Type7: สายพลัง และเลเวล
Type7: สายพลัง และเลเวล
กฎข้อที่สามของนักต้มตุ๋น รู้จักตัวเองให้ดีพอก่อนจะหลอกคนอื่น
เมฆาลุกขึ้นยืนพลางมองกลุ่มคนนั้นแบ่งกลุ่มออกกันตามหาคนที่หนีไป ใบหน้าของเขาบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก
“ให้พวกก็อดโอเมนตามหาร่องรอยความผันผวนของกระแสคลื่นแม่เหล็กในละแวกนี้ มันน่าจะยังหายตัวไปไม่นานนัก อาจจะแกะรอยได้” ชายที่ดูจะเป็นหัวหน้าสั่งการ
“อาจจะไม่จำเป็นขนาดนั้นก็ได้ครับ เพราะว่าเทเลพอร์ตเตอร์ของพวกนั้นทำได้แค่เทเลพอร์ตตัวเอง พวกนั้นน่าจะใช้การหนีไปแบบปกติมากกว่า มีพวกสะกดจิตหนึ่งคน เพิ่มความสามารถกล้ามเนื้อหนึ่งคน เทเลพอร์ตเตอร์หนึ่งคน และคนที่สร้างม่านสนามลวงตาได้อีกหนึ่งคน ระวังด้วยนะครับ มันอาจไม่ได้มีแค่นี้” เมฆาให้ข้อมูลเท่าที่ตัวเองมีแล้วยันตัวลุกขึ้น คนเหล่านั้นมองเมฆาอย่างแปลกใจ
“ขอบใจมาก” เขาพูด เมฆาพยักหน้า
“ตามผมมาทางนี้ คุณทาจิบานะ กรุณากลับหอพักด้วยครับ ถึงคุณจะเป็นสมาชิกสภานักเรียนก็ตาม แต่การออกนอกหอพักยามวิการก็ถือว่าผิดกฎครับ ยิ่งคุณออกไปนอกโรงเรียนด้วยแล้ว เราจะทำการสอบสวนเรื่องนี้ทีหลังนะครับ”
เด็กผู้หญิงที่ชื่อทาจิบานะพยักหน้ารับด้วยสีหน้าราบเรียบไม่มีการเปลี่ยนแปลง เมฆาไม่เคยเห็นใครหน้าตาเฉยจนเหมือนใส่หน้ากากได้เท่านี้มาก่อนเลยจริงๆ น่าเรียนวิชานี้ชะมัด
“ส่วนคุณเอกนภา กรุณามากับเราที่แผนกปกครองด้วยครับ”
เมฆาพยักหน้า แล้วเดินตามคนสองคนในกลุ่มเข้าไปในโรงเรียน ในหัวมีคำถามมากมายเป็นภูเขา แต่พอหันไปทางคนของโรงเรียนก็ทำหน้าเครียดราวกับว่าญาติเพิ่งเสีย ส่วนคุณทาจิบานะ... เมฆาถามหอยกาบน่าจะง่ายกว่า สุดท้ายเลยกวาดตามองโรงเรียนยามกลางคืนไปพลางๆ
โรงเรียนสาธิตเซนท์ปิแอร์ยามกลางคืนนั้นสวยมาก โรงเรียนส่วนใหญ่ตอนกลางคืนจะมืดๆทึมๆไม่น่าอยู่ แต่ที่นี่กลับมีโคมไฟรูปแบบต่างๆตั้งไว้ทุกจุดจนไม่ต้องกลัวมืด ยิ่งแสงเงานั้นเข้ากับสวนหรือต้นไม้ต่างๆได้เป็นอย่างดีจนไม่รู้สึกวังเวงแม้แต่น้อย มันสวยจนอยากถ่ายรูปเก็บไว้ด้วยซ้ำ เขาเห็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ห้อยโคมกระดาษแบบญี่ปุ่นไว้จนเต็มต้น ส่องแสงสว่างเรืองรองในความมืดสวยงามมาก เหมือนต้นไม้ภูติในเทพนิยายเรื่องไหนซักเรื่องที่เขาเคยอ่านเจอ
