บท
ตั้งค่า

Type 2:สาธิตเซนต์ปิแอร์

Type 2:สาธิตเซนต์ปิแอร์

เมฆากลอกตาไปมาประเมินสถานการณ์ คนตรงหน้าผมมีความสามารถประหลาดๆเหนือมนุษย์ และไม่ได้มีคนเดียวเสียด้วย ช่างเป็นการประเมินที่ไม่ได้ช่วยให้อุ่นใจขึ้นเลยซักนิด เมฆาเหล่มองท่อนไม้รอบๆตัวอย่างหวาดๆ ทำยังไงถึงจะรอดไปได้กันนะ

“พวกคุณเป็นใคร? แล้วจะทำอะไรผม” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มส่อแววหวาดกลัวอย่างปิดไม่มิด ชายที่ชื่อเซรันหันไปมองเด็กสาวที่ทำหน้าสำนึกผิด

“เป็นความผิดของดิฉันเองค่ะมาสเตอร์ ที่เลินเล่อจนปล่อยให้คนนอกเข้ามาเห็นเหตุการณ์แบบนี้ได้” เด็กสาวก้มศีรษะสำนึกผิด มาสเตอร์เซรันถอนใจ

“ไม่เป็นไรหรอกนิรมล มันไม่ใช่ความผิดของเธอซักหน่อย” มาสเตอร์เซรันว่า “เอาเป็นว่าครูจะลบความทรงจำของเขาก็แล้วกัน”

“เฮ้ๆ ที่พูดเมื่อกี้หมายถึงลบความทรงจำใช่ไหม? คงไม่ใช่ว่าฉันต้องกลายเป็นคนปัญญาอ่อนไปเลยหรอกนะ?” เด็กหนุ่มแย้ง ทั้งสองคนหันมามองเมฆาอย่างแปลกใจ เพราะเมื่อครู่ทั้งสองคนตอบโต้กันด้วยภาษาอังกฤษ แล้วหมอนี่ฟังออกด้วย

“ใช่ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก มันไม่มีอันตรายอะไร” เซรันพูดเนิบๆอย่างใจดี แต่มันไม่ได้ทำให้เขาสบายใจขึ้นเท่าไหร่ แหงสิ ลองมีคนบอกว่าจะลบความทรงจำของเราแล้วใครมันจะไปสงบจิตสงบใจได้เล่า

“ทำใจให้สบายนะ” เซรันยิ้มเรื่อยๆแล้วยกมือขึ้นวางลงบนหน้าผากของผมอย่างแผ่วเบา ผมยืนนิ่งเพราะรู้ว่าทำยังไงก็หนีไม่รอด สู้ปล่อยๆให้ทำๆไปจะเข้าท่า...

อุ๊บ!

ผมสะดุ้งขึ้นทันที เพราะความรู้สึกเจ็บ... ไม่สิ มันไม่ใช่ความรู้สึกทางกาย แต่มันคล้ายๆกับว่าสมองกำลังจะถูกแยกออกจากกัน รู้สึกคล้ายๆกับมีสิ่งแปลกปลอมแทรกเข้ามาในหัว ผมขมวดคิ้วฉับ คำรามเบาๆแล้วพยายามต่อต้านเต็มที่

ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งที่ผมไม่ชอบที่สุดในชีวิตคงจะเป็นการที่ใครซักคนพยายามเข้ามายุ่มย่ามในหัวของผมนี่แหละ ผมกัดฟันกรอดทนรับแรงกดดันที่แหลมคมขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกบีบคั้นทำให้ผมหลับตาปี๋ขบฟันแน่น พยายามขัดขืนเต็มที่ มากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น...

“เอ๊ะ!” ชายในชุดบาทหลวงร้องอุทานแล้วลืมตาขึ้น ยกมืออกจากหน้าผากของผมทันควัน มองผมอย่างประหลาดใจ ผมหอบแฮ่ก เรี่ยวแรงเหมือนจะหายไปแบบฮวบฮาบ เกิดอะไรขึ้นน่ะ?

“เกิดอะไรขึ้นคะมาสเตอร์?” เด็กสาวที่ถูกเรียกว่านิรมลถาม เซรันขมวดคิ้ว

“ครูลบความทรงจำของเขาไม่ได้” เซรันตอบเรียบๆ นิรมลอ้าปากน้อยๆ

“งั้น...”

“ใช่ เป็นไปได้ว่าเขาจะมีไซต์ติดตัวอยู่”

ผมขมวดคิ้วมองเด็กสาวที่ทำหน้าเคร่งเครียดตามไปด้วย ผมเริ่มรู้สึกว่าอะไรมันชักจะไม่เข้าท่าซะแล้ว ถ้าเกิดว่าเขาลบความทรงจำของผมไม่ได้... งั้นจะทำยังไงล่ะ คงไม่ใช่ว่าจะเจี๋ยนผมทิ้งหรอกนะ?

“งั้น... จะทำยังไงกับเขาดีคะ?” เด็กสาวถาม

“อืม... คงจะสรุปอะไรตอนนี้ไม่ได้ เอาเป็นว่าเราพาเขาเข้าไปตรวจสอบอย่างละเอียดอีกทีแล้วค่อยว่ากัน” เซรันสรุปแล้วโบกมือ ท่อนไม้ที่อยู่รอบๆตัวของเขาก็ตกลงกลิ้งโค่โร่แทบเท้าของเขา ผมก้มลงมองท่อนไม้ที่เท้าแล้วเงยหน้าขึ้นมองฝ่ายตรงข้ามอย่างสงสัยเต็มที่

“เอาเป็นว่าระหว่างทางฉันจะเล่าให้เธอฟังไปพลางๆก็แล้วกัน” พูดจบก็หัดหลังออกเดินไป เด็กสาวที่ชื่อนิรมลมองเขานิดหนึ่งแล้วหันหลังกลับไปอีกคน ผมเดินตามทั้งสองคนไปแบบงงๆ ดูท่าว่าถ้ายังไม่อยากตายก็ควรตามคนพวกนี้ไปดีๆสินะ

เมื่อเดินมาถึงสองคนที่ยังนอนอยู่ที่เดิม บาทหลสงชุดขาวก็ยกมือขึ้น ร่างทั้งสองก็ลอยขึ้นมาติดๆกัน เซรันยกโทรศัพท์ขึ้นมากดปุ่มอะไรบางอย่างสองสามครั้งแล้วฉายแสงเลเซอร์สีแดงๆไปที่ทั้งสองคนทีละคน

“หักคะแนนความประพฤติคนละ 35 คะแนน บวกกับทำให้มีคนนอกรู้เห็น หักอีกคนละ 40” ทั้งสองทำท่าคอตกอย่างยอมรับชะตากรรมแล้วทำปากขมุบขมิบ

“เกรดร่วงอีกแล้ว ซวยชะมัด”

ทั้งสองลอยตามพวกเขาไปเงียบๆ ผมเลือกที่จะเดินขึ้นไปเดินคู่กับเซรันมากกว่านิรมล เพราะหน้าเรียบเฉยของเธอนั้นไม่ได้ชวนผูกมิตรด้วยเลยซักนิด

“เอาเป็นว่าเล่าเรื่องมาแบบย่อๆแล้วกันนะครับ” ผมพูด เซรันยิ้มอ่อนโยนอย่างใจดีแล้วเริ่มพูด

“สมองคนเราในตอนนี้ซ่อนความลับอีกมาที่เรายังไม่สามารถค้นพบได้” อีกฝ่ายกล่าวเนิบๆ

“หืม หมายความว่าไอ้ที่ผมเห็นเมื่อกี้คือการใช้อีก 90 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือสินะ”

“ใช่แล้วครับ” เซรันยิ้มท่าทางดีใจที่ผมเข้าใจอะไรง่ายๆ “มันเป็นเรื่องน่าทึ่งมากที่สมองของเรามีอำนาจในการทำสิ่งต่างๆน่าพิศวงมาก เมื่อก่อนเราคิดว่าคลื่นสมองและสารที่หลั่งจากสมองนั้นจะไม่สามารถควบคุมได้ แต่หลังจากนั้นมีการวิจัยแล้วพบว่ายังมีคนบางกลุ่มที่สามารถควบคุมสิ่งเหล่านี้”

