บทที่ 2 : บ้านและคนในบ้าน
บทที่ 2
GUN’s Part
"อากันต์...วัน ๆ ลื้ออยู่แต่ในห้อง ไม่คิดจะออกไปเจอผู้เจอคนบ้างหรือไง"
ครับ ช่วงสาย ๆ ที่ผมเพิ่งจะโผล่หน้าออกมาจากบนห้อง ลงมาก็เจออาม่าคนจีนแท้ ๆ นั่งเล่นอยู่กับหลานสาวตัวเล็ก ๆ ที่เป็นลูกเฮีย
จะว่าไงดีล่ะ ครอบครัวผมเป็นครอบครัวคนจีน บรรพบุรุษก็นั่งเรือสำเภามาจากจีนและมาตั้งรกรากอยู่ที่ไทย บ้านผมก็เลยเป็นครอบครัวใหญ่ที่มีสมาชิกเป็นสิบคนซึ่งรวมผมด้วย มันก็เลยดูจะวุ่นวายไปสักนิดสำหรับคนไทยแท้ไปหน่อย
"ผมอ่านหนังสืออยู่นะม่า จะให้ออกไปไหนอะ"
"ทำไมลื้อไม่ไปช่วยงานที่ร้านอย่างอากิ่งกับอาแก้วล่ะ ได้เจอคนตั้งมากมาย"
อย่างที่อาม่าว่า ร้านที่ว่านั่นก็คือห้องอาหารจีนในโรงแรมชื่อดังที่เจ้สองคนที่เป็นลูกพี่ลูกน้องผมไปช่วยป๊าผมเขาดูแลกิจการ
"เอาเหอะม่า ผมไม่ค่อยชอบคนเยอะ ๆ"
ตัดปัญหาด้วยการเดินเข้าครัวไปหาข้าวมื้อสายก่อนแล้วกัน แต่ไม่ทันไร ก็ดันไปเจออาโกยืนล้างจานอยู่
"เพิ่งตื่นเหรอ"
"ตื่นนานแล้วครับ"
"แล้วทำไมไม่ลงมากินข้าวตั้งแต่เช้า"
แทบจะมองบนทันทีเมื่อได้ยินน้ำเสียงแบบนี้ นึกออกไหมครับ น้ำเสียงที่รู้สึกเบื่อหน่ายและรำคาญทุกอย่างบนโลก
"มีแต่คนเขาถามว่าทำไมเธอถึงเรียนสายนี้ ฉันก็ไม่รู้จะตอบยังไงก็ได้แต่บอกว่าเธอชอบ"
อะไรอีก คิดจะมาเปิดประเด็นดราม่าอะไรอีก
คนอื่นเขายังไม่จบเรื่องชีวิตผม หรือว่าเป็นเขาเองกันแน่ที่เอาแต่ยึดติดชีวิตครอบครัวเดียวกันน่ะ
"ผมอยู่ปี 3 แล้วนะครับ ไม่น่าจะมีคนมาถามแล้วนะว่าผมเรียนอะไร"
ก็รู้อยู่หรอกว่าบ้านผมเป็นคนจีน สิ่งที่ผมควรจะเลือกเรียนมันน่าจะเป็นภาษาจีนหรือไม่ก็ไปทางสายวิทย์เหมือนคนอื่นในบ้าน แต่การที่ผมเลือกเรียนทางที่ผมรัก มันผิดตรงไหน
"ทำไมไม่หนีไปอยู่กับแม่แกด้วยล่ะ จะได้ไม่ผ่าเหล่าผ่ากอขนาดนี้"
“...........”
นี่ละมั้งสิ่งที่เขามักจะหาเรื่องผมอยู่ตลอดเวลา เพราะแม่ผมเขาเคยเป็นล่ามมาก่อนและเลิกกับป๊าไปมีครอบครัวใหม่อยู่ญี่ปุ่นไง โกก็เลยน่าจะไม่ชอบแม่ผมและรวมถึงผลผลิตของป๊ากับแม่อย่างผมด้วย
เพราะอย่างนี้ใช่ไหม คุณถึงจงเกลียดจงชังสายที่ผมเรียนมานัก
เพราะมัวแต่คิดว่าแม่ผมทำป๊าเสียใจ แต่ตัวเองก็ไม่ได้รู้ดีเท่าป๊ากับแม่ผมเท่าไหร่เลย
"ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมไปแน่ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง"
ที่อาม่าผมถามว่าทำไมลงมาสาย ไม่ใช่เพราะอ่านหนังสือหรอก ผมแค่ไม่อยากมากินข้าวร่วมโต๊ะกับผู้หญิงคนนี้เท่านั้น เป็นไปได้ก็ไม่ได้อยากเห็นหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ
ไลน์!
