The Trickster Psychic จอมมายา ผ่าโรงเรียนพลังจิต

322.0K · จบแล้ว
Conshoo
57
บท
47.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

นิยายที่แหกทุกกรอบจินตนาการของความเป็นแฟนตาซี เรื่องของเมฆา ตำนานแห่งสามัญชนโค่นราชันย์ที่จะทำให้เลือดของคุณเดือดพล่าน ลองอ่านดู แล้วคุณจะรู้ว่าความแฟนตาซีอยู่ไกล้ตัวกว่าที่คิด

นิยายแฟนตาซีนิยายแอคชั่นนิยายสืบสวนสอบสวนรักวัยรุ่นแฟนตาซี

Type 1: เบื่อ

Type 1: เบื่อ

กริ๊งงงงง ตุบ!

เสียงนาฬิกาปลุกถูกมือของเมฆาตบปิดแทบจะทันทีที่ดังขึ้น ร่างสูงทิ้งตัวลงนอนต่อพลิกตัวตะแคงตั้งท่าจะหลับต่อ แต่ไม่นานก็ต้องกระเด้งขึ้นจากเตียงกวาดตามองไปรอบๆเพราะนอนต่อไม่หลับ ตอนนี้ยังเป็นเช้ามืดอยู่ ตามปรกติเขาจะนอนต่อ แล้วตั้งเวลายืดออกไปเป็น6 โมง20 6 โมง 50 7โมง10 ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นว่าเวลามีไม่เหลือจริงๆนั่นแหละถึงจะยอมลุก แต่นิสัยนี้ก็ถูกแก้ไปตั้งแต่เขาย้ายมาอยู่ตัวคนเดียวที่บ้านหลังเก่าของยายหลังนี้ พอต้องรับผิดชอบชีวิตของตัวเองทุกอย่างแล้ว นิสัยหลายๆอย่างก็ต้องแก้ ถึงจะแก้ได้บ้างไม่ได้บ้างก็ตาม

เด็กหนุ่มลุกขึ้นหาวหวอด บิดขี้เกียจจนตื่นเต็มตาก็เดินเอื่อยๆเข้าห้องน้ำที่อยู่ในตัวห้อง ตามจริงแล้วบ้านหลังนี้เป็นกึ่งๆบ้านทรงไทยกับบ้านสมัยใหม่ ถึงจะทำจากไม้เกือบทั้งหลัง แต่ก็มีรูปแบบภายในที่ค่อนข้างทันสมัย ต้องยกความดีความชอบให้ตาทวดที่เป็นสถาปนิก ถึงแม้ว่าปู่ของเขาจะตายไปแล้วก็ตาม ก็เอาเถอะ อย่างน้อยก็ยังทิ้งบ้านหลังนี้ไว้ให้เป็นมรดกน่ะนะ

เมฆาล็อกกุญแจแล้วออกมาจากบ้านโดยที่ยังไม่รู้ว่าถ้าโจรขึ้นมันจะขนอะไรไปได้ หลังจากพ่อตายเขาก็ย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ที่อาศัยมาตั้งแต่เกิดยัน 7 ขวบ ถึงแม้ว่าจะได้ไปอยู่กับพ่อสองสามปีหลังแม่เสีย แต่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้ว เลยกลับมาเรียนที่เดิมดีกว่า เผื่อจะได้เจอเพื่อนเก่าๆบ้าง แต่ก็ยังยากอยู่ดี กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่เพื่อนฝูงหาไม่ได้ง่ายๆอยู่แล้ว คนข้างบ้านชื่ออะไรบ้างยังไม่ค่อยจะรู้กันเลย ฉะนั้นเขาเลยอยู่ที่นี่คนเดียว ก็ไม่เลวร้ายนัก ถ้าไม่ใส่ใจว่าบ้านจะรกเป็นรังหนูเพราะไม่ค่อยจะเก็บกวาด

งานศพของพ่อผ่านไปแล้ว นับแต่นี้บ้านนี้ก็ตกเป็นสิทธิ์ของเขาตามกฎหมาย โรงเรียนของเขาอยู่ห่างจากบ้านไปพอสมควร แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่เดินไปถึง ก็นะ ย้ายมากลางเทอมจะเลือกมากก็ไม่ได้ ระยะทาง 2 กิโลเมตรในแผนที่ เวลามาเดินในจริงในกรุงเทพฯ นี่บวกเข้าไปสามเท่าได้เลย ระยะทางยิ่งยาวก็ยิ่งน่าเบื่อ