“หมายถึงพวกพระสินะ” เมฆาพูดเนิบๆ เซรันทำท่าแปลกใจแต่ก็ยิ้มรับ

“ใช่แล้วครับ คนเหล่านั้นเป็นคนที่ฝึกฝนจนกระทั่งสามารถควบคุมมันได้ และสามารถทำสิ่งต่างๆที่ไม่น่าเชื่อได้ เช่นการเรียนรู้ที่รวดเร็ว ปฏิกิริยาที่ฉับไว ไปจนกระทั่งการอ่านความคิดหรือมองอนาคต แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกครับ คนบางพวกนั้นจะมีพรสวรรค์ด้านการควบคุมคลื่นสมองเหล่านี้มาตั้งแต่เกิด และมีความสามารถในการทำสิ่งเหลือเชื่อต่างๆ ซึ่งที่โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนที่รวบรวมเด็กเหล่านั้นมาฝึกสอนครับ เพราะคนเหล่านี้หากปล่อยปละละเลยอาจจะก่อให้เกิดปัญหาขึ้นได้” เซรันพูดเนิบๆ ผมเหล่มองไปทางเด็กหนุ่มสองคนที่ลอยตามมาด้านหลัง แหงล่ะ ถ้ามีคนยกของให้ลอยได้กับคนที่จุดไฟได้แบบนี้อยู่ข้างนอกล่ะก็ คงไม่ต้องมีตำรวจกันแล้ว

“ว่าง่ายก็พลังจิตว่างั้นเหอะ”

“ใช่ ถ้าพูดแบบง่ายๆก็อย่างนั้นแหละ แล้วที่นี่ก็คือโรงเรียนของพวกมีพลังจิต อืม... พูดแบบนี้เข้าใจง่ายดีแฮะ” เซรันลูบคางทำท่าคิดยิ้มๆ

“แล้วทำไมไม่ลบความทรงจำผมมันให้จบๆไปซะล่ะ” ผมถามขณะที่เริ่มสังเกตรอบๆ ตอนนี้พวกเขาเดินเข้ามาบนทางเดินปูหิน จนกระทั่งมันเริ่มขยายออกเรื่อยๆ ต้นไม้เริ่มหนาขึ้น ที่นี่มันป่าจริงๆแหงๆ ไม่ใช่ป่าปลูกแน่นอน ฟันธง!

“เธอไม่โดนลบความทรงจำน่ะ สมองของเธอต่อต้านการแทรกสอดคลื่นของฉัน แปลว่าเธอน่าจะมีไซต์อย่างใดอย่างหนึ่งในสาเบรน... อ้อ โทษที หมายถึงพรสวรรค์น่ะ พลังจิตแบ่งออกอย่างหยาบๆได้ 4 สาย คือสายบอดี้อเวตาร์ที่เกี่ยวกับร่างกาย สายเบรนซิงโครที่เกี่ยวกับพวกคิดวิเคราะห์ สายก็อดโอเมนที่เป็นพวกสายทำนายหรือเทเลพาธี สุดท้ายก็พวกสายเนเจอร์ไนท์ที่เกี่ยวกับการควบคุมธรรมชาติต่างๆ ก็ประมาณนี้แหละ ถ้าทดสอบว่าเธอมีพลังจิตจริงๆ ก็คงต้องให้เธอมาเรียนที่นี่”

ผมนิ่งคิดพลางซึมซับข้อมูลที่ได้มาลงในสมอง อืม... ฟังดูแล้วมัน...

โคตรจะหลุดโลกเลย! เรื่องแบบนี้มันมีจริงเหรอฟะ!!!

แต่โวยไปก็เท่านั้น ในเมื่อความจริงมาให้เห็นอยู่ตรงหน้าชัดๆแบบนี้แล้ว ระหว่างที่ผมยังคิดใคร่ครวญอะไรเงียบๆ พวกเราก็เดินมาถึงจุดหมาย

ประตูเหล็กสีทองงดงามนั้นทำให้ผมรู้ว่า นี่คือประตูทางเข้าของสาธิตเซนต์ปิแอร์แน่นอน

ผมมองดูประตูสูงและป้อมยามท่าทางทันสมัยแล้วอดคิดไม่ได้ว่าแล้วคนเฝ้ามันไปไหน ก็พอดีกับที่เสียงเย็นๆใสๆของผู้หญิงดังขึ้น

“กรุณาแจ้งชื่อและธุระด้วยค่ะ”