แต่พอเดินกลับขึ้นมาบนห้องอีกครั้งก็เห็นข้อความไลน์เด้งขึ้นมา พอรู้ว่าเป็นของใครเลยรีบเปิดอ่านเผื่อว่าจะมีอะไรด่วนจริง ๆ
[ว่างเปล่า วันนี้เขาประชุมกัน]
อ้าว ทำไมประชุมไม่บอกกันก่อนล่ะเนี่ย
[ลืมไป มึงมาบ่าย ๆ ก็ได้ มาเอาเอกสารที่พี่เธนส์ไปแปล]
ผมยังไม่ทันได้ตอบอะไรกลับไปก็มีข้อความใหม่ตามมา ก็เห็นด้วยกับแซมนะ ผมเป็นแค่คนแปล ไปนั่งฟังเขาถกเถียงปัญหาสิ่งประดิษฐ์ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี รอทำหน้าที่ตัวเองอยู่ตรงนี้ดีกว่า
พูดถึงไลน์ ไอ้จิ๋วบอกผมว่าขอไลน์สมาชิกในทีมหน่อย ซึ่งผมก็ไม่ได้ให้มันไปตามที่มันขอ แค่โทรไปเล่าว่าแต่ละคนเป็นยังไงบ้างให้มันอิจฉา และแน่นอนพอพูดถึงแซม ไอ้นี่พูดรัวจนลิ้นพันกันผมนี่แทบฟังไม่ออก
'จริงเหรอวะ แซมก็ร่วมทีมด้วย?'
'รู้จักเหรอ'
'คนที่กูเห็นตอนไปส่งมึงวันนั้นใช่ไหม กูเคยได้ยินแต่ชื่อ ยังไม่เคยเห็นตัวจริง แม่งเอ๊ย...มึงรู้มะ เขาเป็นคนน่ารัก เรียนเก่ง แถมอยู่ชมรมฟุตบอลเดียวกับพี่เธนส์ด้วยมึง'
'น่ารักเหรอ'
'เขาน่ารักในสายตากูอะนะ ถึงเขาจะไม่ใช้คิวต์บอยอะไร แต่หน้าตาไทย ๆ แบบนี้แหละ สไตล์กูเลย’
ร้อยสไตล์แล้วมั้งมึงน่ะ แต่ถ้าจิ๋วมันจะชอบก็ไม่แปลกอะไร เพราะแซมก็ไม่ใช่คนนิสัยไม่ดี น่าจะใจดีเสียด้วยซ้ำ วันนั้นเขายังสั่งก๋วยเตี๋ยวเผื่อผมเลย มันอาจจะเผ็ดไปสักนิดน่ะนะ แถมยังให้ผมซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปส่งที่คณะเพื่อกลับมาเอารถอีก
แต่ไหน ๆ วันนี้ก็มีงานเข้ามาแล้ว ผมก็ไม่อยากจะอยู่บ้านเพื่อให้ใครเขามาหาเรื่อง รีบอาบน้ำแต่งตัวขับรถไปมหา’ลัยไปหาอะไรทำตอนช่วงบ่าย ๆ ดีกว่า
.........................................
SAM's Part
มีเรียนวันเสาร์ที่อาจารย์นัดมันก็แย่เหมือนกันแฮะ แถมเที่ยงครึ่งก็มีนัดประชุมกับเพื่อนในทีมต่อด้วยว่าจะเอายังไงกับไอ้เครื่องที่ยังคิดไม่ตกนี่เสียที ตอนนี้ผมก็เลยเดินมาโรงอาหารคณะกับไอ้เป้สองคน แล้วมันก็สัญญาด้วยว่าจะอยู่เป็นเพื่อนผมยันประชุมเสร็จ
"หิวจังเลย ๆ" ไอ้เป้ครวญครางพอ ๆ กับเสียงในกระเพาะผมที่ฟ้องอยู่ว่าทำไมไม่หาข้าวเช้ากินให้เรียบร้อย
"กูราดแกงนะ ไวดี" ผมพูดพลางเดินตรงดิ่งไปยังร้านข้าวที่มักจะกินประจำ แต่ระหว่างนั้น...
อ่า...ผู้ชายตัวขาว ๆ ซีด ๆ แบบนั้นมัน...
ตึง!
"แค่ก!"
ผมเลยตัดสินใจเดินเข้าไปหาเจ้าตัวก่อนจะตบโต๊ะให้มีเสียงดังพอประมาณเป็นการทักทาย
แต่ดูท่าว่าการทักทายแบบนี้จะทำให้อีกคนตกใจจนสำลักไอ้เส้นที่กำลังดูดเข้าไปอยู่
"เฮ้ย! ขอโทษ ๆ ไม่คิดว่ามึงจะขวัญอ่อน"
"ไม่...แค่ก! ไม่เป็นไร...แค่ก ๆ" ไอ้กันต์ เพื่อนใหม่ต่างคณะเอามือข้างหนึ่งปิดปากไอจนหน้าแดง น้ำตาไหลเพราะการสำลัก มืออีกข้างก็โบกไปมา
“เชี่ย...ขอโทษ” ลงหลอดลมไปเดี๋ยวต้องมาผายปอดอีก "ทำไมมาเร็วจังอะ กว่าจะประชุมกันเสร็จ"
"ไม่เป็นไร พอดีว่าง ๆ น่ะ"
"อ๋อ มึงไม่มีเรียนพวกเสรีวันเสาร์ใช่ไหม ดีว่ะ"
"ก็ดีแค่ไม่กี่อย่างหรอก...แล้วจะประชุมกันที่ไหนเหรอ"
“อาจจะไปตึกภาคไฟนะ กอล์ฟมันอยู่หอในไง...ยังไม่อิ่มใช่ไหม เดี๋ยวกูมานั่งด้วย"
ผมเดินไปหยิบกระเป๋าที่วางจองที่นั่งอีกโต๊ะหนึ่งไว้ ทั้งของตัวเองและของไอ้เป้ที่มันไปต่อคิวซื้อข้าวแกงกะหรี่ญี่ปุ่นอยู่
"แซมยังไม่ได้กินข้าวเหรอ"
"อือ...เป้! ฝากสั่งข้าวไก่กรอบร้านข้าง ๆ ด้วย!"
"ไอ้เหี้ยนี่! กูเดินมาถึงนี่แล้ว"
"เดี๋ยวกูซื้อน้ำให้!"
"เออได้!" เห็นไหม แค่บอกจะซื้อน้ำให้ก็เดินไปสั่งไก่กรอบให้แล้ว "หวัดดี เพื่อนไอ้แซมเหรอ" เป้เดินมาแทบขย้ำหัวผมเมื่อเห็นว่าโต๊ะที่จองไว้ไม่ใช่โต๊ะเดิม แต่ก็ต้องสะดุดตาคนที่นั่งตรงข้ามผมจนอดทักไม่ได้
"อ่า...ใช่ เราชื่อกันต์"
"หูย...พูดเราด้วย ผู้ดี๊ผู้ดี...ไม่เหมือนมึงเลย เพื่อนกันจริงปะเนี่ย" ใครเขาจะเหมือนมึงล่ะ "เราชื่อเป้นะ เป็นเพื่อนสนิทที่คบมันอยู่คนเดียวจนถึงตอนนี้"
"กวนตีนแล้วครับ...อย่าไปฟังมันมาก ไอ้นี่หัวไม่ค่อยมีประโยชน์ เอาไว้คั่นหูซ้ายกับหูขวาเท่านั้นแหละ”
"พูดมากไปเอาข้าวไปไอ้สัด กูสั่งให้แล้ว...ไหนน้ำกูครับ"
"โทษที ลืม”
"ไอ้ห่า!"
สารพัดคำหยาบที่ผมกับไอ้เป้ลั่นออกมา ทำให้กันต์มันนั่งยิ้มนั่งหัวเราะกับท่าทีของพวกผม
แวบแรกก็คิดอยู่หรอกเด็กภาษาคนนี้อาจจะพูดคำหยาบไม่เป็นเลยก็ได้ แต่ผมก็ขอโทษขอโพยไปก่อนหน้านี้แล้วว่าผมมันเป็นพวกสุภาพไม่ค่อยจะเป็น จะได้ไม่เกร็งกันเนอะ
หงืดดดด
ก่อนจะมีสายเข้าจนความรุนแรงจากการสั่นที่สะเทือนไปถึงส่วนกลางของความเป็นชาย มันทำให้ผมเผลอสะดุ้งในจังหวะที่จะรับข้าวมาจากมือป้าแม่ค้า
"โหลพี่" ที่ปรึกษาทีมผมเอง พี่เอเธนส์ "ผมอยู่โรงอาหารนี่ไง...มีแค่ผมกับกันต์สองคน แล้วก็ไอ้เป้...กอล์ฟกับมีนยังไม่เห็นฮะน่าจะอยู่ตึกภาคมันแล้วมั้ง..."
