Type 4:คงไม่น่าเบื่อ
Type 4:คงไม่น่าเบื่อ
กฎของนักต้มตุ๋นข้อที่หนึ่ง ตั้งเป้าหมายว่าต้องทำอะไร
“โปรดตามผมมา” มาสเตอร์เซรันพูดด้วยน้ำเสียงกังวล ผมเดินผ่านฝูงคนไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย นึกสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องยุ่งยากตามมา แล้วเขาจะเอาตัวรอดจากที่นี่ได้ยังไงล่ะเนี่ย?
มาสเตอร์เซรันพาผมเดินมาเรื่อยๆ ระหว่างทางผมสังเกตว่ามีแต่คนมองผมเป็นระยะแล้วหันไปซุบซิบกัน ท่าทางว่าสิ่งที่ผมทำลงไปมันจะก่อผลกระทบไม่น้อยเลย
“อ้าว มาสเตอร์เซรัน จะไปไหนเหรอคะ?” เด็กสาวผมสั้นที่ผมจำได้ว่าชื่อนิรมลเดินเข้ามาทัก
“อ้าว แผลหายแล้วเหรอ?” มาสเตอร์เซรันถาม
“ค่ะ หายแล้ว ว่าแต่มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?” เธอถามพลางมองไปรอบๆ เห็นสายตาแปลกๆมองมาจากทุกทิศก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ มาสเตอร์เซรันถอนหายใจ
“ก็เขาไปซัดทั้งมิสเตอร์ปิแอร์แล้วก็มิสเตอร์จิรายุสตอนกำลังตีกันซะหมดท่าเลยน่ะสิ” ชายหนุ่มเล่าแบบปลงๆ นิรมลตาโต หันมามองผมแบบไม่อยากเชื่อ
“หา! นายเนี่ยนะอัดรุ่นพี่ปิแอร์กับนายจิรายุส!!!” เธออุทานเสียงดัง ทำไม? มันแปลกมากนักเหรอ? ก็คงจะแปลกมากจริงๆนั่นแหละ ตอนนี้ผมเริ่มเสียใจแล้วที่ตัดสินใจแบบนั้นลงไป
“ตอนนี้พ่อกำลังจะพาเขาไปที่ห้องทะเบียนเพื่อลงทะเบียนนักเรียนใหม่น่ะ” มาสเตอร์เซรันบอก นิรมลพยักหน้ารับ มองผมด้วยสายตางุนงง แต่ไม่ได้ถามอะไรอีก แล้วก็พูดขึ้นมาเหมือนเพิ่งนึกได้
“อ้อ มาสเตอร์คะ ถ้าผ่านไปทางห้องสมุดช่วยบอกยูกิจังว่าเย็นนี้นัดซ้อมที่เดิมนะคะ” มาสเตอร์เซรันงงไปนิดหนึ่งแล้วค่อยนึกออก เพราะปกติแล้วเขามักจะเรียกนักเรียนด้วยชื่อสกุล พอพูดถึงชื่อต้นจึงต้องนึกก่อน
“หืม? มิสทาจิบานะสินะ ได้ เดี๋ยวถ้าพ่อเจอจะบอกให้” มาสเตอร์เซรันรับปาก นิรมลพยักหน้าแล้วหันกายเดินจากไป มาสเตอร์เซรันหันมาพยักหน้าให้ผมเดินต่อ ผมสาวเท้าตามไป
ผมเพิ่งจะรู้สึกว่าโรงเรียนเซนท์ปิแอร์ใหญ่จริงๆเอาตอนนี้เอง อาคารสิ่งก่อสร้างอย่างโอ่อ่าหรูหรา ตกแต่งอย่างมีรสนิยม ทั้งการวางผังโรงเรียน การจัดสวนหย่อม การปลูกต้นไม้ก็ลงตัวไม่มีที่ติ ทำให้โรงเรียนนี้ดูร่มรื่นน่าสบายจริงๆ ผมเห็นมุมน่างีบนอนตั้งหลายที่
นักเรียนของที่นี่ดูเป็นลูกคนมีเงิน ผมเห็นมีหลายเชื้อชาติทีเดียว ลูกครึ่งก็เยอะ แถมที่พูดกันก็แทบไม่เห็นใครพูดภาษาไทยเลย ทำไมอัจฉริยะต้องมีแต่คนต่างชาติด้วยนะ อ้อ เห็นนิรมลกับจิรายุสสองคนแน่ะที่เป็นคนไทย นอกนั้นก็มีแต่หัวทองหัวแดงเป็นส่วนใหญ่
ในที่สุดหลังจากมาสเตอร์เซรันพาผมเดินอยู่ 15 นาที เราก็มาถึงอาคารทะเบียน พวกเราเดินเข้าไปข้างในก็เห็นบรรดาครูอาจารย์เต็มไปหมด ผมชักสงสัยแล้วว่ามาสเตอร์เซรันทำไมต้องใส่ชุดบาทหลวง? ทั้งๆที่ครูคนอื่นๆก็ใส่สูทกันธรรมดา ครูคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมา เขามีสีหน้าปลกใจ
“อ้าว คุณเซรัน มาทำอะไรที่นี่เหรอครับ?”
“ผมพาเด็กนักเรียนใหม่มาน่ะครับ ช่วยจัดการให้ด้วย” มาสเตอร์เซรันพูด ครูคนนั้นเหลือบมามองผมแล้วพยักหน้ารับ
“ครับ ผมจะจัดการให้” เขารับคำ มาสเตอร์เซรันพยักหน้า แล้วหันมาทางผม
“ครูไปก่อนนะ” ผมพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร แล้วเขาก็เดินจากไป ผมหันกลับมาทางอาจารย์ที่ก้มลงไปคุ้ยเอกสารจากข้างล่างขึ้นมา
“สวัสดี ครูชื่อธีโอดอร์ ยินดีที่ได้รู้จักนะ เธอชื่ออะไรล่ะ?” ครูธีโอดอร์ยิ้มให้ผม เขามีดวงตาสีฟ้าอ่อนและผมสีทอง ใบหน้าหล่อเหลาบอกเชื้อสายกรีกผสมอเมริกันอย่างชัดเจน ผมยิ้มน้อยๆตอบไป
“ผมชื่อเอกนภา ปัญญาวิวัฒน์” ผมตอบสั้นๆ ครูธีโอดอร์ยิ้มแล้วยื่นแบบฟอร์มมาให้ผมกรอกประวัติส่วนตัว ข้อมูลสุขภาพ ที่อยู่ โรงเรียนเก่า จนกระทั่งผมยื่นคืนให้ ครูธีโอดอร์รับมาอ่านคร่าวๆแล้วยิ้ม
“โอเค เธอจะได้ย้ายมาที่นี่ในวันพรุ่งนี้ เดี๋ยวไม่เกินเย็นนี้เธอจะได้รับแจ้งถึงห้องเรียนแล้วก็ตารางสอน ลองไปเดินดูรอบๆโรงเรียนก่อนก็ได้ ซักบ่ายสามเธอค่อยกลับมาที่นี่”
ผมพยักหน้า แล้วหันหลังออกเดิน แต่ผมนึกอะไรได้ เลยหันกลับมาอีกครั้ง
“คุณพอจะมีแผนที่ไหม?”
ผมกางแผนที่ที่พับหลายทบออกมาดู พอกางออกมาด้วยวิธีพับที่แปลกกว่าปกติ ผมก็ได้แผนที่ขนาดใหญ่มากอย่างน่าแปลกใจ มันมีขนาดประมาณหนึ่งตารางเมตร เสกลมาตรวัดที่มุมบอกว่ามันมีขนาดหนึ่งต่อสี่พัน เหอๆ มันใหญ่เอามากๆเลยล่ะ ผมเขม้นตามองรายละเอียดในแผนที่อย่างละเอียด มีตึกเรียนอย่างน้อยสามสิบตึก หอพักนักเรียนอีกเกือบ 20 ตึก อาคารต่างๆอีกสิบกว่าตึก หอประชุมใหญ่ 1 หอ หอประชุมย่อย 5 หอ ศูนย์กีฬา 4 แห่ง โรงอาหาร 12 ที่ แล้วก็อาคารที่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรอีกหลายที่ แล้วก็โรงเก็บของกับห้องน้ำอีกมากมาย สวนหย่อมหลายที่ บ่อน้ำและน้ำพุอีกมากมายจนขี้เกียจนับ สรุปแล้วผมถอดใจที่จะนับว่ามีกี่อาคารตั้งแต่กวาดตาดูแวบแรกแล้ว ที่ผมสนใจจริงๆก็คือ...
ห้องสมุด
ผมติดนิสัยที่ต้องหาคำตอบที่สงสัยให้ได้โดยเร็วที่สุด อะไรที่ค้างคาอยู่ในหัวของผมมันจะทำให้เกิดความค้างคาและรำคาญ ผมกำหนดทิศทาง เก็บแผนที่ลงกระเป๋า แล้วมุ่งหน้าไปที่ห้องสมุด
พอผมมาเห็นห้องสมุด ผมก็เลิกทึ่งแล้ว ผมได้แต่ปล่อยวางและทำใจว่าคงจะเจออะไรใหญ่ๆอีกมากในโรงเรียนนี้ แต่ไหนแต่ไรมา ส่วนที่ผมชอบที่สุดในโรงเรียนก็คือห้องสมุด เวลาผมไปต่างโรงเรียน ผมมักจะมองห้องสมุดของเขาเป็นที่แรก เพราะมันแสดงให้เห็นว่าคนในโรงเรียนนั้นใส่ใจในการศึกษาแค่ไหน ผมเดินเข้าไปในห้องสมุดที่ใหญ่โตกว่าบ้านของผมแล้วกวาดตามองไปรอบๆ อาคารปูพรมนุ่มเท้าชนิดน่าลงไปนอน ติดแอร์เย็นสบาย บรรยากาศเงียบสงบเหมาะแก่การอ่านหนังสือ โต๊ะนั่งอ่านแบ่งเป็นสัดส่วน มีตั้งแต่โต๊ะเก้าอี้ไม้ ไปจนถึงชุดโซฟาน่านั่ง นักเรียนเกือบร้อยอยู่ในห้องสมุดนี้ ผมให้คะแนนเต็มในใจ ไม่สนใจสายตาใคร่รู้ที่จ้องมองมา ผมหันไปหารายชื่อหมวดหนังสือ แล้วตรงไปที่หมวดข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียน
ผมเงยหน้ามองชั้นหนังสือสูงเกือบถึงเพดาน มีหนังสืออัดแน่นกว่า 5 ชั้น ทั้งหมดนี่เป็นหนังสือเกี่ยวกับโรงเรียนทั้งหมดเลยเหรอเนี่ย? ผมเกาแก้มแล้วเริ่มสำนึกเสียใจว่าคงจะไม่ง่ายอย่างที่คิดซะแล้ว ผมเลือกหยิบสุ่มๆออกมาสองสามเล่ม รวมรายชื่อนักเรียนรุ่นที่ 45 งั้นเหรอ... แล้วนี่ก็ประวัติการก่อสร้างโรงเรียน นี่รวมรูปงานโรงเรียนปี 1994 แล้วมันจะหาเจอไหมเนี่ย?
ผมง่วนอยู่กับการไล่หาหนังสือที่ต้องการอยู่พักหนึ่ง ผมหันหลังกลับ แล้วผมก็รู้สึกว่ามีอะไรมากระแทกที่หน้าอกเบาๆ วินาทีแรกผมนึกว่าคิดไปเองว่าไม่มีใคร เพราะมองไม่เห็นอะไรเลย ผมมองเห็นแค่ความว่างเปล่า
เห?
ผมก้มลงมองที่หน้าอกตัวเอง ก่อนจะเห็นศีรษะเล็กๆแปะอยู่ที่หน้าอก ผมก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติ แล้วสังเกตว่าคนที่ผมหันมาชนเป็นใคร
เธอตัวเล็กมาก นั่นเป็นความรู้สึกแรกที่ผมคิด ความสูงของเธอก็แค่ราวๆ 150 กว่าๆ สูงระดับอกของผมเท่านั้น เธอมีผมสีดำขลับยาวถึงสะโพก ผิวขาวเนียนละเอียดเหมือนไม่เคยโดนแดดมาก่อน ใบหน้ารูปไข่ดูน่ารัก กับดวงตาสีกลมโตดำที่อ่านยาก ริมฝีปากบางสีชมพู จมูกนั้นแดงนิดๆเพราะเพิ่งชนกับผมมา ใบหน้าของเธอราบเรียบจนผมจับอารมณ์ไม่ถูก รูปร่างอรชรอ้อนแอ้นบอบบางจนถ้าลมพัดมาแรงๆเธออาจจะเผลอปลิวไปตามลมก็ได้ เธอดูน่าทะนุถนอมปกป้องจนผมนึกถึงตุ๊กตากระต่ายที่อยู่ที่บ้าน เป็นหน้าตาที่น่ากอดจริงๆ แต่สีหน้าเย็นชาเหมือนฉาบด้วยน้ำแข็งนั้นกลับเตือนให้ใครก็ตามที่คิดจะทำอย่างที่คิดชะงักเท้า
“เอ่อ... ขอโทษนะครับที่หันมาเร็วเกินไป” ผมพูด เธอยังทำหน้านิ่งอยู่ เวลาผ่านไปประมาณสามวิ ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ จนผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเธอคงจะฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง ผมจ้องหน้าเธออีกครั้ง เธอน่าจะเป็นคนเอเชียแน่นอน แต่ว่าเป็นคนเกาหลี จีน หรือญี่ปุ่นนี่คงเดายากหน่อย ผมเลยทวนอีกทีเป็นภาษาอังกฤษ ในที่สุดเธอก็พยักหน้า แล้วหันกายช้าๆเดินจากไป ผมมองตามหลังเธอไปแล้วคิดในใจว่าคบยากชะมัด
ผมใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในการหาหนังสือเล่มที่ต้องการจนเจอ อันที่จริงมันคงจะยังไม่เจอง่ายๆถ้าผมไม่หันไปขอความช่วยเหลือจากบรรณารักษ์ห้องสมุด ท่าทางว่าบรรณารักษ์ที่นี่จะเป็นนักเรียนอาสามา เธอดูหวาดกลัวจนสะดุ้งเมื่อผมเข้าไปทัก นักเรียนคนอื่นมองเธอด้วยแววตาไว้อาลัย แต่ก็ดูโล่งอกเมื่อผมบอกสิ่งที่ต้องการ แล้วรีบไปหามาให้อย่างเร่งร้อน พอได้ปุ๊บเธอก็เอามาวางตรงหน้าผมปั๊บ แล้ววิ่งปรู๊ดกลับเข้าคอกบรรณารักษ์ไป ผมหาที่นั่งเหมาะๆแล้วอ่าน
โรงเรียนนี้มีประวัติยาวนานเป็นร้อยปี สร้างขึ้นโดยชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาในเมืองไทย เป็นโรงเรียนคริสเตียน แต่ปัจจุบันเป็นโรงเรียนสำหรับไซคลิก นอกจากนี้ยังมีอีกหลายโรงเรียนในพื้นที่ต่างๆทั่วโลกอีกด้วย ได้ยินว่าสนามแม่เหล็กในแถบนี้ส่งผลดีต่อการพัฒนาพลังจิต
มาถึงเรื่องพลังจิต ที่นี่มีศัพท์เฉพาะที่ใช้เรียกพลังชนิดต่างๆว่าไซต์ มีมากมายหลากหลายจนตาลายเลย มีหนังสือเล่มหนึ่งเขียนชนิดของไซต์เท่าที่เคยมีมาอย่างละเอียด ผมมีความสามารถขัดขืนการแทรกแซงจิตใจ มันจะนับว่าเป็นพลังจิตหรือเปล่านะ? แต่ผมพบว่าความสามารถต่อต้านนี้มักจะมีในสายเบรนซิงโครอยู่แล้ว อาจเป็นไปได้ว่าผมอาจจะมีพลังอยู่ในสายนี้ก็ได้
สรุปแล้วอ่านมาสามเล่ม ผมสรุปได้มาแต่ข้อมูลพื้นฐาน ผมปิดหนังสือแล้ววิเคราะห์
ตอนนี้ผมต้องมาเรียนที่นี่แน่นอนแล้ว ท่าทางว่าการตัดสินใจคราวนี้จะผิดพลาด ถึงในสถานการณ์ตอนนั้นจะถือว่าไม่เลวก็เถอะ แต่ว่าขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ซักวันความลับต้องแตกแน่ มีแต่ต้องหาทางแก้ไขเท่านั้น อย่างแรกต้องรีบตรวจสอบให้ได้ว่าเรามีไซต์ติดตัวหรือเปล่า ความสามารถเมื่อกี้มันแค่ฟลุ๊คหรือว่าเป็นพลังของไซต์กันแน่ มีเขียนเอาไว้เหมือนกันว่าคนที่มีจิตใจเข้มแข็งก็สามารถต้านการสะกดจิตได้ หรือว่าเราจะไม่มีพลังจิตจริงๆ? เครื่องวัดพลังก็วัดได้ 0 แบบนี้คงต้องหาทางรับมือโดยไม่มีพลังจิตแล้ว
การจะอยู่รอดให้ๆได้ในที่นี้ต้องอาศัยเรื่อง 2 อย่าง นั้นคือไม่ใช้พลังจิต หรือถ้าใช้ก็ต้องให้น้อยที่สุด เพราะจะกลบเกลื่อนยาก อย่างที่สอง จะรักษาภาพพจน์ตอนนี้ยังไง และต้องเตรียมบทเอาไว้เวลามีใครถาม บทของนักเรียนเย่อหยิ่งที่ไม่ชอบใช้พลังก็ไม่เลว แต่ต้องทำให้ไม่มีครกล้ามาทดลองง่ายๆจะดีที่สุด แล้วต้องหาข้ออ้างตอนเรียนด้วย การวางตัวต้องทำให้รัดกุม ถ้าจะให้ดีต้องมีคนคอยช่วยปกปิดความลับด้วย มาสเตอร์เซรันน่าจะโอเคนะ แต่ว่าคงช่วยเราไม่ได้ทุกครั้ง หรือจะหาเพื่อนในห้องดี? ไม่ๆ มันเสี่ยงเกินไป...
ผมเงยหน้ามองนาฬิกาก็พบว่าเวลาผ่านมานานพอสมควรแล้ว แล้วผมก็มานั่งเต๊ะท่าอยู่ห้องสมุดให้เป็นเป้าสายตานานแล้วด้วย ท่าทางคงจะไปรับของจากฝ่ายทะเบียนได้แล้วสินะ
ผมลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปข้างนอก พยายามทำตัวให้ชินกับส่ายตาที่มองมา คิดในใจว่าคงต้องทนไปอีกอย่างน้อยก็ระยะหนึ่ง แล้วค่อยหาทางกลบข่าวลือพวกนี้เอา ตอนนี้คงต้องตามหามาสเตอร์เซรันเพื่อหาทางแก้ไขก่อน
“อ้าว เอกนภา มาแล้วเหรอ ชื่อเรียกแฮะ มีชื่อเล่นหรือเปล่า?” ครูธีโอดอร์ทักทันทีที่ผมเดินเข้าไปหา
“เมฆาครับ” ผมตอบสั้นๆ เขาพยักหน้า
“โอเค เมฆา นี่ของของเธอ” แล้วเขาก็ยื่นบัตรอย่างหนึ่งให้ผม ผมรับบัตรขนาดเท่าบัตรโทรศัพท์ขึ้นมาดู แล้วเพิ่งรู้ว่ามันเป็นบัตรนักเรียนของผมเอง ตัวบัตรเป็นพื้นสีดำลายน้ำเงินที่ผมชอบ คงจะเอาจากแบบสอบถาม ด้านหน้ามีรูปของผม ชื่อ นามสกุล วันเกิด ชั้นปี ผมอยู่ห้อง 4A สาย ??? ระดับ ??? นี่มันแปลว่ายังไม่รู้สินะ ด้านหลังเป็นตราโรงเรียน ผมลองบิดๆดูก็พบว่ายืดหยุ่นดี
“บัตรนั่นเป็นบัตรนักเรียนของเธอ แล้วก็เป็นตัวเก็บข้อมูลของเธอทุกอย่างทั้ผลการเรียน คะแนน คูปองซื้อของในโรงอาหาร รวมไปถึงเป็นบัตร ATM ได้ด้วยนะ บัตรนี่สารพัดประโยชน์มาก แล้วนี่ก็คู่มือ” ครูธีโอดอร์ยื่นสมุดเล่มเล็กๆมาให้ ผมนิ่งไปพักหนึ่ง นี่จัดการย้ายข้อมูลทะเบียนเรียนมาให้ผมแล้วเหรอ? อะไรมันจะไวปานนั้นเนี่ย?
“นี่คือตารางเรียนของเธอ แล้วใบนี้คือใบรายการของที่ต้องซื้อ เอาไปยื่นให้สหกรณ์แล้วเขาจะจัดของให้ รวมๆแล้วก็เกือบๆ 4 พันนะ เตรียมเงินมาด้วยล่ะ” ผมนิ่งมองรายการของยาวเหยียดในมือแล้วพยักหน้ารับ ถ้าจำไม่ผิดสหกรณ์น่าจะอยู่ใกล้ๆโรงอาหารนะ ผมเดินไปตามทางทันที
ถึงจะบอกว่าสหกรณ์ แต่ที่นี่ก็ใหญ่น้องๆห้างเล็กๆได้เลย แถมมีตั้ง 3 ชั้นอีกต่างหาก (เลิกเหวอแล้ว) ผมถือใบรายการแจ้งว่าต้องการซื้อของตามรายการนี้ พนักงานก็ไปหยิบมาให้จนครบ ผมเปิดกระเป๋าเงินแล้วส่งบัตรเครดิตไปให้ แล้วหิ้วของทั้งหมดออกมา พอดีกับที่ได้ยินเสียงโครมครามดังมาแว่วๆ ผมที่ไม่รู้จะไปไหนต่อดีก็เลยถือโอกาสเดินไปดูซะเลย
มันคือการตีกัน วันนี้ทำไมเห็นบ่อยจังนะ นี่ครั้งที่ 3 แล้ว
สถานที่คือซอกตึกแห่งหนึ่ง ด้านหนึ่งเป็นกำแพงสูง คนที่กำลังสู้อยู่เป็นผู้ชายสองคน คนแรกกำลังใช้พลังจิตบังคับให้พื้นดินแปรรูปขึ้นมาโจมตี บางทีก็เป็นหอกดินพุ่งขึ้นมา บางทีพื้นก็แยกออก ส่วนอีกคนถือไม้ท่อนใหญ่ที่ไม่น่าจะมีคนถือๆไหวแล้วกระโดดข้ามสิ่งกีดขวางมาด้วยพละกำลังอันเหลือเชื่อ ผมมองการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและพละกำลังที่มากผิดธรรมดานั้นอย่างแปลกใจ การต่อสู้ดูท่าจะจบอีกไม่นาน เพราะแม้อีกฝ่ายจะสร้างสิ่งกีดขวางหรือพยายามโจมตีเท่าไหร่ แต่เด็กหนุ่มที่ถือท่อนไม้กลับหลบหลีกและร่นระยะเข้าไปได้เรื่อยๆ ดูแล้วอีกไม่นานหมอนั่นคงโดนฟาดสลบในอีกไม่นานนี้แหละ
แล้วผมก็เดาไม่ผิด เพียงไม่ถึง 30 วินาทีเด็กหนุ่มที่ถือท่อนไม้ก็เข้าประชิดได้ แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร แท่งน้ำแข็งคมกริบหลายแท่งก็พุ่งเข้ามาหาทั้งสองคนจนคนหนึ่งต้องสร้างกำแพงดิน ส่วนอีกคนต้องควงไม้เป็นวงด้วยความเร็วสูงเพื่อปัดป้อง แท่งน้ำแข็งเหล่านั้นบ้างก็ปักลงในกำแพงดิน บ้างก็ถูกปัดจนกระเด็นไปหมด ไม่มีใครได้รับอันตราย
“นี่คือกรรมการนักเรียนผ่ายคุมกฎ พวกนายฝ่าฝืนข้อบังคับข้อที่ 14 ใช้พลังจิตนอกเขตที่กำหนดเพื่อทะเลาะวิวาท ยอมให้จับซะดีๆ”เสียงประกาศนี้ดังออกมาจากปากซอย กลุ่มคนเกือบ 10 คนในเครื่องแบบของเซนท์ปิแอร์ยืนปิดทางออกด้วยใบหน้าจริงจัง ที่แขนซ้ายของทุกคนมีแถบผ้าสีน้ำเงินอยู่ด้วย ทั้งสองคนหันมามองหน้ากันแล้วคงตัดสินใจว่าจะหนีก่อน ทั้งสองจึงเริ่มลงมือฝ่าวงล้อมทันที
ชายที่ควบคุมดินสร้างแผ่นดินไหวเล็กๆขึ้นใต้เท้าของกลุ่มคุมกฎ ทำให้ระส่ำระสายไปชั่วครู่ เด็กหนุ่มพุ่งฝ่าเข้าไปทันที แต่กลับไม่ง่ายนัก เพราะมีเถาวัลย์จากไหนไม่รู้เลื้อยขึ้นมารัดข้อเท้าจนสะดุดหกล้ม แล้วเริ่มเลื้อยขึ้นรัดพันทั้งร่างอย่างช้าๆ
เด็กหนุ่มผู้ควบคุมดินพยายามดิ้นรนลุกขึ้น พยายามฝืนแรงเถาวัลย์ แต่น้ำแข็งที่เริ่มเกาะกุมไล่ตั้งแต่ขาขึ้นมากลับเป็นทางถอยของเขาจนหมด ผมมองลงไปเห็นเป็นคนคุ้ยเคย นิรมลนั่นเอง เอ๋? แล้วเด็กที่กำลังยกมือเล็งไปที่เป้าหมายคือเด็กผู้หญิงตัวเตี้ยๆๆเมื่อกี๊ไม่ใช่เหรอ?
ส่วนอีกคนกลับอาศัยพละกำลังที่สูงลิบ วิ่งด้วยความเร็วไต่กำแพงด้านหนึ่งกะจะบินข้ามหัวไปเลย ทั้งลูกไฟและมีดสายลมหลายลูกต่างพุ่งเข้าสกัด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ในจังหวะที่กำลังจะพ้นอยู่แล้วนั้นเอง ทั้งนิรมลและยัยเตี้ย (จำได้แค่ความสูง) ก็วาดมือขึ้นเหนือหัว สร้างลูกน้ำแข็งนับสิบลูกขึ้นมาพร้อมๆกัน
แต่แล้วเด็กหนุ่มคนนั้นก็อาศัยท่อนไม้ในมือ ฟาดเปรี้ยงเข้าที่กำแพงเป็นแรงส่งให้พุ่งไปข้างหน้า รอดจากคมน้ำแข็งอย่างหวุดหวิด แถมส่งให้ลอยออกไปไกลกว่าเดิมด้วย ทันทีที่เท้าแตะพื้น เด็กหนุ่มก็ระเบิดฝีเท้าวิ่งหนีหายไปด้วยความเร็วที่น่าตระหนกในทันที
ผมก้มลงมองจากบนกำแพงด้วยความรู้สึกสนุกสนาน นิรมลมองขึ้นมาทางผม ผมเลยโบกมือให้แล้วยิ้มแบบกวนประสาท เธอทำท่าฮึดฮัดแล้วเดินจากไป ผมพลิกตัวลงจากกำแพงแล้วเดินย้อนกลับมาที่สหกรณ์อีกครั้ง ก็ยังไม่ได้หาอะไรกินเลยนี่นา
ผมเลือกซื้อขนมสองสามอย่างกับเครื่องดื่มเสร็จแล้ว กำลังจะจ่ายเงิน เด็กหนุ่มคนหนึ่งก็เดินโซเซเข้ามาในร้าน อ้าว ไอ้คนที่เพิ่งจะโดดข้ามหัวพวกกรรมการนักเรียนหนีไปเมื่อกี้นี่หว่า? เขากวาดเอาขนมปังมาเต็มหอบแล้ววางลงบนโต๊ะ ผมเห็นท่าว่าคงรีบมากเลยยอมให้จ่ายก่อน ผมมองดูเขาหยิบอันที่แสกนแล้วขึ้นมาฉีกกินตรงนั้นหน้าตาเฉยแล้วยิ้ม ท่าทางจะหิวจัด
“เมื่อกี๊นายกระโดดข้ามหัวพวกกรรมการนักเรียนได้เจ๋งดีนะ” ผมชม
เขาเหลือบตามาทางผม ร่างสูงสมส่วน ที่แขนและขามีกล้ามเป็นมัดๆบ่งบอกความสุขภาพดี ร่างกายดูบึกบึนแข็งแรง ผมสั้นสีดำและดวงตาสีดำ หน้าตาโฉดชนิดที่ถ้าใครเดินชนบนถนนคงรีบควักกระเป๋าเงินส่งให้ในทันที ตอนนี้กำลังทอแววหิวโหย สวาปามอาหารอย่างบ้าคลั่ง
“เห็นด้วยเหรอ?”
“ใช่” ผมตอบ เขายังคงกินต่อไป จนกระทั่งขนมปังหมดก้อนเขาถึงได้พูดต่อ
“ก็งั้นๆแหละ เกือบไม่รอด แต่ใช้แรงไปเยอะมากเหมือนกัน” เมื่อเห็นปริมาณขนมหมาศาลนี่ผมก็เห็นด้วยในใจ “นายเป็นนักเรียนใหม่เหรอ?” เขาถามเมื่อสังเกตเห็นชุดของผม
“ใช่ จะย้ายมาพรุ่งนี้” ผมตอบ
“งั้นเหรอ? ฉันอยู่ 4B นายล่ะ?” เขาพูดพลางเปิดขนมปังถุงที่ 5
“ฉันอยู่ 4A” เขาทำตาโต ลืมเคี้ยว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ซักพักก็ขมวดคิ้ว “งั้นนายใช่คนเดียวกับที่อัดไอ้ประธานนักเรียนกับไอ้เบ๊นซ์... ไอ้จิรายุสน่ะสิ?”ข่าวไปไวเชี๊ยะ
“ใช่” ผมตอบพลางมองดูปฏิกิริยาตอบรับ แต่อีกฝ่ายก็แค่ยัดทะนานอาหารต่อไป พอหมดห่อแล้วก็ฉีกห่อที่ 6 พลาง พลางจ่ายเงินรับถุงขนมขึ้นมา ผมก็จ่ายเสร็จแล้วเลยเดินตามออกมาข้างนอก เด็กหนุ่มคนนั้นทำท่าลูบท้อง
“เฮ้อ ค่อยยังชั่ว ฉันชื่อชิน นายล่ะ?” เขาพูดแล้วหันมาหาผม ยมยิ้มมีเลศนัยตามแบบฉบับ
“ฉันเมฆา”
“เมฆาเหรอ ชื่อเรียกยากแฮะ” เขาพึมพำ “ยินดีต้อนรับสู่เซนท์ปิแอร์นะเมฆา” ผมพยักหน้ารับไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น ชินกวาดสายตาไปรอบๆคล้ายจะมองหาอะไรซักอย่าง แล้วก็ถอนใจ
“เฮ้อ มีคนของสภานักเรียนเยอะขนาดนี้ คงจะไปอัดไอ้เอิร์ธไม่ได้แล้วแฮะ” เขาพูดไปกินไป สุดท้ายก็ยักไหล่ “เกลียดพวกสภานักเรียนชะมัด ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะเมฆา” พูดจบก็โบกมือให้ผมแล้วเดินจาไป ผมมองเงาหลังนั้นจนลับสายตาไปแล้วระบายยิ้มบางๆ
ถ้ามันน่าสนุกขนาดนี้ สงสัยเขาจะไม่ได้เลือกผิดแฮะ
ผมบิดขี้เกียจจนกระดูกลั่น เมื่อลืมตาอีกครั้ง ความลังเลก็หายไปหมด เหลือแต่ความแน่วแน่ที่เลือกแล้ว
ได้เวลาใช้สมองแล้ว ดูแล้วที่นี่คงไม่น่าเบื่อ
