Type 5: การหนีออกจากบ้าน
Type 5: การหนีออกจากบ้าน
กฎของนักต้มตุ๋นข้อที่สอง แยกแยะและประเมินสถานการณ์ให้ได้ คิดตริตรองอย่างถี่ถ้วน หาทางออกที่ดีที่สุดให้ได้โดยเร็วที่สุด บางทีเวลามันไม่มีให้เรามากนักหรอก
ผมเดินออกจากโรงเรียนด้วยอารมณ์ที่ค่อนไปทางดี ในมือมีถุงใส่ข้าวของเครื่องมือที่จำเป็นครบถ้วน ตอนนี้เป็นเวลาค่ำแล้ว จะไปทำอาหารก็คงไม่ทัน คงต้องซื้อจากข้างนอกนี่แหละ
ผมคิดอะไรเรื่อยเปื่อยในขณะที่เดินไปเรื่อยๆ เรื่องราวที่ผมเจอมาวันนี้มันมากเกินกว่าที่จะคาดคิดทั้งเรื่องพิสดารพันลึกอย่างไซคลิก รวมไปถึงการที่พรุ่งนี้เขาจะต้องไปเรียนในโรงเรียนสำหรับคนที่มีพลังจิต โดยที่ตัวเขาเองยังไม่รู้เลยซักนิดว่าตัวเองมีพลังจิตอะไรกับเขาไหม ที่แย่กว่าคือทุกคนดันคิดว่าเขาเก่งบรรลัย นั่นแหละเรื่องซวยมหาซวยล่ะ
ผมคิดอะไรไม่รีบร้อนจนกระทั่งมาถึงบ้านของตัวเอง แต่อะไรบางอย่างทำให้ผมแอบข้างเสาไฟฟ้า แล้วชะโงกไปที่บ้าน... ไม่สิ ที่ที่เคยเป็นบ้านของเขามากกว่า
เพราะตอนนี้คนหลายคนกำลังพังมันอยู่ ไม่ใช่แค่ทุบทำลายข้าวของ แต่พวกมันกำลังพังบ้าน ผนังพังทลายลงมาเป็นแถบๆ เสียงโครมครามทั้งหลายดังอย่างต่อเนื่องพร้อมๆกับที่บ้านของผมพังทลายไปทีละส่วนๆอย่างโหดร้าย บทสรุปเดียว คนที่ทำแบบนี้ได้มีเพียง...
ไซคลิก!
ผมหรี่ตามองภาพตรงหน้าด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน นี่มันบ้านของตา ยาย แล้วก็แม่ของเขานะ! มีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนี้! ผมแทบจะพุ่งเข้าไปเอามีดกระซวกคอพวกมันเสียเดี๋ยวนั้นโดยไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังให้ยุ่งยาก แต่น่าเสียดายที่สิ่งที่พ่อของผมพร่ำสอนและตายายตักเตือนกลับสลักเสลาเข้าไปในแก่นวิญญาณของเขาแล้ว
‘จำไว้เมฆ ลูกจะทำอะไรต้องคิดให้รอบคอบ ใช้เหตุผล อย่าใช้อารมณ์’
‘คลาวด์ สิ่งที่จะทำลายลูกได้มากที่สุดไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นอารมณ์ของลูกเอง’
เสียงของพ่อและแม่ดังเข้ามาในโสตประสาท ผมกัดฟันจนกรามนูนเป็นสัน ระงับอารมณ์ แล้วปล่อยให้มันทำลายบ้านที่ตกทอดมา 3 ชั่วอายุคนของตระกูลผมต่อไป จากนั้นจึงเริ่มใช้สมองขบคิด
การที่เสียงดังโครามครามขนาดนี้แต่ไม่มีใครแตกตื่นเลย เป็นสิ่งที่พอจะคาดเดาได้ว่าคงเป็นสิ่งที่ไซคลิกสามารถทำได้อย่างไม่ต้องสงสัย จะว่าไปแล้วเสียงที่เขาได้ยินตอนนี้ก็ดังเบากว่าที่ควรจะเป็นโข แทบจะไม่ได้ยินเลย ถึงจะอยู่ห่างจากตัวบ้านมาเกือบ 20 เมตรก็ตาม เป็นไปไม่ได้ที่เสียงขนาดนี้จะไม่มีใครได้ยิน ท่าทางว่าเขาคงจะได้ยินเสียงดังกว่าคนอื่นหน่อยล่ะมั้ง
ผมขมวดคิ้วคิดหาทางออกอย่างเคร่งเครียด หนีไปตอนนี้เลยดีไหม? แต่เราจะไม่โดนตามไล่ล่าเหรอ ไม่สิ ยังไม่แน่ว่าพวกมันจะมาล่าเราซักหน่อย ถึงเปอร์เซ็นต์ที่ใช่จะสูงมากก็เถอะ แต่ถ้าไม่รู้จุดประสงค์และความสามารถของพวกมัน คงจะยังตัดสินใจอะไรได้ยากกว่าเดิม
บ้าเอ๊ย ตอนนี้มีแต่ต้องหาข้อมูลให้มากกว่านี้เท่านั้น
ในหัวของผมประมวลผลทางเลือกอย่างรวดเร็ว การหนีไปซะตอนนี้ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่เขาจะหนีไปไหนได้ล่ะ? ถ้ายังไม่รู้ข้อมูลอะไรของอีกฝ่ายเลยคงจะหนีลำบาก แต่ถ้าเข้าไปในโรงเรียนเลยคงจะได้ เดี๋ยวสิ! พวกที่เป็นไซคลิกก็มีแต่คนในโรงเรียนนี่! หรือว่าจะเป็นพวกที่แค้นเขาเลยมาแก้แค้นวันนี้ ก็เขาทำให้พวกมันโดนลงโทษหนักกว่าเดิมนี่นะ แต่ไม่แน่ อาจจะมีพวกไซคลิกอยู่นอกโรงเรียนด้วยก็ได้ แต่พวกนั้นมันจะมาหาเขาทำไม? สรุปแล้วคงเป็นพวกในโรงเรียนนั่นแหละ
ผมกระพริบตาตั้งสติให้มั่น แล้วจ้องมองพวกมันทำลายบ้านของผมต่อไปอย่างตั้งใจ เขาไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีที่ไม่ต้องมากังวลว่าคนในบ้านจะได้รับบาดเจ็บ ก็เพราะเขาอยู่คนเดียวยังไงล่ะ!
ผมกัดฟันแล้วเพ่งตามอง อย่างแรก น่าจะมีไซคลิกสายเบรนซิงโครอย่างน้อยหนึ่งคน พอมาลองดูแล้ว พนังที่พังนั้นมีสภาพเหมือนกับโดนอะไรกระแทกทำลายมากกว่า ตอนนี้ข้าวของที่อยู่ชั้นสองถูกเหวี่ยงทิ้งออกมาจากช่องแตก... ไม่สิ มันๆไม่เรียกว่าช่องแตกแล้ว เพราะผนังด้านหน้าหันมาทางถนนของชั้นสองมันหลุดลงมาทั้งแผงเลยน่ะสิ ผมมองดูตู้เสื้อผ้าที่พังยับไม่มีชิ้นดี มีรอยบุบเหมือนมีอะไรขนาดใหญ่มาบีบให้แตก รอยมือขนาดใหญ่นั้นทำให้ผมขนลุก ถ้าโดนบีบทีเดียวกระดูกแหลกเป็นชิ้นๆแน่ อนุมานหยาบๆว่าคงเป็นสายก็อดอเวตาร์ หรือถ้าไม่ก็สายอื่นที่มีความสามารถทำความเสียหายทางกายภาพ
เอาล่ะ จะทำยังไงดี?