"สามสิบบาทลูก" ผมแทบอยากจะแยกร่างให้ได้ เมื่อมือก็ถือโทรศัพท์ ตอนนี้ป้าแกเลยทนไม่ไหววางจานข้าวลงแถว ๆ นั้นก่อนจะเอ่ยบอกด้วยท่าทางเหนื่อย ๆ ไอ้ผมก็ต้องควานหากระเป๋าสตางค์ในกางเกง ซึ่งมัน...
"ไอ้เหี้ย..."
[มึงด่าอะไรกู] ก็แหงแหละ ผมเอาหน้าหนีบโทรศัพท์เอาไว้ ปากก็สบถออกมาเพราะคลำกระเป๋าสตางค์ไม่เจอ เสียงมันเลยไปเข้าหูพี่เอเธนส์เต็ม ๆ
"ไม่ใช่พี่...แป๊บนึงนะครับป้า"
เฮ้ย กระเป๋าสตางค์หาย! ชีวิตกูทั้งเดือนเลยนะ สารพัดบัตรอีกล่ะ
จึ้ก ๆ
"ใช่อันนี้เปล่า" แต่ในระหว่างที่ผมกำลังหัวเสียกับป้าข้างหน้าและรุ่นพี่ในสาย ที่ไหล่ของผมก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างมาสะกิด
กระเป๋าสตางค์! ทำไมมันไปอยู่ที่ไอ้กันต์ได้อะ
"เห็นมันตกอยู่ที่โต๊ะนั้นน่ะ แซมคงทำมันหล่นตอนย้ายมาที่โต๊ะเรา"
อา...
"ขอบใจมาก" ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังหายใจหอบๆ ยังไงไม่รู้ แทบจะต้องเอามือทาบอกเมื่อรู้สึกว่ามันโล่งใจแบบแปลก ๆ ที่ของรักของหวงกลับมาอยู่ที่ตัวอีกครั้ง "อิ่มแล้วเหรอ"
"อืม...อะ แซมคุยโทรศัพท์อยู่หรือเปล่า"
"เปล่า ๆ" ผมรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาและตั้งคอให้ตั้งตรงเหมือนเดิม รู้สึกตัวอีกทีพี่เอเธนส์ก็วางสายไปแล้ว
ผมยืนรอให้กันต์เอาจานของตัวเองไปเก็บในที่ ๆ เขาจัดไว้ให้ ก่อนจะมองเข้าไปในเครื่องล้านจานที่ทางภาคเครื่องสมัยก่อน ๆ เป็นคนทำให้ มันทำให้ผมนึกอะไรได้บางอย่างจนต้องยืนอยู่แบบนั้น
จานของที่นี่เป็นจานพลาสติก เวลาที่เครื่องมันสั่นให้จานแยกตัวออกจากกัน ทำให้จานไม่แตกหรือเสียหายอะไรเลย และอีกอย่างก็มีน้ำรองรับไว้
'ถ้าอันที่เป็นปัญหามีอยู่อันเดียว พวกคุณคงไม่มานั่งตรวจใหม่ทั้งหมดหรอกใช่ไหม'
คำของอาจารย์ผู้รับผิดชอบโครงการของเราดังขึ้นมาในโสตประสาท ก่อนที่จะมีความคิดบางอย่างแล่นขึ้นมาในหัวผมจนต้องวิ่งกลับโต๊ะไป
"เป้! ปากกา กูขอยืมปากกา สมุดด้วย!"
"อะไร...อะไรของมึง"
"เร็วดิ เดี๋ยวลืม" ผมแทบจะเขย่าตัวมันอยู่แล้ว เพราะกลัวว่าสิ่งที่คิดได้จะเผลอลืมมันไปก่อน เป้มันเลยส่งกระเป๋าสะพายสีเขียวสดของมันมาให้ผมทั้งใบ
เวลานี้เวลากิน แต่ผมไม่รีรออะไรทั้งนั้น ถึงแม้ว่าเมื่อกี้จะหิวจนทนไม่ไหวก็เถอะ แต่ตอนนี้มือผมกำลังกำปากกา เขียนบางสิ่งบางอย่างลงไปในกระดาษ แล้วรู้สึกได้เลยว่าไอ้เป้มันกำลังชะโงกหน้ามองสิ่งที่ผมเขียนอยู่รวมถึงไอ้กันต์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
"เชี่ยมึงเอางี้เลยเหรอ"
"ได้ไม่ได้ ก็ต้องไปคุยกันอีกทีล่ะวะ" ผมพูดพลางเหล่ตาขึ้นไปมองไอ้กันต์ที่นั่งทำหน้างงใส่ผม แต่ผมก็ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มที่มุมปากก่อนจะกระตุกคิ้วขึ้นทีหนึ่ง โถ คูลมากปะพ่อ แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็มีไอเดียอะไรไปเสนอบ้างแล้วล่ะ
แล้วพอต้องเอามาเสนอพี่เอเธนส์...