“มาสเตอร์เซรัน และนักเรียนแผนกคุมกฎนิรมล นำตัวผู้หลบหนีแม็กซ์เวล อาร์มสตรองกับเบนจามิน ไพเรตอ็อค และผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นไซคลิก 1 คน พามาเพื่อตรวจสอบ” มาสเตอร์เซรันตอบเสีงดังฟังชัด เสียงวี้ๆดังขึ้นประมาณ 5 วินาที ก็มีเสียงตอบกลับมา

“ยืนยันคำตอบ เชิญค่ะ”

แล้วประตูบานใหญ่ก็เปิดอ้าออกช้าๆ บาทหลวงเซรันเดินนำเข้าไปในทันที ผมซอยเท้าตามเข้าไป แล้วในที่สุดผมก็ได้เห็นโรงเรียนสาธิตเซนต์ปิแอร์ที่เขาร่ำลือ!!!

“...”

ที่ผมเห็นมันก็แค่ทางเดินหินเท่านั้นเอง... เอ่อ... ไหนอ่ะโรงเรียนสุดหรู หรือเพราะต้นไม้มันบังอยู่นะ? แต่ต้นไม้แถวนี้ก็ไม่ได้สูงใหญ่อะไรนี่นา...

“อ้าว ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ?”

“เปล่าครับ คือ... มองไม่ออกว่ามันใหญ่ยังไงอ่ะ” ผมเกาหัวแกรกๆ มาสเตอร์เซรันหันไปมองทางตรงหน้าแล้วหัวเราะ ทันใดนั้น ร่างของผมก็ลอยขึ้นจากพื้น ผมสะดุ้งสุดตัวแต่เกร็งตัวรอรับเหตุเปลี่ยนแปลง แต่ที่มันเกิดขึ้นก็แค่ผมลอยตัวขึ้นเท่านั้นเอง ผมมองภาพเบื้องหน้า แล้วก็ต้องอ้าปากค้าง

จากที่ผมเห็นในมุมสูงกว่า 10 เมตรนี้ ที่ทอดยาวอยู่ตรงหน้าคือเมืองขนาดย่อมๆ อาคารมากมายร่วมร้อยอาคารเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ รอบด้านเป็นสวนร่มรื่นน่าอยู่ อาณาเขตมันกว้างแค่ไหนจากมุมนี้ก็บอกไม่ได้ทั้งหมดเพราะยังมองเห็นไม่ชัด แต่ที่อยู่อย่างนึงคือ...

“ใหญ่โคตร!!!” ผมอุทานออกมา เซรันยิ้มๆแล้วไม่พูดอะไร ร่างของผมค่อยๆลอยลงมาจนถึงพื้น ผมระบายยิ้มกว้าง เยี่ยมจริงๆ โรงเรียนนี้มันกว้างแบบสุดๆไปเลย

“เอาล่ะ ท่าทางจะอีกไกล” มาสเตอร์เซรันพูดแล้วเริ่มออกเดิน

ระหว่างทางผมมองสองฟากข้างอย่างสนใจใคร่รู้ ตอนนี้ยังเป็นเวลาเที่ยงอยู่ นักเรียนในเครื่องแบบของเซนต์ปิแอร์นั่งอยู่ตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง บ้างก็คุยเล่นกันไปพลาง กินข้าวไปพลาง บ้างก็กำลังทำสิ่งน่าประหลาดทั้งหลายแหล่ตั้งแต่ให้หนังสือลอยไปมานับสิบๆเล่ม จุดลูกไฟออกมาจากมือ แต่พอฟังเรื่องจากเซรันแล้วมันก็ไม่ได้น่าประหลาดใจซักเท่าไหร่ เขาเลยหันมามองอย่างตั้งใจแล้ววิเคราะห์แต่ละอย่างๆแทน

พวกเขาตกเป็นเป้าสายตาอย่างล้นหลามทีเดียว ผมว่าน่าจะเป็นเพราะชุดของผมนี่แหละที่เป็นจุดเด่น เพราะของผมเป็นแค่เสื้อและชุดนักเรียนธรรมดา ในขณะที่เครื่องแบบของเซนท์ปิแอร์นั้นดูหรูหราแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด

เครื่องแบบของเซนต์ปิแอร์ ผู้ชายเป็นเสื้อเชิ้ตคล้ายๆชุดนักเรียนทั่วไป แต่ที่อกเสื้อตรงกระเป๋าจะมีตราโรงเรียนติดอยู่ และใส่เน็กไทสีน้ำเงินเข้ม ส่วนกางเกงเป็นกางเกงแสล็คขายาวสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ มีเข็มขัด แต่ท่าทางโรงเรียนนี้จะไม่มีระเบียบทรงผมแฮะ เพราะเท่าที่ผมเดินผ่านมา เจอคนร้อยคน ทรงผมยังไม่ซ้ำกันเลย

ผมสังเกตเห็นว่านิรมลมีข้อแตกต่างจากคนพวกนี้อยู่ คือปลอกแขนสีน้ำเงินที่อยู่ด้านซ้าย รู้สึกว่าจะมีแต่เธอที่ใส่ ส่วนบนนั้นเขียนว่ายังไงผมยังไม่เห็น แต่ดูท่าเธอจะพิเศษกว่าคนอื่น เห็นได้ยินตอนเข้าประตูมาว่าเป็นนักเรียนแผนกคุมกฎอะไรซักอย่าง คงคล้ายๆสภานักเรียนแหละมั้ง

ผมคิดอะไรเพลินๆระหว่างที่เดินมาเรื่อยๆ พอเข้าลึกเข้ามาเรื่อยๆก็เริ่มมองเห็นตัวอาคารบ้างแล้ว ตัวอาคารเหล่านี้มีนักเรียนอยู่มากมาย ผมมองซ้ายมองขวาอย่างตื่นตา แผนผังโรงเรียนมีการวางอย่างเป็นระเบียบ ที่ผนังอาคารมีการเขียนชื่อกำกับเอาไว้ เช่นอาคารจิตวิเคราะห์ อาคารทดสอบกายภาพ อาคารซิงโคร 1 อะไรแบบนี้ เอ่อ... ชื่ออาคารน่ากลัวชะมัด

แล้วเราก็เดินเลี้ยวมาจนถึงอาคารที่เขียนตัวเบ้อเริ่มว่าอาคารพยาบาล เราเดินเข้าไปด้านใน มันเหมือนโรงพยาบาลไม่มีผิด ทุกคนดูวุ่นวายกันมาก มีทั้งคนที่อยู่ในชุดหมอพยาบาลเดินกันให้ควั่ก พยาบาลสาวคนหนึ่งหันมาเห็นพวกเราก็เดินยิ้มเข้ามาทัก

“อ้าวมาสเตอร์เซรัน มีเรื่องอะไรเหรอคะ?” เธอทัก มาสเตอร์เซรันยิ้มให้แล้วชี้มาด้านหลัง

“ช่วยพามิสนิรมลกับสองคนนี้ไปทำแผลด้วยนะ พอดีสองคนนี้หนีเรียนน่ะ ฉันหักคะแนนความประพฤติพวกเขาแล้ว” แล้วมาสเตอร์เซรันก็หันมาทางผม “ส่วนเขาคนนี้ผมลบความทรงจำของเขาไม่ได้ อาจจะเป็นไซคลิกสายเบรนซิงโครก็ได้ เดี๋ยวฉันจะพาเขาไปทดสอบอีกที”

“รับทราบค่ะ มาทางนี้สิจ๊ะ” เธอรับคำแล้วหันไปเรียกนิรมลกับอีกสองคนนั้นให้เดินตามไป

“นิรมล เสร็จแล้วช่วยตามฉันไปที่อาคารวิเคราะห์พลังด้วยนะ”

เด็กสาวที่ชื่อนิรมลรับคำแล้วเดินจากไป มาสเตอร์เซรันเดินออกไปแล้วกวักมือเรียกผม ผมเดินตามไปทันที พวกเราเดินออกมาอีกไม่ไกลนักก็มาถึงอาคารที่เขียนไว้ว่าอาคารวิเคราะห์พลัง อาคารนี้มีคนไม่มากนัก ภายในตกแต่งสไตล์ทันสมัย บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเป็นสถาปัตยกรรมแบบไหนแต่ผมคิดว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อน ดูมันทั้งล้ำสมัยแล้วก็คลาสสิกอยู่ในตัว พูดไม่ถูกแฮะ ผมเองก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ

ห้องโถงเป็นห้องลอบบี้โล่งๆ มีเคาเตอร์ที่สุดปลายห้อง มีประตูสองบานทางซ้ายและขวา และมีลิฟอยู่สองตัวที่ผนังอีกด้าน มีคนเดินไปมาไม่กี่คนเท่านั้น

มาสเตอร์เซรันเดินไปแจ้งความจำนงที่เคาเตอร์แล้วพยักหน้าให้ผม ผมเดินตามเขาเข้าประตูบานซ้ายไป มันเป็นห้องโล่งๆที่ดูเหมือนจะบุด้วยวัสดุอะไรบางอย่างนิ่มๆคล้ายๆนวม มีเก้าอี้อยู่ตรงกลางห้อง แถมท้ายด้วยหมวกกันน็อกหน้าตาประหลาดๆหนึ่งอัน ที่ผนังด้านหนึ่งมีกระจกใสที่มองเข้าไปเห็นเป็นห้องอีกห้องอยู่

“เธอไปนั่งที่เก้าอี้นั่นแล้วเอาหมวกสวมหัวไว้นะ”

หา? จะให้ใส่ไอ้นี่จริงดิ?

ผมมองพินิจไอ้หมวกที่ว่านั่นละเอียดขึ้นหน่อย รูปร่างภายนอกมันเหมือนหมวกกันน็อกโลหะทั่วไปแต่ดูดีกว่าหน่อย มีสายไปเชื่อมไปที่เก้าอี้ด้วย ส่วนข้างในหมวก... อี๋ ไอ้แผ่นกลมๆขาวๆข้องในนี่มันอะไรเนี่ย?

ท่าทางมาสเตอร์เซรันจะไม่ได้สนใจผมมากนัก เขาเข้าประตูบานที่ผมไม่ได้สังเกต แล้วแป๊บนึงก็ไปโผล่ที่ห้องกระจกนั่น แล้วชายคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้องกระจก

ชายคนที่มาใหม่อายุน่าประมาณ 30 ต้นๆ ผมสีดำทรงกระเซอะกระเซิง เสื้อกาวน์ยับยู่ยี่ หน้าตาเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน แว่นหนาเตอะ มองแล้วผมนึกถึงนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องในการ์ตูนเลย จากมุมนี้ผมมองไม่ออกว่าเขาพูดอะไรกัน แต่ทั้งสองคุยกันนิดหนึ่ง ชายชุดขาวก็เดินมาที่กระจก ก้มลงกดปุ่มบนอะไรซักอย่างบนแป้นที่ผมมองไม่เห็น เพราะห้องนั้นอยู่สูงกว่าห้องนี้

“สวัสดีครับ” เสียงแหบๆร่าเริงดังขึ้นมา “ผมชื่อวิลเลียม จะมาเป็นคนทดสอบคุณนะครับ” ผมพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร ชายคนนั้นกระแอมแล้วพูดต่อ “เราจะทำการทดสอบสายพลังก่อนว่าคุณจะมีสายพลังแบบไหนอย่างที่เคยบอกไปแล้วว่าพลังจิตนั้นเกิดจากการที่คนเราสามารถใช้งานคลื่นสมองบางอย่างได้ ซึ่งเราอาศัยสิ่งนี้ในการแยกแยะ โดยแบ่งคนที่มีคลื่นสมองบางอย่างสูงมากกว่าคนทั่วไปมาแบ่งสาย โดยคลื่นสมองของคนเรามีอยู่ 4 ชนิดด้วยกัน ได้แก่ อัลฟ่า เบตา เธต้า แล้วก็เดลต้าครับ”

