บท
ตั้งค่า

Type 6:ผู้ล่า ผู้ถูกล่า

Type 6:ผู้ล่า ผู้ถูกล่า

กฎของนักต้มตุ๋นข้อที่สาม ชั่งทางเลือกอย่างถี่ถ้วน แล้วเลือกทางที่มีโอกาสมากที่สุด การเสี่ยงดวงไม่เคยเป็นทางเลือกที่ดี

โดยไม่ชะงักรีรอ ผมพุ่งเข้าหาด้วยความเร็วทันที อีกฝ่ายดูตกใจไม่น้อย แต่ก็ยกการ์ดขึ้นมากันทันที ผมชกโดยใช้ข้อนิ้วชี้ที่ยื่นออกมานิดหน่อยเข้าที่รอยต่อกล้ามเนื้อต้นแขนอย่างแรง

“โอ๊ย!” อีกฝ่ายร้อยเมื่อความรู้สึกชาแปล๊บแล่นปราดไปทั่วแขน คงจะยกแขนไม่ขึ้นไปซักพัก เห็นได้ชัดว่าพวกไซคลิกไม่ค่อยสนใจศิลปะป้องกันตัวซักเท่าไหร่ ผมทาบมือเข้าที่หน้าอกผ่านการ์ดที่ลดลง กระแทกอย่างแรงจนกระเด็นไปด้านหลัง ข้อมือตวัดกลับบิดเข้าที่ข้อมือด้วยรูปแบบที่ถูกต้อง แล้วแย่งมีดในมือมาได้อย่างง่ายดาย ผมพุ่งเข้าไปหมายซ้ำ เห็นแววหวาดหวั่นจางๆในสายตาได้ ผมยื่นขาไปขัดข้อเท้าจนอีกฝ่ายเสียหลักล้มลง ผมโถมตัวทิ้งน้ำหนักลงบนเข่าข้างเดียว กระแทกเข้าที่ท้องอีกฝ่ายสุดแรง

“โอ้ก!” ศัตรูร้องเสียงหนัก น้ำใสๆไหลออกมาจากปาก แต่ขณะที่เขากำลังจะซ้ำ เป้าหมายก็หายวับไปกับตา เขาที่เตรียมตัวไว้แล้วก็ยันตัวออกวิ่งไปข้างหน้าสุดแรง พอครบระยะห้าวินาที ผมก็กระโจนหลบอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่มีใครพุ่งเข้ามา ผมหันหลังกลับไปหรี่ตามองอย่างระแวดระวัง ชายคนที่เทเลพอร์ตได้หยิบมีดอีกเล่มออกมาจากกระเป๋าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และกำลังจ้องมองผมแบบกินเลือดกินเนื้อ ผมหรี่ตาลง เดาออกทันทีว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร มันเป็นการบอกว่าถ้าผมไม่ระวังตัว มันจะวาร์ปมาแล้วเสียบผมอย่างไม่ให้เหลือรอด การจะหนีรอดจากมันคงจะยากซักหน่อย แต่ว่ายังต้องอาศัยข้อมูลอีกอย่าง

ด้านหลังของไอ้แยงกี้น่าหมั่นไส้นั่น เงาร่างของชายสองคนก็เข้ามาใกล้จนเมฆาพอจะสังเกตได้ คนแรกเป็นชายร่างผอมสูงในชุดนักเรียนของโรงเรียนที่เขาเพิ่งจะย้ายออกมา ทำไมถึงรู้น่ะเหรอ? ก็เขายังใส่ชุดของโรงเรียนนั้นอยู่เลยน่ะสิ ส่วนอีกคนเป็นชายร่างเตี้ยล่ำ กล้ามเป็นมัดๆ ใส่กางเกงวอร์มกับเสื้อกล้าม หน้าตาบอกยี่ห้อโจรเด่นหรา ท่าทางที่ผมคิดว่าคนพวกนี้จะเป็นเด็กสาธิตเซนท์ปิแอร์ท่าจะผิดถนัด กลายเป็นว่าเรื่องราวอันตรายหนักกว่าเดิม

ผมหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่ เพราะยิ่งวิ่งจะยิ่งเสียเปรียบ สมองหมุนเร็วจี๋เพื่อหาทางรอดให้ตัวเอง โชคดีหน่อยที่คนสองคนนั่นร่างกายท่าทางอ่อนแอ คงจะตามเขาไม่ได้ง่ายๆแน่ ถ้าจัดการไอ้คนวาร์ปนี่ได้คงจะหนีได้สบายๆ ปัญหาคือจะทำยังไงนี่สิ ยังดีที่มีดอีกอันในมือมันเล็กกว่าผมหน่อยนึง เอ่อ... น่าดีใจนิดหน่อย ผมยอมรับเงียบๆว่าเปอร์เซ็นต์รอดของตัวเองมีไม่ถึงหนึ่งในสิบ สุดท้าย ผมก็ได้แต่ยืนอยู่กับที่รอให้พวกมันอีกสองคนวิ่งมาถึง

“แฮ่กๆๆ แม่ง โคตรเหนื่อยเลย” ชายในชุดเสื้อกล้ามบ่น อายุของเขาน่าจะอยู่ที่ประมาณ 30 ปีต้นๆ เขาไม่ค่อยหอบเท่าไหร่เพราะร่างกายแข็งแรง ส่วนเด็กนักเรียนอีกคนนั้นผมดูชุดก็รู้ว่าเป็นเด็ก ม.ต้นเท่านั้นเอง เขาเหนื่อยจนพูดไม่ออกไปพักหนึ่งเพราะเห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย

“พวกมึงช้าชิบ กูเกือบโดนมันสอยแล้วเนี่ย” ไอ้แยงกี้วาร์ปได้พูดขึ้นอย่างหงุดหงิด

“เหอะๆ มึงเสือกโง่เองนี่หว่า หายตัวได้เสือกปล่อยให้มันแย่งมีดได้” ไอ้บ้ากล้ามหัวเราะเยาะเย้ยอย่างไม่ไว้หน้า ไอ้ขี้ยาโมโหเส้นเลือดขึ้น ทำท่าจะเสียบเพื่อนก่อนเสียบเขาซะแล้ว ถ้าไม่ได้ไอ้เด็ก ม.ต้นห้ามขึ้นมาก่อน

“เอาน่า พวกพี่ก็อย่ามัวทะเลาะกันเลย รีบๆทำงานให้เสร็จแล้วไปรับเงินดีกว่า” มันพูด

“มึงน่ะเงียบไปเลยไอ้อ่อน มึงไม่ได้เป็นคนลงมือนี่หว่า” ไอ้บ้ากล้าตะคอก คราวนี้เด็กหนุ่มเริ่มมีน้ำโหขึ้นมาบ้างแล้ว

“อ้าว แล้วใครมันเป็นคนพังบ้านจนมันรู้ตัวล่ะ? ถ้าพี่ไม่พังบ้านมันมันก็คงไม่รู้หรอก ป่านนี้มันโดนพวกเราเชือดตายห่าไปแล้ว” ไอ้เด็ก ม.ต้นว่า

“กูว่าม่านพลังมึงห่วยเองว่ะ ไหนบอกว่าถ้ามันไม่เข้ามาในบ้านก็ไม่มีทางรู้ตัวไง?” ไอ้ขี้ยาเสริม

“มันอาจหูดีก็ได้” เด็ก ม.ต้นถียง

“เฮอะ ยอมรับมาเหอะว่ามึงอ่อน” ไอ้บ้ากล้ามซ้ำ ผมเหยียดยิ้มเงียบๆ เริ่มมองเห็นทางรอดที่เพิ่มขึ้นมานิดหน่อย ในที่สุดทั้งสามคนนั่นก็เห็นว่าควรจะจบเรื่องได้แล้ว จึงหันมาทางผมพร้อมๆกัน

“มึงแสบมากนะ เล่นเอาพวกกูลิ้นห้อย” ไอ้เด็ก ม.ต้นพูด เฮ้ยๆ กูเป็นรุ่นพี่มึงนา

“ว่าแต่จะตอบได้ไหมว่าทำไมต้องมาพังบ้านผม?” ผมแกล้งถามออกไป

“คนตายไม่ต้องรู้ห่าอะไรหรอก” ไอ้ขี้ยาพูดท่าทางแค้นๆ โอเค รู้แล้วว่าพวกมันมาฆ่าเขาแน่นอน

“เอาน่า ถือว่าทำทาน” ไอ้บ้ากล้ามพูด ฆาตกรมันทำบุญไม่ขึ้นหรอกนะรู้มั๊ย เมฆาคิดในใจ “พอดีว่าพวกกูได้คำสั่งมาน่ะ ว่าถ้าเอาตัวมึงไปได้จะได้คนละสองหมื่น แต่ถ้าฆ่าจะได้คนละหมื่น ว่าแต่เฮ้ย! จับเป็นได้สองหมื่นนะเว้ย! พวกมึงจะฆ่ามันไปทำไมเนี่ย?” ไอ้บ้ากล้ามร้อง ทั้งสองคนทำท่าทางเหมือนไม่ยินยอมเท่าไหร่ คงจะรู้สึกเหมือนโดนลูบคม แต่ไอ้บ้ากล้ามก็เอาเงินเข้าล่อต่อไป “พวกมึงจะฆ่ามันให้เงินลดทำไมวะ เอาตัวมันไปเลยดีกว่า อัดแป๊บๆก็หมดฤทธิ์แล้ว”

ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังชั่งใจระหว่างศักดิ์ศรีกับเงิน แน่นอนว่าแทบไม่ต้องเสียเวลาคิด มันสองคนพยักหน้ารับ ผมหมุนหัวเร็วจี๋ขณะเก็บข้อมูลที่ได้มาเพิ่มมาประมวลผล

หนึ่ง พวกมันไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวมาก่อนแน่ หรือถ้ารู้จักกันมาก็คงแค่ผิวเผิน เพราะคงไม่มีความคิดแตกแยกกันมากขนาดนี้ ข้อสองมันเป็นการรับจ้าง ซึ่งก็น่าจะทำให้เรื่องเพิ่มความซับซ้อนมากขึ้นไปอีก ทีนี้มาลองดูข้อมูลที่น่าจะใช้ได้ในการหนี

ข้อแรก พวกมันเห็นแก่เงิน นี่อาจจะเป็นหนึ่งในทางรอดหากเขาเอาเงินเข้าล่อ แต่กลุ่มคนพวกนี้มีเด็ก ม.ต้นมาด้วย ทำให้คิดได้ว่าคงจะมีเครือข่ายที่ใหญ่พอตัวจนพวกมันไม่น่าจะหลวมตัวกับเงินง่ายๆ เพระผลที่ตามมาอาจจะร้ายแรงจนพวกมันไม่กล้า อีกข้อ สภาพร่างกายของไอ้เด็กนั่นไม่ได้แข็งแรงอะไรมาก นิสับหยิ่ง ความสามารถคือม่านพลังลวงตา และไม่รู้ว่าใครถูกพลังของตัวเองครอบงำไปบ้าง น่าจะเป็นแบบแผ่ไปเลย คงจะพอทำตัวเป็นถูกพลังของมันหลอนแล้วหาจังหวะหนีได้ อีกคน ไอ้บ้ากล้ามนั่นแรงควายชิบหาย น่าจะมีความสามารถที่ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นมาได้ ใจร้อน วิ่งช้า หมอนี่น่าจะเป็นตัวอันตรายอันดับสอง และที่อันตรายที่สุด คงจะเป็นไอ้ขี้ยานั่น วาร์ปครั้งนึงต้องรอประมาณ 5 วินาทีถึงจะวาร์ปครั้งต่อไปได้ สภาพร่างกายอ่อนแอ ขี้โมโห แต่ขี้ขลาด ไม่เคยโดนคนทำร้ายมาก่อน น่าจะขู่ให้หงอได้ แต่ความสามารถของมันน่าเวียนหัว สรุป ถ้าอัดไอ้ขี้ยานั่นได้ก็คงจะหนีรอดได้ง่ายๆ แต่จะอัดมันยังต้องอาศัยข้อมูลที่ไม่รู้อีกอย่าง

นั่นคือเวลาวาร์ป มันจะโผล่มาในสภาพร่างกายแบบก่อนวาร์ป หรือเปลี่ยนเป็นท่าอื่นได้ในขณะหายตัว รวมไปถึงขอบเขตการวาร์ปของมันมีมากแค่ไหน จะวาร์ปโดยเอาของที่ติดกับร่างกายไปด้วยมากน้อยแค่ไหน ข้อแรก น่าจะมีข้อจำกัดไม่น้อยในการ์วาร์ปแต่ละครั้ง อย่างแรก มันไม่สามารถวาร์ปโดยพาตัวเขาไปด้วยได้ ถ้าตอนแรกที่เขาจับมันไว้ มันวาร์ปเขาให้ลอยขึ้นไปสูงเหนือพื้นซักร้อยเมตร แล้วปล่อยให้ร่วง พอไกล้ถึงพื้นค่อยวาร์ปหนีลงมา เขาก็ตายคาที่ไปแล้ว

หรือไม่มันก็โง่จัด (ใครมันจะไปคิดทันแบบแกวะ แป๊บเดียว)

ข้อมูลไม่พอ แต่จะรอนานกว่านี้ก็ไม่ได้ ต้องลงมือหนีเท่าที่ข้อมูลตอนนี้จะอำนวย ถ้าเป็นไปได้ก็ต้องหาข้อมูลเพิ่มไปพลางๆด้วย เริ่มได้

เมฆาก้าวถอยหลังเบาๆเหมือนไร้เจตนา ไอ้ขี้ยายกมีดขึ้นทันที อืม... ดูจากท่าทางแล้วแค่ขู่ ลองถอยไปอีกนิด...

ร่างผอมแห้งง้างมีดไปข้างหลังทันที ผมหรี่ตาลง เพิ่มความระมัดระวังในทันที วินาทีที่ร่างนั้นหายไปจากสายตา ผมรีบหมุนตัวกวาดมีดไปด้านหลังทันที

แวบแรกที่หายไปจากสายตา นั่นหมายความว่ามันโผล่มาข้างหลังของเขาเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าการจะจับให้ได้นั้น ง่ายที่สุดมีแต่เสียบจุดที่ไม่สำคัญกับจ่อส่วนสำคัญ ผมว่าหมอนี่คงไม่ฉลาดพอจะจิ้มให้มันไม่โดนจุดสำคัญหรอก น่าจะเป็นการวาร์ปมาด้านหลังแล้วจ่อเข้าที่ใดที่หนึ่งมากกว่า แน่นอนว่าตามสูตรของพวกนี้ต้องเป็นคอเท่านั้น เพราะพวกนักเลงเวลาจับตัวประกันไม่เคยจ่อที่อื่นนอกจากคอ เหอๆ งั้นก็หมุนตัวฟันระดับเอวพร้อมกับเอนถอยหลักด้วยน่าจะดี และผลก็คือผมคิดไม่ผิด

เมื่อผมหันมาก็พบว่าไอ้ขี้ยานั่นเบิกตากว้างอย่างตะลึง มือเพิ่งทิ่มมีดออกมาได้ครึ่งเดียว ท่าทางจะยกมาจ่อคอจริงๆด้วย ผมยืดแขนออกไปนิดเดียวแล้วตวัดลง ปลายมีดก็เฉือนเข้าที่ข้อมือที่กำลังยื่นออกมาพอดิบพอดี

“อ๊ากกก!!!” ไอ้ขี้ยาร้องอย่างเจ็บปวด เมื่คมมีดกรีดผ่านเนื้ออย่างโหดร้าย เมฆามองดูแผลพร้อมสัมผัสมีดแล้วคำนวณ เส้นเลือดดำถูกตัดขาดแล้ว น่าเสียดายมีดไม่คมเท่าไหร่ เส้นเอ็นข้อมือเลยแค่แหว่ง แต่ไม่ขาด ไม่งั้นหมอนี่คงมือพิการไปแล้ว มีดเล่มนั้นตกลงจากมือที่หมดแรงประคอง ผมไม่หยุด แต่หมุนตัวต่อตามแรงส่ง แล้วจระเข้ฟาดหางเข้าที่ก้านคออีกฝ่ายเต็มแรงจนสงสัยว่าขี้ก้างอย่างไอ้นี่จะคอหักหรือเปล่า ร่างผอมแห้งล้มลงตามแรงฟาดลงไปกองกับพื้น ผมพุ่งตัวพร้อมกับก้มตัวเก็บมีดที่ร่วงอยู่ไปด้วย พุ่งหายเข้าสวนสาธารณะอย่างรวดเร็ว