“ก็ไม่แย่ว่ะ” ลองบอกว่าแย่ดิ จะให้ไปคิดเอง “ก็เดี๋ยวพี่สรุปประชุมอีกที แล้วจะเอาไปบอกอาจารย์ ได้เรื่องยังไงคงต้องฝากกันต์แปลให้อีกที ถ้าจะให้แปลทุกอย่างมันลำบากเราเกินไป”
“ได้ครับ”
“งั้นวันนี้คงไม่มีอะไรแล้วมั้ง กลับไปพักผ่อนกันดีกว่า”
ผมไม่รู้ว่าที่คิดได้เมื่อกี้มันจะยังดีในสายตาของอาจารย์หรือดีพอในสายตาคนทั่วไปอยู่ไหม แต่อย่างน้อยถ้าพี่เธนส์จอมเรื่องมากและมากเรื่องแกไม่ได้ว่าอะไร ผมก็พอจะสบายใจไปได้อีกเปราะ
แต่ว่านะ ไอ้เด็กภาษาของผมเนี่ย ทำไมยังยืนเหมือนมีอะไรจะพูดอยู่อีก
“ไม่กลับบ้านรึ?”
“ฮะ? อ๋อ...ออกมาแล้วยังไม่ค่อยอยากกลับน่ะ”
“ไปกับเราเปล่า” มีนว่า คนนี้เขาไม่มีเรียนชดเชยอะไรวันนี้ ชุดไปรเวทสีหวานมาเชียว “เราว่าจะไปเที่ยวนิด ๆ หน่อย ๆ”
“ไม่เคยหน่อยกูสังเกตแล้ว” กอล์ฟแทรก
“หุบปาก” ทำดุเพื่อนได้ไม่เท่าไหร่ ทำตาหวานใส่ไอ้กันต์อีกแล้ว “กันต์ไปกับเราไหม เราว่าจะไปซื้อของด้วย”
“เฮ้ย มีนไปรถเราก็ได้นะ เราเอารถมา เนี่ย ใครจะไปไหนไปกับเราเลยก็ได้ เที่ยวเดียวไม่ต้องเสียค่ารถ”
“อุ้ย เกรงใจจัง” หน้าตากับน้ำเสียงให้มันเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับคำว่าเกรงใจหน่อย “แล้วกันต์ไม่รีบกลับบ้านเหรอ มีเวลาทั้งทีอยู่กับครอบครัวบ้างก็ได้นะ”
“ตอแหลฉิบหาย”
“อีกอล์ฟ!” โดนฟาดไปหนึ่งฝ่ามือ “ไปได้เหรอ”
“ได้สิ เราอยากกลับเย็น ๆ เลยน่ะ ไหน ๆ ก็ออกมาแล้ว”
“ไรวะ มีบ้านไม่อยากกลับบ้าน มึงรู้ไหมเด็กต่างจังหวัดแบบกูอยากกลับบ้านทุกวันเลย”
“มึงมันลูกแหง่ไงแซม”
“เดี๋ยวมึงจะไม่ได้โดนแค่ไอ้มีนนะกอล์ฟ” หัวเราะเอิ้กอ้ากอีก “ไม่อยากกลับบ้านแน่นะ เผื่อเย็น ๆ ไปหาขนมกินกันด้วย”
“ไปได้อยู่แล้ว”
ผมเผลอคลี่ยิ้มออกมาขณะที่อีกคนยิ้มกว้างจนตาปิด ใบหน้าสีขาวแต่งแต้มด้วยสีชมพูเพราะเลือดฝาด
เออ แม่งเป็นผู้ชายที่น่ารักดีว่ะ
ถ้าไม่ติดตรงที่สีหน้าในบางครั้ง เหมือนมีความไม่สบายใจเจืออยู่น่ะนะ
TBC
คิดเห็นยังไง คอมเมนต์ได้เลยนะคะทุกคน
ไม่ได้มาพูดคุยกันเท่าไหร่เลย จะบอกว่าต้องขอบคุณทาง hinovel มากๆ ค่ะที่ได้ชักชวนให้มาลงนิยายในนี้
ถ้าอยากติดตามผลงานของเรา สามารถหาชื่อ Sevencats ได้ในเพจเฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ชื่อ @sevenCatswrite ค่ะ