วิวทิวทัศน์ข้างทางเดิมๆที่เห็นจนหลับตาเดินได้ ตอนมาแรกๆ เมฆาหันซ้ายหันขวาอยู่ตลอด พยายามจำป้ายร้านค้าทุกร้านอย่างไม่มีอะไรทำ แต่เวลาผ่านไป 1 เดือนมันก็ไม่มีอะไรให้มองแล้ว ตอนนี้เลยต้องเดินไปโรงเรียนโดยไม่มีอะไรให้มอง เมฆาเดินเข้ามาในโรงเรียนทันเวลาเข้าแถวแบบฉิวเฉียดอย่างเคย พยายามอย่างหนักให้ไม่ให้ตัวเองมีเวลาว่างคิดอย่างอื่น เพราะความว่าง เมฆาผงกหัวทักทายเพื่อนร่วมห้องที่ส่งยิ้มให้ตามมารยาทจากในแถว พวกนั้นไม่สนใจเขาที่เพียงแต่ยิ้มบางๆตอบ ก็น่าจะชินกับเขาแล้ว และเรียนรู้ที่จะเมินเขาโดยอัตโนมัติ เมฆาก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน จมดิ่งลงไปกับความคิดตัวเอง จนกระทั่งเลิกแถวแล้วเดินขึ้นชั้นเรียน เมฆาก็ไม่ได้พูดกับใครเลย

อืม... จะว่ายังไงดี นี่คงเป็นผลตอบรับอย่างที่สมควรของคนเฉื่อยชาอย่างเขาล่ะมั้ง

“ “เมฆ คือว่า...””เด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาถึงโต๊ะมุมห้องหลังสุดของเขา ผมเงยหน้าขึ้นมองผู้พูด ผู้ชายคนนี้ชื่ออะไรผมไม่ยักจำได้ แม้จะเรียนด้วยกันมาเป็นเดือนแล้วก็ตาม

“เมฆา” เมฆาแก้ชื่อตัวเองด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ชื่อเล่นเขาคือเมฆา ไม่ใช่เมฆ และเขาไม่ชอบให้ใครมาเรียกชื่อเล่นที่เป็นชื่อที่สั้นแล้วให้ย่อลงไปอีก

“”เอ้อ โทษที เมฆา”” เด็กหนุ่มคนนั้นแก้ด้วยท่าทีจืดเจื่อน แต่ในใจคงกำลังแช่งชักเขาอยู่เรื่องที่ใส่ใจเรื่องเล็กๆน้อยๆแค่ชื่อ ก็แล้วแต่จะคิดเถอะ ผู้มาใหม่เหมือนจะรู้สึกว่าต่อความยาวสาวความยืดเกินไปจะไม่มีประโยชน์ เลยถามเข้าเรื่อง“คือว่าการบ้านคณิตศาสตร์เมื่อวานน่ะ นายเสร็จหรือยัง?”

“เสร็จแล้ว” เมฆาตอบเรียบๆเอนตัวพิงพนักนั่งเก้าอี้สองขา พนักพิงกับกำแพงด้านหลังด้วยระยะพอเหมาะจนนั่งได้อย่างมั่นคง ชายหนุ่มยกขาขึ้นไขว่ห้างในแบบที่ชอบ แต่ครูคงไม่ชอบใจท่านั่งแบบนี้เท่าไหร่ แต่ในเมื่อที่นั่งของเขามันอยู่หลังสุดริมหน้าต่าง และครูก็ยังไม่เข้าสอนคาบต่อไปก็คงไม่มีใครสนใจหรอกว่าเขาจะนั่งท่าไหน

“”คือ... เราเป็นเพื่อนกันใช่ไหม?”” เด็กหนุ่มคนนั้นเริ่มเกริ่นนำ

“”ถ้านายนับการการที่เรานั่งเรียนห้องเดียวกันมา 1 เดือนแล้วจะเรียกว่าเพื่อนกัน ก็ใช่””เมฆาตอบแบบไม่ยินดียินร้ายนัก ตอนนี้เขาอยู่ในอารมณ์เบื่อหน่ายอย่างหนัก จึงไม่มีอารมณ์จะสานสัมพันธ์กับคนที่เขาไม่เคยย่างกรายมาใกล้โต๊ะเขาเลยถ้าไม่ลืมทำการบ้านมา ชายคนนั้นหน้าเจื่อนไปนิดหนึ่ง แต่ยังไม่ยอมแพ้

“ “เราคบกันก็นานมาพอสมควร...””