ผมมองดูบัตรนักเรียนในมือพลางหาวิธีติดต่อกลับ น่าเสียดายที่บนบัตรไม่มีเบอร์หรืออะไรเลย ตามจริงแล้วมันน่าจะมีคู่มือนักเรียนหรืออะไรแบบนี้ให้ แต่เขาไม่ได้เข้าปฐมนิเทศ มันคงหมดแล้วอาจารย์เลยไม่ได้ให้เดี๋ยวสิ บนแผนที่น่าจะมีอะไรบางอย่างอยู่นะ ผมคลี่แผนที่ออกอย่างระมัดระวัง แนวรั้วบางๆที่แทบจะกันเขาไม่ได้เลย แต่ถ้าถอยออกไปก็เป็นที่โล่งจนเตะตา ผนังก็โหว่ซะขนาดนั้น ไม่มีอะไรรับประกันว่าพวกมันจะไม่เห็น เดี๋ยวสิ พวกมันคลุมให้คนรอบๆไม่รับรู้ถึงความผิดปกติแล้วนี่ งั้นมันก็ไม่น่าจะสงสัยเขานี่นา? หรือเราจะทำไม่รู้ไม่ชี้เดินผ่านไปเลยดี? แต่ท่าทางไม่ได้ พวกมันมาตามเล่าเขา ถึงขนาดตามมาจนถึงบ้านได้ อาจจะมีรูปของเขาแล้ว จะเสี่ยงไม่ได้เด็ดขาด ผมอ่านแผนที่อย่างรวดเร็ว แต่ไม่มีอะไรบนนั้นเลย บ้าจริง!
ผมกัดเล็บแล้วลังเลว่าควรโทรไปบั๊ก 1113 เพื่อถามเบอร์โรงเรียนดีไหม? แต่ไซคลิกแบบคนพวกนี้จะมีเบอร์ให้ติดต่อไหมนะ? ผมควักมือถือออกมาแล้วก็ต้องสบถออกมาเบาๆด้วยความขัดใจ
ไม่มีสัญญาณ!
เป็นไปไม่ได้โว้ยยย!!! กลางแจ้งในกรุงเทพฯแบบนี้จะอับสัญญาณได้ไง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเป็นคนทำ
ผมกัดฟันกรอดมือขวายกขึ้นมานวดขมับเบาๆด้วยความเคยชินเวลาคิดอะไรบางอย่าง ต้องออกนอกอาณาเขตพลังนี่ก่อน มันน่าจะไม่จำกัดระยะมากนัก เพราะยังไงซะคงไม่คิดว่าจะมีใครมาเห็นแน่ๆ ไม่ก็อาจจะเป็นแค่ผลพวงของพลังเท่านั้น ยังมีอีกทาง คือรอให้พวกมันใช้พลังจนหมด เขารู้มาว่าการใช้พลังแต่ละครั้งจะยิ่งใช้พลังจิตเป็นจำนวนมาก ดังนั้นหากรอต่อไปจนพวกมันอ่อนแรงน่าจะได้ แต่ดูแล้วการกระทำพวกนี้เป็นการระบายอารมณ์ที่หาเขาไม่เจอซะมากกว่า ดังนั้นพวกมันน่าจะออมแรงเอาไว้บ้างอย่างแน่นอน ถึงจะทำใจลำบากที่การพังบ้านทั้งหลังจะออมแรงแล้วก็เถอะ
ผมขมวดคิ้ว บ้าจริง ท่าทางว่าทางเลือกที่ดีที่สุดมีแต่หนีสินะ
ผมตัดสินใจได้หลังจากที่ประมวลผลทั้งมด ซึ่งนับระยะเวลาหลังจากที่เขาแอบหลังเสาแล้ว เวลาเพิ่งจะผ่านไปแค่ 10 วินาทีกว่าๆเท่านั้นเอง แต่เจ้าตัวไม่รู้หรอกว่ามันเร็วหรือไม่เร็ว
ผมหรี่ตามองเส้นทางโล่งๆตรงหน้าแล้วเริ่มหาทางรอด มองจากที่นี่แล้วทางที่ใกล้ที่สุดที่จะหนีรอดคือวิ่งตรงไปอีกประมาณ 100 เมตร แล้วเลี้ยวข้ามรั้วเข้าสวนสาธารณะ ไม่รู้ว่าต้นไม้ที่รกทึบจะทำให้หนีง่ายขึ้นหรือพาตัวเองไปจนมุมกันแน่ หรือวิ่งต่อไปอีกประมาณ 200 เมตรก็จะเข้าเขตชุมชนที่มีคนมากมายออกมาจับจ่ายซื้อของในตลาด แต่การหนีไซคลิกเข้าไปในฝูงชนนั่นเป็นความคิดที่ดีหรือเปล่าเขาเองก็ไม่แน่ใจ ผมขมวดคิ้วสบถ คิดในใจว่าถ้าเขามีความสามารถต้านเบรนซิงโครมากกว่านี้ก็คงจะดี เพราะถึงเขาจะไม่โดนบิดเบือนความคิด แต่กระแสคลื่นหึ่งๆนั่นก็น่ารำคาญจนทำให้เขาตัดสินใจช้าไปหน่อยเหมือนกัน และนั่นเป็นการยืนยันทฤษฏีของเขา
นั่นคือเขามีความสามารถในการต่อต้านการแทรกแซงจิตของคนอื่น
พูดก็พูดเถอะ มันไม่ได้สรุปยากอะไรซักเท่าไหร่ แต่มันยากในการหาคนมาทดสอบเนี่ยแหละ เอาเป็นว่าขั้นต้น การที่จะลบความทรงจำและการสะกดจิตนั้นจำเป็นต้องทำในสิ่งที่หนังสือเรียกว่า การแทรกแซง เสียก่อน ซึ่งก็แบ่งย่อยออกไปได้อีกหลายวิธีทั้งการแทรกสอดคลื่น การเบือนคลื่น หรืออะไรอีกหลายแหล่ที่ยังไม่อยากขุดจากฮิปโปแคมปัส (สมองส่วนเก็บความจำระยะสั้น) ตอนนี้ แต่ว่ามันไม่สามารถใช้กับเขาได้เต็มที่ ถึงเขาหวิดๆจะเกือบโดนสะกดจิตไปก็เหอะ แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้ผลเต็มที่ ยิ่งมีเรื่องของเลเวลด้วยแล้ว ท่าทางว่าเลเวล 70 กว่าของประธานนักเรียนจะสูงเอามากๆ ดังนั้นการทำให้ไม่ได้ยินเสียงของคนพวกนี้น่าจะอยู่ในข่ายความสามารถเบรนซิงโครเหมือนกัน จึงน่าจะให้ผลแบบเดียวกัน
ส่วนสายอื่นๆ บอกจองศาลาได้เลย เห็นง่ายๆจากการใช้กระแสไฟฟ้าของจิรายุส แล้วพลังในการยกตัวให้ลอยที่เห็นชัดๆว่าเป็นสายก็อดโอเมน ต่างก็ใช้กับเขาได้เป็นผลดีแบบไม่มีทางต่อต้าน รวมไปถึงถ้าเกิดอีกฝ่ายใช้ท่อนไม้ขนาดยักษ์ฟาดเข้าใส่อย่างชิน เขาก็คงลงไปนอนเดี้ยง พอสรุปได้ว่าเขาคงจะแค่มีจิตแข็งมากจนต่อต้านความสามารถสายเบรนซิงโครได้บ้างนั่นเอง แต่ก็เหมือนไร้ประโยชน์อยู่ดี เพราะแค่สายเบรนซิงโครไปสะกดจิตใครซัดคนมาอัดเขาก็จบเรื่อง เดาว่าน่าจะต้านได้เฉพาะการสะกดที่พุ่งเป้ามาที่เขาเท่านั้น แต่ก็ได้แค่เดาเท่านั้น ที่เหลือยังต้องทดสอบอีกเยอะ
ที่แย่คือถ้าความสามารถของเขาแพร่ออกไป เขาก็จะถูกหมายหัวเป็นอันดับแรก วิธีรอดทางเดียวคือต้องสร้างภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งจนไม่มีใครกล้ามาทดสอบเท่านั้น!