ผมพยักหน้ารับแล้วพยายามจำเอาไว้

“คนที่มีคลื่นสมองเบต้าสูงกว่าคนทั่วไปจะมีปฏิกิริยาตอบรับสูงกว่าคนทั่วไปมาก รวมไปถึงการมีศักยภาพทางร่างกายที่สูงลิบ คุณจะเห็นพวกเขายกหินเป็นร้อยๆกิโลขึ้นมาได้ง่ายๆ คนที่มีสายตาดีจนมองเห็นได้ไกลเหลือเชื่อ คนที่ได้ยินเสียงที่อยู่ไกลออกไปเป็นร้อยๆเมตร คนพวกนี้เราเรียกว่าบอดี้อเวตาร์ (Body Avatarร่างจุติเทพ) ครับ ส่วนคนที่มีคลื่นสมองอัลฟ่าสูงกว่าคนทั่วไป เขาจะมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์และจิตประสาทสูงมาก คนเหล่านี้จะเป็นพวกอัจฉริยะ เรียนรู้ไว สามารถสะกดจิต เทเลพาทีได้ครับ เราเรียกคนพวกนี้ว่า เบรนซิงโคร (Brain synchro ปัญญาพหูสูต) ครับ คนที่มีคลื่นเธต้าสูงจะมีจินตนาการที่สูงส่ง คุณจะเห็นพวกเขาเป็นจิตรกรชั้นแนวหน้า นักดนตรีชั้นเยี่ยม และเป็นผู้มีญาณต่างๆทั้งหยั่งรู้อนาคต และมีพลังเหนือธรรมชาติที่แหวกกฎฟิสิกส์เหนือธรรมดา เช่นบางคนสามารถสร้างด็อปเปอร์เกงเกอร์ของตัวเองได้ บางคนเข้าไปในความฝันของคนอื่นได้ เป็นต้น เราเรียกคนพวกนี้ว่าก็อดโอเมน (God omen สังหรณ์พระเจ้า) ส่วนพวกสุดท้าย เป็นพวกที่มีคลื่นเดลต้าสูง เป็นพวกที่สามารถควบคุมอำนาจจากธรรมชาติทั้งพวกไฟโรคิเนซิส(ควบคุมไฟ) เมทัลลิกมาสเตอร์ (ควบคุมโลหะ) หรืออย่างฟรอซซิ่งมาสเตอร์(ควบคุมน้ำแข็ง) อย่างนิรมลก็ใช่ มีคำถมไหม? ถ้าไม่มีจะเริ่มแล้วนะ”

ผมพยักหน้ารับแล้วจำข้อมูลทั้งหมดเอาไว้ในหัว “เอาล่ะ ใส่หมวกนั่นซะ” ผมทำตามอย่างว่าง่ายแล้วเอนลงนอนบนเก้าอี้ยาวนั้น มันรองรับร่างของผมอย่างพอดี น่าสบายจัง

กริ๊ก

ผมมองดูห่วงเหล็กที่โผล่ขึ้นมารัดข้อมือข้อเท้าของตัวเองอย่างไม่สบายใจนัก เอ่อ... ไอ้ที่เป็นฉากโดนรัดมือรัดเท้าบนเก้าอี้แล้วมีหมวกแปลกๆครอบหัวแบบนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นในหนังพวกการทดลองแบบนอกรีตหรือพวกโรคจิตเขาทำกันไม่ใช่เหรอ?

“เอาล่ะหนุ่มน้อย” ผมเงยหน้ามองวิลเลียม เขายิ้มกว้างในแบบที่ผมไว้ใจซักนิด “เตรียมพร้อมนะ” เขายกมือยกไม้ทำอะไรบางอย่างที่ผมมองเห็นลางๆว่าน่าจะเป็นการพิมพ์แป้นคีย์บอร์ด แล้วก็เลื่อนแถบควบคุมอะไรซักอย่างอีกซักพัก “ทำใจให้สบาย”

ผมพยายามทำตาม ผ่อนลมหายใจเข้าออกให้ตัวเองผ่อนคลาย พลางนึกสาปแช่งโชคชะตาของตัวเองที่ต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ นี่มันบ้าชัดๆ ทำไมเขาถึงมาเจอเรื่องแบบนี้นะ เสียงวี้ๆดังขึ้นในหูผม หมวกทำให้ผมมองอะไรไม่เห็น แต่เสียงวี้ๆนี้ก็ไม่ได้น่ารำคาญมากไปกว่าแมลงหวี่ซักตัว อืม... มันอาจไม่เลวร้าย ผมปลอบตัวเอง พยายามไม่คิดหาเหตุผลว่าทำไมต้องรัดมือรัดเท้า

“เป็นไงบ้าง?” วิลเลียมถาม

“ก็โอเคครับ” ผมตอบ

“ดี” เขาว่าด้วยน้ำเสียงร่าเริง “ทนนิดนะ”

“หา?”

“เพราะมันจะเจ็บนิดนึง”

เปรี๊ยะ!!!

“อ๊ากกกกก!!!!!” ผมร้องเสียงหลงพร้อมๆกับที่รู้สึกว่ากระแสไฟฟ้าแล่นผ่านสมอง สิ่งสุดท้ายที่คิดในตอนนั้นคือ...

อย่าให้ตูรอดออกไปได้นะ พ่อตามล้างแค้นแน่!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel