บทที่ 1 : ทีมเข้าร่วม
บทที่ 1
GUN's Part
“เร็ว ๆ สิมึง ชักช้าเขาประชุมกันหมดมึงเข้าไปนี่เด่นเลยนะ”
เลิกเรียนไม่ถึงสิบนาทีผมต้องมาวิ่งหอบรับประทานกับไอ้จิ๋วเพื่อมาคณะวิศวะ และประชุมเรื่องสิ่งประดิษฐ์ระดับชาติของทางคณะนั้นเขา
ความจริงก็มีรถแหละ แต่ตอนนี้มันเวลาคนกำลังเลิกงานหรือเลิกเรียนพอดี ขืนใช้รถก็สายกว่านี้ ไหนจะหาที่จอดรถอีก สองขาตัวเองวิ่งมาน่ะเร็วสุดแล้ว
แกร๊ก...
พอถึงห้อง 209 ที่นัดกันไว้ ผมก็เปิดประตูเข้าไปให้เงียบที่สุดเผื่อว่าอาจารย์จะเข้าแล้ว
แต่...สิ่งที่ผมคิดมักจะผิดกับความเป็นจริง
เมื่อภาพในจินตนาการผมคือจะต้องมีคนจำนวนหนึ่งนั่งประจำที่ตัวเองพร้อมกับเอกสารการประชุมวางอยู่ตรงหน้า แต่ความจริงเมื่อเข้าไปผมกลับเจอผู้ชายคนหนึ่งที่ดูจากเสื้อช็อปสีกรมท่าก็น่าจะเป็นคนของวิศวะ นั่งกดโทรศัพท์ไขว่ห้างกระดิกเท้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผม
ไม่ได้มาผิดห้องใช่ปะ
“เข้าไปดิวะ เนี่ย 209” จิ๋วว่าพลางดันไหล่ผมให้เข้าไปในห้อง
“เอกญี่ปุ่นปะ” แต่ดูเหมือนอีกคนจะมองออกว่าผมดูไม่ค่อยรู้เรื่อง เขาเลยโยนโทรศัพท์เข้ากระเป๋าเป้สีดำก่อนจะหันมาพูดกับผม “มานั่งดิ เดี๋ยวคนอื่นก็มากัน”
รู้สึกใจชื้นขึ้นมานิดหนึ่ง ถึงแม้ว่ามันจะแค่นิดเดียวก็เหอะ แต่มันก็ทำให้ผมไม่ได้รู้สึกเหงาขนาดนั้นแล้ว
“มึง...” แต่ก่อนที่ผมจะเข้าไป ไอ้จิ๋วก็กระโดดรั้งคอผมไว้จนเซไปข้างหลัง “หล่อว่ะ ทำความรู้จักแล้วขอไลน์มาให้กูด้วยนะ ถ้าจะให้ดี กูขอทั้งกลุ่ม ไปละ บรัยส์”
คนอย่างไอ้นี่นี่มัน...เคยไหมที่จะเรียบร้อย สงวนท่าที่ให้เหมาะกับกุลสตรีของชาติ
ไม่มี...
และหลังจากที่จิ๋วกลับไป ผมก็เดินเข้าไปนั่งโต๊ะด้านหลังเด็กวิศวะคนนั้น เหมือนไม่มีอะไรทำเขาก็ควักโทรศัพท์ออกมาจากเป้ของเขาอีกครั้ง
“นาย ๆ” ผมเรียกคนที่นั่งอยู่ด้านหน้า สายตาก็เห็นแค่ท้ายทอยและผมดำขลับรองทรงยาว ๆ ธรรมดา ๆ “วันนี้เขาประชุมกันสี่โมงครึ่งจริง ๆ ใช่ปะ”
“อืม” คำตอบมีแค่นั้นและการพยักหน้าไม่มีการหันมาคุยกันดี ๆ
และความเงียบก็ปกคลุมห้องนี้อีกครั้งจนผมรู้สึกเริ่มไม่ค่อยอยากอยู่ในห้องนี้สักเท่าไหร่ คือปกติผมจะอยู่แต่ในห้องที่มีผู้หญิงครองสาขา เสียงในห้องเรียนก็เหมือนนกกระจอกแตกรังเพราะแย่งกันคุยแต่พอมาที่นี่...เหมือนได้ยินแค่เสียงแอร์
ผมแอบมองด้านหลังเสื้อช็อปของเขาที่ปักว่า ‘Mechanical Engineering’ สีเหลืองตัดกับสีเสื้อช็อป มองแล้วก็กลับมามองตัวเองว่าทำไมภาคผมไม่มีช็อปใส่กับเขาบ้าง ไม่ใช่ไรหรอกผมขี้เกียจรีดเสื้อกับกางเกง ยิ่งตอนเข้าที่นี่ได้ผมบนไว้ว่าจะแต่งตัวถูกระเบียบไปจนจบปี 4 ตอนนี้ก็อยู่มาถึงปี 3 แล้วเนคไทก็ต้องผูก คัทชูตอนนี้ก็ยังต้องใส่
“ชื่อไรอะ”
“หือ?”
“ชื่ออะไร”
“เราเหรอ” จู่ ๆ คนข้างหน้าก็หันมาหาผม
“คนข้างหลังมึงมั้ง” ถึงขมวดคิ้วหันไปมองข้างหลังไม่ทันเมื่อเขาพูดแบบนั้นออกมา แต่ก็ไม่เจอใครเลยต้องหันกลับมาหาเขาอีกครั้งจนเห็นผู้ชายคนนี้อมยิ้มที่มุมปากเล็ก ๆ “จะบ้าหรือไง อยู่กันแค่สองคน จะมีใครอีกวะ”
เห็นหน้าไหมว่าตลกเปล่า “เอ่อ...ชื่อกันต์”
“เออ กูชื่อแซม โทษทีนะเว้ยที่ต้องพูดกูมึง พอดีไม่รู้จะใช้คำไหน”
“อ่า...ไม่เป็นไร”
ไม่ได้ถืออะไรกับแซมเขาหรอก ดูจากบุคลิกของเขาแล้ว คงทำอะไรสุภาพไม่เป็น เฮ้...ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นนะ คือหน้าตาเขาค่อนข้างจะคม ๆ ดุ ๆ หน่อยอะ พอวิธีการพูดเป็นแบบนั้นมันเลยไปขับให้ดูไม่น่าเข้าใกล้มากขึ้นมั้ง
และหลังจากที่ถามไถ่ชื่อแซ่กันเสร็จสรรพ ก็มีสมาชิกคนอื่น ๆ ทยอยเดินเข้ามาในห้อง
“อาจารย์บอกกับพี่ว่าเขาจะเลทประมาณยี่สิบนาที ระหว่างนี้ก็คุย ๆ กันไปก่อนนะ” ผู้ชายคนหนึ่งพูดขึ้นก่อนจะวางเอกสารอะไรบางอย่างลงบนโต๊ะที่อยู่หน้าห้อง แต่สรรพนามที่เขาใช้เป็นคำว่า ‘พี่’ ถ้าแก่กว่าผมเขาคงจะเป็นปี 4
ไม่นาน ทุกคนก็เริ่มทำความรู้จักกัน แต่คนที่ดูจะเป็นจุดเด่นในทีมมากที่สุดก็น่าจะเป็น มีน สาวสวยจากภาควิชาเกษตร ขาวสูงหุ่นดี ไว้ผมยาวดัดลอนสีน้ำตาลประกายทอง บอกเลยว่าสวยกว่าผู้หญิงภาคผมอีก
ส่วนอีกคนชื่อกอล์ฟ มาจากภาคไฟฟ้าแล้วก็เป็นเพื่อนสมัยม.ปลายของมีน รูปร่างสูงใหญ่
และคนสุดท้ายคือพี่เอเธนส์ เขาบอกให้เรียกเขาว่าเธนส์ก็พอ ภาคเครื่องกลปี 4 ดำรงตำแหน่งกัปตันทีมฟุตบอลของมหา ’ลัย จำได้เพราะเคยเห็นจิ๋วมันกรี๊ดอยู่ และตอนนี้เขาก็เขามาเป็นที่ปรึกษาให้กับทีมเราแล้ว
“เฮ้ยแก ภาษาญี่ปุ่นเรียนยากปะ เราอยากเรียนบ้างว่ะ” เพราะอาจารย์ยังไม่เข้ามา มีนก็เอื้อมมือมาสะกิดที่แขนผมก่อนจะถามคำถามที่ผมเองก็ไม่รู้จะตอบยังไง
“เอ่อ...ก็ยากอยู่นะ”
“สอนหน่อยได้เปล่า อยากเรียนไปเต๊าะผู้ชายอะ”
“น้อย ๆ หน่อยมีน Eng 2 มึงได้แค่เซฟไม่ใช่ไง้” กอล์ฟที่กางหนังสือการ์ตูนขึ้นมาอ่านฆ่าเวลาก็แอบแซะเพื่อนสาวจนหน้างอ เห็นอย่างนั้นผมก็ได้แค่แอบยิ้มก่อนจะมองคนที่นั่งข้างหน้าที่ไม่มีท่าทีอะไรกับใครหลังจากแนะนำตัวเสร็จ ก็ยังคงก้มหน้านั่งเล่นเกมในมือถือต่อไป
“โทษทีนะครับ มาสายไปหน่อย” ยังไม่ทันที่บทสนทนาจะเข้าที่เข้าทาง อาจารย์ก็เข้ามาในห้องพอดี และหลังจากนั้นการประชุมก็เริ่มต้นขึ้น
ในขณะที่พี่เอเธนส์กำลังนั่งจดบันทึกตามที่อาจารย์พูดเป็นสเต็ป และเหล่านักศึกษาคณะวิศวะที่มีกันอยู่สามคนก็แย่งกันออกความเห็นของหัวข้อสิ่งประดิษฐ์ที่อยากทำ ก็คงมีผมนี่แหละที่ไร้ตัวตนไปโดยปริยายเมื่อการประชุมเริ่มต้นขึ้น
“เอ้า! ผมอยากฟังความเห็นล่ามบ้าง...กันต์ มีความเห็นอะไรไหม”
นั่นไง มีตัวตนสมใจแล้วไหมล่ะ
“เอ่อ...ความเห็นเหรอครับ”
“ใช่ สมมติว่าให้คุณเป็นเกษตรกร คุณอยากจะได้รับความสะดวกสบายในเรื่องไหน เรากำหนดไว้ว่าจะเป็นการส่งออกที่ไทยทำรายได้เข้าประเทศได้มากหน่อย”
“เอ่อ...ผมว่ามันน่าจะเกี่ยวกับผลผลิตที่ส่งออก ถ้าผลผลิตที่จะส่งออกมีคุณภาพ ปริมาณเพียงพอกับตลาดนะครับ”
“ยังไง”
แง “ก็อย่างเช่น พัฒนาพันธุ์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือไม่ก็การดูแลก่อนที่มันจะออกดอกออกผล เวลาไปตรวจสอบก่อนส่งออกนอกจะได้ไม่มีปัญหาเรื่องตีกลับครับ” ก็พูดไปทั้ง ๆ ที่ไม่ค่อยมีความรู้หรอก ที่จริงถึงผมจะลงความเห็นแต่พวกเขาก็คงจะไปทำอย่างที่พวกเขาคิดกันไว้แล้ว
“งั้นสิ่งที่จะทำก็ลงมติได้อย่างหนึ่งแล้วคือใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ส่วนอีกอันคือเครื่องมือที่เอาไว้ตรวจสอบก่อนจะส่งออกไปต่างประเทศ...” พี่เอเธนส์พูดไปมือก็จดบันทึกไป
“ผมอยากทำเครื่องมือที่เอาไว้ตรวจสอบสิ่งแปลกปลอมที่มันอยู่ในตัวผลผลิตนั้นด้วยครับ” จู่ ๆ แซมที่เอาแต่นั่งนิ่งก็ยกมือขึ้นมาพูดเป็นประโยคแรก
“เครื่องมือแบบไหนครับ”
“ที่เราสามารถใช้รังสีในการตรวจสอบแล้ววัดค่าผิดปกติจากตัวเนื้อผลิตภัณฑ์ว่ามีการเน่าเสียจากเชื้อจุลินทรีย์ ถ้ามีค่าแปลกปลอมหรือค่าที่สูงหรือต่ำกว่าค่ามาตรฐาน อันนี้ก็คือถือว่าไม่ผ่านและส่งออกไม่ได้ครับ”
“แต่เชื้อมันไม่ได้มีแค่เชื้อเดียวนะ อีกอย่างเครื่องมือเราก็ต้องรองรับของที่มาเป็นตัน ๆ ได้ด้วยเพราะว่าเราต้องส่งออกนอก มันจะเสียเวลาไหม” อาจารย์ถามกลับด้วยน้ำเสียงที่ดูจริงจังเล็กน้อย นั่นทำให้ความมั่นใจที่มีอยู่บนใบหน้าแซมหายไปจนผมสังเกตได้
“หนูว่าดีเลยนะคะ เพราะแถวบ้านเคยส่งมังคุดออกนอก แต่พอทางนั้นเห็นว่ามีหนอนอยู่ตัวเดียว โดนตีกลับประมาณร้อยตัน”
ร้อยตัน...
“ก็ดีนะครับ เราก็ทำแบบที่ติดผนังได้เพื่อที่รถขนาดใหญ่จะได้เคลื่อนเข้ามาตรวจได้ทั้งคันรถ แบบนี้ก็จะได้ไม่เสียเวลามาก”
“แล้วถ้าของที่มีปัญหามีแค่ชิ้นเดียว เราจะรู้ได้ไงว่าของเป็นชิ้นไหน คุณคงไม่เอามันมาตรวจใหม่ทีละอันหรอกใช่ไหม”
เงียบ...บรรยากาศตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ผมก็พลางตัวเป็นแค่ฝุ่นผงบาง ๆ ลอยไปลอยมาในห้องนี้ รับรู้ได้ถึงความกดดันอันมหาศาลของโจทย์ที่อาจารย์ตั้งขึ้น
“ลองเอาปัญหากลับไปคิดนะครับ แล้ววันจันทร์ผมจะขอดูความคืบหน้า...โอเควันนี้เราพอแค่นี้กันก่อน เลิกประชุมได้ครับ”
นี่แหละ มนุษย์อาจารย์ มอบปัญหาแล้วก็ลาจากไปโดยทิ้งความกดดันไว้ให้คนในห้อง จริง ๆ มันก็ไม่ใช่ผมหรอกที่จะกดดันไปกับเขา แต่ผมมองไปที่ทุกคนมันยิ่งดูเหมือนว่าตัวเองกำลังเป็นหนึ่งคนที่ไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้เลย
“กันต์ พี่ฝากเราแปลรายงานการประชุมหน่อยนะ เดี๋ยวพี่จะส่งให้ในไลน์เพราะตอนประกวดเขาอยากได้การประชุมทุกครั้ง แล้วก็เดี๋ยวมันจะมีงานให้เราแปลเรื่อย ๆ รวมเล่มทีเดียวตอนเพื่อนทำชิ้นงานเสร็จแล้ว...พี่ขอไลน์เราหน่อย” พี่เอเธนส์เดินมาหาผมพร้อมบอกรายละเอียด ก่อนจะหันไปตบไหล่แซมเบา ๆ ซึ่งเจ้าตัวก็ยังนั่งอยู่แบบนั้นไม่ลุกไปไหน “โอเคนะไอ้น้อง”
“อือ”
“ไปกินข้าวกันปะ นี่ก็เย็นแล้ว...รีบกลับหรือเปล่ากันต์” กอล์ฟหันมาถามผม เรื่องกินนี่ผมก็ไม่เคยปฏิเสธ แต่ผมจอดรถไว้ที่คณะ มืด ๆ อย่างนี้คณะผมน่ากลัวไม่ใช่เล่น เรื่องเล่าหรือพวกตำนานนี่ขอให้บอก
“เอ่อ...เราจอดรถไว้คณะน่ะสิ”
“ไปเหอะ นาน ๆ ทีได้เพื่อนคณะอื่นมากิน เดี๋ยวขากลับกูขี่มอ’ไซค์ไปส่งก็ได้” แซมลุกขึ้นสะพายเป้ขึ้นหลังก่อนจะเดินนำผมออกมา
และมันก็เป็นไปตามนั้น ผมก็ออกมากับพวกเขาจนได้ และเราก็มากินข้าวกันโดยมีพี่เอเธนส์อาสาพามากินหลังคณะที่อยู่สุดขอบมหา’ลัยพอดี
หลังคณะวิศวะจะเต็มไปด้วยหอพักและแหล่งบันเทิงเริงรมย์ บวกกับของกินที่มีทุกชนิด ของคาวของหวานผลไม้เครื่องดื่ม และด้วยความที่ผมขับรถมาเรียน ไม่ต้องนอนหอและไม่มีบรรยากาศเหมือนกับเพื่อน ๆ มันก็เลยดูตื่นตาสำหรับคนอย่างผมมากเป็นพิเศษ ถึงสมัยปี 1 จะเคยมานั่งดื่มกับพวกเพื่อนบ้างก็ตาม
“เพิ่งเคยมาเหรอ” เมื่อได้นั่งที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเหมาะ ๆ คนแน่นร้านแต่ก็ยังพอมีที่ให้ผมห้าคนยัดร่างลงไปได้ แซมที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็หันมาถาม
“ก็...ไม่เคยมาร้านนี้อะ”
“เออ จะกินไรล่ะ” เขาหยิบปากกากับกระดาษที่มีมาเขียนเมนูของเขาก่อนจะจัดการเขียนเมนูของคนที่เหลือ โดยมีผมรั้งท้าย “กินอะไรล่ะมึง ช้า กูให้เขาเลยนะ”
“ใจเย็นสิหนู เพื่อนไม่เคยมา” แล้วก็มีเสียงพี่เอเธนส์ดังออกมาบอกคนใจร้อนผิดกับหน้าตาที่นิ่งดูเหมือนไม่รู้สึกกับอะไร
“กินเผ็ดได้ปะ”
“ก็พอได้” พอได้นี่หมายถึงส้มตำพริกสามเม็ดก็ทำผมน้ำตาไหลได้แล้ว
“งั้นเอาไอ้นี่ไปแล้วกัน” ไม่ถามสักคำ ผมก็เลยทำได้แค่ชะโงกหน้าไปมองสิ่งที่เขาเขียน
เส้นเล็กต้มยำทะเลนรก 2
เขาขีดเลขหนึ่งทิ้งที่เป็นเมนูของเขาแล้วใส่เลขสองเข้าไปแทน “อันนี้อร่อย เชื่อกู กินประจำ”
“อ่า ๆ”
ก็ไม่รู้ว่ายังไง แต่ผมรู้สึกว่าอาหารเย็นมื้อนี้ของผมมันคงจะรสชาติแปลกไปจากทุกวัน เพราะเพื่อนใหม่ สังคมใหม่ สิ่งที่ผมไม่เคยได้รู้เลยคือสิ่งที่เพื่อนคณะอื่นเขาทำกัน วันนี้ผมได้รับรู้มันจากพวกเขาเหล่านี้ และก๋วยเตี๋ยวชื่อโหดจากแซม ที่ผมจะเพิ่งเคยได้กินเป็นครั้งแรกด้วย
