บทที่ 4 : ความรู้สึกของคนเป็นลูก
บทที่ 4
GUN's Part
นี่ก็จะอาทิตย์หนึ่งแล้วมั้งครับที่ผมไม่ได้เข้าไปวิศวะเลย เพียงเพราะแซมให้เหตุผลมาว่า ‘มึงมาก็เบื่อ ยังไม่มีอะไรให้แปลหรอก’ นั่นทำให้ผมสามารถกลับบ้านเร็วได้หลายวันแล้ว และนี่ก็กำลังจะเป็นอีกวันที่ผมจะกลับบ้านโดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะเจอใครที่ไม่ชอบหน้า
ตั้งแต่วันนั้นที่ผมระบายความรู้สึกออกมาให้คนอย่างแซมได้รับรู้ ความอึดอัดทั้งหมดมันก็เหมือนถูกยกออกจากอกจริง ๆ ผมเคยเล่าเรื่องนี้ให้จิ๋วฟังเหมือนกัน แต่เพราะจิ๋วเป็นพวกไม่คิดอะไร ทำให้คำแนะนำของจิ๋วจึงใช้ไม่ได้กับคนอย่างคิดเยอะอย่างผม คิดมันทุกอย่างจนกลายเป็นว่าต้องมากดดันตัวเองแบบนี้แทนที่จะมีความสุขกับคนในบ้าน
คำทุกคำที่แซมบอกมา ผมเอาไปใช้ได้จริง และไม่ต้องมาคิดเล็กคิดน้อยกับคำพูดของอา หลายวันมาแล้วที่ผมไม่ได้ต่อปากต่อคำอย่างหมดความอดทน แต่ผมเลือกที่จะอดทนกับคำพูดของเขามากกว่า ซึ่งมันก็ดี หลายวันมานี้เลยไม่ต้องมากคิดอะไรให้น่าปวดหัวไปมากกว่านี้
“กันต์ วันนี้ไม่ได้ไปวิศวะเหรอ” ขณะที่กำลังเก็บของใส่กระเป๋า เรียวก็เดินเข้ามาหาผม
“เปล่าอะ ทำไมเหรอ”
“มีคนเขาฝากของไปให้คนที่ชื่อแซมที่อยู่เครื่องกลน่ะ เราคิดว่ากันต์ไปไง” เขาพูดก่อนจะวางถุงพลาสติกสีสวยลงบนโต๊ะเล็กเชอร์ที่ผมนั่งอยู่
มองยังไงผู้ชายคนนี้ก็ดูดีอย่างที่ผู้หญิงในห้องพูดกันนั่นแหละ เกิดและโตที่ญี่ปุ่น มาเรียนภาควิชานี้ก็เพราะไม่รู้จะเรียนอะไร แถมภายนอกของเขาก็ไม่ได้ต่างจากพวกดาราหรือนายแบบญี่ปุ่นที่จิ๋วเคยเอามาให้ดูเลย
“อ๋อ เดี๋ยวเอาไปให้ก็ได้”
“เฮ้ยไม่เป็นไร จะเสียเวลาไปทำไมเดี๋ยวค่อยไปวันหลังก็ได้”
“ไม่เป็นไร ๆ เดี๋ยวคนให้เขาจะว่าเอาไง...เรียวจะไปด้วยกันไหม” ผมลุกขึ้นหยิบถุงนั้นก่อนจะเอ่ยปากชวนเรียว
“กันต์ไปเหอะ เรารีบกลับน่ะ”
“โอเค...เอ้อ แล้วจากใครเหรอ เราจะได้บอกแซมถูก”
“เจ้าตัวเขาบอกให้บอกแค่ว่า จากคนที่อยากรู้จักต่างคณะ”
ได้ยินแบบนั้นก็เลิกคิ้วแปลกใจปนเซอร์ไพรส์นิดหน่อย แต่ก็ไม่แปลกหรอก คนอย่างแซมนี่ถ้าจิ๋วมันจะกรี๊ด คนอื่นก็คงไม่ต่างกัน
“อะไรเหรอ” เมื่อเห็นว่าเรียวเดินออกไปจากห้อง จิ๋วก็วิ่งมาหาผมก่อนจะเปิดถุงหยิบของข้างในมาดู
“เฮ้ย ๆ เสียมารยาทว่ะ ต้องเอาไปให้แซมนะ”
“เรียวฝากไปให้แซมเหรอ!?”
“ไม่ใช่ มีคนฝากมาอีกที”
“เอ้า! แล้วทำไมต้องฝากมึงอีกทีด้วยวะ นี่น่าสงสัยนะเนี่ย”
“จะสงสัยอะไร อาจจะเป็นคนรู้จักเรียวก็ได้ แล้วเรียวเห็นว่ากูรู้จักแซมก็เลยฝาก คิดอะไรเยอะไอ้เตี้ย” ผมพูดก่อนจะค่อย ๆ แกะมือปลาหมึกเล็ก ๆ นั่นออกจากถุงสีสวย แอบเห็นนะว่าจิ๋วมันหน้างอด้วย
เสร็จสิ้นการสนทนา ผมก็ขับรถออกจากคณะตรงไปวิศวะทันที ก่อนจะหาที่จอดใกล้ ๆ และเดินไปยังช็อปเครื่องกลที่พวกแซมมักจะเก็บตัวเหมือนบ้านหลังที่สองของพวกเขา
ซึ่งมันก็จริง เมื่อชะโงกหน้าเข้ามาก็เจอคนใส่เสื้อช็อปประจำคณะนี้หลายคน
“อ้าวกันต์!” มีนเห็นผมเป็นคนแรกก็วางมือจากงานหน้าจอคอมแล้วโบกมือทักทาย และนั่นก็ทำให้แซมที่วุ่น ๆ กับงานเงยหน้าขึ้นมามองด้วยเหมือนกัน
“เราขอรบกวนเวลาแป๊บหนึ่งนะ” ผมเดินเข้าไปพร้อมกับถุงในมือก่อนจะวางบนโต๊ะที่มีนใช้เขียนข้อมูลบางอย่างที่น่าจะเกี่ยวกับโปรเจ็กต์นี้
“มึงจะมาเอางานไปแปลเหรอวะ” แซมยกแขนเช็ดฝุ่นที่เลอะหน้าอยู่ก่อนจะเดินเข้ามาหาผม สภาพเขาตอนนี้มันทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้เลยว่าเขาเหมือนช่างคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอย่างสมบุกสมบัน
“เปล่า ๆ มีคนเขาฝากของมาน่ะ”
“อะไรอะ”
“ไม่รู้สิ เห็นบอกว่าคนอยากรู้จักต่างคณะน่ะ”
“ฮิ้วววว...” อย่างกะรำกลองยาว เมื่อผมพูดจบมีนก็กู่ร้องเสียงดัง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผู้ชายข้างหน้าผมมีรอยยิ้มหรือสิ่งที่เรียกว่าเขินเท่าไหร่เลย ตรงข้าม เขากับไม่มีความรู้สึกอะไรบนใบหน้าทั้งนั้น
แซมรับมันไปจากมือผมก่อนจะหยิบมันออกมามองว่าคือกล่องกระดาษรูปร่างคุ้นตาเหมือนกล่องรองเท้า แอบลุ้นไปกับเขาไม่ได้เลยว่าภายในกล่องนั้นจะเป็นอะไร
แต่...
“ใครส่งมา”
“ไม่รู้สิ”
แซมเก็บมันลงไปในถุงเหมือนเดิมก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะแถวนั้น “ขอบใจมากมึง ไปบอกเขาด้วยว่าขอบคุณมาก เดี๋ยวกูเอากลับไปเปิดที่หอ...เออ แล้วมึงมาแค่เนี้ย เอาของมาให้กูอย่างเดียวเนี่ยนะ?”
“อืม เรากลัวคนที่เขาจะให้รอนานน่ะ อีกอย่างเราก็รู้จักแซมด้วยก็เลยรีบเอามาให้ดีกว่า”
“คนดีจังวะ” ผมแอบอมยิ้มกับคำพูดของเขา ถึงมันจะดูเหมือนเหน็บแนมแต่มันก็ดูจริงใจดีนะถ้ามันมาจากปากเขา “เออ เหมือนพี่เธนส์จะเขียนพวกปัญหา คำนำ ข้อมูลอะไรไว้ไม่รู้ เขาบอกว่าถ้ามึงมาก็เอาไปแปลเลยก็ได้ ไหน ๆ ก็มาแล้วนี่ เอาไปเลยไหมล่ะ”
“ได้ ๆ เดี๋ยวเราเอากลับไปแปลให้”
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่านะที่ผมรู้สึกว่าแซมไม่ค่อยเหมือนทุกวัน เขาดูนิ่ง ๆ จากปกติก็นิ่งอยู่แล้ว แต่มันรู้สึกได้ว่าเหมือนมีบางอย่างที่ผิดแปลกไปนิดหน่อย หรือจะเป็นเพราะเหนื่อยอยู่?
“มีน กอล์ฟไม่มาเหรอ” คงจะดีกว่าถ้าผมเปลี่ยนคนคุย
“อยู่ภาคมันน่ะ...กันต์จะนั่งแปลในห้องนี้ก็ได้นะถ้ามันไม่เสียงดังเกิน” ผู้หญิงหน้าใสพูดกับผมอย่างใจดี ก่อนจะขยับพื้นที่น้อย ๆ ให้ผมนั่งด้วยกัน แต่ก็ต้องโบกมือเป็นเชิงว่าไม่เป็นไรไปก่อน
“แล้วนี่ทำไรอยู่เหรอ” ผมเริ่มจะสนใจสิ่งที่มีนทำอยู่ตอนนี้ มันเหมือนเป็นการเขียนค่าอะไรสักอย่างที่ดูไม่ออก ยาวเหยียดเต็มหน้าจอพร้อม ๆ กับหนังสือเล่มหนาที่วางอยู่ข้างตัวเธอ
“กำหนดค่าอยู่น่ะ คือเราจะหาค่าแปลกปลอมของผลผลิตใช่มะ ก็เลยต้องมานั่งใส่ค่าของทุกอย่างลงไปตั้งแต่ ผัก ผลไม้ ยันดอกไม้เลย ไม่คิดว่ามันจะลำบากขนาดนี้เลย”
“ไม่ต้องบ่นเลยคุณผู้หญิงครับ จะให้ไปนั่งทำแทนไหม แล้วมาทำตรงนี้” แซมได้ยินเสียงบ่นอุบของมีนเลยหันมาตาค้อนใส่
น่าจะเหนื่อยจริง ๆ นั่นแหละแซมน่ะ
“จ้า...ทีหลังจะไม่บ่นแล้วค่า”
สมควรไหมเนี่ยที่ผมจะนั่งแปลเอกสารต่อในนี้ กลับไปนั่งแปลต่อที่บ้านน่าจะดีกว่าเนอะ
.......................................
“ป๊าหวัดดีครับ พี่ผึ้งหวัดดีครับ” ผมยกมือไหว้ป๊าที่กลับมาก็ต้องแปลกใจนิดหน่อยที่วันนี้เขาไม่ได้อยู่ที่ห้องอาหารเหมือนเช่นทุกวัน แต่กลับมานั่งหน้าทีวีหยอกล้อหลานสาวที่ยังพูดไม่ได้อยู่กับลูกสะใภ้ของเขา
“เออ ๆ ทำไมวันนี้กลับเร็ว”
“ว่างฮะ” ผมพูดแค่นั้นก่อนจะเดินเข้าไปในครัวหยิบกล่องน้ำแอปเปิ้ล เครื่องดื่มโปรดออกมาเทใส่แก้วเดินกลับมายังห้องนั่งเล่นอีกครั้ง
“แล้วไหนบอกว่ามีโปรเจ็กต์อะไรระดับชาติ”
“มันยังไม่ถึงเวลาของผม รอให้ถึงวันจริงก่อน”
“แล้วคนในทีมเป็นไงบ้างน้องกันต์” พี่ผึ้ง พี่สะใภ้ที่แสนใจดี อายุห่างจากผมไม่กี่ปีอุ้มน้องน้ำขิง ลูกสาวสุดที่รักขึ้นมาก่อนจะถามผม
“ก็ดีฮะ ทุกคนน่ารักทั้งนั้นเลย”
“ดีแล้ว ป๊ากลัวว่าแกจะเข้ากับเด็กวิศวะไม่ค่อยจะได้ ก็โลกส่วนตัวแกมันสูงซะเหลือเกิน ฝั่งนั้นเขาคงเฮฮาดีใช่ไหมล่ะ”
“ก็โอเคเลยนะ ผมว่าก็สนุกดี”
“แล้วนี่ครั้งแรกใช่ไหมที่ได้เอาความรู้ที่อุตส่าห์ไปนั่งเรียนมาใช้น่ะ”
แต่บทสนทนาที่ผมคิดว่ามันควรจะราบรื่นดีจากป๊าและพี่ผึ้ง และเสียงอ้อแอ้ของน้ำขิงที่เหมือนอยากจะคุยด้วย มันกลับสะดุดลงเพราะถูกขัดด้วยน้ำเสียงของใครบางคนที่ผมต้องอดทนจนทุกวันนี้
“กลับมาไวจัง” ป๊าเอ่ยถามคนมาใหม่
“เฮียนั่นแหละที่กลับมาไว...เป็นไงล่ะ ได้เอาความรู้มาขัดเกลาแล้วนี่ ไม่ใช่เอาแต่นั่งท่อง ๆ ไปวัน ๆ”
ก็คิดดูเถอะครับ ต่อหน้าป๊าผมเขาก็ยังหาเรื่องจนได้ ผมไม่รู้แล้วเนี่ยว่าใครเป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นป๊าที่ดูแลกิจการครอบครัว หรือเขาที่เอาแต่หาเรื่องหลานอย่างผม
“ผมขึ้นไปแปลงานก่อนนะ” ผมว่ากับป๊าและพี่ผึ้งก่อนจะหยิบกระเป๋าที่วางอยู่เดินขึ้นชั้นสองไป
ไม่อยากต่อปากต่อคำและอยากใช้ชีวิตแบบสงบตามที่แซมเคยพูดไว้กับผม เพราะผมรักแม่ผมไงถึงต้องอดทน เพราะผมอยากเก่งเหมือนแม่ไงผมเลยต้องทำหูทวนลมทุกคำจิกกัดนี้
“เอาเถอะน่า เจ้ากันต์มันก็ได้ดีแล้ว แกจะไปคิดอะไรมาก”
ขนาดขึ้นมาบนห้องแล้วนะ แต่ก็ยังแอบได้ยินสิ่งที่ป๊ากับโกคุยกัน
“เฮีย การที่ลูกเฮียเรียนสายเดียวกับแม่นั่น มันก็เหมือนกับเฮียลืมอดีตไม่ลงนั่นแหละ ตอนนี้มันก็เดินตามรอยแม่มันแล้ว ถ้าวันใดวันหนึ่งมันทำแบบเมียเก่าเฮียขึ้นมาจะทำยังไง”
“จะบ้าหรือไง เฮียลืมวิภาเขาไปได้ตั้งนานแล้ว เขามีคนใหม่เขาก็มีความสุขดีแกจะไปยุ่งอะไร...ส่วนเจ้ากันต์มันจะเป็นยังไงมันก็ลูกเฮีย ถ้ามันได้ดีก็ดีไป แล้วอีกอย่างมันจะไปทำแบบวิภาได้ยังไงก็ในเมื่อมันยังเรียนอยู่เลย”
“เฮียจะไม่ให้ยุ่งได้ไง มันเคยทำให้เฮียเครียดจนจะฆ่าตัวตายมาแล้ว จำไม่ได้เหรอ!?”
อะไรนะ...
ป๊าเคยคิดจะฆ่าตัวตายมาแล้ว...
ทำไมผมไม่เคยรู้...
“เลิกเอาเรื่องเก่า ๆ มาพูดได้แล้ว ตอนนั้นเฮียทำไปเพราะไม่มีสติ ถ้าเฮียไม่เห็นหน้าเจ้ากันต์ก่อน ป่านนี้ก็ไม่มีใครมาดูแลกิจการแล้ว”
ที่แม่เลิกกับป๊าก็เพราะแม่ไปมีคนใหม่ สิ่งที่ผมจำได้มีเพียงเท่านั้น แต่ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าป๊าเคยเสียใจขนาดที่ต้องคิดสั้น ผมไม่เคยรู้เลยว่าป๊ารักแม่ขนาดไหน แต่เท่าที่รู้ ป๊าไม่เคยพาผู้หญิงคนไหนเข้ามาที่บ้านเลยตั้งแต่ผมจำความได้
“ก็มีลูกกับมันไง ถึงต้องมานั่งรับผิดชอบส่งเสียลูกสองคนคนเดียวแบบนี้ แล้วเป็นไงล่ะ เส้นทางแม่มันกับมันคงไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอกมั้ง”
ทนไม่ไหวแล้วว่ะ...
“ไหนลองบอกให้มันกลับใจสักทีได้ไหม หัดทำอะไรที่มันเป็นประโยชน์เหมือนเฮียมันบ้าง ไม่ใช่เอาแต่จะเดินตามรอยแม่ที่ไม่ได้เรื่องอย่างเดียว”
“เลิกว่าแม่ผมได้แล้วมั้งครับ”
ผมทนยืนฟังอยู่บนชั้นสองนี่มานานมากพอเกินที่ความอดทนของผมจะมีแล้ว ด่าผมด่าได้ แต่ได้โปรดอย่าเอาแม่ผมลงมาเกี่ยว “สนุกมากไหมครับที่ด่าคนอื่นเขาแบบนี้ เรื่องมันก็เป็นอดีตไปแล้วจะขุดขึ้นมาหาอะไรอีก”
“ต่อหน้าป๊าแก ก็ยังจะกล้าเสียงดังอีกเหรอกันต์”
“โทษทีนะป๊า แต่ผมทนมานานแล้วจริง ๆ ...ผมไม่รู้นะว่าคุณโกรธคุณเกลียดแม่ผมมากขนาดไหน แต่แม่ก็คือแม่ของผม ผมทนไม่ได้หรอกที่จะมาฟังคนอื่นด่าแม่ผมแบบนี้”
“คนอื่น?”
“ใช่ครับ คนอื่น...ป๊าครับ” ผมหันมามองหน้าคนตัวใหญ่ที่เหงื่อเริ่มชื้นที่ไรผมเพราะการถกเถียงกันเมื่อครู่ “ป๊ารู้ไหม ตั้งแต่วันที่แม่ออกจากบ้านไปผมก็ไม่เคยมีความสุขเลยสักวัน จนกระทั่งตอนนี้ ความรู้สึกว่าบ้านที่เป็นสถานที่ที่อบอุ่น ผมไม่เคยรู้สึกถึงมันเลย ทุกวันผมต้องกลับบ้านให้ช้าที่สุดเพื่อให้เวลาที่จะได้เห็นหน้าเขามันสั้นลง”
มันอาจจะดูเป็นคนไร้มารยาทไปจริง ๆ ถ้าพูดถึงอาแท้ ๆ ต่อหน้าพ่อตัวเองขนาดนี้
“ผมรู้ว่าป๊ารักแม่มากถึงไม่เคยพาใครมาที่บ้านเลย ผมว่าแม่ก็รักป๊าอยู่เหมือนกัน ผมรู้ว่าแม่ทำผิด แต่ที่แม่ไม่เคยกลับมาหาผมกับเฮียก้อง แม่เขาอาจจะเกรงใจ หรือไม่ก็กลัว...” ผมพูดก่อนจะใช้สายตาเหลือบไปมองหน้าผู้หญิงที่มองหน้าผมเขม็ง “กลัวว่าจะมีปัญหาทำให้ป๊าเดือดร้อนเหมือนตอนนี้ไง”
“กันต์...”
ผมรู้ รู้มาตลอดว่าป๊ารักและเป็นห่วงผมขนาดไหน แต่เพราะด้วยความที่ผมก็โตแล้ว อีกปีเดียวก็จะเรียนจบแล้ว ปัญหาทุกอย่างผมแก้ไขด้วยตัวเองได้ แต่ปัญหานี้ผมกลับเลือกที่จะปล่อยให้มันคาราคาซังต่อไปในเมื่อเจ้าปัญหาไม่คิดจะหยุดด้วยตัวเอง
“........”
เงียบทำไม ด่าอีกสิ จะจิกกัดแทะอะไรก็เอาอีกสิครับ เวลานี้ผมพร้อมตอกกลับได้ทุกเมื่อถ้าไม่ติดที่อารมณ์ของผมมันปะทุเต็มที่จนต้องกำมือไว้แน่นจนมันสั่นไปหมดแล้ว
แต่โอเค เงียบได้แล้วก็ดี รู้สึกยิ่งกว่าตอนที่ได้ระบายกับแซมอีกแฮะ เพราะสิ่งที่ค้างคามาตลอดก็ถูกระเบิดออกไปต่อหน้าเขาไปเรียบร้อย ดีนะที่อาม่าไม่อยู่ ถ้าไม่งั้นผมว่าเขาต้องหัวใจวายเพราะเสียงที่มันดังเกินกว่าคนแก่จะรับไหวแน่ ๆ
ทั้ง ๆ ที่ทุกอย่างทุกระบายออกไปจนหมด แทนที่มันจะโล่งใจ ผมกลับรู้สึกว่ามือไม้สั่นไม่หยุดจนต้องกำไว้แน่น อารมณ์โกรธที่ผมไม่เคยมีมาก่อนมันทำให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ผมทำไม่ได้จริง ๆ ผมอดทนตามที่แซมบอกไม่ได้จริง ๆ
เหนื่อยชะมัด กับเรื่องของคนในบ้าน...
แซม...งานเสร็จหรือยังนะ อยากโทรไปหาจัง
Rrrrrr!
แต่ก็ต้องสะดุ้งเบา ๆ เมื่อโทรศัพท์ที่วางอยู่ดังขึ้นพร้อมขึ้นชื่อของคนที่ผมกำลังนึกถึง
ยิ่งมองรายชื่อที่แสดงบนหน้าจอ มันก็ทำให้ผมแทบจะควบคุมอารมณ์ไว้ไม่ได้ รู้สึกได้เลยว่าตอนนี้ทั้งใบหน้าและดวงตาร้อนระอุไปหมด มือก็สั่นกลัวว่าจะกดรับสายพลาด
“ฮัลโหล...”
[เฮ้ยกันต์ ถึงบ้านยังเนี่ย]
“ถะ...ถึงแล้ว”
[เออ พอดีกูจะถามหน่อยว่ะ...]
ไม่รู้ทำไมพอได้ยินเสียงแตก ๆ ห้วน ๆ แบบนี้แล้วผมต้องรู้สึกใจชื้นขึ้นมาทุกครั้ง รู้สึกว่าตัวเองมีที่พึ่ง เหมือนยังไม่หมดความหวัง เท่านั้นผมก็เหมือนได้ย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วที่ผมเอาแต่ร้องไห้เพราะเรื่องแค่นี้
“ฮึก...”
[กันต์...คือกูจะถามว่า...]
“ฮึก...”
ไม่ไหวแล้ว หน้ากับปากคงเบะไปหมดแล้วตอนนี้
[กันต์...มึงเป็นไรเปล่า]
“เราขอโทษ...เราทำตามที่แซมบอกไม่ได้...เราอดทนไม่ได้...”