แต่นั่นมันหลังจากที่เขาหนีจากไอ้พวกนี้สำเร็จล่ะนะ
บ้าจริง นิสัยชอบคิดต่อยอดของเขาทำให้เสียเวลาอีกแล้ว!
ผมมองข้าวของในตัวแล้วเริ่มหาทางรอด มือถือ เสื้อผ้า แผนที่ พวกของที่ถ่วงน่ะทิ้งไว้ซะ ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู เลือกเพลงที่มีจังหวะแรงๆมาซักเพลง เปิดไฟล์แล้วเร่งเสียงให้แรงที่สุด เปิดสปีคโฟน แล้วกดเล่นเพลง แล้วอาศัยจังหวะนั้นขว้างมือถือราคาหลายพันไปทางขวาของตัวบ้านที่เป็นทิศตรงข้ามของเขาอย่างเงียบเชียบ ทันทีที่มันตกพื้น เสียงครางเบาๆของเพลงซอมบี้ก็ดังขึ้น ผมอาศัยจังหวะนั้นออกวิ่งไปในทิศตรงข้ามทันที
ถึงอยู่ตรงนี้จะได้ยินแค่เบาๆเพราะผลของพลังที่ปิดกั้น แต่ถ้าอยู่ภายในล่ะก็ รับรองเพลงซอมบี้ของเขากระหึ่มสะใจแน่ และคงจะทำให้พวกมันหันไปสนใจได้ซักนิดก็ยังดี ที่เหลือก็แต่เวรกรรม แล้วพุ่งตัวไปหาเป้าหมาย
ฝูงคน
เหตุผลมีหลายข้อ ข้อแรก จริงอยู่ว่าการวิ่งเข้าไปในป่าจะสามารถซ่อนตัวและอาจแอบเข้าไปในโรงเรียนได้ แต่คิดอีกแง่ก็คือมันจะเท่ากับปล่อยให้มันเจี๋ยนผมอย่างลับหูลับตา ถึงจะสามารถหลบเร้นออกจากป่าได้รอบทิศ แต่ความเสี่ยงที่จะให้พวกมันใช้พลังได้เต็มที่ก็ทำให้ผมลังเล
ส่วนการหนีเข้าฝูงชน น่าจะบีบให้พวกมันที่ยังเป็นนักเรียนอยู่ระมัดระวังใช้อย่างเงียบๆ อีกอย่าง มันมีโทรศัพท์ด้วย น่าจะพอหยอดตู้ได้นะผมว่า แล้วเราก็สามารถทำเนียนกับฝูงชนได้ โชคดีที่เรายังอยู่ในชุดนักเรียนธรรมดา
ทั้หงมดในการเลือก เลือกตอนที่กำลังวิ่งอยู่ ผมวิ่งไปด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่ร่างกายจะเอื้ออำนวย ด้วยความเร็วระดับนี้ใช้เวลาแค่ไม่ถึงสองนาทีก็น่าจะหลุดออกจากซอยได้ ผมไม่กล้าหันไปมองข้างหลัง แต่จากที่ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยน่าจะยังปลอดภัยนะ เราก็วิ่งมาได้ครึ่งทางแล้ว ไม่น่าจะ....
“ไงไอ้หนู จะหนีไปไหน อ้อ เพลงแกเพราะดีนะ”
เสียงนั้นทำให้ผมหนาวเยือก ชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศที่ว่างเปล่าขวางหน้าผมเอาไว้ ใบหน้าระบายยิ้มคุ้มคลั่งนั้นทำให้ผมระแวดระวัง ร่างสูงอยู่ในชุดลำลองแขนกุดกางเกงยีนขาดๆ ดูเหมือนพวกติดยา แต่การที่มันหายตัวมาโผล่ตรงหน้าผมก็ทำให้ผมชะงักเท้าทันที
บ้าจริง มันมีพวกเทเลพอร์ต!!!