“ “ถ้านายนับว่าการที่นายเดินเทียวมายืมนั่นยืมนี่ลอกนั่นลอกนี่ว่าคบกัน ก็ใช่”” เมฆาตอบตัดบทอย่างขี้เกียจฟัง น้ำเสียงบ่งบอกความรำคาญเต็มที่ และให้เข้าเรื่องเสียที ชายที่เขาจำชื่อไม่ได้อ้าปากค้างไปอย่างตั้งหลักไม่ถูก เริ่มรู้สึกตัวว่าถ้าพูดมากกว่านี้อาจมีหน้าแตกยับ เลยตัดสินใจเข้าประเด็นทันที

“ “ขอยืมสมุดคณิตศาสตร์นายลอกหน่อยสิ””

เมฆาจ้องตาหมอนั่นเขม็ง ชายคนนั้นเริ่มกลอกตาล่อกแล่กอย่างไม่สบายใจ ชายหนุ่มจ้องจนเขาเริ่มเหงื่อตกค่อยผลักสมุดออกไปข้างหน้า

“ “เอาสิ ส่งให้ด้วยละกัน”” เมฆาเลื่อนสมุดไปตรงหน้า ผู้ชายคนนั้นพูดขอบคุณแล้วเดินจากไปด้วยความรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ เมฆาเอนหลังพิงพนักอย่างเนือยๆ ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ทำให้คนที่มายืมรู้สึกไม่สบายใจบ้างก็จะทำให้พวกนั้นมายืมเขาน้อยครั้งลงบ้าง

“ “หยิ่งชะมัด” ชายคนที่เพิ่งยืมสมุดของเขาไปพึมพำ เมฆายิ้มน้อยๆมุมปาก ไม่ได้คิดอะไรมากกับคำพูดนั้น เพราะลักษณะท่าทางเขาก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ตั้งแต่เข้ามาก็ไม่มีเพื่อน เอาแต่นั่งหาวเหม่อลอยอยู่ในห้อง ใครชวนคุยอะไรก็แทบจะถามคำตอบคำ กลับก็กลับคนเดียว กินข้าวก็กินคนเดียว ไปไหนมาไหนก็ไปคนเดียว จะให้พวกเขารู้สึกแปลกแยกก็คงโทษกันไม่ได้ เมฆาหาวหวอด มองออกไปนอกหน้าต่างในขณะที่ครูเริ่มสอน วันเวลาที่น่าเบื่อก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง

เขาไม่รังเกียจความสงบสุขหรอก ออกจะชอบด้วยซ้ำ แต่การที่ไม่มีอะไรผ่านเข้ามาในชีวิตเลยนานๆ แบบนี้ก็ชักทนไม่ไหว ที่ผ่านมาชีวิตเขาเจอเรื่องมากมายจนอยากหาเวลาพักมาตลอด แต่ว่าพอได้เวลาว่างมาจริงๆ ก็ชักรู้สึกว่าไม่มีอะไรทำยังชวนหงุดหงิดกว่าตอนยุ่งหัวปั่นซะอีก

เมฆาเท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่าง ข้างนอกนั่นมีนักเรียนเล่นอยู่ในสนามเกือบยี่สิบคน ในห้องนี้มีนักเรียนอยู่เกือบครึ่งร้อย ชั้น ม.5 มี 6 ห้องก็ปาเข้าไปเกือบ 300 คน ทั้งเขตนี้ก็มีโรงเรียนตั้งไม่รู้เท่าไหร่เข้าไปแล้ว มีนักเรียนใช้ชีวิตแบบนี้อยู่มากมายรอบตัวเขา มันเคยเป็นชีวิตที่เขาต้องการมากที่สุดอย่างหนึ่ง การจะตื่นเมื่อไหร่ก็ได้ ได้เดินมาโรงเรียน ใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไป ไม่ใช่ไม่ดี แต่มันน่าเบื่อ

เขาเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง มันเป็นนิยายเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงที่เกลียดเรื่องน่าเบื่อ แล้วทุ่มเทอย่างเต็มที่กับการตามหามนุษย์ต่างดาว ผู้มาจากอนาคต ผู้มีพลังจิต แต่เธอไม่รู้ตัวว่าเธอมีพลังที่จะบันดาลให้ทุกอย่างที่ปรารถนาเป็นจริง และบังเอิญว่ามีคนจากอนาคต มนุษย์ต่างดาว และนักพลังจิตโผล่มาจริงๆซะด้วย เพื่อตรวจสอบพลังของเธอ แต่เรื่องนั้นไม่เกี่ยวหรอก ที่เขาสะกิดใจคือเด็กสาวคนนั้นต่างหาก มีอยู่ตอนหนึ่งที่พระเอกถามเธอว่า ทำไมถึงสนใจเรื่องเหนือธรรมชาติขนาดนั้น หลังจากที่เห็นเธอทำเรื่องวุ่นวายเพราะต้องการตามหาเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่เธอกลับมองเขาด้วยสายตาพิกลๆเหมือนมองคนเพี้ยน แล้วพูดว่า

‘ “เพราะมันน่าสนใจกว่าน่ะสิ’”

ไม่ใช่แค่ตัวเอกที่อึ้ง ตัวเขาที่นั่งอ่านอยู่ก็อึ้ง คำตอบของเธอมันง่ายจนแทบไม่ต้องคิดอะไร แต่ว่าทำไมเหตุผลง่ายๆแค่นี้คนเรามักจะมองไม่เห็น

คนเราส่วนมากชอบความสงบสุข อยากมีชีวิตอยู่อย่างสงบ และมองคนที่ดิ้นรนแสวงหาเรื่องราวน่าสนใจว่าเป็นตัวประหลาด แปลกพวก บางทีถ้าเราลองมองเขา เราอาจจะรู้ว่าสิ่งที่เขาคิดไม่ได้ประหลาดอะไรเลย เขาแค่ซื่อตรงกับตัวเองเท่านั้น

ทีนี้ เราล่ะ ต้องการอะไรกันแน่?

เมฆามองไปรอบห้อง เพื่อนๆนักเรียนธรรมดาๆ เขาไม่ได้เกลียดอะไรคนพวกนี้หรอก ไม่ใช่ว่าไม่อยากผูกมิตรหรือตั้งแง่อะไร แต่เขายังไม่อยากจะทำแบบนั้น ตอนนี้เขาก็ยังปรับตัวเข้ากับสถานภาพตอนนี้ไม่ได้ ถ้าเวลาผ่านไปเขาอาจจะเคยชินและชอบมันมากขึ้นก็ได้ แต่ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจในความคิดนั้น เขาว่าเขารู้จักตัวเองมากกว่าจะมาหลอกตัวเองแบบนี้ ตัวเขาเองไม่ใช่คนที่ชอบจมอยู่กับที่นานๆ เขาชอบความสงบ แต่นั่นเป็นแค่เวลาที่เขาอยากพักซักครู่ก่อนจะเริ่มออกเดินทางต่อ

เมฆาอ้าปากหาวเมื่อสรุปกับตัวเองได้ ภาพนอกหน้าต่างก็ไม่มีอะไรน่าสนใจอีก ชายหนุ่มหันหน้ากลับมา กอดอก เอนหลังพิงพนักแล้วหลับตาลงกับข้อสรุปที่คิดได้เพียงคำเดียวที่ลอยวนอยู่ในหัว

น่าเบื่อ

กริ่งเลิกเรียนดังขึ้นเหมือนเป็นสัญญาณปลดปล่อยนักโทษ นักเรียนทุกคนวิ่งกรูออกจากห้องเรียนอย่างพร้อมเพรียงเพื่อไปหาความสุขใส่ตัวนอกโรงเรียน เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังขึ้นทันทีที่หมดเวลาบังคับ เปลี่ยนโรงเรียนที่เคยเงียบเชียบให้อึกทึกจนขัดกับสภาพเงียบงันเมื่อนาทีก่อนอย่างสิ้นเชิง

เมฆาเดินช้าๆผ่านฝูงนักเรียนที่เดินเบียดกันบนระเบียงทางเดิน เดินเบียดไปเรื่อยๆอย่างไม่ใส่ใจว่าจะชนใครบ้าง เจอใครก็เดินหน้าดันด้วยแรงไปเรื่อยๆอย่างไม่สนใจใครหน้าไหน ไหนๆ ก็ แน่นขนาดนี้เอาเรื่องใครไม่ได้หรอก ถ้าใครเอาเรื่อง ก็แค่บอกว่าข้างหลังดันก็พอ