ผมวิ่งฝ่าความมืดเข้าไปอย่างเงียบกริบ เลือกทางเดินหินที่จะไม่มีเสียงหญ้ากรอบแกรบ แล้วอาศัยวิชาตีนแมววิ่งอย่างเงียบเชียบโดยไม่มีเสียง ฝ่าความมืดไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งให้สามคนข้างหลังอึ้งไปกับการกระทำที่เหนือคาดนี้

เมฆายกมีดทั้งสองเล่มขึ้นมากะน้ำหนักสะบัดๆให้คุ้นมือ แยกถือไว้คนละข้าง ยิ้มโชคดีในใจที่กางเกงนักเรียนของเขาเป็นขาสั้น และรองเท้าเป็นรองเท้าผ้าใบ ทำให้วิ่งได้สะดวก เขาคำนวณตำแหน่งของประตูโรงเรียนคร่าวๆจากในหัวแล้วมองทางที่เริ่มจะมองไม่เห็นเพราะความมืด อืม... ต้องหาทางไปต่อ ระหว่างนี้ต้องคิดไว้ก่อนว่าคนพวกนี้รู้หรือยังว่าเขารู้จักโรงเรียนสาธิตเซนต์ปิแอร์แล้วหรือยัง? ถ้าใช่อาจจะโดนอ้อมไปดักหน้าได้ แต่ถ้าไม่โอกาสรอดน่าจะสูงขึ้น แต่จากการสนทนาเมื่อกี้บอกไม่ได้ว่าพวกมันรู้หรือเปล่า แต่คิดในแง่ลบไว้ การที่มีใครซักคนจ้างไซคลิกได้ น่าจะรู้จักสาธิตเซนต์ปิแอร์ด้วย เป็นไปได้มากว่าจะรู้มาจากในโรงเรียนนั่นแหละ เขาลังเลว่าจะเลือกทางไหนดี เสี่ยงเข้าไปในโรงเรียนเพื่อให้คนภายในคุ้มครอง หรือแอบออกไปด้านนอกเพื่อจะได้โทรเข้าโรงเรียนดี

วิเคราะห์ทางเลือก โรงเรียนนี้มีหอพักนักเรียน แปลว่าเป็นโรงเรียนประจำ หรืออย่างน้อยอาจจะมีส่วนหนึ่งอยู่ประจำ น่าอยู่หรอก ก็โรงเรียนนานๆชาตินี่นะ ถึงเขาจะไม่รู้ว่าแถบนี้มีโรงเรียนแบบนี้มากแค่ไหน แต่เรื่องแบบนี้ยิ่งน้อยยิ่งดี ดังนั้นในละแถบนี้น่าจะไม่มีแล้ว ดังนั้นน่าจะมีครูประจำอยู่ในโรงเรียนแน่นอน แต่ปัญหาคือจะ 6 โมงครึ่งแล้วแบบนี้จะยังมีครูอยู่ที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ไหมเท่านั้นแหละ

สอง ถ้าออกนอกโรงเรียนแล้วไปหาที่ซ่อนที่อื่น ประเมินจากที่ซ่อนที่นึกออก สถานีตำรวจ โรงพยาบาล โรงแรม ไกลเกินไป หรือจะเล่นเอาล่อเอาเถิดกับมันในสวนนี่ดี? ไม่ดีกว่า มันอาจจะมีความสามารถตรวจสอบ เรายังไม่รู้ว่าที่มันรู้ตัวว่าเราวิ่งออกมานี่เป็นเพราะมันมองเห็นเองหรือใช้ความสามารถตรวจหากันแน่ ดังนั้นเลือกทางแรกน่าจะรอดสูงกว่า

เปิดประเด็นหาทางเล็ดรอดเข้าโรงเรียน ขั้นแรก ประเมินความสัมพันธ์ของทั้งสามคนนั่นกับโรงเรียน ความเป็นไปได้ที่จะเป็นคนของโรงเรียนมีประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ ความเป็นไปได้ที่จะรับข้อมูลจากในโรงเรียนมี 70 เปอร์เซ็นต์ ประเมินจากชุดนักเรียนของไอ้เด็ก ม.ต้น และคำพูดของมาสเตอร์เซรันที่บอกว่าโรงเรียนนี้คอยรับเด็กที่เป็นไซคลิกจากแถวๆนี้แล้ว มีความเป็นไปได้ 80 เปอร์เซ็นต์ที่ไอ้เด็ก ม.ต้นนั่นจะไม่อยากให้ทางโรงเรียนเห็นตัว หนีเข้าโรงเรียนโดยประเมินจากสมรรถภาพของมันและของเรา มีโอกาส 75 เปอร์เซ็นต์ บวกค่าความนอกเหนือคำนวณ ลดลง 5 เปอร์เซ็นต์ สรุป โอกาสรอด 70 เปอร์เซ็นต์ เลือกทักษะที่จำเป็นต่อปฏิบัติการ

ช่วงชิง เร็ว เงียบ เหนือคาด ลงมือ!

∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞

ร่างสองร่างประคองร่างหนึ่งเดินมาตามทางปูอิฐด้วยแววตาเคียดแค้น ร่างหนึ่งเต็มไปด้วยมีดกล้ามกำลังสอดประคองร่างผอมแห้งที่พาดแขนไว้บนบ่า ร่างผอมอีกร่างกำลังประคองอีกด้านของชายผอมแห้งเอาไว้ ที่มี่ห้อยลงมาจากบ่าคือข้อมือที่พันผ้าซึ่งชุ่มไปด้วยเลือด ทั้งสามคนคือกลุ่มคนที่มาตามล่าเมฆานั่นเอง และตอนนี้กำลังอยู่ในอารมณ์โกรธแค้นสุดขีดอีกด้วย

“เวรเอ๊ย!!! ไอ้เวรนั่นเสือกเก่งขนาดนี้ได้ไงวะ!!!” ร่างผอมแห้งตะคอกอย่างเหลืออด เขาเสียเลือดไปมาก แต่ตอนนี้ไฟแค้นมันสุมออกจนเขาต้อวหาทางทำอะไรซักอย่าง ตอนนี้เงินไม่สนแล้ว ต้องจับไอ้นั่นมาฆ่าให้ได้

“กูว่านะ อย่างมึงไปก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก สภาพมึงนี่มือขวายังยกไม่ขึ้นเลย” ชายร่างกำยำพูด

“แขนซ้ายกูยังอยู่ดีโว้ย แม่ง ป่านนี้มันไปไหนแล้ววะ?” ไอ้ขี้ยาพูดอย่างแค้นๆ

“ผมว่ามันแปลกๆนะ ไอ้ห่านั่นไม่ตกใจเลยที่เราพังบ้านมันหรือว่าเทเลพอร์ต ไม่แน่นะ มันอาจจะรู้เรื่องไซคลิกอยู่แล้วก็ได้” ชายหนุ่มในชุดมัธยมต้นพูด เขารู้สึกคลื่นเหียนกับมือชุ่มเลือดที่อยู่ไกล้ๆหน้ามาก แต่จะพูดออกไปก็เสียฟอร์ม

“มันจะไปรู้มาจากไหนวะ? หรือมึงรู้จักมัน เห็นอยู่โรงเรียนเดียวกันนี่หว่า?” ชายร่างถึกหันมาถามเด็กหนุ่มซึ่งส่ายหัวทันที

“ไม่พี่ ไอ้เหี้ยนั่นเพิ่งย้ายมาไม่กี่อาทิตย์ ชื่ออะไรผมก็เพิ่งมารู้จากงานนี่แหละ” เด็กหนุ่มบอก

“งั้นก็มีทางเดียว” ชายร่างผอมแห้งพูดลอดไรฟัน ทั้งสามคิดตรงกันทันที

“สาธิตเซนท์ปิแอร์”

∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞

ทั้งสามคนหอบสังขารมาจนถึงหน้าประตูทิศตะวันเหนือของสาธิตเซนท์ปิแอร์ได้ในเวลาอันรวดเร็วด้วยการเดินตัดตรง เจอต้นไม้ผลักล้ม เจอหินถอนทิ้งไม่เลือกหน้า ทั้งสามคนกวาดตามองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นร่างของเมฆาแม้แต่เงา เวลากลางคืนกำแพงโรงเรียนติดไฟดวงเล็กๆไว้รอบกำแพง แต่ไม่ได้สว่างมากนัก ยิ่งทำให้รอบๆที่เป็นป่าดูวังเวงเข้าไปใหญ่

“พวกมึงว่ามันมาถึงหรือยังวะ?” ชายในมัดกล้ามพูดพลางเหลียวไปรอบๆ

“ไม่รู้น่าจะเข้าไปแล้วนะ แต่รอซักพักก็ดี” ชายผอมแห้งว่า

“จะรอให้พ่อมึงออกมาตามหรือไง? ไปหลบๆในป่านู่น จะได้ไม่ให้มันมองเห็น” เด็กหนุ่มพูดขึ้นบ้าง ไอ้ขี้ยาเหล่อย่างไม่พอใจ แต่สภาพร่างกายไม่อำนวย เลยได้แต่ต้องทำตาม ทั้งสามเลยเดินถอยหลังเข้ามาในป่า แล้วนั่งหมอบรอเวลา

“นี่เราต้องรอนานแค่ไหนวะ?” ไอ้บ้ากล้ามพูดขึ้น

“ไอ้นั่นน่าจะแอบอ้อมไปมาแถวนี้แหละ ยังไงเราก็ไม่มีปัญญาไปดักมันรอบสวนอยู่แล้ว รอมันอยู่นี่แหละ ถ้าไม่มาแน่ค่อยกลับ” ไอ้ขี้ยาบอกพลางเอนตัวลงพิงต้นไม้ สองตาสาดประกายเคียดแค้นเต็มที่ แล้วเฝ้ารอต่อไป

เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง กลับไม่เป็นเงาร่างของเมฆาแม้แต่เงา ในขณะที่ฝ่ายดักรอเหนื่อยล้าเต็มที่ ทั้งยุงมากมายที่คอยมาตอม และความเครียดจากงาน รวมไปถึงกลัวจะโดนจับได้จากโรงเรียน ยิ่งไอ้เทเลพอร์ตยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้เสียเลือดจนหน้าซีดหมดแล้ว เส้นเลือดใหญ่ที่ถูกตัดขาดไม่ใช่แผลเล่นๆ ถึงจะมัดปากแผลไว้ดีแค่ไหน ที่ผ่านมาครึ่งชั่วโมงยังไม่ตายก็บุญโขแล้ว

“ข้าว่า พอได้แล้วว่ะ มึงรีบๆกลับไปรักษาเหอะ เดี๋ยวที่นี่พวกกูดูเอง” ไอ้กล้ามบึ้กว่า ไอ้ขี้ก้างพยักหน้ารับอย่างไม่เต็มใจนัก แต่มันห่วงชีวิตของมันเองมากกว่า แล้วร่างผอมนั้นก็หายวับไปกับตา

ทั้งสองถอนหายใจ

“ไม่คิดว่าไอ้นั่นมันจะฉลาดเป็นกรดขนาดนี้ ป่านนี้คงไปในเมืองแล้วล่ะ” เด็กหนุ่มพูด ไอ้บ้ากล้ามพยักหน้าเงียบๆ “งั้นก็รีบกลับเถอะ อยู่นี่ไม่ค่อยปลอดภัย”

ทั้งสองค่อยๆลุกขึ้น แต่ในจังหวะที่กำลังจะหันหลังนั้นเอง เงามีดสายหนึ่งพุ่งวาบเข้ามา

“อ๊ากๆๆๆ!!!” ไอ้บ้ากล้ามร้องโหยหวน เมื่อมีดคมกริบเฉือนเอ็นข้อเท้าจนขาดสะบั้น ร่างเตี้ยล้มลงกับพื้นในทันที เด็กหนุ่มหันหลังกลับอย่างตื่นตระหนก แต่กลับมองไม่เห็นใครเลย เป็นไปไม่ได้ ก็เขาคลุมจิตรอบๆนี้แล้วนี่ ไม่น่าจะมีใครมองเห็น เด็กหนุ่มเพ่งสายตาฝ่าความมืดเข้าไปในสวน แต่มองไม่เห็นอะไรเลย ร่างเตี้ยดิ้นพราดๆด้วยความเจ็บปวด เอ็นร้อยหวายที่ข้อเท้าขาดแบบนี้ เขาคงจะพิการแน่นอนแล้ว

“นี่สำหรับการพังบ้านผม”

เสียงราบเรียบดังมาจากที่ใดที่หนึ่งในป่า แต่กลับเย็นเยือกสะท้านถึงหัวใจทั้งสอง เหงื่อผุดพรายขึ้นเต็มหน้า ร่างเตี้ยคว้าก้อนหินจากพื้นใกล้ๆแล้วขว้างเข้าไปในป่าแบบโกรธจัด แต่นอกจากเสียงตุบๆที่ก้อนหินกระทบต้นไม้แล้วก็ไม่มีเสียงอะไรอีก หลังจากปาไปเกือบสิบก้อน ชายหนุ่มก็ตระหนักดีว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลย นอกจากทำให้หมดแรงเท่านั้น

ความเงียบยามราตรีทำให้ทั้งสองรู้สึกกลัวขึ้นมาเป็นครั้งแรก แต่ไหนแต่ไรมา พวกเขาใช้พลังจิตที่มีรังแกคนที่อ่อนแอกว่ามาตลอด จนแทบไม่เคยรู้จักคำว่ากลัวเลย แต่ตอนนี้ทั้งสถานการณ์และสภาพแวดล้อมกลับบีบคั้นพวกเขาให้กลับเข้าไปสู่สัญชาติญาณดั้งเดิมของมนุษย์

ความขลาดกลัวต่อสิ่งที่เหนือกว่า

ทั้งสองไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมาได้ ถ้าเป็นเมื่อชั่วโมงก่อน พวกเขาจะไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าตัวเองจะกลัวเด็กหนุ่มธรรมดาที่ไม่มีไซต์

ทั้งหมดเกิดจากสถานการณ์ที่เมฆาสร้างขึ้น มันบีบคั้นจนพวกเขาไม่ทันคิดว่าไม่มีอะไรต้องกลัวมากมาย ถ้าทั้งสองคนระวังตัวมากกว่านี้จะไม่มีทางเป็นอะไรได้เลย แต่ว่าความประมาทและความโง่เขลา ทำให้เมฆาเป็นฝ่ายกุมสถานการณ์ทั้งหมดเอาไว้

ทั้งสองฝ่ายตึงเครียดอยู่พักใหญ่โดยไม่มีเสียงอะไร ชายหนุ่มยันตัวขึ้นมาโดยใช้ขาข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ เขม้นตาพยายามมองหาตัวอีกฝ่ายในความมืด

แล้วก็ได้สมใจ

ฉึก!

“อ๊ากกก!!!” เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อมีดแหลมคมถูกซัดฝ่าความมืดมาเฉือนเข้าที่หน้าของชายหนุ่มจนเป็นแผลลึกยาว เปิดปากที่สองให้อย่างน่าหวาดเสียว ชายหนุ่มยกมือกุมแก้มอย่างเจ็บปวด เลือดแดงฉานไหลรินผ่านร่องนิ้วออกมาไม่ขาดสาย น้ำตาแห่งความเจ็บปวดหลั่งไหลออกมาเป็นทาง เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนเบิกตากว้างเพราะแทบมองไม่ทันว่าเกิดอะไรขึ้น รู้แต่มีมีดถูกซัดออกมา แต่มีดเล่มนั้นกลับหายไปแล้ว คงจะถูกผูกเอาไว้กับเชือกหรืออะไรซักอย่างแล้วดึงกลับไป เด็กหนุ่มย่อตัวลงโดยอัตโนมันพลางหาที่กำบัง ปล่อยเพื่อร่วมงานไว้โดยไม่สนใจใยดี มองฝ่าความมืดไปอย่างระแวดระวังปนหวาดหวั่น จะออกไปทางกำแพงเพื่อใช้แสงไฟช่วยกันก็ทำไม่ได้ เพราะเสี่ยงกับการถูกจับจากโรงเรียน แล้วมีดที่สองก็พุ่งมาฟันเข้าที่หน้าแข้งข้างที่ยังดีของชายหนุ่มร่างเตี้ยเป็นการปิดบัญชี

“อ๊ากกกกก!!!!!” ร่างเตี้ยร้องลั่น เมื่อมีดปักลึกถึงกกระดูกไปไม่น้อย แล้วมีดที่เขาเพิ่งเห็นว่าตัวด้ามถูกพันไว้ด้วยเถาวัลย์ก็ถูกกระตุกกลับ สร้างความเจ็บปวดให้มากขึ้นเป็นทวีคูณ แล้วทรุดลงทุรนทุรายอย่างลุกไม่ขึ้น

เด็กหนุ่มตกใจจนเยี่ยวราด ความกลัวถาโถมจนแข้งขาอ่อนขยับไม่ออก ความรู้สึกหวาดหวั่นต่อความตายกรายาถึงศีรษะ คนที่เคยแต่มอบความหวาดหวั่นให้คนอื่นอย่างเขา กลับมาพบกับความตายของจริงที่อยู่แค่เอื้อม ความรู้สึกกลัวโถมทับจนขยับไม่ออก หวาดหวั่นต่อความตายที่ไม่เคยใกล้ขนาดนี้มาก่อน

“กลัวมั๊ยไอ้หนู” เสียงราบเรียบกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูพร้อมสัมผัสเย็นๆที่กลางหลังทำให้เด็กหนุ่มตัวแข็งทื่อ ความรู้สึกบอกว่าเป้าหมายมาอยู่ที่ด้านหลังแล้ว แต่สถานะกลับเปลี่ยนจากผู้ล่าเป็นผู้ถูกล่าในพริบตา “ได้กลิ่นความตายไหม? มันอยู่ใกล้แค่นี้เอง” เสียงนั้นฟังดูเหี้ยมเกรียมปนรื่นเริงอย่างน่าหวาดหวั่น เด็กหนุ่มตัวแข็งทื่อพูดไม่ออก เมื่อสัมผัสแหลมคมของมีดที่กลางหลังหนักขึ้น “จะพูดว่าฆ่าใครให้ตายออกมาน่ะ ก็ต้องเตรียมตัวที่จะตายด้วยรู้มั๊ย พี่ไม่เหมือนกับแกหรอกนะ ที่ไม่เคยเห็นความตายแบบใกล้ชิดแบบนี้มาก่อน” เสียงกระซิบข้างหูนั้นฟังดูเรื่อยเฉื่อยเหมือนสนทนาเรื่องธรรมดา แต่ยิ่งทำให้เขาขี้ขึ้นสมอง

“ความตายน่ะไม่ใช่อะไรที่ยากเย็นหรอกนะ แค่ใช้เข็มเย็บผ้าเล่มเล็กๆแทงเข้าให้ถูกจุดนิดเดียวก็ตายแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมีดเล่มเท่านี้ วางก้อนหินนั่นลงซะไอ้บ้ากล้าม อย่าใช้ไซต์ถ้ายังไม่อยากตาย” เมฆาหันไปยิ้มให้ชายหนุ่มที่นอนกับพื้น แววตาเย็นเยียบนั้นทำให้เขาต้องคลายมืออกอย่างช่วยไม่ได้

“เมื่อกี้พูดถึงไหนนะ? อ้อ มีอะไรจะถามเยอะแยะเลย เอาล่ะไอ้หนู บอกมาซิว่าใครจ้างแกมา?”

“มะ... ไม่รู้” เด็กหนุ่มตอบเสียงสั่น

“พูดไม่มีหางเสียงเลย งั้นหลับยาวถึงโลกหน้าไปเหอะ” พูดจบก็ยกมีดขึ้นมาปาดคอเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว ร่างผอมทรุดลงกับพื้นโดยไร้สียง ท่ามกลางสายตาเบิกกว้างของชายหนุ่มที่มองเพื่อนร่วมงานล้มลงตายอย่างหวาดหวั่น มัจจุราจหันมาทางเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา

“ทีนี้ตานายแล้ว ตอบดีๆนะ” ชายหนุ่มพูดขู่เนิบๆ ร่างเตี้ยกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น รู้สึกว่าเป้ากางเกงเปียกชุ่ม

“มะ... ไม่รู้จริงๆ” ชายหนุ่มตอบเสียงพร่า

ฉึก!

คมมีดปักห่างจากลำคอของเขาไปแค่ไม่กี่เซ็นต์ คำพูดที่จะพูดกลืนหายไปในคอ

“โกหก” เมฆาพูดเรียบๆด้วยใบหน้ายิ้มแย้มตามเคย “โชคดีที่พลาดนะเนี่ย หมายถึงกะให้ห่างจากคอนายเยอะๆหน่อยน่ะ มันปักใกล้ไปหน่อย นี่ไม่เชื่อเหรอเนี่ย? เอาล่ะ จะให้ตอบอีกหนแล้วกัน” ชายหนุ่มมองรอยยิ้มนั้นอย่างเชื่อไม่ลงจริงๆ

“ไม่จำเป็นต้องตอบแล้ว”

เสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันพร้อมๆกับที่เสียงแปลกปลอมดังขึ้นในหัวของเขา คราวนี้มันชัดเจนกว่าเมื่อกลางวันมาก

เชื่อฟังคำสั่งข้า หยุดอยู่กับที่ ห้ามขยับ

ถึงจะชัดแค่ไหน แต่เมื่อลองได้เคยหนหนึ่งแล้ว การควบคุมนี้ก็แทบไม่มีผลอะไรกับเขานอกจากทำให้งงๆไปนิดหนึ่ง แต่ตามเคย เขาหยุดนิ่งอยู่กับที่ตามคำพูดเพื่อหาจังหวะ

ร่างหนึ่งค่อยๆเดินออกมาจากหมู่ไม้ เป็นชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานในชุดสูทสีเทา สวมหน้ากากสีขาว ชายคนนั้นกวาดตามองร่างเตี้ยบนพื้นอย่างเย็นชา ชายหนุ่มพูดขึ้นทันที

“ท่านครับ มันฆ่าไมค์ไปแล้วครับ” ชายหนุ่มรีบรายงาน ชายวัยกลางคนก้มลงพลิกตัวเด็กหนุ่มขึ้นมาตรวจดูอาหารครู่หนึ่งก็ยืดตัวขึ้น

“แค่สลบ ไม่มีบาดแผลอะไร น่าจะแค่ฟาดท้ายทอย” เขาพูดแล้วหันมาทางเมฆา “ถอยหลังไป 5 ก้าว”

เขาก้าวถอยหลังตามคำสั่ง แต่ยังไม่ลดมีดลงจนชายชุดเทาต้องสั่งอีกครั้งเขาถึงลดมีดลง จากนั้นจึงหันไปหาทั้งสองคนที่นอนบนพื้น

“พวกคุณทำงานไม่ได้เรื่องเลย เรื่องแค่นี้ยังต้องเสียเวลาขนาดนี้ แถมตกอยู่ในสภาพนี้อีก” ชายชุดเทาตำหนิ

“แต่... มันเก่งมากเลยนะครับ” ชายร่างเตี้ยพยายามอธิบาย

“ไม่มีแต่ งานนี้พวกคุณทำไม่สำเร็จ” ชายคนนั้นพูดอย่างไม่สนใจ “กลับไปรักษาแผลที่ศูนย์ซะ แล้วเราค่อยมาพูดถึงโทษของพวกคุณอีกที”

ชายร่างเตี้ยพยักหน้าอย่างจนใจ ชายชุดเทาหันมาทางเขานิ่ง เขาทำตาว่างเปล่าอย่างแนบเนียน ถึงจะคิดว่าไม่จำเป็นเพราะอยู่ย้อนแสงก็เถอะ ชายคนนั้นพิจารณาเขาอยู่พักหนึ่งโดยไม่พูดอะไร ในขณะที่เขากำลังตัดสินใจว่าควรทำอย่างไรนั้น เสียงแปลกปลอมเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“พวกคุณเป็นใคร?”

ชายคนนั้นหันไปมองด้านหลังของเขาทันที เขาเกือบเผลอหันไปแล้ว แต่ยั้งตัวไว้ทัน เสียงหวานใสแบบนี้ต้องเป็นผู้หญิงแน่ แต่ชายคนนั้นยกมือขึ้นแตะขมับแล้วจ้องไปด้านหลังของเขา แค่ไม่กี่วินาทีก็ลดมือลงแล้วหันมาทางเขา

“ไปกันได้แล้ว” เขาพูดแล้วยกมือขึ้นกวักเรียกแล้วหันหลังไปโดยไม่สนใจทั้งสองคนที่นอนอยู่ที่พื้น ผมเดินตามไปอย่างเงียบๆ เมื่อเข้าประชิดตัวได้ มีดก็แทงสวบออกไปอย่างรวดเร็ว

“ระวัง!!!” ชายหนุ่มร่างเตี้ยร้องเตือน เพราะเพิ่งนึกได้ว่าเมฆาเคยมองทะลุม่านลวงตาออก ทำให้ชายชุดเทาไหวตัววูบหันหลังกลับมาหลบมีดได้ทันเวลา ทำให้มีดที่ควรแทงทะลุปอดกลับทำได้แค่ถากซี่โครงไปเท่านั้น เขากระโดดถอยหลังวูบเตะข้อมือของชายร่างเตี้ยไปหนึ่งทีแล้วหันหลังกลับไปดู

เด็กสาวคนที่เขาเจอในห้องสมุดยืนเบิกตากว้างนิ่ง เขาคว้าตัวเธอขึ้นอุ้มแล้วออกวิ่งในทันทีพลางตะโกนไปพลาง “เอกนภา ปัญญาวิวัฒน์ กับนักเรียนไม่ทราบชื่อของโรงเรียน ถูกติดตามทำร้ายโดยบุคคลภายนอก ขอกำลังเสริมด่วน”

เขาวิ่งผ่านรั้วที่เปิดออกเข้าไปภายในทันที รับรู้ว่าสมองถูกพยายามควบคุมอีกสองสามหน แต่เขาก็สลัดมันออกอย่างง่ายดาย แล้ววางร่างของเด็กสาวลงบนพื้นหญ้า มองดูร่างสองสามร่างในชุดของโรงเรียนที่วาร์ปปรากฏขึ้นใกล้ๆอย่างรวดเร็ว เขาก็ถอนใจด้วยความโล่งอก

รอดแล้ว

เขาก้มลงมองเด็กสาวที่ยังเบิกตานิ่ง อาการของคนตกอยู่ในภวังค์ เขาดีดนิ้วตรงหน้าเธอแรงๆสองสามที เธอก็กระพริบตาถี่ๆเหมือนเพิ่งตื่นมองเขาอย่างงุนงง

“หวัดดี เธอเป็นคนของสภานักเรียนสินะ?”

เธอพยักหน้ารับ เขาเพิ่งสังเกตว่าเธออยู่ในชุดนอนสีฟ้าไม่ใช่ชุดนักเรียน “ผมชื่อเอกนภา ปัญญาวิวัฒน์ เรียกสั้นๆว่าเมฆา คุณชื่ออะไร?” ผมถาม เธอนิ่งไปนิดหนึ่งแล้วลุกขึ้นนั่งคุกเข่าอย่างเรียบร้อย แล้วโค้งให้เขาอย่างมีมารยาท

“ฉันชื่อทาจิบานะ ยูกิค่ะ”

เขาว่ามันคุ้นๆหูอยู่ แต่ก็ชมออกไป

“เพราะดีนะครับ”

เธอพยักหน้าไม่พูดอะไร

“เธอ เป็นอะไรหรือเปล่า คนพวกนั้นเป็นใคร?” ชายในชุดสีน้ำตาลที่ท่าทางจะเป็นพนักงานของโรงเรียนถาม ผมยิ้มแห้งๆ

“ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel