวอิจฉานี่ก็ไม่ได้มีแค่ในละครว่ะ แต่ไอ้ที่ผมสงสัยคือทำไมไอ้กันต์มันเป็นคนดีจังวะ ทนฟังเขาด่าทุกวันตั้งแต่เด็ก ๆ เป็นผมนะ ทนไม่ไหวก็ออกมาจากบ้านไม่วันใดก็วันหนึ่งแหละ ฟังแล้วมันน่าก็ต้องมีขึ้นบ้างปะ ถ้าไม่ติดว่าเป็นคนในบ้านผมคงโบกหัวหลุด
ตอนนี้ผมก็ยังคงนั่งอยู่ในมุมมืดของห้องน้ำข้าง ๆ ช็อป ฟังไอ้กันต์เล่าทุกอย่างให้ฟังต่อไป พอจะนึกหน้าออกอยู่แหละว่าจะหน้าบู้บี้ร้องไห้ขนาดไหน สีหน้าคงขึ้นสีแดงจนน่าสงสารเหมือนวันนั้นที่เห็น
ให้ตายเถอะ ยิ่งจินตนาการ...ก็ยิ่งน่าเป็นห่วง
ผมเคยคิดนะว่าตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นไอ้กันต์ มันน่าจะดูอ่อนแอเหมือนพวกเพื่อนบางคนในเซ็ค ด้วยความที่บุคลิกมันเป็นแบบนั้น ดูผู้ดีนิด ๆ แต่ก็ไม่ถึงคุณหนู ไม่ชอบพูดคำหยาบ แต่ก็นึกไม่ถึงว่า...มันจะอ่อนแอจริง ๆ
ไม่ใช่ร่างกาย หากแต่เป็นจิตใจที่ไม่ว่าใครก็คงจะไม่รับรู้หากไม่มาเป็นมันเองหรือแม้กระทั่งผมที่มีสิทธิ์รู้เรื่องราวของมันเข้าแล้ว
ความรู้สึกผมตอนนี้ไม่ได้แตกต่างจากการช่วยเพื่อนคนหนึ่งที่กำลังจะถูกโลกทั้งใบทับตาย แล้วผมก็วิ่งเข้าไปช่วยมันแบกเอาไว้ แต่ยอมรับนะว่านอกจากคนอื่น ๆ ที่กันต์มันอนุญาตให้เข้าไปแล้ว มันยังอนุญาตให้ผมได้เข้าไปช่วยมัน ก็ถือว่าวีไอพีอยู่พอตัวแล้ว
“โอเคแล้วเปล่า ถ้าไม่ดีขึ้นยังไงก็โทรมาหากูอีกได้นะ”
[ขอบคุณมากนะแซมที่ช่วยรับฟังกัน...]
“เออ ๆ นี่ก็เย็นมากแล้ว หาอะไรกินด้วย ร้องไห้มากมันจะหมดแรงเอา” ผมพูดพลางเดินกลับเข้ามาในช็อป เห็นมีนยังนั่งอยู่ก่อนที่เธอจะหันมามองหน้าผมแบบงง ๆ ไม่งงธรรมดานะ มันมองตามจนผมเดินเข้ามานั่งที่ตรงข้ามมันที่มีถุงใบนั้นวางอยู่ด้วย
“คุยกับใครวะ” มีนจ้องผมเขม็ง ส่งสายตาผ่านแว่นตาสีแดงสดนั่นด้วยความอยากรู้อยากเห็น
จำเป็นต้องบอกปะ
“อ๋อ...กูจะถามมึงว่า ไอ้ของเนี่ยใครฝากมึงมาให้กู...มันเป็นรองเท้าที่กูกำลังอยากได้พอดี แล้วไซซ์มันก็พอดีด้วยไงเลยสงสัย” พอมีนรู้ว่าผมคุยกับคนที่เอาของมาให้เมื่อตอนเย็น หน้าสวย ๆ ของผู้หญิงฝั่งตรงข้ามก็ย่นเป็นรอยขมวดคิ้วเข้มพลางหรี่ตามอง
“พรุ่งนี้มึงเรียนกี่โมง เดี๋ยวกูไปหาละกัน จะเอารองเท้านี่ให้มึงไปคืนเจ้าของด้วย...เอ้า ของแบบนี้ใครจะรับไว้ได้วะ...เออน่า ก็ให้กูเห็นคนที่ฝากมึงมาอีกทีก็ได้ ถ้ามึงไม่กล้าบอกเดี๋ยวกูบอกเอง...โอเค ๆ อย่าลืมกินข้าวนะเว้ย ทำใจร่ม ๆ ...ได้ ๆ ถึงแล้วเดี๋ยวกูไลน์บอก”
เสร็จเรียบร้อยกับบทสนทนาทางโทรศัพท์ และเมื่อผมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าเป้ สายตาก็ไปปะทะกับไอ้คนใส่แว่นกรอบแดงพอดีเป๊ะ
โห แม่สาวเสือ หน้ามึงไม่ค่อยอยากรู้เท่าไหร่เลย
ชิ่งก่อนได้ปะ เดี๋ยวเรื่องยาว
หมับ
อ่า...ดึงชายเสื้อช็อปแน่นเลย “อะไรของมึง”
“คุยกับกันต์เหรอ”
“เออ” รู้ดี ไปเป็นหมอดูไป
“กันต์ร้องไห้เหรอ”
“อือ”
“กันต์เป็นไรวะ...แล้วทำไมแซมต้องบอกว่าอย่าลืมกินอะไรด้วยล่ะ นี่แกเป็นห่วงกันต์เขาขนาดนั้นเลยเหรอ” ห่วงดิวะ ถ้าวันร้ายคืนร้ายมันเครียดมาก ๆ ขึ้นมาจะทำไงล่ะ
“อือ...กลับบ้านกันเหอะมีน เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาทำต่อ”
“เดี๋ยว!” กระโดดขี่คอกูเลยไหมเอื้อมตัวมาเกาะไหล่กันขนาดนี้ “ไม่ต้องทำมาเป็นเปลี่ยนเรื่องไล่กลับบ้านกันเลยนะ บอกมาก่อนว่าทำไมจะต้องเป็นห่วงเขาขนาดนั้นด้วย”
“ก็...ไอ้กันต์มันมีปัญหานิดหน่อย ทำไม ชอบมันหรือไง จะได้เอาไปบอกให้”
“ชอบบ้าอะไรล่ะ หล่อขนาดนั้นเข้าถึงที่ไหน” นี่ไม่เคยมีคนบอกเหรอว่าหน้าตาอย่างไอ้มีนผู้ชายก็เข้าถึงยากเหมือนกัน “แต่คำพูดที่แกบอกกับกันต์มันไม่ใช่แบบที่พวกผู้ชายเขาคุยกันเลยนะ”
“อะไรเนี่ย นี่จะจิ้นให้กูกับไอ้กันต์ได้กันไง้”
“แกพูดเองนะ” แค่นั้นแหละ แม่เจ้าประคุณก็เอามือออกจากไหล่ผมก่อนจะไปทาบอกตัวเอง
พอจะรู้อยู่บ้างว่าผู้หญิงสมัยนี้ชอบมโนไปต่าง ๆ นานาว่าน่ารักบ้างอะไรบ้างที่เห็นผู้ชายอยู่ด้วยกัน ผมว่าบางคนเขินเองยิ่งกว่ามีผู้ชายหน้าตาประมาณไอ้กันต์ไปบอกชอบเสียอีก
“แล้วไม่ได้เป็นอย่างที่มึงคิดเหรอ”
“แล้วรู้ได้ไงว่าเราคิดอะไรอยู่”
“ก็ไอ้ที่พูดไปเมื่อกี้ไง หรือไม่ใช่?”
“เปล่าซะหน่อย” งั้นก็เรื่องของคุณผู้หญิงแล้วครับ “เราคิดว่าแซมกับกันต์น่าจะไปเป็นคู่จริงกันเลยดีกว่า”
“อะไรนะ...”
เป็นอะไรกันไปหมด เพื่อนผมหลายคนที่อยู่กันคนละภาคก็ดูจะทำหน้าฟินกันมากเวลาที่เห็นไอ้พวกในเซ็คคบกันเอง แต่ก็ใช่ว่าภาคผมจะไม่มีนะ มี...หลายคู่ด้วย แล้วผู้หญิงจำนวนน้อย ๆ ก็กรี๊ดกร๊าดกันเหลือเกินเวลาที่พวกมันเล่นอะไรกันให้จิ้นกันเล่น ๆ สุดท้ายจิ้นไปจิ้นมาเสือกคบกันเอง
“อย่าว่างั้นงี้เลย เราเห็นแซมคุยอะไรกับกันต์ตั้งแต่ติดรถกันต์ไปวันนั้นแล้ว คุยกันงุ้งงิ้งสนิทกันเชียว ที่จริงก็กะว่าจะจิ้นเล่น ๆ อยู่แหละ แต่พอได้ยินที่คุยกันวันนี้แล้ว...” จะพูดอะไรก็พูด อย่ากั๊กไว้แล้วไปนั่งม้วนผมตัวเองแบบนั้น “เป็นคู่จริงไปเลยก็ไม่มีใครว่านะ”
“บ้าหรือไง”
“บ้าอะไร นี่พูดเรื่องจริง สมัยนี้สังคมเขาเปิดกว้าง เพศเดียวกันแต่งงานกันมาแล้วก็เยอะแยะ ทำไมคนละคณะจะคบกันไม่ได้”
“กูกับไอ้กันต์ก็ไม่ได้มีความคิดแบบนั้นปะ...เออ แต่อยากคิดอะไรก็คิดเถอะ กลับแล้วนะเว้ย พรุ่งนี้ค่อยมาว่ากันต่อ มึงเองก็กลับได้แล้วมืด ๆ ค่ำ ๆ”
“ไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ ไม่เห็นต้องใส่อารมณ์เลย โธ่เอ๊ย...คิดว่าแซมจะเป็นพวกใจกว้างเสียอีก” นั่น ๆ ไม่พูดเฉย ๆ นะ ทำปากคว่ำน้อยใจผมอีกต่างหาก “เฮ้อ...กันต์เขาก็น่ารักจะ ดูเคะ ๆ ดี น่ารักเชียวเวลากันต์ยิ้ม”
คำศัพท์หมวดไหนอีกวะเนี่ย
เออ แต่เรื่องน่ารักน่ะผมยอมรับว่ามันน่ารักจริง หน้าตาจิ้มลิ้มยิ้มทีดอกพิกุลจะร่วงเอา แต่ถ้าได้ร้องไห้ทีก็ทำอะไรไม่ถูกจนอยากจะดึงมากอดอยู่เหมือนกัน
สุดท้ายผมก็ต้องรอให้มีนเก็บของจนเสร็จแล้วถึงจะออกไปพร้อมกัน ก่อนจะแยกย้ายไปคนละทาง โดยที่มีนกลับบ้าน ส่วนผมก็เดินกลับหอเพราะช่วงนี้มอเตอร์ไซค์ตัวเองโดนไอ้เป้ที่กลับก่อนยึดไปเรียบร้อย
เฮอะ! อย่างผมกับไอ้กันต์เนี่ยนะ ตลก ผมไม่เคยพิศวาสอะไรผู้ชายเลยด้วยซ้ำ นี่ขนาดนอนกับไอ้เป้มาตั้งแต่ปีหนึ่งยันวันนี้เลยนะ รู้จักกันมาตั้งกี่ปี ผมยังไม่เคยเล่นตลกกับมันเลยสักครั้ง มีแต่จะถีบมันเท่านั้นแหละเวลากวนประสาทกันเล่น ๆ
ไอ้มีนเอาอะไรมาพูด
“เป็นห่าไรเพื่อน ทำหน้าหงิก”
ผมเดินเข้าหอมาก็เจอกับไอ้เป้ที่กำลังนั่งจ้องคอมมือก็คลิกเมาส์เสียงดังลั่น
“หิว แดกข้าวยังมึง”
“สัด นี่สองทุ่มแล้ว มึงก็รู้ว่ากูแดกไม่เกินหกโมง” เออ กูผิดเอง กูขอโทษ “แล้ววันนี้ไอ้กันต์ไปช็อปปะ”
เชี่ยเอ๊ย เพิ่งโดนเค้นคำตอบจากไอ้มีน นี่กูต้องมาตอบคำถามกับไอ้เพื่อนนี่อีกเหรอ
“ไป”
“แล้วอะไรในถุงอะ กูขอดูได้ปะ” เปลี่ยนเรื่องเร็วเหลือเกินนะ อยู่ดี ๆ มันก็กระโดดออกมาจากโต๊ะสนใจถุงที่ผมถืออยู่ ก็ทำตามใจมันแหละครับ โดยการยื่นถุงที่ถืออยู่ไปให้มัน “เชรด นี่มันโอนิสึกะนี่หว่า มึงไปซื้อมาเหรอวะ ไอ้เชี่ยแซม รุ่นนี้ Nippon made แพงสัด ๆ”
“ใครไม่รู้ให้มา ไอ้กันต์มันเอามาให้”
“ไหนบอกใครไม่รู้ให้มา”
“กูหมายถึงมีคนฝากไอ้กันต์มาอีกที เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเอาไปคืนแล้ว”
“หูย นี่อย่าบอกนะมีคนพิศวาสมึงอยู่อะ เหย็ดเข้! เพื่อนกูกำลังจะมีแฟน!”
“แฟนพ่องเหรอ บอกแล้วไงว่าใครไม่รู้ ถ้าไม่เห็นหน้ากูรับไว้ไม่ลงหรอก ไอ้สัด ของแพงขนาดนี้ใครจะรับได้”
“กูไง”
“ก็นั่นมึงไง เงียบ ๆ แล้วกลับไปนั่งเล่นเกมของมึงต่อไป กูจะไปอาบน้ำแล้ว” ผมไม่อยากจะสนใจไอ้เป้แล้ว เลยปล่อยให้มันสนใจรองเท้าผ้าใบราคาเฉียดหมื่นนั่นต่อไป โดยที่ผมก็หยิบผ้าเช็ดตัวที่พาดไว้ที่ระเบียง
“มึง ๆ เขามีจดหมายมาด้วยว่ะ”
“หืม?” ผมหันไปหาไอ้เป้ที่มันกำลังคลี่กระดาษในมือนั่นออก แต่ก็ต้องทำหน้าเหยเกอีกครั้ง “เชี่ย...ภาษาไรเนี่ย ใครจะอ่านออก”
“ภาษาญี่ปุ่นไม่ใช่เหรอวะ” ทันทีที่ผมเห็นภาษาแบบนี้ ผมก็นึกถึงรายงานการประชุมที่ไอ้กันต์แปล มันมีตัวอักษรแบบนี้อยู่ผมจำได้ แค่การเขียนเป็นแนวตั้งแถมลายมือ...
ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจ
“มึง บางทีอาจจะมีเด็กภาษามาเต๊าะมึงก็ได้นะเว้ย ลองให้ไอ้กันต์แปลให้ดิวะ เผลอ ๆ เพื่อนกูอาจจะไม่โสดแล้วก็ได้” ไอ้เป้พูดก่อนจะหัวเราะคิกคักกับตัวเอง
“จะอะไรก็เหอะ กูร้อนจะตายละ ถ้ามึงแกะลายมือได้มึงก็อ่านให้กูฟังด้วยละกันนะ” ไม่ไหว หน้าผมงี้เต็มไปด้วยเหงื่อแล้วไหนจะฝุ่นจากช็อปเมื่อกี้ด้วย ขอตัวอาบน้ำก่อนแล้วกัน
...................................................
MEEN’s Part
หลังจากที่แยกกับเพื่อนร่วมทีมนักกีฬาอย่างแซมออกมาได้แล้ว ฉันก็รีบวิ่งมายังขอบสนามหญ้ากว้าง ๆ ที่มีไฟสปอร์ตไลต์สาดส่องทั้งสี่ทิศ
ขอแนะนำตัวนิดหนึ่งเนอะ ฉันชื่อมีน หญิงสาวที่ใคร ๆ ก็หมายปองเพราะใบหน้า แต่ใครจะไปรู้ ตั้งแต่หลุดพ้นคำว่าม.ปลายมา ก็ไม่มีใครได้ลงเอยกับฉันได้เลยสักคน อาจจะเป็นเพราะค่อนข้างเรื่องมากนั่นแหละ นั่นก็ไม่เอานี่ก็ไม่ใช่สเป็ค ถ้านานกว่านี้อีกนิด ได้ขึ้นไปบนคานสูง ๆ แน่
แต่เรื่องคานทองน่ะช่างมันก่อน เพราะเย็นนี้ฉันสังเกตอาการของเพื่อนร่วมทีมได้ว่ามันแปลกไป ทั้งคำพูดคำจา มีเหรอพูดกับเพื่อนผู้ชายแล้วจะมาเป็นห่วงเป็นใยกันขนาดนี้
เห็นไหม อิจฉาจนไฟลุกท่วมหัวแล้ว แต่อย่างว่าแหละด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่มีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ฉันเลยต้องลงทุนวิ่งมาไกลถึงสนามบอลเพื่อมาหาที่ปรึกษาประจำทีมนี่ไง
“มาหาพี่เพราะเรื่องแค่เนี้ย” จะเป็นใครไปได้นอกจากพี่ชายหน้าตาดีดีกรีอดีตเดือนคณะแถมเป็นกัปตันทีมฟุตบอลมหา ’ลัย คุณพี่เอเธนส์คนดีคนเดิมของน้องไงคะ
ปี 4 แล้วยังจะซ้อมบอลอยู่อีก เดี๋ยวก็ไม่จบหรอก
“ก็มีนเห็นพี่ชอบให้คำปรึกษากับคนอื่นบ่อย ๆ นี่ เรื่องนี้พี่อาจจะดูออกก็ได้”
“พี่ไม่ใช่ศิราณีนะ”
“ไม่ใช่ก็เหมือนใช่ปะ...แต่ที่เล่าไปพี่ก็ตงิดใจอยู่เหมือนกันกับมีนใช่ไหมล่ะ”
“ไม่รู้เว้ย” จิ๊ปากได้ปะ ทำไมผู้ชายถึงเซนส์ช้าเป็นหอยทากคลานแบบนี้อะ
“โหย แค่นี้ก็ไม่รู้ แซมมันน้องภาคพี่ไม่ใช่เหรอ”
“เอ๊า! นี่พี่ผิด? กลับบ้านไปมีน มืดแล้วเดี๋ยวใครฉุด”
“ไม่ได้เรื่องเลยแฮะ”
กะจะมาขอความเห็นอะไรสักหน่อยเถอะ เห็นว่าเป็นหมอดูทำนายชีวิตคู่ชาวบ้านเขามานับไม่ถ้วน คิดว่ารุ่นน้องใกล้ตัวอย่างแซมก็น่าจะพึ่งพาได้เหมือนกัน แต่นี่อะไร ผิดคาดสุด
“แต่พี่ว่านะ...” จากที่ฉันกำลังจะเดินกลับทางเก่า ต้องหันมาทำหูกางหันกลับมาหาคนหล่อในสภาพเหงื่อท่วมตัวคนนี้อีกครั้ง “เท่าที่รู้มา ไอ้แซมมันไม่เคยมีใคร คนแรกจะเป็นผู้ชายก็คงไม่แปลกหรอก”
“กรี๊ดดด!”
“อะไรเล่า! จะร้องทำไม”
“พี่ก็คิดเหมือนมีนใช่ไหม ใช่ไหม ๆ ๆ ๆ”
“ไม่รู้เว้ย” แล้วจะมาพูดให้ความหวังทำไมอะ ใจฝ่อหมดแล้วนะ “ก็แค่เดาอะ แต่ก็แอบเชียร์ด้วยนั่นแหละ”
“เนี่ย พี่ดูออก เห็นไหม พี่มันศิราณี ทำมาแอ๊บตั้งแต่แรก”
“แต่อย่าเพิ่งไปพูดเรื่องนี้กับใครนะ ไอ้เรื่องที่เราคุยกันวันนี้”
“ด้วยเกียรติของสาววาย เรื่องนี้จะอยู่ในโสตประสาทของน้องเงียบ ๆ คนเดียว...อ้อ ให้รุ่นพี่กิตติมศักดิ์อย่างพี่อีกคนก็ได้”
“อืม...ไม่แน่มันอาจจะคลาดเคลื่อน เพราะจากที่มองพี่ไม่รู้ว่าตัวแปรที่จะทำให้มันคลาดเคลื่อนคือใคร ไม่รู้ว่าไอ้แซมหรือกันต์”
“จะไปยากอะไรคะ ศิราณีก็ไม่แตกต่างจากสะพานเชื่อมใจหรือเปล่า ถ้าเราคอยดูเงียบ ๆ แล้วคอยสร้างตอม่อเป็นฐานให้สองคนนี้ก้าวเข้ามาหากันมันก็ได้หรือเปล่า”
“เพ้อเจ้อฉิบหาย”
“พี่เธนส์!”
“อ่า ๆ เอาเป็นว่าเรารู้กันแค่นี้นะ กอล์ฟก็ห้ามไปบอก ยิ่งไอ้เป้นี่ห้ามเลย อยู่ด้วยกันสองคนให้มันไปรู้กันเอาเอง”
“รับทราบค่ะคุณพี่”
เนี่ย มันก็แค่เนี้ย ให้ความร่วมมือกันตั้งแต่แรกก็จบ โลกของสาวสีม่วงจะได้สดใสเป็นม่วงพาสเทลเสียที
ได้กันจริง ๆ มีนจะมีความสุขมากกว่านี้อีกนะคะ แซมกันต์
งุ้ย ๆ แค่คิดชื่อแท็กก็ตื่นเต้นแล้วปะ
