Type 8: ห้อง 4A
Type 8: ห้อง 4A
กฎข้อที่ 4 ของนักต้มตุ๋น การแสดงว่าตนเองเหนือกว่า และไม่เปิดเผยว่าตัวเองหวั่นไหว เป็นเกราะป้องกันหน้ากากของเราที่ดีที่สุด
หลังจากจัดการอาหารเช้าเสร็จแล้วดูนาฬิกา ก็ห่างจากเวลาเข้าแถวอีกประมาณ 1 ชั่วโมง มันว่างจนไม่รู้จะเอาเวลาไปทำอะไรดี เด็กสาวคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เมฆามองเด็กสาวที่เดินเข้ามาใกล้โต๊ะของเขาเรื่อยๆอย่างไม่สนใจอะไรมากนัก แต่เริ่มจ้องเมื่อเธอตั้งท่าย่องมาข้างหลังชินอย่างเงียบๆ
“พี่ชิน!!!” เด็กสาวตะโกนและกระโดดตะครุบไหล่ จนชินสะดุ้ง จากนั้นก็เขย่าๆเหมือนเขย่านม เด็กหนุ่มหัวสั่นหัวคลอนไปมาหงึกๆ มองดูคล้ายๆตุ๊กตาหมาผงกหัวหน้ารถเมื่อเช้านี้ชะมัด
“อาราย มีอะไรอีกแก้ว” ชินตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย เด็กสาวยิ้มแป้นเท้าคางลงบนไหล่แล้ววางคางลงบนศีรษะเด็กหนุ่มอย่างน่ารัก
“หิวแล้วอ่ะ พี่เลี้ยงข้าวหน่อย”
“... มามุกนี้เรอะ” ชินถอนหายใจปลงตกต่อโชคชะตา ท่าทางวันนี้เขาจะมีบุญกับการเลี้ยงข้าว
“เออ เอาไป” เด็กหนุ่มปลดบัตรออกจากซองที่ห้อยไว้ที่หน้าอกยื่นบัตรให้เด็กสาวซึ่งรับมาด้วยท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่อง แล้วทำหน้าแปลกใจเหมือนเพิ่งจะสังเกตเห็นผมที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“สวัสดีค่ะ พี่เป็นเพื่อนพี่ชินเหรอคะ?” เด็กสาวถาม ผมเริ่มรำลึกว่าการรู้จักกันไม่ถึง 12 ชั่วโมงจะนับว่าเป็นเพื่อนได้ไหม แต่ในเมื่อเรายืมบัตรเขามาซื้อข้าวก็น่าจะนับมั้ง ผมเลยพยักหน้าให้เธอไปเธอจ้องหน้า (หัว) ของชินอย่างล้อเลียน
“ไม่น่าเชื่อว่าพี่หาเพื่อนได้ด้วย”
“...” ชินพูดไม่ออก ไม่ก็คงจะเอือมจนขี้เกียจพูด เธอยิ้มให้ผมอย่างมีไมตรี
“สวัสดีค่ะ หนูชื่อแก้ว เป็นน้องสาวพี่ชินค่ะ” เธอยิ้มหวานชนิดละลายใจหนุ่ม ผมเลื่อนสายตาลงมาที่หน้าของชิน (ซึ่งติดกัน เพราะเธอยังไม่ยอมเอาคางออก) แล้วพิจารณาหาความเหมือน แต่เหมือนจะยากไปนิด
ชินมีใบหน้าเรียวคม รูปหน้าเข้ม หางตาชี้ขึ้นดูไม่น่าคบเหมือนโจรกระจอกในการ์ตูน มีผมสั้นสีดำชี้โด่เด่อยู่บนหัว ในขณะที่เด็กสาวที่ชื่อแก้วนั้นมีใบหน้ากลมๆน่ารัก มีผมตรงยาวถึงไหล่สีดำสนิท มีดวงตากลมโตสีดำที่เหมือนคิดอะไรก็จะบอกคนอื่นออกมาหมด พอมาลองเทียบกัน (ใกล้มากๆ) ก็เหมือนจะมองความสัมพันธ์ทางสายเลือดไม่ออก
“อืม พี่ชื่อเมฆา ยินดีที่ได้รู้จัก” ผมตอบสั้นๆ เธอยีหัวพี่ชายเล่นเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว
“พี่แก้วค่อนข้างหน้าดุไปหน่อย แต่จริงๆใจดีน้า” เธอพูด ผมมองผมของชินที่เริ่มฟูฟ่อง เห็นแบบนี้ก็รู้แล้ว ชินเหลือบตาไปมองดุๆแวบหนึ่ง แก้วหัวเราะแหะๆแล้วจัดทรงผมให้แต่โดยดี
“ว่าแต่ต้องบอกนายอีกเรื่อง หลังจากนี้นายจะไม่สามารถออกไปจากโรงเรียนได้อีกแล้วนะ นายจะต้องอยู่ในนี้ไปจนกว่าจะจบการศึกษา แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ที่นี่มีแม้แต่โรงพยาบาลในตัว สาธารณูปโภคก็ครบครัน ไม่เป็นปัญหาอะไร เพียงแต่เรื่องของไซคลิกยังค่อนข้างเป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับคนธรรมดา เลยต้องมีมาตรการที่เข้มงวดหน่อย” ชินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ผมเหลือบมองแก้วที่กำลังเมามันกับการเล่นหัวพี่ชายมาก ตอนนี้กำลังหยิบหวีออกมาหวีแสกไปข้างหลังเหมือนเพิ่งซิ่งมอไซค์โดยไม่ใส่หมวกมาหมาดๆ แก้วหัวเราะคิกคักมองผลงานตัวเองแล้วเดินไปซื้อข้าว ชินยกมือขึ้นลูบผมตัวเองกลับมาด้วยใบหน้าเรียบเฉยเหมือนชาชิน แต่ชินกับเรื่องแบบนี้ดีแน่เหรอ?
“อืม ไม่มีปัญหาหรอก” ผมตอบง่ายๆ เริ่มรู้สึกสนุกเมื่อเห็นแก้วเหล่มองพี่ชายที่ผมกลับมาเหมือนเดิมแล้วทำปากขมุบขมิบ อยากรู้ชะมัดพรุ่งนี้ชินจะได้ผมทรงอะไร
ชินเอนหลังพิงพนักแล้วหยิบหนังสือออกมาอ่าน ซักพักผมก็เห็นแก้วเดินกลับมา เพียงแต่ในมือไม่ได้มีอาหาร แต่เป็นสเปรย์อะไรซักอย่างกระป๋องหนึ่ง เธอเริ่มยีหัวพี่ชายอีกรอบ ชินปล่อยน้องสาวทำตามใจชอบ คิดในใจว่าจะยีกลับตอนเข้าห้อง
เมื่อทรงผมของชินแนวพอใจของแก้วแล้ว นั่งคือเสยไปข้างหลังทั้งหัวเหมือนพวกซิ่งมอเตอร์ไซ เธอก็หยิบสเปรย์ปริศนานั้นออกมาฉีดๆใส่หัวพี่ชายอย่างสนุกสนาน ชินที่กำลังอ่านหนังสือรู้สึกแปลกๆเหลือบตาขึ้น แล้วเพิ่งรู้ตัวว่าน้องสาวกำลังทำอะไรไม่ชอบมาพากล
“เฮ้ย!!! เอาอะไรมาฉีดหัวพี่เนี่ย!!??” ชินร้อง ยกมือขึ้นลูบๆดู แวบแรกรู้สึกว่ามันชื้นๆ แต่มันก็แห้งในทันที
“เสปรย์จัดแต่งทรงผมไง แก้วซื้อมาจากร้านเมื่อกี้ ทีนี้ผมของพี่ก็จะอยู่อย่างนี้ไปอย่างน้อย 10 ชั่วโมง” แก้วยิ้มแป้น
สรุปไม่ได้ซื้อข้าว แต่ซื้อของมาแกล้งพี่ชายสินะ
“อะไรนะ! แล้วจะล้างออกได้ยังไงเนี่ย!” ชินโวย เพราะหัวของตัวเองแข็งเหมือนใส่เจล ลูบกลับไม่ได้ซะแล้ว แก้วหัวเราะคิกคักแล้วชูขวดอะไรบางอย่างขึ้นมา
“ใช้น้ำเฉยๆไม่ออกหรอกพี่ชิน ต้องใช้น้ำยาเฉพาะนี่ถึงจะออก” เธอชูล่อ ชินตะปบแย่ง แต่เด็กสาวหัวเราะร่าแล้ววิ่งหนีไป ชินลุกขึ้นวิ่งตามส่งเสียงเอะอะโวยวายลั่น ผมหัวเราะหึหึกับภาพตรงหน้า แล้วหยิบหนังสือในกระเป๋าออกมาเปิดๆดูฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ
“เฮ้ย ไอ้หนู” เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่เสียงเรียกทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมอง แล้วพบว่าตัวเองถูกล้อมด้วยชายสามคนที่มองผมด้วยแววตาหาเรื่อง “นี่ที่พวกฉัน ใครใช้ให้แกสะเออะมานั่งวะ?”
ผมเหลือบตามองสารรูปพวกมันอย่างใจเย็น เสื้อลอยชาย เนกไทหลุดลุ่ย คอปกตั้ง ท่าทางบอกยี่ห้อนักเลงเต็มที่ ผมไม่ค่อยชอบคนที่ไม่ค่อยให้เกียรติเครื่องแบบเท่าไหร่ แต่เอาเถอะ ไม่เกี่ยวกับเรา ผมลุกขึ้นยืนเก็บของลงกระเป๋าอย่างว่าง่าย
“เฮ้ย ใครให้แกไปวะ?” มันตะคอก ผมทำหน้างงๆ “อ๋อ ฟังภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่องเหรอ ทีนี้พูดภาษาไทยแล้ว เข้าใจแล้วรึยัง?”
“เข้าใจ” ผมตอบเรียบๆมันเหยียดยิ้ม
“ทีนี้นายจะชดใช้ยังไง?” มันว่า ผมเหลือบตามองไปรอบๆ ที่นั่งว่างอยู่มากมาย แต่มันกลับมาเจอะจงเขาโดยเฉพาะ อืม... เห็นได้ชัดว่าหาเรื่อง
“ชดใช้อะไร?” ผมถามกลับ
“ชดใช้ที่แกมานั่งโต๊ะพวกฉันไง” มันตอบ ผมจ้องหน้ามันเรียบๆ ดูแล้วน่าจะอายุเท่าๆกับผมนะ
“ไม่มีชื่อแปะไว้” ผมตอบง่ายๆ มันทำท่าโกรธแค้นราวกับผมเพิ่งด่าบรรพบุรุษของมันไปหมาดๆ
“ปากดีนักนะมึง!” มันตะคอกผมแล้วบีบคางผมให้เงยหน้าจ้องตามัน มันเบิกตากว้าง ผมเห็นแสงวาววับในดวงตามันเรืองรองขึ้น เสียงซ่าเบาๆดังขึ้นในหัวของผม รู้สึกภาพตรงหน้าเบลอไปเสี้ยววินาทีก่อนจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม อย่าบอกนะว่าเมื่อกี้จะสะกดจิตเขาน่ะ?
ผมปัดมือมันออกโดยแรงแล้วกระชากคือเสื้อมันลงมาจ้องตาเขม็ง ตะคอกกลับ
“จะสะกดจิตผมเหรอ ของจริงมันต้องแบบนี้โว้ย!” ผมตะคอกลั่น ดวงตาของมันไหววูบตั้งแต่โดนตะคอกแล้ว พอโดนจ้องม่านตาก็หดลงแล้วสั่นระริกอย่างหวาดหวั่น ผมจ้องตามันเขม็งด้วยท่าทีที่บอกว่ากำลังจะสะกดจิต แต่ก่อนที่มันจะทันได้ทำอะไร เพื่อนของมันคนหนึ่งก็กระชากตัวออกไปจากผมทันที
ทั้งสามคนที่มองผมอย่างฉงน ในขณะที่ผมปลดกระเปาสะพายวางลงบนโต๊ะช้าๆจ้องทั้งสามตาเขม็งแล้วก้าวเท้าเข้าไปหาอย่างช้าๆด้วยฝีเท้ามั่นคง
“มันไม่โดนสะกดจิตว่ะ!” ฝั่งนั้นร้องอย่างตื่นตกใจ เพราะดูเหมือนว่าคนคนนั้นจะมีระดับที่สูงพอสมควร ผมค่อยๆยืดตัวขึ้นด้วยท่าทีสง่า แล้วพุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็ว กระชากตัวไอ้คนที่พยายามจะสะกดจิตผมออกมาด้วยแรงที่มากกว่า กดลงที่โต๊ะอย่างรุนแรง ยื่นหน้าเข้าไปหาอย่างข่มขู่
“มองตาฉันสิ แล้วแสดงให้ดูว่าสะกดจิตเขาทำกันยังไงไง เอาน่า ลืมตาหน่อย” ผมพูดเสียงเนิบ อีกฝ่ายยิ่งกลัวจนหลับตาปี๋ ผมกระชากคอเสื้อมันมาใกล้ๆแล้วตะคอกข่มขู่
“ฉันบอกให้ลืมตา!” ไอ้หมอนั่นสะดุ้งเฮือกทันที เกือบจะเปิดตาอยู่แล้ว แต่เพื่อนของมันกลับรั้งไหล่ของผมออกไปได้ทัน
ผมถอยออกมาด้วยท่าทางไม่ยินยอมนัก ปล่อยให้พวกมันเอาตัวกลับไปอยู่ในกลุ่ม ผมมองทั้ง 4 คนด้วยแววตาเรียบเฉยและรอยยิ้มน้อยๆสบายอารมณ์อันเป็นเอกลักษณ์ แต่ผมเรียนรู้มาว่าท่าทีแบบนี้กลับข่มขู่คนบางพวกได้ดีกว่าการปั้นหน้าดุเสียอีก เพราะมันแสดงให้เห็นว่าเราไม่หวั่นไหวกับการข่มขู่ใดๆเลย เป็นการบั่นทอนความมั่นใจอย่างง่ายๆ ถ้าบวกกับคำพูดบลัพดีๆ ก็แทบจะทำได้ทุกอย่าง
การแกล้งทำเป็นจะสะกดจิตก็เหมือนกัน ทางเดียวที่จะทำให้พวกนั้นไม่รู้สึกขัดๆที่เขาไม่โดนสะกดจิต ก็ต้องแสดงตัวว่าสะกดจิตได้เก่งกว่า แต่ยังไงเขาก็ไม่สามารถสะกดจิตใครได้ จำเป็นต้องสร้างภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งให้มากที่สุดเข้าไว้ เพื่อไม่ให้ใครมาลองสะกดจิตเขาอีก ส่วนการบอกเป็นนัยว่าเขาสะกดจิตได้ด้วยการจ้องตา เพราะอะไรหรือ? เพราะมันเป็นรูปแบบที่ง่ายต่อการปกปิดมากที่สุดน่ะสิ
การจ้องสะกดข่มด้วยแววตาเป็นของถนัดของเขา มองอีกฝ่ายด้วยแววตาที่แสดงความเหนือกว่าให้มากที่สุด พอบวกกับข้อมูลว่าเขาสามารถสะกดจิตได้ด้วยการจ้องตา ผลลัพธ์คือพวกมันจะต้องหลับตาลง ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้เขาสะกดจิต แน่นอนว่าย่อมไร้ข้อพิสูจน์ว่าเขาสะกดจิตใครไม่เป็น แต่หากมันยังโง่ลืมตา เขาก็แค่ใช้ทริกเล็กๆน้อยๆอย่างการสร้างสถานการณ์ และการกดเส้นเลือดบริเวณคอทำให้อีกฝ่ายมึนงงไปชั่วขณะ ให้ดูเหมือนกำลังจะถูกสะกดจิต แล้วค่อยแกล้งปล่อยก็พอ
เป็นการสะกดจิตที่หลบเลี่ยงง่ายที่สุด และใช้ข่มขู่ได้ง่ายที่สุดอีกด้วย นี่คือข้อสรุปที่เขาคิดออกในพริบตาที่เจ้านั่นจ้องตาสะกดจิตเขา ต้องขอบคุณจริงๆที่มันบอกว่ามีวิธีสะกดแบบนี้อยู่ ทำให้เขานึกหาวิธีเอาตัวรอดมาได้
ผลลัพธ์ที่ได้ดีเกินคาด อีกฝ่ายจ้องมองเขาอย่างหวาดกลัว นับว่าบรรลุผลในแง่หนึ่ง คนพวกนี้เป็นที่รู้จักของคนอื่นมากอยู่แล้ว ไม่ช้าข่าวนี้และข่าวเมื่อวานคงจะกระจายออกไป เมื่อรวมกันแล้วเขาจะมีภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่ง
ได้ งั้นฉันจะใส่หน้ากากของผู้ไร้เทียมทานนี้ไว้เอง จะเป็นจอมมายาที่ไม่เคยมีใครหน้าไหนทำได้มาก่อนให้ดู
รอยยิ้มลี้ลับที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเมฆาอย่างไม่มีความหมายนั้นกลับทำให้ทั้ง 4 คนตรงหน้าหวาดหวั่นกว่าเดิม ความสามารถที่เมฆาแสดงออกมาข่มขู่พวกมันจนไม่รู้จะวางตัวยังไง ในช่วงเวลาที่สับสนนั้น คนเราจะอ่อนไหวได้ง่าย และภาพที่มกรายิ้มลี้ลับอย่างเป็นต่อโดยไร้ความหวาดหวั่นนั้นก็ทำให้พวกเขาหวาดกลัวกว่าปกติหลายเท่า
ภาพลักษณ์ที่เมฆาตั้งใจ เริ่มเป็นรูปร่างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆอย่างช้าๆ
“มีอะไร?” เสียงทักทำให้เมฆาหันหลังกลับไปมอง ภาพที่เห็นทำให้เขาเกือบหลุดหัวเราะออกมา ชินเดินกลับมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถแย่งสเปรย์จากแก้วคืนมาได้ ทรงผมเสยไปข้างหลังนั้นยังคงแข็งเป๊กอยู่บนหัวของเขาอย่างเดิม มันให้อารมณ์หนุ่มเท่อย่างดีจริงๆ พอมารวมกับใบหน้าโหดๆ แววตาคมกริบ และสีหน้าถมึงทึงด้วยความหงุดหงิด ยิ่งทำให้ชินเหมือนยากูซ่าแบบสุดๆ
“เฮอร์คิวลิส...” เสียงครางเบาๆดังมาจาก 4 คนนั้น ผมยิ้มน้อยๆแล้วพูดกับชินว่า
“พอดีเลยชิน พวกนี้บอกว่าเป็นเจ้าของโต๊ะที่เรานั่งอยู่น่ะ เห็นบอกว่าพวกเราเสือกเกินไป จะให้เราชดใช้” เมฆายักไหล่ประมาณว่าช่วยไม่ได้อย่างจนใจ
“หืม มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?” ชินกวาดสายตาคมกริบราวจะเชือดเฉือนคนไปทาง 4 หนุ่มที่กำลังขาสั่นระริก เมฆาแอบหัวเราะ เพราะเข้าใจดีว่าชินกำลังหาทางระบายความหงุดหงิดที่เอาคืนน้องสาวไม่ได้ “ไม่ยักรู้ว่านี่เป็นที่ของพวกนาย ขอโทษด้วยที่มาเสือกนั่ง” ชินพูดพลางแสยะยิ้มย่างสามขุมขึ้นมายืนข้างเมฆา “ค่าเสียหาย เอาเป็นรอยฟกช้ำคนละซัก 10 ที่เป็นไง?” ไม่พูดเปล่ายังหักนิ้วดังกร๊อบอย่างขู่ขวัญ ซึ่งก็ได้ผลดีเยี่ยม
“เอ่อ... ขอโทษครับพี่เฮอคิวลิส พวกผมไม่ทันเห็นว่าพี่ก็นั่งโต๊ะนี้...” หนึ่งในนั้นพูดเสียงสั่น เฮอคิวลิสเคยนั่งกับใครที่ไหนกัน
“เอาน่าชิน ก็แค่พวกที่ชอบหาเรื่องโดยไม่ดูตาม้าตาเรือนั่นแหละ” เมฆาพูดเหมือนไม่ใส่ใจ ชินเหล่มองนิดหนึ่งก็ยักไหล่
“เอางั้นก็ได้” ชินยอมเพราะเมฆาผู้เป็นผู้เสียหายไม่เอาเรื่อง แถมเขาจะอัดคนกลางอาหารก็กระไรอยู่
“งั้นไปเถอะ ห้อง 4A อยู่ไหน?” เมฆาถามเลี่ยง เพราะหากปะทะกันก็อาจเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย
“เดี๋ยวฉันพาไป ห้องอยู่ติดๆกับฉันนั่นแหละ แต่คงไม่ทันล่ะมั้ง นายเป็นนักเรียนใหม่ วันนี้ไม่ต้องเข้าประชุมแถวหรอก นายไปที่ห้องพักครูก่อนแล้วกัน ยังมีอะไรหลายอย่างที่นายต้องไปเบิกนะ” ชินพูดอย่างใจดี
“โอ้ ขอบใจ” เมฆาตอบจากใจจริง
ทั้งสองเดินมาตามอาคารเรียนที่กว้างใหญ่จนเหลือเชื่อ แต่ละห้องติดแอร์เย็นสบายชนิดไม่กลัวโลกร้อน อุปกรณ์การเรียนดูทันสมัยใหม่เอี่ยม ตัวอาคารตกแต่งอย่างมีศิลปะ ถึงจะเรียบง่ายแต่ก็สบายตา ด้านข้างของอาคารปลูกไม้เลื้อยให้เลื้อยขึ้นมาบนอาคารดูร่มรื่นแปลกตา นี่คืออาคารของชั้น ม.4 เมฆากวาดสายตามองทางนั้นทางนี้อย่างสงสัย อาคารที่นี่เป็นแบบครบวงจร มีทั้งห้องเรียนภาษา ห้องประชุม ห้องแล็บวิทยาศาสตร์ ดูเหมือนแทบไม่ต้องออกไปเรียนนอกอาคารเลย ระหว่างทางนั้นเมฆาถือโอกาสถามข้อข้องใจที่สงสัย
“เฮอคิวลิสเหรอ อืม... จะว่ายังไงดี มันเป็นฉายาน่ะ เป็นฉายาสำหรับคนที่เก่งกาจมากๆในโรงเรียนนี้ โดยจะเอาชื่อเทพในความเชื่อต่างๆมาตั้งให้ อย่างไอ้จิรายุสที่นายเห็นเมื่อวานน่ะมีฉายาว่าอิเล็กทริกมาสเตอร์ (Elictric master) เรียกอีกชื่อว่าไรจิน เทพสายฟ้าของญี่ปุ่นไง” ชินอธิบายง่ายๆ “ความสามารถของหมอนั่นคืออิเล็กโทร คอนโทรล(Electric control) เป็นการสะสมประจุไฟฟ้าไว้ในร่างกายได้ รวมไปถึงปลดปล่อยมันออกมาได้ด้วย ประยุกต์ใช้ได้หลายอย่างนะ”
“แล้วของนายล่ะ” เมฆาถาม
“ความสามารถของฉันชื่อไอรอนบลัด เมทัลบอดี้ (Iron blood Metal body) สามารถควบคุมการหลั่งของอดรีนาลีนได้ สารที่ช่วยเพิ่มศักยภาพของร่างกายอย่างมหาศาลไง แบบว่าเวลาคนเราไฟไหม้ก็บอกโอ่งได้ทั้งใบใช่มั๊ยล่ะ ก็แบบนั้นแหละ” ชินอธิบาย ผมพนักหน้าเข้าใจ
“แล้วของนายล่ะ?” เขาถาม
“ไม่รู้สิ เพราะมันไม่เหมือนกับความสามารถของใครเลยน่ะ เลยไม่มีชื่อ” ผมตอบไป ซึ่งก็เป็นความจริง ไม่มีการบันทึกความสามารถทำนองนี้ไว้ที่ไหนเลย
“งั้นก็เป็นความสามารถไหม่น่ะสิ? เข้าท่านี่นา นายน่าจะตั้งชื่อเองได้นะ” ชินออกความเห็น เมฆาเหยียดยิ้ม
“งั้นก็ได้ ความสามารถของฉันคือ...” ความสามารถที่เป็นนายของตัวเองอย่างสมบูรณ์ ไม่ถูกแทรกแทรง ลบ หรือครอบงำความทรงจำไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น เป็นสมองของเขาเพียงผู้เดียว
“...มาสเตอร์ไมน์(Master Mind (จิตสำนึกสัมบูรณ์))”
∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞
ผมเฝ้ามองการเข้าแถวของโรงเรียนอย่างเงียบๆ การเข้าแถวของโรงเรียนนี้ไม่มีการเคารพธงชาติ เป็นเพียงการเรียกประชุมเพื่อแจ้งเหตุต่างๆก่อนจะให้แยกย้ายกันไปเรียน โดยสถานที่คือลานกว้างใจกลางโรงเรียน เขาเพิ่งสังเกตว่าอาคารทุกหลังจะหันหน้าไปทางลานที่ว่านี้ทั้งหมด และเพิ่งรู้จำนวนที่แท้จริงของนักเรียนที่นี่เป็นครั้งแรก
นักเรียนที่โรงเรียนนี้มีตั้งแต่ชั้นอนุบาล ประถาม และมัธยม มีนักเรียนประมาณ 1000-15000 คนโดยประมาณจากสายตา แต่ก็กะยาก เมื่อเลิกแถวนักเรียนทุกคนต่างก็ทยอยไปยังอาคารเรียนของตน เมฆามองภาพที่เหมือนการกระจายออกจากศูนย์กลางนั้นอย่างชื่นชมเงียบๆ
เขาเดินมาที่ห้องพักครูอย่างรอคอย แล้วอาจารย์สาวคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง
เธอน่าจะมีอายุอยู่ที่ประมาณ 25-26 ปี รูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาว น่าจะมีเชื้อสายแถบเอเชีย หน้าตาดูสดใสราวสาวน้อย ดูไม่ออกว่าเป็นครู ถ้าบอกว่าเรียนมัธยมอยู่ผมก็เชื่อ แต่ชุดของเธอที่แตกต่างจากนักเรียนทั่วไปก็บอกฐานะเธอดี
“ปัญญาวิวัฒน์สินะจ๊ะ” เธอทัก เป็นเรื่องปกติที่จะเรียกคนด้วยนามสกุลของชาวต่างชาติ ผมพยักหน้ารับ “ครูชื่อฮารุ เป็นครูประจำชั้นของห้อง 4 A ตามครูมาเลยจ้ะ” เธอเรียก ผมเดินตามครูที่มีส่วนสูงเท่าผมไป เธอพาเดินขึ้นบันไดผ่านห้องเรียนต่างๆจนมาถึงห้องที่มีป้ายแขวนไว้ว่า 4A ครูฮารุหันมายิ้มให้ผมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหวานใสอ่อนกว่าวัยว่า
“ครูจะเข้าไปก่อนนะจะ พอครูเรียกแล้วค่อยเข้ามานะ” ผมพยักหน้ารับ ครูสาวเดินเข้าไปในห้องไปหยุดอยู่ที่หน้ากระดานไวท์บอร์ดแล้วยิ้มให้นักเรียนทุกคน
“เอาล่ะนักเรียน ก่อนจะเริ่มโฮมรูมวันนี้ เรามีนักเรียนใหม่ที่เพิ่งย้ายมาที่โรงเรียนเรามาแนะนำให้รู้จัก เขาจะมาเรียนที่ห้องเราตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เชิญเข้ามาเลยจ้ะ”
พอได้ยินเสียงเชิญผมก็เดินเข้าไปภายในห้อง แล้วหยุดยืนข้างครูฮารุ ยิ้มให้คนในห้องอย่างอารมณ์ดี
ห้อง 4A มีนักเรียน 31 คน ทุกคนจ้องมองมาที่ผมเขม็ง แต่ผมไม่รู้สึกประหม่าอะไรนัก นอกจากส่งยิ้มไปให้ทุกคนตามปกติ นี่เป็นใบหน้าที่เขาใช้เป็นปกติ ที่นั่งจัดเรียงกันเป็นคู่ๆ 4x4 แถว 32 ตัว ว่าง 1 ที่ หลังห้องมีล็อกเกอร์สองตู้ และตู้ใส่ของเตี้ยๆวางอยู่ ผนังห้องแปะโปสเตอร์ต่างๆ มีทั้งเรื่องวิชาการต่างๆไปจนถึงรายชื่อนักเรียนที่ทำแบบน่ารักๆ ตารางเรียน บอร์ดเวรประจำวัน ดูแล้วเป็นห้องที่รักและสามัคคีกันดีจัง
“สวัสดีครับ ผมชื่อเอกนภา ปัญญาวิวัฒน์ ฝากตัวด้วยนะครับ” ผมแนะนำตัวสั้นๆอย่างเรียบง่าย
“นี่เพื่อนใหม่ของเรา ยังไงก็ต้อนรับดีๆนะจ๊ะ เอ... ที่ไหนว่างนะ อ๊ะ ไปนั่งข้างยูกิจังก็แล้วกัน”
เสียงชื่อคุ้นๆหูทำให้ผมหันคอไปทางเก้าอี้ที่ว่างโดยอัตโนมัติ ภาพที่เห็นคือเด็กสาวที่ชื่อทาจิบานะ ยูกิคนเมื่อคืนนั่นเอง เธอมองผมด้วยใบหน้าราบเรียบอ่านยากเช่นเคย อืม... เธออยู่ห้องนี้เอง แต่เธอไม่ได้อยู่ ม.ต้นหรอกเหรอ? คนญี่ปุ่นนี่เดาอายุยากแฮะ
ผมเดินผ่านนักเรียนที่ยิ้มให้ผมอย่างยินดีให้ ผมยิ้มตอบทุกคนแล้วเดินไปยังที่นั่ง ที่นั่งของผมเป็นที่นั่งตรงกลางห้องพอดิบพอดี ไม่มีค่อนไปทางซ้ายหรือขวาเลย กลางแบบไม่รู้จะกลางไปมากกว่านี้ยังไงดี
ผมโค้งให้คู่นั่งน้อยๆด้วยมารยาทงาม เธอโค้งตอบผมอย่างมีมารยาทเช่นกัน แล้วยกกระเป๋าที่วางอยู่บนเก้าอี้ออก ผมทรุดตัวลงนั่งแทนที่ตรงเก้าอี้ด้านขวาของเธอ
“เราเจอกันอีกแล้ว ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ผมทัก เธอพยักหน้านิดเดียวแทบมองไม่เห็น
“เช่นกันค่ะ” เธอตอบเสียงเบาหวิว ผมยิ้มไม่ถือสาอะไร ดูท่าจะต้องเจอกับสภาพนี้ไปอีกนาน
“นี่ๆ เอกนภามีเชื่อเล่นมั๊ย?” เด็กสาวคนหนึ่งเอี้ยวตัวมาถามจากด้านหน้า ใบหน้ากลมของเชื้อชาติเกาหลีนั้นยิ้มอย่างมีไมตรี “ฉันชื่อซายองนะจ๊ะ”
“เรียกผมว่าเมฆาแล้วกันครับ” ผมตอบ
“เมฆา นายเป็นคนไทยสินะ ดีแล้วๆ พวกเราไม่ได้ใช้ภาษาไทยมานานจนชักจะสนิมขึ้น มีนายเราจะได้ฝึกใช้ภาษามากขึ้นหน่อย คะแนนวิชาภาษาไทยเทอมที่แล้วเราดิ่งลงเหวกันทั้งห้องเลย” เด็กหนุ่มที่อยู่ทางซ้ายของยูกิชะโงกมาหา
“ดีใจที่เป็นแบบนั้นครับ ผมกำลังกลัวว่าจะคุยกับใครไม่รู้เรื่องพอดี” ผมพูดอย่างโล่งอก ดูเหมือนว่าที่นี่จะถือหลักเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม ภาษาไทยเป็นภาษาหลักของที่นี่ไปซะแล้ว ดีจริงๆ
“นี่ๆ ที่เมื่อวานนายจัดการประธานนักเรียนกับอิเล็กโทรมาสเตอร์น่ะเรื่องจริงเหรอ?” เด็หนุ่มที่นั่งข้างๆคนเมื่อกี้ถาม ผมยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ใช่ครับ” ผมตอบ เสียงอื้ออึงดังขึ้นทันที
“จริงอะ? ไซต์ของนายคืออะไรเหรอ?” สาวๆด้านหลังถามขึ้นทันที
“ไม่บอกครับ”
“อ้าว!” หลายคนร้อง
“อย่าอมพะนำซี่! บอกหน่อยน่า”
“นายมีไซต์แบบไหนบอกหน่อยสิ”
เพียงพริบตาเดียวเขาก็กลายเป็นจุดสนใจของคนทั้งห้อง ครูฮารุจึงตัดสินใจว่าควรให้คาบนี้เป็นคาบทำความรู้จักเพื่อนใหม่จึงออกจากห้องไป และนักเรียนทุกคนก็มารุมมะตุ้มเขาทันที
“น่าๆ บอกหน่อยนะ” เด็กสาวคนหนึ่งอ้อน เธอมีผมสีทองเป็นลอนสวยงามคลอเคลียไหล่ ใบหน้างดงามแบบชาวตะสันตกนั้นกำลังแสดงท่าทีอยากรู้เต็มที่
“ไม่เอาครับ ผมไม่อยากบอก” ผมบอกง่ายๆซะอย่างนั้น ทุกคนโอดครวญแล้วพยายามถาม
“เฮอะ ก็แค่อยากให้สาวๆรุมล้อมล่ะว้า คงเป็นไซต์ห่วยๆล่ะไม่ว่า” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาอย่างหมั่นไส้ ผมหันกลับไปมองก็พบกับเด็กหนุ่มที่ท่าทางบอกว่าอารมณ์ไม่ดีแล้วพาลเขาอยู่ เขายิ้มโดยไม่ว่าอะไร และไม่ว่าใครจะถามยังไงก็ไร้คำตอบ
“ไว้เดี๋ยววันหลังผมจะแสดงให้ดูแล้วกันนะครับ ว่าแต่ไอ้นี่ใช้ยังไงครับ?” ผมเบี่ยงแล้วชี้ลงไปที่โต๊ะเรียน มันไม่เหมือนโต๊ะเรียนทั่วไปเลยซักนิด มันเป็นหน้าจออะไรซักอย่างสีฟ้า เป็นระบบปฏิบัติการที่ผมไม่รู้จักและไม่รู้จะใช้งานยังไง
“อ้อ ไอ้นี่ใช้แบบนี้นะ” ทุกคนย้ายความสนใจมาที่โต๊ะเรียนแทน แล้วสอนให้เขาใช้งานมัน เมฆายิ้มพราย
ที่นี่น่าสนุกจริงๆ มาลองดูกันว่าเขาจะเป็นจอมมายาได้แค่ไหน แค่คิดก็สนุกแล้ว จะหลอกคนทั้งโรงเรียนให้หลงเชื่อ แล้วใช้ชีวิตท่ามกลางความเสี่ยงมากมาย อืม... ไม่มีทางน่าเบื่อง่ายๆจริงๆ
จอมมายาหมายเลขหนึ่งของโลก เริ่มถือกำเนิดขึ้นที่นี่แล้ว