เอาเป็นว่า เขาชอบโรงเรียนตอนกลางคืนที่เงียบสงบนี้มากกว่าตอนกลางวันที่เต็มไปด้วยผู้คน
เราเดินกันมาซักพักจนกระทั่งมาถึงอาคารปกครอง ภายนอกมันดูเคร่งขรึมข่มขวัญดีซะจนถ้านักเรียนคนไหนเห็นคงต้องหนาว ถึงจะไม่ได้ทำผิดอะไรก็ตาม เราเดินเข้าไปในอาคารที่ตกแต่งอย่างทันสมัย เมฆาถูกเชิญให้นั่งลงบนเก้าอี้ที่ดูเหมือนเก้าอี้ของผู้ต้องหา ชายคนหนึ่งทรุดนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามแล้วจ้องเขาเขม็ง นี่ถ้าปิดไฟมืดแล้วมีไฟซักดวงส่องหน้าล่ะก็ เขาคงจะได้รับรู้ความรู้สึกของคนโดนสอบสวนอย่างเต็มที่ทีเดียว
แต่เนื้อหาการสอบสวนเป็นไปอย่างสงบ เขาขอให้เมฆาาเล่าเรื่องราวของวันนี้ออกมา เมฆาเล่าเรื่องอย่างสงบเรื่อยๆอย่างไม่รู้สึกอะไร แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้สึกทึ่งไม่น้อย เมื่อเขาเล่าจบ อ้อ ลืมบอกไป เขามีวิธีพูดแบบที่ทำให้คนฟังขัดไม่ได้จนกว่าจะเล่าจบ ฉะนั้น เขาถึงถามผมได้เมื่อจบเรื่องแล้วเท่านั้น
“ทำไมเธอถึงไม่ถูกควบคุมล่ะ? ความสามารถของคนที่เธอเล่ามานั้น มันเป็นระดับสูงมากๆเลยนะ เพียงแค่อยู่ในระยะก็สะกดจิตได้แบบนี้เป็นความสามารถระดับเลเวล40ขึ้นไปได้เลยนะ!” ชายคนนั้นพูดอย่างตื่นเต้น ถึงเมฆาจะยังไม่เข้าใจว่าเลเวลคืออะไร แต่ในเมื่อมีเลเวลแล้ว มันจะมีคลาสหลักคลาสรองด้วยมั๊ยนี่?
เมฆาเหยียดยิ้มบางๆอย่างลึกลับ เอนหลังพิงพนักอย่างผ่อนคลาย
“ความสามารถของไซต์ บอกไม่ได้ครับ”
ครูคนนั้นมองเมฆาอย่างอึ้งๆ แต่ไม่พูดอะไรต่อ เขาหันไปทางเด็กสาวต่อ แล้วถาม
“ทำไมเธอถึงไปอยู่ที่นั่นได้ล่ะ?” เขาถามท่าทางตำหนิ แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสีหน้าใดๆของเด็กสาวได้ซักนิด เธอใช้ใบหน้าราบเรียบนั้นพูดเบาๆอย่างชัดเจน
“เดินเล่น แล้วบังเอิญเจอ”
อืม... สั้นได้ใจดีจริงๆ
อาจารย์คนนั้นพยายามถามต่อ แต่ดูเหมือนคุณทาจิบานะของเราจะเห็นว่าได้พูดพอแล้ว เลยนิ่งสงบแล้วบำเพ็ญเพียรต่อไปโดยไม่พูดอะไรออกมาซักคำ ท่าทางว่าอาจารย์แกก็อ่อนใจเหมือนกัน
“เฮ้อ งั้นก็กลับหอไปเถอะ ส่วนเธอ... เอาเป็นว่าคืนนี้พักที่โรงเรียนนี้ก็แล้วกัน”
เมฆาพยักหน้ารับ ทาจิบานะลุกขึ้นยืน โค้งให้ครูและเขาอย่างแช่มช้า จากนั้นก็หันหลังกลับ แล้วค่อยๆเดินออกไปอย่างเชื่องช้าไม่รีบร้อน
ชักอยากเห็นเธอตอนรีบแฮะ เขาคิดขณะมองเธอเดินจากไป เสียงฟุ่บดังขึ้น แล้วชายคนหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาจากอากาศ ในมือมีถุงที่เขาวางทิ้งเอาไว้ที่หน้าบ้าน เมฆายื่นมือไปรับมาแล้วเปิดดู
“มือถือของผมตกอยู่ในสวนแน่ะครับ” เมฆาพูดหน้าตาเฉยครูคนที่เพิ่งโผล่มาทำหน้าเหรอหรา ชี้ที่ตัวเองประมาณว่า ‘ฉันต้องไปเอาเหรอ?’ แน่นอนว่าผมพยักหน้า ครูคนนั้นทำหน้าเบื่อโลก หลับตา แล้วหายวับไปทันที ประมาณ สามสิบวิต่อมา เขาก็โผล่มาแล้วยื่นโทรศัพท์ให้ผมด้วยใบหน้าเจื่อนๆ
ผมยกถุงนั้นขึ้นมาดู ไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยนเสียด้วย ท่าทางปัญหาคือผมต้องหาซื้อข้าวของเครื่องใช้ให้ครบก่อนสินะ ผมเงยหน้ามองครูคนนั้นแล้วพูดว่า
“ช่วยพาผมกลับไปที่นั่นหน่อยได้ไหมครับ ผมต้องกลับไปเอาของจำเป็นบางอย่าง”
อาจารย์ทำหน้าเหรอหราประมาณว่า ‘อีกแล้วเหรอ?’ แต่ก็ยอมจำนนแต่โดยดี ครูคนนั้นคว้าข้อมือของเขาเอาไว้แล้วหลับตา แล้วความรู้สึกวูบเหมือนตกจากที่สูงก็โถมเข้าใส่ รู้สึกคล้ายๆกับเวลานั่งรถไฟเหอะตีลังกา ใต้เท้ารู้สึกว่างเปล่า ไม่รับรู้ด้านบนหรือด้านล่าง ความรู้นั้นคงอยู่ประมาณสองสามวินาที พื้นก็โผล่เข้ามาที่ใต้เท้าอย่างกะทันหัน เขาเซเล็กน้อยแต่ไม่ล้ม ครูหัวเราะหึหึเบาๆ ท่าทางจะเป็นการแก้เผ็ดเล็กน้อยๆ ผมลุกขึ้นมองสภาพรอบๆอย่างไม่สนใจ แล้วต้องยอมรับว่าโกรธแค้นมากจริงๆ
บ้านของผม หรือที่น่าจะเรียกว่าเคยเป็น มีสภาพที่ชั้นบนถูกรื้อหายไปเหลือแต่เสากับหลังคา ด้านล่างผนังแตกเป็นรูๆ ประตูหน้าต่างกระจัดกระจาย ข้าวของในบ้านพังยับไม่มีชิ้นดี รอบๆบ้านเต็มไปด้วยเศษซากของข้าวของเครื่องใช้ ผมก้มลงเก็บต่างหูที่อยู่ใกล้เท้าขึ้นมา จำได้ว่ามันเป็นเครื่องประดับของแม่ ผมกัดฟันกรอด สภาพนี้คงจะหาที่เหลือยาก ผมแกะต่างหูที่หูออก แล้วใส่ต่างหูข้างนั้นเข้าไปแทนที่หูข้างขวา มันเป็นต่างหูเงินเรียบๆไม่มีลวดลาย นี่อาจจะเป็นของดูต่างหน้าชิ้นเดียวที่ยังเหลือ ผมยืนนิ่งสะกดกลั้นความโกรธแค้นและความเศร้าที่ประดังเข้ามา ผ่านไปครู่หนึ่ง ผมถึงเริ่มออกเดิน
ผมเดินตระเวนค้นหาของที่ยังพอจะใช้ได้อยู่เกือบชั่วโมง ซึ่งก็ยากพอดูเพราะตอนนี้เป็นเวลากลางคืนแล้ว อาศัยแค่แสงจากไฟฉายที่ครูวาร์ปไปเอามา (แน่นอนว่าเขาบังคับ) จนกระทั่งได้กล่องเหล็กใบหนึ่งมามันเป็นกล่องที่ผมเก็บของสำคัญๆเอาไว้ มันบุบนิดหน่อย ตัวกุญแจที่ล็อกเอาไว้ห้อยรุ่งริ่ง แต่ยังไม่หลุด บานพับที่ฝาหลุดไปหนึ่งบาน แต่มันยังอยู่ในสภาพที่ยังไม่ถูกเปิด ผมเปิดออกดู ภายในมีซองสีขาวสองสามซอง อัลบั้มรูป กุญแจสองดอก สร้อยหนึ่งเส้น ยังอยู่ครบ ผมปิดกล่องลงแล้วหันมาทางครูที่ยืนรอ
“พอผมไปที่โรงแรมหน่อยได้มั๊ยครับ”
หลังจากนั้นสิบห้านาที เราก็มาถึงโรงแรมใหญ่แห่งหนึ่งใจกลางเมืองด้วยรถแท็กซี่ แน่นอนว่าครูจ่าย อาจารย์แกทำหน้าเหมือนจะร้องให้ แต่ผมก็ตอบกลับด้วยใบหน้าเฉยเมย แกเลยบ่นกระปอดกระแปดไปเรื่อย แต่พอผมแนะว่าไปเบิกจากโรงเรียน แกก็พยักหน้ารับ
เมฆาเดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพผ้าเช็ดตัวพันช่วงล่าง ใบหน้าเรียบเฉยกวาดตามองไปที่เตียง แล้วพบเสื้อผ้าชุดหนึ่งที่ฝากพนักงานไปซื้อ เขาหันไปทางกระจกแล้วสำรวจตัวเองอย่างเงียบๆ
ภาพที่ปรากฏในกระจกคือร่างกายที่สมส่วนไม่ผอมหรืออ้วนเกินไป ไม่มีกล้ามเนื้อที่เห็นเด่นชัดแต่ก็ดูแข็งแรงตามค่าเฉลี่ย
แต่รอยตำหนิมากมายบนร่างกายอาจทำให้หลายคนตกใจจนเป็นลมได้ รอยแผลเป็นมากมายพาดยู่บนร่างของเด็กหนุ่มอย่างไม่น่าเป็นไปได้ รอยแผลเป็นลากยาวจากไหล่ซ้ายจนถึงหน้าท้อง รอยแผลเป็นขนาดใหญ่ที่เอวขวา รวมไปถึงรอยแผลเล็กๆน้อยมากมายนับไม่ถ้วนที่ล้วนแล้วแต่มีความทรงจำอันเจ็บปวดแฝงอยู่
แต่เด็กหนุ่มเหมือนจะชาชินกับมันเสียแล้ว เขาเพียงแค่เช็ดตัวด้วยผ้าจนแห้ง หยิบแป้งจากโต๊ะแล้วทาส่งเดชไปตามตัวแบบไม่ใส่ใจ จากนั้นก็หยิบเสื้อมาใส่ เอนตัวลงบนเตียงนั่งขัดสมาธิ สองมือวางไว้ที่เข่า ผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆจนจิตใจเข้าสู่สภาวะสงบนิ่งอย่างรวดเร็ว เมื่อสงบจิตใจแล้ว เขาก็เริ่มคิด
เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ตั้งแต่เช้าลืมตาตื่นขึ้นมา จนกระทั่งถึงวินาทีนี้ เขาทำอะไรบ้าง พูดอะไร พบใคร และใครพูดอย่างไร ทั้งหมดถูกเรียกขึ้นมาจากสมองส่วนฮิปโปแคมปัส (สมองส่วนเก็บความจำระยะสั้น) อย่างไม่มีตกหล่น สมองของคนเรานั้นน่าทึ่งมาก มันสามารถเก็บความทรงจำไว้ได้ถึง 140 ปี ถึงแม้เราจะนึกว่าลืมไปแล้ว แต่หากเราถูกสะกดจิตอย่างถูกวิธี แล้วย้อนความทรงจำไปเรื่อยๆ บางทีเราก็แทบจะสามารถเห็นภาพแรกตั้งแต่ลืมตาดูโลกได้เลยทีเดียว เมฆาทวนดูจนกระทั่งเรียกความทรงจำในวันนี้ออกมาทั้งหมดแล้ว ก็เริ่มวิเคราะห์เรื่องทั้งหมดนั้นทีละเรื่องๆอย่างเป็นระเบียบ ทั้งคำพูด การกระทำว่าวันนี้ตัวเองพูดดีหรือไม่ ตัดสินใจผิดพลาดอะไรหรือเปล่า มองข้ามจุดไหนไปบ้างไหม เมื่อพบแล้วก็เตือนตัวเองว่าอย่าผิดอีก จากนั้นก็รวมไปถึงเรื่องราวรอบตัวที่มากมายมหาศาลนัก เขาทวนทั้งหมดดูอย่างเงียบๆ แล้ววิเคราะห์อย่างเยือกเย็น พบความผิดพลาดของตัวเองก็ยอมรับอย่างเงียบๆ จนกระทั่งครบหมด จึงย้อนอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นการบ่งความทรงจำออกเป็นสามส่วน อย่างแรกคือเรื่องสำคัญที่ลืมไม่ได้ อย่างที่สองคือข้อมูลที่อาจจะเป็นประโยชน์ และอย่างที่สามคือข้อมูลไร้สาระที่ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ เมื่อเลือกแล้วก็ผ่อนลมหายใจอย่างสงบ เมื่อทำแบบนี้แล้ว จะเป็นการบอกสมองว่าเรื่องไหนควรจำ เรื่องไหนควรลืม เรื่องที่สำคัญจะถูกฝังลงไปอย่างแน่นหนา เรื่องไหนรองลงมาจะถูกบันทึกสั้นๆไว้ส่วนหนึ่ง หากพบว่าสำคัญจะถูกจดจำ แต่ถ้าไม่ก็จะหายไปตามเวลา ส่วนอะไรที่ไร้สาระก็จะถูกลบทิ้ง
เมฆาลืมตาขึ้นมา เสร็จสิ้นภารกิจจัดการสมองประจำวัน
เช้าวันรุ่งขึ้น เมฆาตื่นขึ้นมาในห้องของโรงแรม เขาถอดเสื้ออก แล้วเริ่มออกกำลังกายเบาๆเช่นวิดพื้น ซิทอัพ จากนั้นก็ทำโยคะดัดตัวด้วยท่าต่างๆจนรู้สึกว่าร่างกายสดชื่นดีแล้วก็เข้าห้องน้ำอาบน้ำไป เมื่อเขาออกมานอกโรงแรม ก็มีรถเบนซ์สีดำคันโตมาจอดรออยู่แล้ว เขาขึ้นรถไปโดยไม่พูดอะไร คนขับรถมองเขาแวบหนึ่งแล้วหันไปขับรถต่อ เขามองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่สนใจอะไรนัก มองภาพที่เคลื่อนผ่านดวงตาไปอย่างเหม่อลอย เมื่อมาถึงหน้าประตูโรงเรียน คนขับยื่นบัตรใบหนึ่งให้ป้อมยาม เหล็กกั้นเลื่อนขึ้น แล้วจึงเคลื่อนรถเข้าไปภายใน
ชายคนนั้นขับรถมาส่งเขาที่อาคารขนาดมโหฬารแห่งหนึ่ง มันเป็นอาคารสีขาวสองชั้นขนาดใหญ่ ผมเงยหน้ามองมันแล้วเรียกความทรงจำของแผนที่ออกมาดู ดูเหมือนว่ามันจะเป็นโรงอาหารนะ แต่มันใหญ่ได้ขนาดนี้เลยเหรอ? แต่โรงเรียนนี้มันน่าแปลกใจจนผมเลิกอึ้งแล้ว
ชายคนนั้นเดินอ้อมมาเปิดประตูให้ผมอย่างนอบน้อม ผมพยักหน้าให้เป็นเชิงขอบคุณ รถเคลื่อนที่ออกไป ผมหันหลังกลับมามองโรงอาหารอย่างเต็มตา ผู้คนเดินเข้าออกอย่างบางตา ผมยกนาฬิกาขึ้นดู เพิ่งจะ 6 โมงครึ่งเอง จะมีน้อยขนาดนี้ก็ไม่แปลกหรอก ผมเดินเข้าไปภายในซึ่งติดแอร์เย็นฉ่ำ ภายในมีโต๊ะสีขาวเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ มีนักเรียนหลายคนนั่งกินข้าวอยู่เป็นกลุ่มๆ เขามองไปรอบๆตัว แล้วพบว่าร้านอาหารที่นี่นั้นมีเฟรนไชด์ของร้านดังหลายแห่งที่คุ้นหน้าคุ้นตาอยู่ด้วย ทั้ง KFC แม็คโดนัล พิซซ่าฮัท และอีกหลายอย่างที่ขี้เกียจจะจำ ผมเดินไปยังร้านขายข้าวแกงที่ท่าทางดูจะธรรมดาที่สุด แม่ค้ายิ้มหวานรับแขก เพราะดูจะมีลูกค้าน้อย ผมสั่งกระเพราไก่มาหนึ่งจาน แล้วหยิบเงินจะจ่าย แต่ป้าแกส่ายหน้า
“อ้าว บัตรของหนูล่ะจ๊ะ?” เมื่อเธอเห็นผมทำหน้างงๆ เธอก็อธิบายว่าบัตรนักเรียนของผมนั้นเปรียบเสมือนคูปองของที่นี่ เพราะมันสามารถใช้เป็นบัตร ATM ได้ทุกธนาคาร และมันจะเบิกออกจากบัญชีโดยตรงเอง มันเอาไว้ใช้จ่ายในโรงเรียนนี้เกือบทุกอย่าง ผมมองบัตรในมืออย่างครุ่นคิด อืม... ไอ้นี่สารพัดประโยชน์จริงๆ
“คือว่าผมเพิ่งมาเรียนวันนี้เป็นวันแรกน่ะครับ เลยไม่ได้โอนเงินเข้าบัตรเลยครับ จ่ายเป็นเงินสดได้ไหมครับ?” ผมพูดไปตามจริง ป้าแกทำท่าจนใจ “ไม่ได้หรอกจ้ะ เพราะที่นี่เข้มงวดเรื่องนี้มาก เพราะมันเป็นระบบป้องกันการทุจริตน่ะ ที่นี่จะเก็บ 10 % ของยอดขายเป็นค่าเช่า ดังนั้นป้าก็ให้ไม่ได้หรอกจ้ะ” ป้าแกบอก ผมมองจานข้าวอย่างหิวจัด แง่มๆๆ แล้วจะทำยังไงดี
ผมหันรีหันขวางเพราะข้าวก็สั่งมาแล้ว จะไม่เอาซะเฉยๆแบบนี้ก็เกรงใจ คงต้องหาใครมาจ่ายให้ แต่ว่าเราไม่รู้จักใครเลยนี่หว่า หรือว่า...
“มาสเตอร์เซรันครับ คือผมมีปัญหาน่ะครับ เจ้าหน้าที่เขาไม่ได้บอกว่าเวลาซื้อของต้องใช้บัตร ผมเลยจ่ายเงินไม่ได้ ถ้ายังไงช่วยมาที่โรงอาหารหน่อยๆได้มั๊ยครับ” ผมกรอกเสียงลงไปในเบอร์โทรที่เม็มเอาไว้
“อ๋อ ได้สิ แผนกทะเบียนนี่แย่จริงๆ เรื่องแบบนี้น่าจะบอกกันก่อนนะ รอครูซัก 10 นาทีได้มั๊ย?” มาสเตอร์เซรันกรอกเสียงตอบมา โอ้ คุณช่างเป็นพ่อพระจริงๆ
“ขอบคุณครับ ป้าครับ อีกสิบนาทีจะมีคนมาจ่ายให้น่ะครับ ยังไง... รอซักหน่อยได้มั๊ยครับ” ผมตอบ ป้ายิ้มอย่างใจดี
“แหม ไม่เป็นไรหรอกจ้า ป้าเลี้ยงเองก็ได้ ไว้วันหลังก็มากินร้านป้าบ่อยๆก็พอ”
“ไม่ได้หรอกครับ เกรงใจ” ผมตอบ ป้าแกก็ทำท่าประมาณว่าตามใจ ผมเลยเดินวนไปวนมาที่หน้าร้านแบบนั่งไม่ติด แล้วหางตาของผมก็เหลือบไปเห็นใครบางคน
“ชิน!” ผมเรียกเสียงไม่เบาเลย ชินหันซ้ายหันขวาจนกระทั่งเห็นผมโบกมือหยอยๆเรียก จากนั้นจึงเดินเข้ามาหา
“ว่าไง” เด็กหนุ่มทักสั้นๆ ผมมองดูเขา พอแต่งตัวแบบนี้ก็ดูเข้าท่าดี
“ตอนนี้ผมมีปัญหาแบบนี้น่ะ” ผมเล่าปัญหาให้ฟังคร่าวๆ “นายจ่ายให้หน่อยได้มั๊ย เดี๋ยวเราจะให้เงินสด” ผมเสนอ ชินพยักหน้าอย่างง่ายๆ
“ได้” เขารับสั้นๆแล้วยื่นบัตรให้แม่ค้า ป้าแกยกบัตรนั่นขึ้นรูดกับเครื่องสีขาวที่ติดอยู่ที่กำแพงแล้วยื่นส่งให้ ผมยื่นเงินให้ชินแล้วรับข้าวมา ชินถือโอกาสซื้อร้านเดียวกัน ผมมองไปรอบๆ ท่าทางว่าตอนที่ผมยืนรอจะมีคนตื่นขึ้นมาอีกเยอะเลย เพราะตอนนี้โรงอาหารที่มีคนบางตาก็แน่นขนัด ผมเหลือบไปเห็นโต๊ะที่ยังว่างโต๊ะหนึ่ง จึงลากตัวชินไปนั่งด้วยกัน เราทรุดนั่งลงแล้วเริ่มจัดการข้าวของตัวเองเงียบๆ เมื่อหมดผมก็เท้าแขนลงบนโต๊ะ ชินรวบช้อนแล้วแนะนำตัว
“ฉันชื่อชินวุฒ แสงอรุณ เรียกสั้นๆว่าชิน” เขาแนะนำตัวสั้นๆ
“ผมชื่อเอกนภา ปัญญาวิวัฒน์ เรียกสั้นๆว่าเมฆา” ผมตอบ เขาพยักหน้ารับยกน้ำขึ้นดื่ม
“นายเป็นนักเรียนใหม่เหรอ?” เขาถาม ผมพยักหน้า
“ใช่ แล้วมีเรื่องอยากถามนายหลายเรื่องเลย” ผมพูด
“ว่ามาสิ” เขาอนุญาต
“เรื่องแรกเลย ระดับเลเวลคืออะไร?” ผมถาม เขาเริ่มอธิบาย
“ก็ตรงตามตัวนั่นแหละ มันเป็นตัววัดระดับความสามารถของเราว่าสูงถึงระดับไหน มันเป็นการแบ่งตามระดับของคลื่นสมองที่เกินค่าเฉลี่ยของคนทั่วไปออกมาว่ามีระดับมากแค่ไหนเมื่อเทียบกับคนธรรมดา เป็นตัวชี้วัดระดับความแข็งแกร่งของพลังจิตที่คนคนนั้นมีอยู่ เลเวลพวกนี้ค่อนข้างจะเป็นมาตรฐานสากลที่ใช้ร่วมกันของพวกไซคลิกทั้งหมดด้วย” ชินพูด ผมพยักหน้าเข้าใจ อืม... ไม่ต้องไปตีม่อนเก็บเลเวลสินะ
“โรงเรียนนี้เรียนแบบค่อนข้างจะแบ่งชนชั้นน่ะ เลเวลสูงๆก็จะกดขี่พวกเลเวลต่ำๆ แต่ก็ไม่เสมอไปหรอก พวกเลเวลต่ำๆแต่เก่งก็มีเยอะ” ชินพูดพลางดูดน้ำ
“แล้วนายเลเวลไหน?” ผมถาม เขายื่นบัตรของเขาให้ผมดู มันเป็นสีแดงสด ผมเอามาจ้อง เอ่อ... มันอะไรล่ะ เจ้าตัวเอื้อมมือมากดชื่อแรงๆสองครั้งติด ข้อความก็เปลี่ยนไป กลายเป็น
Mr. Chinnawuth Sangarun (ชินวุฒ แสงอรุณ)
Class 4B No.32 ( ห้อง 4B เลขที่ 32)
Type. Body Avatar
Levell 56 (สายร่างจุติเทพ ระดับ 52 ยศ)
3565 B (3,565 บาท)
ผมมองดูแล้วออกจะทึ่ง โห เทคโนโลยีแบบไหนทำได้แบบนี้หว่า
“ไม่ต้องตกใจไป นายจะเจออะไรที่น่าตกใจกว่านี้อีกเยอะ” ชินพูด ผมชักจะเห็นด้วย ผมคืนบัตรให้แล้วฟังเขาเล่าต่อ “ที่นี่เรียนทุกอย่างตามวิชาทั่วไป แต่จะมีวิชาเฉพาะที่นี่อีกสองสามวิชา อย่างเช่นประวัติศาสต์ไซคลิก ไซต์ภาคทฤษฏี แล้วก็ไซต์ภาคปฏิบัติ เดี๋ยวนายก็จะได้เห็น ฉันเห็นแว้บๆว่า ม.ปลาย มีวิชาแปลกๆโผล่มาอีก แต่เดี๋ยวเรียนก็รู้เอง” ชินกัดขนมปังกร้วมใหญ่ ผมพยักหน้า น่าสนุกดี
“อืม... ส่วนสีนี่ก็เรื่องรองล่ะนะ ปรกติมันจะมีสีประจำสาย สายบอดี้ฯเป็นสีแดง เบรนฯสีน้ำเงิน โอเมนฯสีขาว เนเจอร์ฯสีเขียว บนบัตรนั่นไง บัตรก็จะแสดงสีตามสายนั่นแหละ” ผมพยักหน้ารับรู้แล้วคิดในใจ
แล้วบัตรสีดำของเรามันสายอะไรล่ะ?
