Type 3: ปิศาจตัวใหม่
Type 3: ปิศาจตัวใหม่
กระแสไฟฟ้าอ่อนๆแล่นปราดเข้ามาในหัวผมอย่างรวดเร็ว ถึงจะบอกว่ามันเป็นกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ แต่มันก็เจ็บแทบชัก ยิ่งศีรษะเป็นอวัยวะที่ผมหวงแหนมากที่สุดด้วยแล้ว มันทรมานจนผมแทบบ้า ผมกัดฟันแน่นไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกมาอย่างถือทิฐิ
ผมดิ้นรนพยายามสะบัดให้หลุดจากการผูกมัด แต่เสียแรงเปล่า ความคิดผมเริ่มชาด้านและมึนตึงขึ้นเรื่อยๆ บ้าเอ๊ย! แบบนี้แหละคือสิ่งที่ผมเกลียดมากที่สุด การที่มีอะไรมาทำให้สมองผมแล่นช้าลงแค่เสี้ยววินาทีผมก็ถือว่ามันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายแล้ว
เปรี๊ยะๆๆๆ!!!
เสียงกระแสไฟฟ้าลั่นทำให้ทั้งเซรันและวิลเลียมต่างมีสีหน้าแปลกใจ หน้าจอวัดคลื่นสมองแสดงกราฟที่เคลื่อนที่เคลื่อนลงไม่หยุดอย่างสับสน หน้าจอเล็กๆด้านข้างแสดงตัวเลขดิจิตอลที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆจนอ่านไม่ได้
“นี่มันอะไรกัน! คลื่นสมองแบบนี้!” มาสเตอร์เซรันอุทาน แต่วิลเลียมกลับแยกเขี้ยว
“โห ไอ้หนูนี่น่าสนุกชะมัดเลย แล้วดูที่เลเวลของมันสิ วิ่งขึ้นลงไม่หยุดเลยเห็นไหม” วิลเลียมเคาะหน้าปัดตัวเลขอย่างอารมณ์ดี “ท่าทางหมอนี่จะไม่ยอมให้เราตรวจสอบง่ายๆซะแล้วสิ” และระหว่างที่ทั้งสองกำลังสับสนอยู่นั้น
พรึบ!!!
แสงไฟในห้องทั้งหมดดับลงอย่างกะทันหัน เป็นสัญญาณบอกว่าไฟดับ ทั้งสองมองเพดานอย่างฉงน ไฟดับในเซนท์ปิแอร์เนี่ยนะ?
“ไอ้หนูเม่นสายนั่นอีกแล้วเหรอ” วิลเลียมหัวเราะหึหึกับตัวเอง แต่มาสเตอร์เซรันกลับไม่ขำไปด้วย
“มิสเตอร์จิรายุสอีกแล้วเหรอ? บอกกี่ทีก็ไม่จำว่าอย่าใช้พลังตามอำเภอใจ จนเกิดเรื่องจนได้ คราวนี้ต้องตัดคะแนนจริงๆแล้ว” มาสเตอร์เซรันบ่นอุบ
“เอาน่าเซรัน ยังไงซะผลการทดสอบก็ออกมาทันพอดี” วิลเลียมมองภาพเด็กหนุ่มที่แน่นิ่งไปแล้วเบื้องล่างด้วยสายตาที่บ่งบอกว่ากำลังสนุกเต็มที่ “แต่ผลออกมาแตกต่างจากที่คาดไว้เยอะเลยนิ?”
มาสเตอร์เซรันมองหน้าปัดที่ยังสว่างอยู่ด้วยระบบไฟสำรองแล้วพยักหน้า
Level 00
“คงต้องจัดการให้เขาออกจากที่นี่แล้วล่ะ เดี๋ยวติดต่อแผนกเบรนซิงโครให้ช่วยลบความทรงจำเขาด้วยแล้วกัน” มาสเตอร์เซรันตัดสินใจเด็ดขาด
“มัวพูดนั่นพูดนี่อยู่แบบนี้เดี๋ยวข้างนอกก็เละกันพอดีหรอก” วิลเลียมเตือนยิ้มๆ มาสเตอร์เซรันที่เงี่ยหูได้ยินเสียงระเบิดเป็นระยะๆก็พยักหน้า แล้วรีบออกไปดูด้านหน้าตัวอาคารทันที
ผมค่อยๆยันตัวขึ้นช้าๆ เครื่องล็อคหยุดออกจากตัวแล้ว ผมยกหมวกออกจากหัวอย่างรังเกียจสุดขีด สาบานว่าชาตินี้จะไม่ใส่หมวกกันน็อกอีกเด็ดขาดแล้วต้องมองไปรอบๆ พอเห็นสภาพอันมืดมิดแล้วก็รู้ตัวทันทีว่าไฟดับ
ผมค่อยๆลุกขึ้นแล้วลองขยับตัวไปมา ไม่มีอาการผิดปกติยกเว้นอาการปวดหนึบๆนิดๆจากการถูกกระแสไฟฟ้าช็อต เขายกนาฬิกาขึ้นมาดู ท่องสูตรคูณแม่สองจบใน 6 วินาที อืม... โอเค ยังแล่นดีเป็นปรกติ ผมถอนหายใจเฮือก ให้ตายสิ ทำไมเราต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วยน้า ทันใดนั้นหูของผมแว่วเสียงโครมครามมาแต่ไกล ผมเลยเดินตามเสียงออกมา และแค่เดินออกมานอกตัวอาคารผมก็รู้สาเหตุในทันที
ด้านหน้าของอาคารมีนักเรียนจำนวนมากชุมนุมกันอยู่อย่างหนาแน่น ที่ใจกลางของกลุ่มคนเว้นเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ มีเสียงโครมครามปะปนไปกับเสียงตะโกนเชียร์ของนักเรียนเป็นระยะๆ แต่ผมมองไม่เห็นข้างในวง ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมเริ่มแทรกตัวเข้าไปเพื่อจะดูให้รู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ขอทางด้วยครับ ขอทางหน่อย” ผมพึมพำขอทางเบาๆแล้วเบียดเข้าไปอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ จนกระทั่งผมแหวกจนเข้ามาอยู่แถวหน้าสุด ก็พบกับภาพที่ทำให้ผมต้องประหลาดใจ
มีชายหลายคนยืนประจันหน้ากันอยู่กลางวง โดยชายนับสิบกระโจนเข้าหาชายหนุ่มคนหนึ่งอย่างบ้าคลั่ง พยายามต่อยตีเท่าที่จะทำได้ ส่วนอีกคนกลับยืนอยู่อีกด้านที่ห่างออกมามือทั้งสองข้างยกขึ้นมาข้างหน้าในท่าทางแปลกๆ นิ้วมือทั้งสิบขยับไปมาอย่างน่าประหลาด เขาเป็นชายอายุน่าจะประมาณ 17 ปีเห็นจะได้ ผมสีน้ำตาลระต้นคอและดวงตาสีอำพัน รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อกระชากใจมีรอยยิ้มสนุกสนานประดับอยู่ ผมหันไปมองเด็กหนุ่มคนที่โดนรุม ซึ่งดูไม่มีท่าทีวิตกกังวลเท่าไหร่ เขาน่าจะอายุเท่าผม ใบหน้าหล่อเหลาแบบขี้เล่นผมสั้นสีดำและดวงตาสีเดียวกัน ดูเหมือนเด็กวัยรุ่นที่พบเห็นได้ทั่วไปในร้านเกม มันจะไม่แปลกถ้าทั้งตัวเขาไม่มีกระแสไฟฟ้าเส้นเล็กๆสีทองไหลเวียนไปมา และทำให้ผมทั้งหัวของเขาลุกชี้ชัน ถ้าเขาทำท่าเบ่งพลังด้วยล่ะก็ ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าเขาปล่อยคลื่นเต่าฯได้ เด็กหนุ่มเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วว่องไวผิดธรรมดา อัดผู้คนที่เข้ามารุมกระเด็นไปทีละคนๆอย่างง่ายดาย มือของชายหนุ่มดวงตาสีอำพันขยับไปมาอย่างรวดเร็ว มือซ้ายตวัดไปที่กลุ่มคน แล้วหนึ่งในนั้นก็ทำท่าอึดอัด พักเดียวดวงตาก็เหม่อลอยว่างเปล่า วิ่งเข้าไปปะทะกับเด็กหนุ่มไฟฟ้าอย่างไม่รีรอลังเล
ผมประมวลผลอย่างรวดเร็ว ถ้าอย่างนั้นไอ้หนุ่มไฟฟ้านั่นคงจะเป็นสายที่เรียกว่าเนเจอร์ไนท์ (Nature knight) ส่วนอีกคนตรงนี้คงจะมีความสามารถอะไรซักอย่างที่ควบคุมคนได้ แบบนี้ก็น่าสนุกดีนะ
หลังจากประเมินเสร็จแล้ว เมฆาก็โยนปัญหาทิ้งไปซะเกลี้ยง ยืนมองคนตีกันอย่างสนุกสนาน ภาพการต่อสู้ของคนพวกนี้เหมือนในหนังไซไฟไม่มีผิด ภาพแบบนี้หาดูไม่ได้ง่ายๆหรอกนะ อ๊ะ อีกเดี๋ยวเขาก็โดนลบความทรงจำแล้วนี่ ช่างเหอะ
เด็กหนุ่มไฟฟ้ากระแทกฝ่ามือเข้าที่ท้องของชายคนหนึ่งจนปลิวละลิ่วไปกว่า 5 เมตร สายฟ้าแลบแปลบปลายออกจากตัวเหยื่อเล็กน้อย คงทำให้ลุกขึ้นไม่ได้ไปอีกซักพัก เด็กหนุ่มขยับตัวอย่างรัดกุมคล่องแคล่ว แทบไม่โดนโจมตีเลย การโจมตีแต่ละครั้งจะเล่นงานจนอีกฝ่ายชาจนลุกไม่ขึ้นไปพักใหญ่ แต่ไม่เป็นปัญหาสำหรับชายหนุ่มผมสีน้ำตาลแต่อย่างใด ในเมื่อเขายังเรียกใครจากกลุ่มคนออกมาก็ได้
“นี่! มิสเตอร์จิรายุส! มิสเตอร์ปิแอร์! พวกเธอทำอะไรกัน!” มาสเตอร์เซรันตะโกน “มิสเตอร์จิรายุส ใครใช้ให้เธอดูดไฟของอาคาร! มิสเตอร์ปิแอร์ ถึงเธอจะเป็นประธานนักเรียน แต่ไม่มีสิทธิ์มาควบคุมสมองนักเรียนคนอื่นนะ!”
“นี่เป็นการประลองอย่างถูกต้องนะครับมาสเตอร์ แล้วอีกอย่างคนพวกนี้มายืนไกล้สถานที่ประลอง ต้องเรียกว่าโดนลูกหลงต่างหาก” ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าปิแอร์ยิ้มเจ้าเล่ห์
“ช่าย ได้อัดเอ็งแล้วยังได้อัดคนอื่นฟรีๆ โคตรคุ้มเลย” คราวนี้จิรายุสพูดขึ้นบ้าง มาสเตอร์เซรันกุมขมับ ส่วนเมฆาหัวเราะชอบใจดังฮ่าๆ โรงเรียนนี้น่าสนุกดีฮะ ตีกันก็ไม่ผิดกฎ แล้วทันใดนั้น ปิแอร์ก็วาดมือมาทางเขา ทันทีที่สบตาสีอำพันคู่นั้น ก็เหมือนกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นเข้าสู่สมอง
เปรี๊ยะ!!!
อึก! เมฆายกมือขึ้นกุมขมับทันที เสียงหึ่งๆดังขึ้นในหัวเหมือนมีฝูงผึ้งมาบินวนเวียนอยู่รอบตัว เสียงหนึ่งแทรกตัวเข้ามาท่ามกลางความคิดเหล่านั้น เป็นเสียงที่ชัดเจนท่ามกลางเสียงน่ารำคาญชวนให้ทำตาม
โจมตีไอ้ปลาไหลไฟฟ้า
เป็นคำสั่งที่น่าหัวเราะไม่ใช่เล่น ผมตั้งสมาธิแบบที่เคยทำกับมาสเตอร์เซรัน นี่เป็นครั้งที่สองแล้วเลยง่ายเข้าเมื่อรู้ว่าต้องทำอะไร พริบตาเดียวสมองของผมก็ไร้เสียงรบกวน
ผมเป็นอิสระ
ผมขบคิดแค่นิดเดียวก็พุ่งตรงไปเบื้องหน้า การแต่งตัวของผมแปลกแยกกว่าคนอื่น ทุกคนคงจะมองเขาออกแล้วว่าไม่ใช่คนในโรงเรียนนี้ และการที่เขาไม่ถูกควบคุมคงก่อให้เกิดปฏิกิริยามากกว่าเดิม ไม่แน่อาจจะโดนหันมาเล่นงานเข้าก็ได้ ดังนั้นทางที่ดีก็ควรจะตามน้ำไป
ตำแหน่งของเขาอยู่ด้านหลังเยื้องไปทางซ้ายของปิแอร์ เมื่อปิแอร์เห็นว่าเขาพุ่งเข้ามาในวงตามคำสั่งแล้วก็หันกลับไป ซึ่งนั่นเป็นการกระทำที่ผิด ผมพุ่งเฉียดเขาอย่างว่องไว แต่แทนที่จะล้ำหน้าไป ผมกลับตวัดแขนขวารอบลำคอหนีบไว้ไต้รักแร้ ปิแอร์ตัวแอ่นหงายหลัง ศีรษะถูกบังคับให้เงยหน้าขึ้น ถูกล็อกต้นคอด้วยซอกแขนจนขยับไม่ได้ ผมยกแขนซ้ายทุบเข้าที่ลิ้นปี่อีกฝ่ายไม่แรงนัก แต่ก็มากพอที่จะทำให้คนที่ถูกจับกุมขัดขืนไม่ได้ไปซักสองสามวิ ซึ่งก็เพียงพอ ผมยกขาขวาสอดไปที่ด้านหลังข้อพับอีกฝ่าย แล้วเอนตัวทิ้งน้ำหนักมาด้านหลังจนศีรษะอีกฝ่ายกระแทกกับพื้นหินปูถนนดังโป๊ก! สนั่นหวั่นไหว สลบคาที่ในพริบตา
ผมไม่ปล่อยให้ทุกคนอึ้งนาน พุ่งตัวเข้าหาเป้าหมายที่สองอย่างว่องไว คนที่ถูกควบคุมยืนเซ่อเหมือนคนเพิ่งตื่น ท่าทางงุนงงเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไป ซึ่งก็เป็นผลดี เพราะช่วยบดบังสายตาของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี ผมพุ่งตัวลอดผ่านช่องว่างของคนเข้าไปด้วยความชำนาญ ระหว่างนั้นก็หยิบอาวุธที่มีในกระเป๋าออกมา ระหว่างที่เด็กหนุ่มที่ชื่อจิรายุสยังงุนงงอยู่นั้น ผมก็พุ่งเข้าประชิดตัวเขาเรียบร้อยแล้ว
“เฮ้ย!” เด็กหนุ่มร้องอย่างเพิ่งรู้ตัว มือขวาถูกยกขึ้นมาเบื้องหน้า กระแสไฟฟ้าที่แล่นแปลบปลาบที่ฝ่ามือนั้นบ่งบอกว่ามันอันตรายขนาดไหน น่าเสียดายที่ผมถอยไม่ได้ ผมพุ่งเข้าประชิดตัวพร้อมด้วยอาวุธในมือ มันคือ!
...ดินสอกดยี่ห้อร็อตติ้งหนึ่งด้าม...
“อ๊ะ!!”
ดินสอกดแทงเข้าที่มือของเด็กหนุ่มอย่างจังจนเลือดออก กระแสไฟฟ้าแล่นเข้าสู่ตัวปากกาทันที แต่ก็แค่เฉพาะส่วนปลายที่เป็นเหล็ก ไม่สามารถแล่นเข้าสู่ตัวด้ามจับที่ด้วยยางนุ่มกันลื่นได้เลย ทำให้กระแสไฟฟ้ากระจุกตัวอยู่เท่านั้น แต่ก็ยังมีกระแสไฟฟ้าเล็กน้อยแล่นผ่านอากาศมาปะทะผิวพอให้ได้เสียวจี๊ดๆ ผมยกขาซ้ายตวัดเตะเข้าที่ลิ้นปี่อีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ถึงรองเท้าจะเป็นรองเท้าผ้าใบที่ไม่นำไฟฟ้า แต่ก็ชาแปล๊บทันทีที่สัมผัส ผมกัดฟัน นึกโชคดีในใจ เพราะไฟฟ้าจากตัวหมอนี่มันแรงได้ใจจริงๆ
ส่วนเด็กหนุ่มพอโดนเตะเข้าลิ้นปี่ก็ตัวงอเป็นกุ้งทันที กระแสไฟฟ้าหยุดหายวับชั่วพริบตาที่เสียสมาธิ ผมไม่รีรอ ฟาดสันมือที่หุ้มด้วยผ้าเช็ดหน้าเข้าที่ท้ายทอยของอีกฝ่ายจนทรุดฮวบ ปิดฉากการลงมือในเวลาไม่ถึง 10 วินาที
“...”
ทุกคนนิ่งอึ้งกันไปหมดเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ผมเงยหน้าขึ้น ปั้นสีหน้าราบเรียบขึ้นมาอย่างเคยชิน ในใจระงับประสาทที่ตื่นตัวขึ้นมาจนสงบลง ทุกคนมองผมราวกับเป็นตัวประหลาด เจือไปด้วยความหวาดหวั่น ท่าทางเรื่องที่ผมจัดการทั้งสองคนด้วยมือเปล่า(ในกรณีที่ดินสอกด ผ้าเช็ดหน้า และรองเท้าผ้าใบไม่นับว่าเป็นอาวุธ) จะน่าตกใจมากไปนิด (หรือเปล่า?)
“เธอ...” เสียงเรียกทำให้ผมหันไปมอง มาสเตอร์เซรันมองผมอย่างอึ้งๆ ท่าทางที่ราวกับทูตสวรรค์ของเขาดูอึ้งปนตกใจอย่างเห็นได้ชัด
“ผมชื่อเอกนภา (อ่านว่า เอ- กะ-นะ-พา)” ผมพูดขึ้นเรียบๆ
“มิสเตอร์เอกนภาทำไมเธอต้องอัดพวกเขาด้วยล่ะ?” มาสเตอร์เซรันถาม
ผมชี้มือไปที่ปิแอร์ “หมอนี่พยายามจะสะกดจิตผม” ผมพูดเรียบๆ ทุกคนอึ้งอีกรอบ
“บ้าน่า ขัดขืนการสะกดจิตของรุ่นพี่ปิแอร์ได้ด้วย! พี่เขาเลเวล 72 แล้วนะ!!!” เสียงซุบซิบดังขึ้นเบาๆแต่ผมไม่สนใจ
“แล้วทำไมต้องอัดมิสเตอร์จิรายุสด้วยล่ะ?” มาสเตอร์เซรันชี้มาที่เด็กหนุ่มที่แทบเท้าเขา ผมก้มลงมอง จิรายุสไอโขลกๆตั้งท่าจะลุกขึ้นมาอีก ยังไม่สลบอีกเหรอเนี่ย?
“นายสินะที่ดับไฟตอนฉันกำลังวัดพลัง” ผมถาม จิรายุสมองหน้าผมงงๆ แต่ก็พยักหน้า
“ใช่ ฉันดูดกระแสไฟที่เสาไฟข้างหน้า โทษทีที่ไฟดับว่ะ หัวนายคงไม่เป็นไรนะ?” จิรายุสแสยะยิ้ม “ใครไปวัดพลังตอนวิลเลียมทำงานอยู่ล่ะก็ซวยสุดๆทุกคนนั่นแหละ พี่แกชอบปล่อยไฟแบบแรงกว่าปกติตั้ง 2 เท่านี่นา”
ตกลงว่าที่ผมเจ็บตัวเป็นเพราะวิลเลียมสิเนี่ย งั้นก็หมายความว่าการวัดพลังก็แค่ไอ้เสียงหึ่งๆตอนแรกเท่านั้นเองน่ะสิ ไอ้บ้าเอ๊ย!
“งั้นโทษที” ผมพูดง่ายๆ อีกฝ่ายพยักหน้าว่าไม่เป็นไรทั้งๆที่ยังลุกไม่ขึ้น ผมเงยหน้ากวาดตามองทุกคนอย่างเย็นชา บางคนหลบตากันเป็นแถวเลย
“โคตรน่ากลัวเลยว่ะ มันเป็นใครวะ?”
“ไอ้นี่เลเวลเท่าไหร่กันวะ!”
เสียงซุบซิบเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ผมยิ้มมุมปาก เฮอะ ไอ้พวกนี้หลอกง่ายดีว่ะ
สาเหตุเป็นเพราะว่าทุกคนไม่คิดว่าผมจะหลุดการควบคุมออกมาได้ ซึ่งทำไมผมก็ไม่รู้ แต่ที่ล้มปิแอร์ได้เพราะเล่นทีเผลอเอาล้วนๆ ส่วนสำหรับจิรายุสแล้ว ก็อาศัยเอาการเล่นทีเผลอบวกกับลูกเล่นอีกอยู่ดี แต่สำหรับคนนอกแล้ว การตู่สู้เมื่อกี้มันคงน่ากลัวไม่หยอก
มาสเตอร์เซรันมองภาพเบื้องหน้าแล้วอดขมวดคิ้วอย่างกังวลไม่ได้ เหตุการณ์นี้คงจะปิดพวกนักเรียนไม่ได้อีกแล้ว เด็กหนุ่มที่วัดพลังได้เลเวล 0 อัดประธานนักเรียนเลเวล 72 กับนักเรียนเลเวล 59 จนลงไปนอนกองกับพื้นได้ แบบนี้ไม่ใช่คนแล้ว
“เขาเป็นใครครับมาสเตอร์?” นักเรียนคนหนึ่งถามขึ้น มาสเตอร์เซรันถอนหายใจ ส่งเรื่องไปให้อาจารย์ใหญ่แล้ว ต้องรอการตัดสินใจซักพัก แต่คิดไม่ถึงว่าแค่ไม่กี่นาทีก็ได้การตอบรับ
‘ฉันดูอยู่ สนุกดี รับเขาเข้าโรงเรียนได้เลย’
เอ่อ... คนเป็นอาจารย์ใหญ่ทำแบบนี้มันดีจริงน่ะเหรอ? เขาได้แต่ถอนใจ แล้วประกาศขึ้น
“มิสเตอร์เอกนภา นับแต่วันนี้เป็นต้นไป คุณเป็นนักเรียนของสาธิตเซนท์ปิแอร์แล้ว กรุณาตามผมไปที่ห้องทะเบียนเพื่อขึ้นทะเบียนด้วย พรุ่งนี้ขอให้คุณมาเรียนที่นี่ด้วยนะครับ”
พอพูดจบก็เกิดเสียงฮือฮาขึ้นทันที
“หมอนี่จะมาเป็นนักเรียนใหม่เหรอ!”
“ปิศาจชัดๆ หมอนี่มันเก่งเวอร์เลยนะเว้ย!!!”
“อย่าเข้าไปใกล้ล่ะ เดี๋ยวโดนฆ่า”
“ถึงกัจัดการ ดอลมาสเตอร์ (Doll master) กับอิเล็กทริคมาสเตอร์ (Electric master) ได้ในพริบตา หมอนี่ไม่ใช่คนแล้ว!!!”
“ปิศาจอีกตัวถือกำเนิดแล้ว”
ผมยืนยิ้มเย็นชาอยู่ท่ามกลางกลุ่มนักเรียนด้วยมาดไม่ยี่หระ ในขณะที่ในใจกลับร้องโหยหวน
ซวยแล้ว พลังอะไรก็ไม่มีซักอย่าง แล้วจะรอดไหมเนี่ย!!!
