บทที่ 3 : ความในใจ
บทที่ 3
SAM's Part
คืนวันหยุดสบาย ๆ แบบนี้มีหรือที่ไอ้แซมจะไม่เปิดคอมเช็กชีวิตในโซเชียลสบาย ๆ กับเขาบ้าง ขาข้างหนึ่งก็พาดไปที่เก้าอี้โต๊ะของไอ้เป้ที่ตอนนี้เจ้าตัวมันนอนคว่ำกดโทรศัพท์ยิก ๆ มือเป็นระวิงอยู่ที่เตียง
"แซมเว้ย"
“ว้อท?"
"เพื่อนใหม่มึงเขาหน้าสวยดีนะ...ดูดิ"
ได้ยินแบบนั้นเป็นต้องละสายตาออกจากคอมก่อนจะกระโดดขึ้นเตียงไปดูไอ้สิ่งที่เพื่อนหน้าตี๋กำลังจ้องอยู่ มันคือเพจเฟซบุ๊ค คิวต์บอยของมหา’ลัยที่มีรูปไอ้กันต์กำลังยิ้มให้กล้องอยู่
หน้าขาว ๆ ตัวสูง ๆ ไม่เชิงผอมแต่กล้ามเนื้อดูหายากไปนิด แล้วริมฝีปากสีชมพูอ่อนมองยังไงแม่งก็เหมือนผู้หญิงจริง ๆ จับแต่งหญิงผมว่าสวยกว่าไอ้มีนอีก
"แล้วมึงนึกคึกเหี้ยอะไรทำไมเข้าเพจนี้"
"เพื่อนกูในเฟซมันแชร์ไง เลยเห็นว่าเป็นเพื่อนมึง...เฮ้อ ทำไมแอดมินเขาไม่เอารูปกูกูขึ้นบ้างว้า หน้ากูออกจะหล่อขาวตี๋" หน้ากูออกจะหล่อขาวตี๋...กูถีบทีได้ไหม ได้ยินแล้วหมั่นไส้ "เออ ๆ แล้วทำไมเมื่อตอนกลางวันมึงถึงอยากไปซื้อของกับมีนวะ"
"ฮะ...อ๋อ ไม่มีไรหรอก"
"เอ้าไอ้ห่า คนไม่ชอบไปไหนกับคนเยอะ ๆ อย่างมึงน่ะนะขอติดรถเขาไปด้วย? หรือมึงชอบมีน?"
"เปล่า กูก็แค่เห็นไอ้กันต์มันทำหน้าหงอย ๆ ตอนที่กอล์ฟมันบอกกูเป็นลูกแหง่อะไรนั่นน่ะ ก็เลยคิดว่ามันคงยังไม่อยากกลับ เลยชวนมันไปที่อื่น"
"มึงนี่ พาเพื่อนเถลไถล มึงรู้ได้ไงว่าเขาไม่อยากกลับบ้าน เขาอาจจะทำหน้าหงอยเพราะคิดถึงบ้านก็ได้"
"ไอ้สัด คิดถึงบ้านเหี้ยไรออกมาตั้งแต่ยังไม่เที่ยง ขนาดกูบอกว่าให้ออกมาบ่าย ๆ แล้วนะ อาจจะมีปัญหาอะไรที่บ้านละมั้ง” สรุป เรื่องคิวต์บอยก็ถูกปัดตกไป มีเรื่องอื่นสำคัญกว่าอีก "กูก็ไม่รู้นะ...นอนเถอะมึงอะ พรุ่งนี้กูจะตื่นสาย ๆ มึงเข้ากะเช้าไม่ใช่รึ?"
"เออ นอนไปก่อนเลย ขออ่านการ์ตูนก่อน"
สิ้นเสียงมัน ผมก็กลิ้งตัวไปอยู่ริมสุดที่ประจำ ก่อนจะหันหน้าเข้าฝาผนังเตรียมเข้านอน
แต่ต่อให้บอกว่าจะเข้านอน ผมก็ยังอดคิดไม่ได้อยู่ดีว่าประเด็นที่อยู่ ๆ ก็คิดขึ้นมาได้นั้นมันเป็นไปตามที่ผมสันนิษฐานหรือเปล่า
ผมอาจจะคิดมากไปเรื่องครอบครัวหรือเรื่องที่บ้านของกันต์ เพราะตัวเองก็ไม่ใช่ว่าจะรู้เรื่องราวที่บ้านมันขนาดนั้น การที่จะไปคิดหรือตัดสินใจแทนเขาเป็นเรื่องที่ควรทำแล้วเหรอ
ให้ตายเถอะ แต่รอยยิ้มที่มีบางอย่างแฝงอยู่มันชวนให้ข่มตาหลับได้ยากจริง ๆ เลย
วันจันทร์
"เพื่อนแซม แดกข้าวกัน"
พอเลิกแล็บปุ๊บ ไอ้เป้ก็บ่นหิวตลอด แต่อาจจะเป็นเพราะวันนี้ลงหนักไปหน่อย ทุกคนเลยดูหมดแรงกันทั้งเซ็ค เห็นได้จากกลิ่นเน่า ๆ จากเสื้อช็อปที่ผมลืมซักบวกขี้เกียจนี่ มันทำให้รู้เลยว่าพวกผมทุ่มเทกับการเรียนมากขนาดไหน
แต่ยกเว้นผู้หญิงเซ็คผมที่มีอยู่น้อยนิด เธอดูลั้นลาปาจิงโกะกับการลงแล็บครั้งนี้มากถึงได้มีแรงเหลือเฟือ ดี๊ด๊ากับอะไรหลาย ๆ อย่าง อย่างเช่น ตลาดนัดที่มีทุกวันพฤหัสในมหา’ลัย
"มึง...กูกราบขอโทษมึงงาม ๆ เลยนะ" ผมว่าพลางพนมมือวางไว้บนหัวไอ้เป้ "วันนี้กูมีประชุม"
"ประชุมอีกละ ประชุมห่าอะไรทุกวัน นี่ตกลงจะประกวดหรือประชุม แล้วมึงจะมีเวลาไปทำไอ้เครื่องตรวจของเน่าของเสียของมึงเมื่อไหร่เนี่ย"
"เออน่า เจอกันนะมึง...เอ้านี่! กุญแจรถ" ผมพยายามไม่ฟังที่เป้มันบ่นก่อนจะโยนกุญแจมอเตอร์ไซค์ให้มัน
นี่ก็จะได้เวลาประชุมอีกแล้ว เลยต้องวิ่งขึ้นไปห้อง 209 ที่เอาไว้ใช้ประชุมอะไรหลาย ๆ อย่าง รวมถึงโปรเจ็คต์ระดับชาติของเราด้วย
"ทำไมมาไวจังวะ" ครับ เปิดเข้าไปผมก็เจอกับไอ้กันต์ที่นั่งเสียบหูฟังรออยู่ในห้องคนเดียว
"วันนี้เราไม่มีเรียนบ่ายน่ะ เลยมาไวหน่อย" คนหน้าขาวพูดพลางดึงหูฟังออก "เออ เราแปลการประชุมสองครั้งเสร็จแล้วนะ ต้องให้พี่เอเธนส์อีกเปล่า" ว่าก่อนจะยื่นกระดาษสองสามใบมาให้ผม
อื้อหือ...
ผมมองกระดาษที่กันต์วางไว้ข้างหน้าที่เต็มไปด้วยอักษรภาษาญี่ปุ่นที่อ่านไม่ออกเลยสักตัว ก็แหงล่ะได้ข่าวว่ามีคล้ายตัวอักษรภาษาจีนด้วย แต่ไม่คิดว่าจะลายตาจนต้องส่งคืนมันทันทีขนาดนี้
"เก็บไว้ให้พี่เธนส์เลยก็ได้"
"อ่าได้"
"เออกันต์ ถามไรหน่อยดิ” มันก็เป็นเรื่องที่อยากรู้มานานแล้วน่ะนะ “ทำไมมึงถึงเลือกเรียนภาษาญี่ปุ่นวะ"
ด้วยความที่เห็นว่ามันเป็นคนที่ถูกเลือกจากคะแนนการทดสอบที่สูงที่สุดจากภาคตัวเอง แต่ไม่ง่ายเลยนะที่ใครบางคนเลือกเรียนภาษาแล้วมันจะตรงสายขนาดนี้ แต่ดูท่า คนที่ผมถามยังคงนั่งนิ่งเหมือนชั่งใจที่จะตอบคำถามนั้น
แค่ถามเหตุผลเอง ต้องทำหน้าเสียขนาดนั้นเลย?
"เรา..."
"............"
"เราอยากเป็นเหมือนแม่น่ะ"
อยากเป็นเหมือนแม่?
อารมณ์ของประโยคนี้มันจะต้องมีความภูมิใจไม่ใช่เหรอ ภูมิใจที่อยากจะทำอะไรเหมือนคนต้นแบบของเรา แล้วทำไมกันต์ถึงต้องก้มหน้าก้มตา เหมือนขมขื่นที่จะตอบแบบนั้น
"แม่เราเป็นล่าม เราก็เลย..."
"พอ ๆ กูขอโทษที่ถามมึง ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร"
"ไม่เป็นไร แซมอยากรู้ไม่ใช่เหรอ"
"ก็ไม่ได้อยากขนาดนั้น..." ผมทนไม่ได้จริง ๆ นะกับภาพที่ผมเห็นตรงหน้า สายตาของไอ้กันต์สั่นไหวเหมือนมีบางอย่างซ่อนอยู่ น้ำเสียงดูไม่เป็นธรรมชาติ เลยได้แต่ตบไหล่ให้มันหยุดแค่นี้ดีกว่า
"คือแม่เราเป็นล่ามภาษาญี่ปุ่นน่ะ เราก็เลยอยากเป็นบ้าง แต่...คนทางบ้านเขาไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่" อะโอเค อยากเล่าก็เล่า ถ้าคิดว่าฝืนเดี๋ยวตบไหล่ให้หยุดอีกที "ปกติที่บ้านเขาไม่ชอบแม่อยู่แล้ว ยิ่งแม่เลิกกับพ่อไปอยู่ญี่ปุ่น ที่บ้านยิ่งโกรธใหญ่ แล้วพอเราเลือกเรียนอะไรที่เหมือนแม่ อาเราเขาก็ดูไม่พอใจ..."
ผมมองไอ้กันต์ที่พูดไป มือกำโทรศัพท์ไว้ที่ตักแน่น
"ตอนเราเด็ก ๆ ป๊ากับอาทะเลาะกันบ่อยมากเรื่องแม่ ตอนนั้นเราจำได้เลยว่าอาลงมือกับแม่เราด้วย รู้ตัวอีกทีแม่ก็หนีไปอยู่กับอีกคน ที่นี้เราเลยเข้ากับอาไม่ได้มาตั้งแต่ตอนนั้น"
"ที่บอกว่าทางบ้านไม่ค่อยชอบแม่ เป็นแค่อาคนเดียวหรือเปล่า" ผมเริ่มออกปากบ้าง เพราะไม่อยากให้มันรู้สึกว่าเหมือนพูดอยู่คนเดียว
"ตอนแรกก็ทั้งอากงอาม่า แต่หลัง ๆ เขาใจอ่อนให้ป๊าแต่งงานด้วยได้เพราะเห็นว่าแม่เป็นคนขยัน แต่ก็เหลือแค่อาเราคนเดียวที่ดูมีปัญหาที่สุด...แต่เฮียเราเขาก็ไม่อะไรนะ อาจจะเป็นเพราะว่าเราเลือกเรียนทางเดียวกับแม่ที่เขาไม่ชอบละมั้ง"
"มิน่าล่ะ วันนั้นมึงถึงทำหน้าหงอย ๆ เวลาที่ทุกคนจะกลับบ้าน"
"อืม..."
"กูเข้าใจ แต่มึงก็เป็นคนในครอบครัวเหมือนกันนะเว้ย อย่าทำเหมือนว่าตัวเองหายไปหรือไม่มีค่าแบบนั้นสิวะ" ผมจำเป็นที่จะต้องเรียกร้องสิทธิที่มันควรจะได้ ไม่ได้จริงจังหรืออินกับมันหรอก แต่การที่มันไม่อยากกลับบ้าน หรือเลือกที่จะไม่เจอหน้าคนที่มันมีปัญหาด้วย เท่ากับว่ามันหนีปัญหาไม่ใช่เหรอ "มึงรักแม่มึงไหมล่ะ"
"ระ...รักสิ ทำไมถึงถาม..."
"แล้วทำไมมึงถึงไม่อดทน...ที่จริงกูไม่อยากจะพูดหรอกว่าให้มึงทน มันดูจะเป็นการขู่บังคับเกินไป แต่ที่มึงเรียนสายนี้เพราะมึงอยากเป็นแบบแม่มึงไม่ใช่เหรอ อยากเป็นล่าม อยากเดินตามรอย แล้วรอยนั้นก็คือความฝันของมึง กับอีแค่คนคนเดียวที่ชอบมาขัดขามึงเพื่อให้มึงล้มน่ะ มึงจะไปสนใจทำไม โดดข้ามไปเลย" เหยียบซ้ำก็ได้
"แต่เขาก็เป็นคนในครอบครัว"
"แล้วเขาเคยมองว่ามึงเป็นคนในครอบครัวบ้างหรือเปล่า...กูไม่ได้อยากให้มึงตัดขาดเขานะ แต่ถ้ามึงยังใส่ใจคำพูดเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือสิ่งที่เขาทำกับมึงเพราะเขาไม่ชอบ มึงก็คงไปไม่สุดเส้นทางสายที่มึงเลือกเดินหรอก"
ไง อย่างกับพระเอกนิยาย บอกตรง ๆ ผมไม่เคยมานั่งปลอบใจใครแบบนี้นะ แต่ก็พร้อมให้กำลังใจเพื่อนตัวเอง เพราะนับตั้งแต่วันแรกที่ผมเจอไอ้กันต์ มันมีอะไรบางอย่างทำให้ผมรู้สึกได้ว่าสายสัมพันธ์ความเป็นเพื่อนของผมกับมันเริ่มต้นขึ้นในวันนั้น
"ก็แค่...เลือกทางเดินของตัวเอง มันผิดนักหรือไง"
"ไม่ผิด ชีวิตมึง มึงจะทำอะไรก็ได้มันไม่ผิดเลย แต่ถ้ามึงมัวมานั่งคิดเล็กคิดน้อย มึงเดินตามทางของมึงลำบากแน่ คิดเสียว่าเขาเป็นอุปสรรคที่มึงต้องเรียนรู้นะ"
แปะ
จากที่พูด ๆ อยู่ถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อคนที่นั่งข้าง ๆ ผมตอนนี้มีหยาดน้ำใสร่วงเผาะออกมากระทบหน้าขา ก่อนที่จะเจ้าตัวจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาปิดตาตัวเอง
ตอนแรกก็ตกใจ แต่ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าไอ้หน้าหล่อนี่คงอึดอัดมามาก ขนาดที่เอามือปิดตาแล้ว ผมยังเห็นน้ำตาของมันไหลลงมาข้างแก้มเลย
"อ้ะ ๆ อยากร้องก็ร้อง อยากระบายอะไรก็เอาออกมา คิดซะว่ากูเป็นส้วมก็ได้"
เท่านั้นแหละ มือที่ปิดตาก็เปิดออก ทำให้ผมเห็นมันกลายเป็นสีชมพูเกือบแดงเต็มที ยิ่งมองก็ยิ่งน่าสงสาร เสียงสะอื้นที่ปล่อยออกมาผมก็ทำได้แค่รับฟัง ก่อนจะยกมือขึ้นลูบไหล่มันเบา ๆ
จนกระทั่ง...
“ไปตลาดนัดกัน!”
เสียงเจื้อยแจ้วของผู้หญิงคนเดียวในทีมดังขึ้น เมื่อการประชุมทุกอย่างเสร็จสิ้นลง
“ไป ๆ ๆ กูอยากกินข้าวหมูกรอบ” กอล์ฟว่าพลางเห็นด้วย
ไม่ใช่อะไรหรอกที่ทุกคนวี้ดว้ายกระตู้วู้กันขนาดนี้ ก็คงเหนื่อย ๆ จากแล็บเมื่อตอนบ่าย ตอนนี้ก็อยากจะไปผ่อนคลายหาอะไรกินที่ตลาดนัดในมอที่มีทุกวันพฤหัส เพราะอาจารย์เขาเห็นด้วยกับเครื่องที่พวกเราคิดกันขึ้นมา แล้วสามารถตอบโจทย์กับความต้องการโดยให้มีปัญหาน้อยที่สุด
“พี่เธนส์! เลี้ยงหน่อย” ผมหันไปหาพี่เอเธนส์ที่กำลังเก็บเอกสารลงกระเป๋า แอบเห็นสายตาที่เขาชำเลืองมองผมกลับมาด้วยนะ
“โตแล้ว จ่ายเองได้”
“โด่ว”
“อะไรโด่”
“ฮ่า ๆ ๆ” ทั้ง ๆ ที่มีกันอยู่แค่ห้าคน แต่เสียงคุยล้อกันมันกลับดังลั่นห้อง ผมเองก็อดหัวเราะไปกับมุกของมีนที่กล้าเล่นขัดกับหน้าตาและบุคลิกของเธอไม่ได้
แต่ก่อนที่พวกเราจะเดินออกจากห้องไป ผมก็แอบเหลือบไปเห็นไอ้กันต์ ที่พอมันร้องไห้ระบายความในใจเสร็จ ผมก็ไม่เห็นมันเปิดปากพูดอะไรกับใครอีกเลย เอาแต่นั่งเงียบจดอะไรอยู่ในสมุดคนเดียว เห็นแบบนั้นผมก็เลยอดไม่ได้ที่จะเข้าไปกอดคอลากมันออกมา
“ไปมึง เดินเล่นตลาดนัดกัน”
อ้ะ ทำหน้าหงอยอีก อย่าทำหูลู่หางตกแบบนี้
แต่พอมองหน้าไอ้กันต์แล้วผมรู้มันเขี้ยวอย่างบอกไม่ถูก แก้มขาว ๆ มีเลือดฝาดนิด ๆ แถมใสจนผมแทบอยากจะเอาปากกามาลองเขียนที่แก้มมันจริง ๆ
“ผ่อนคลายหน่อย หน้ามึงเครียดมานานแล้ว”
“...อืม ขอบคุณมากนะ”
“ขอบคุณอะไร ยังไม่ได้ทำอะไรเลยเหอะ...ไปกัน เดี๋ยวมืดแล้วเดินกลับคณะไม่ได้” และแน่นอน มอเตอร์ไซค์ผมให้ไอ้เป้ไปเรียบร้อย คงจะขี่ไปส่งไอ้กันต์กลับคณะแบบรอบที่แล้วไม่ได้
พอวันนี้กันต์มันกลับบ้านผมก็หวังว่ามันจะทำใจยอมรับและมีแรงที่จะอยู่กับคนที่มันไม่ชอบได้ต่อไปนะ เพราะถึงยังไงเขาก็เป็นคนในครอบครัว จะให้ตัดกลายเป็นคนอื่นไปเลยก็คงเป็นไปไม่ได้
ยิ่งคนใจดีแบบกันต์แล้ว ผมว่ายากอยู่แหละที่มันจะใจเด็ดขนาดนั้น
TBC