อ้า เผลอคิดเรื่องเจ้าเล่ห์ไปซะแล้ว ช่างมันเถอะ

กว่าจะเดินออกมาหน้าโรงเรียนได้ก็เล่นเอาเหงื่อซึม โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนรัฐบาล ใครมาสอบเข้าก็ต้องรับหมด ปัญหาการล้นของประชากรกรุงเทพฯ ก็ไม่ได้ลดลงเลยซักนิด โรงเรียนนี้เลยต้องขยายห้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจน ม.4 ตอนนี้มี 15 ห้อง แถมห้องหนึ่งยังมีตั้ง 50 คน จากการวิจัยแล้วห้องเรียนหนึ่งห้องต่อครูหนึ่งคนควรมีนักเรียนระหว่าง 20-25 คน ถึงจะได้ผลดีที่สุด แปลว่าเรียนได้ผลไม่ถึงครึ่งสินะ เมฆาคิดอย่างเหนื่อยหน่ายระหว่างที่เดินผ่านถนนด้านหน้า โรงเรียนเก่าของเขาดีกว่านี้เยอะเลย แต่ก็เอาเถอะ มันดีแค่โรงเรียน เขาเองก็ใช่ว่าจะชอบโรงเรียนเก่ามากเท่าที่นี่หรอก

ที่จริงเมฆาคิดว่าตัวเองก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรักสถาบัน’ อยู่หรอก

เมฆาเงยหน้ามองถนนฝั่งตรงข้ามแล้วเหยียดยิ้ม ที่อยู่ตรงหน้าของเขาคือโรงเรียนสาธิตเซนท์ปิแอร์ โรงเรียนนานาชาติที่รับแต่พวกลูกคุณหนูและลูกคนรวยขนานแท้และพวกเด็กอัจฉริยะเท่านั้น ได้ยินมาว่าบ้านไหนได้รับจดหมายเชิญจากที่นี่ก็เหมือนสวรรค์โปรดเลยทีเดียว

ทางเข้าโรงเรียนเป็นซุ้มประตูสีทองอร่าม ล้อมรอบด้วยรั้วสูงเหล็กดัดสีทอง เด็กหนุ่มผู้เบื่อหน่ายหรี่ตาลงอย่างแสบตาเพราะแสงสะท้อนป้ายหน้าโรงเรียนสีทองอร่าม อาณาบริเวณของโรงเรียนกว้างขวางกินเนื้อที่กว่า 100ไร่ ถ้าคิดว่าที่นี่คือเมืองหลวงของประเทศไทยแล้วล่ะก็ ก็เรียกได้ว่าคนซื้อมันมาทำโรงเรียนนี่ไม่บ้าก็เมา ถึงที่นี่จะเป็นแถบชานเมืองเมืองค่อนออกมาทางนอกเมือง แต่ราคาที่ดินแถวนี้ก็แพงจนอยากร้องไห้ รู้สึกที่นี่จะเป็นโรงเรียนสอนศาสนามาตั้งแต่เมื่อก่อน พอพิษเศรษฐกิจฟองสบู่แตกทำพิษ พวกเจ้าของที่ดินก็เลยขายที่กัน แล้วเจ้าของโรงเรียนนี้ก็รับซื้อในราคาสูงเสียด้วย จนมันใหญ่อย่างที่เห็นตอนนี้

เมฆาแหงนหน้ามองป้ายโรงเรียนสีทองงดงามแล้วนึกถึงพวกคนใหญ่คนโตหรือไม่ก็พวกอัจฉริยะสาขาต่างๆล้วนแต่จบมาจากที่นั่งนั้น ก็ต้องยอมรับว่าการได้เข้าเรียนที่นี่เป็นยอดปรารถนาของทุกคนเลยทีเดียว

อืม... ไม่ได้อคติอะไรเลยนะ แต่ชักไม่อยากหันหลังกลับไปมองโรงเรียนตัวเองเลยให้ตายสิ

เมฆาเดินข้ามถนนแล้วเดินอ้อมไปไกลโข เขาต้องเดินอ้อมโรงเรียนนี้ไปเพื่อเดินกลับบ้านที่อยู่คนละฟากของโรงเรียนจนต้องกลับถึงในเวลาค่ำทุกวัน อย่างที่บอกไปว่าระยะในแผนที่กับระยะที่ต้องเดินจริงมันต่างกันเยอะ นอกจากรถราและความหนาแน่นของผู้คนแล้ว ก็มีโรงเรียนนี้แหละที่มันใหญ่เกินไปจนผมต้องอ้อมไปไกลกว่าระยะจริงเกือบสองเท่า แต่เมื่อคิดถึงว่าไหนๆก็ไม่มีใครอยู่บ้านนอกจากเขาแล้ว ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องรีบกลับ

เมฆาเดินช้าๆมาจนกระทั่งพ้นเขตกำแพงสีทอง ด้านข้างของโรงเรียนฝั่งนี้เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่ชอบมีพวกคนจรจัดไม่ก็พวกวัยรุ่นมามั่วสุมกันในเวลากลางคืน ซึ่งปกติเขาจะเลี่ยงเดินผ่านบริเวณนี้ในเวลากลางคืน แต่ในเมื่อวันนี้เลิกเที่ยง แดดก็ยังเปรี้ยงๆ คงไม่มีปัญหาอะไรถ้าจะเดินตัดมันเพื่อร่นเวลา เมฆาตัดสินใจเดินข้ามรั้วเตี้ยๆที่ผุพังเข้าไปข้างใน ภายในบรรยากาศร่มรื่นเย็นสบาย เขาคิดว่าเดินทางนี้ดีกว่าไปเดินตากแดดเป็นไหนๆ เดินเลียบผนังโรงเรียนเข้าไปเดี๋ยวก็สุดเขตสวนสาธารณะ รู้สึกว่าจะไปโผล่แถวๆประมาณ 100 เมตรก่อนถึงบ้านของเขา อืม... วันหลังเดินมาทางนี้ดีกว่า

เมฆาเดินด้วยความเร็วช้าๆไม่เร่งรีบ ผ่านความร่มรื่นของสวนที่ยังเขียวชอุ่มด้วยต้นไม้ หาที่แบบนี้ในกรุงเทพฯ นี่ยากจริงๆนั่นแหละ ว่าไปแล้วตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เขายังไม่ได้มาที่นี่เลยนี่นะ เสาร์อาทิตย์นี้ก็มาที่นี่ดีกว่า เขาคิดขณะที่เดินเลียบกำแพง พอมองดูดีๆแล้ว แม้แต่ผนังของที่นี่ก็ยังลงทุนทำอย่างดี มันเป็นรั้วสูงสีขาว ด้านบนเป็นเหล็กดัดสีทองปลายแหลม ชายหนุ่มมองไปเดินไปเรื่อยๆอย่างไม่รีบร้อน พอใจในความเย็นตอนนี้มากกว่าจะรีบออกไปผจญแดดเร็วนัก

ตูมมม!!! ครืนนน!!!

เสียงสนั่นคล้ายกับอะไรหนักๆกระแทกพื้นอย่างแรงตามด้วยเสียงต้นไม้ล้มดังเข้ามากระทบหู เมฆาหรี่ตามองขึ้นไปบนฟ้า นกส่งเสียงจ้อกแจ้กอย่างแตกตื่นบินหนีมาจากทิศทางหนึ่ง ซึ่งก็คือข้างหน้าไม่ไกลนี่เอง เด็กหนุ่มชั่งใจก่อนจะค่อยๆเดินเข้าไปดู ชะลอฝีเท้าแล้วค่อยๆย่องเข้าไปอย่างเงียบกริบ เหมือนจะได้ยินเสียงของพ่อดังขึ้นมาในหัว

‘ “จำไว้คลาวด์ ถ้าคิดว่ามีอะไรผิดปกติ อย่าบุ่มบ่ามทำอะไรลงไป ต้องรู้ให้แน่ชัดก่อนค่อยลงมือทำอะไร’ พ่อเรียกชื่อเล่นของเขาขณะที่สอนด้วยรอยยิ้มขี้เล่น

สมเป็นพ่อจริง ตายไปแล้วแท้ๆ คำสอนยังมีโอกาสได้ใช้อีกนะ

เมฆาเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยฝีเท้าเงียบกริบ ย่องเข้าไปจนกระทั่งได้ยินเสียงตูมตามชัดเจน เมฆาขมวดคิ้ว บางทีอาจเป็นการยกพวกตีกัน ถึงจะเป็นกลางวันแสกๆ แต่ถ้ามาตีกันที่ลับหูลับตาคนแบบนี้ก็เป็นความคิดที่ดีเหมือนกัน เขาคิดขณะค่อยๆย่องเข้าไปใกล้ๆ แต่พอเข้ามาใกล้พอจนมองเห็นเหตุการณ์ได้อย่างชัดเจนแล้วก็ต้องอึ้ง

มีคนสามคนกำลังยืนจ้องหน้ากันอยู่ ดูจากชุดแล้วเป็นเด็กของโรงเรียนสาธิตเซนท์ปิแอร์ไม่ผิดแน่ แต่ที่น่าตกใจคือเด็กสาวคนหนึ่งถือน้ำแข็งแท่งยาวเรียวบางใสรูปทรงคล้ายดาบฟันเปลวไฟที่เด็กหนุ่มอีกคนขว้างเข้ามาจนดับสนิท เด็กหนุ่มผู้มีผมตั้งสีแดงโด่เด่เห็นเป็นสง่ามาแต่ไกลดีดนิ้วอีกครั้ง ลูกไฟขนาดใหญ่กว่าลูกฟุตบอลเล็กน้อยก็ปรากฏขึ้นในมือ เขาง้างมือไปข้างหลัง แล้วขว้างมาที่เด็กสาวเต็มแรงพร้อมร้องตะโกน “ “ไหม้ไปซะ!””

เด็กสาวสาวยกขวดน้ำในมือขึ้นกรอกใส่ปาก แล้วพ่นออกมาด้านหน้าเป็นฟูฝอย พริบตาเดียว ละอองน้ำนั้นก็กลายเป็นกำแพงน้ำแข็งขนาดย่อมๆ เปลวไฟปะทะกำแพงจนเกิดไอน้ำสีขาวและเสียงดังฟู่ขึ้น เมื่อเปลวไฟดับไป กำแพงน้ำแข็งนั้นก็เหลือเพียงแค่ก้อนนิดเดียว เด็กสาวดีดนิ้ว น้ำแข็งเหล่านั้นก็ละลายไหลลงพื้นไปจนหมด เธอพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายพร้อมดาบน้ำแข็งที่เงื้อขึ้นสูง

“ ชิท!” เด็กหนุ่มสบถ ดีดตัวหลบดาบที่ผ่านไปอย่างหวุดหวิด “แม็กซ์ ช่วยหน่อยสิวะ!” เด็กหนุ่มร้องลั่น แล้วหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งก็ลอยเข้าหาเด็กสาวด้วยความแรง

เธอหันหลังมาแล้วก้มหลบอย่างง่ายดาย ก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายพุ่งไปอีกทิศ ผมมขยับหามุมใหม่เพราะต้นไม้บัง จนกระทั่งเห็นเด็กหนุ่มลูกครึ่งผมสีทองอีกคน มือทั้งสองข้างชูขึ้นมาข้างหน้า มีก้อนหินอีกสองก้อนลอยอยู่ เขาสะบัดมือไปมา คล้ายกับบังคับให้หินเหล่านั้นพุ่งเข้าใส่เด็กสาว เธอเอี้ยวตัวหลบก้อนแรก และใช้ดาบฟันก้อนที่สองจนกระเด็น ประชิดตัวเด็กหนุ่มได้ในพริบตา

“ “เหวอ!!!”” เด็กหนุ่มร้องเสียงหลง ก้อนหินอีกก้อนลอยขึ้นมาจากพื้น แต่ไม่ทันการ เด็กสาวเหยียบก้อนหินนั้นไว้แล้วใช้เข่าอีกข้างกระแทกลิ้นปี่จนอีกฝ่ายตัวงอ มือซ้ายรวบจับแขนข้างหนึ่งอีกฝ่ายขึ้นมาไพล่หลัง และใช้มืออีกข้างทำแบบเดียวกัน พริบตาเดียว เด็กหนุ่มก็ถูกพันธนาการด้วยกุญแจมือน้ำแข็งสีฟ้า

“ “ยอมแพ้ซะ แม็กซ์เวล อาร์มสตรอง” นายต้องได้รับโทษในฐานหนีออกนอกเขตโรงเรียนโดยพลการ และขัดขืนเจ้าหน้าที่” เธอพูดเสียงเย็นชา ระหว่างนั้น เด็กหนุ่มผมแดงก็อาศัยทีเผลอ เสกลูกไฟขึ้นมาอีกลูก คราวนี้ใหญ่กว่าลูกบาส เด็กหนุ่มแสยะยิ้มแล้วตั้งท่าจะขว้าง

“ “ทำแบบนี้ไม่ดีนะเด็กๆ”” เสียงเรียบๆดังขึ้นพร้อมกับมือที่เอื้อมมาจับแขนเด็กหนุ่มเอาไว้ ชายคนหนึ่งเข้าประชิดตัวเจ้าหัวแดงตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เด็กหนุ่มหันหลังกลับ แล้วเมื่อเห็นว่าใครจับมือตัวเองเอาไว้ก็ต้องหน้าซีด

“ “หลวงพ่อเซรัน...”” เขาพึมพำหน้าซีด ชายที่ถูกเรียกว่าเซรันยิ้มสดใสแล้วเอ่ย

“ “คงหนีไม่รอดแล้วนะเบนจามิน”เซรันพูด

เด็กหนุ่มหัวแดงทำท่าท้อแท้ทอดอาลัย เด็กสาวคนเมื่อกี้เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าราบเรียบยืนตรงเท้าชิด

“ “รายงานค่ะมาสเตอร์เซรัน ขณะนี้ได้ทำการจับกุมนายแม็กซ์เวล อาร์มสตรองเรียบร้อยแล้วค่ะ”” เธอตอบเสียงนิ่งจริงจัง มาสเตอร์เซรันยิ้ม

“ “ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นก็ได้มิสนิรมล”” มาสเตอร์เซรันยิ้มละเหี่ย ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป หันขวับมาทางเมฆา ทันใดนั้นเมฆาก็สบตากับเซรันโดยบังเอิญ

เฮือก!

ถึงที่นี่จะอยู่ไกลจากทั้ง 4 คนพอสมควรและมีต้นไม้หนาบดบัง เป็นไปไม่ได้ที่จะจ้องตาผมจากที่ไกลขนาดนั้น แต่สัญชาติญาณบอกให้ถอยทันที เมฆาตัดสินใจทำตามนั้น เขายังไม่พร้อมจะเจอหน้ากับคนที่เสกไฟ สร้างน้ำแข็ง และทำให้ของลอยได้หรอก

คนพวกนี้อันตราย!

ชายหนุ่มค่อยๆ ถอยเตรียมจะย่องจากไป ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายเห็นเขาจริงหรือเปล่า ถ้ารีบร้อนหนีอาจจะทำให้เขารู้ตัวได้ แต่ความคิดนั้นต้องหายวับ เมื่อชายที่ชื่อเซรันชูมือทั้งสองข้างมาข้างหน้า แล้วแหวกออกจากกัน สุมทุมพุ่มไม้ หรือแม้แต่ต้นไม้ต้นใหญ่ๆ ก็แหวกออกเป็นทางจากตรงหน้าชายคนนั้นจนถึงตัวเขา เหมือนกับมีมือที่มองไม่เห็นขนาดยักษ์แหวกทางออกจนเห็นตัวเขาอย่างชัดเจน เมฆาไม่คิดอะไรอีก หันหลังแล้ววิ่งทันที

ครืนนน...!!!

เสียงครางอย่างอันตรายทำให้เมฆาสังหรณ์ใจไม่ดี แล้วก็ต้องชะงักเท้าเมื่อก้อนหินที่กำลังเหยียบลอยขึ้นกลางอากาศ ชายหนุ่มชักเท้ากลับแล้วหันไปมองรอบตัวเพื่อหาทางหนี ก่อนจะเห็นว่าท่อนไม้และก้อนหินมากมายที่พื้นลอยขึ้นมารายล้อมตัวเขาแล้วหมุนวนเป็นวงกลมด้วยความเร็วสูง กลายเป็นกรงขังเอาไว้จนหมดทางหนีในพริบตา เมฆาหันหลังกลับไป และจ้องตาชายที่ถูกเรียกว่าเซรันที่มาอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กำลังจ้องมองเขาด้วยแววตาคมกริบเรืองรอง

"เธอเป็นใคร?" เขาถามเสียงเย็นเยียบ ในหัวเมฆามีแต่คำถามลอยวนเต็มไปหมด

นี่มันอะไรกัน?

สวัสดีอีกครั้งนะครับ หลายคนอาจจะเคยอ่านนิยายเรื่องนี้มาแล้วจากเว็บอื่น แต่นี่จะเป็นฉบับแก้ไขปรับปรุงเนื้อเรื่องให้สมบูรณ์มากขึ้น ส่วนนักอ่านที่เพิ่งเคยอ่านครั้งแรกก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ Conshoo