บท
ตั้งค่า

Type 25:หม้อไฟไร้สามัญสำนึก

Type 25:หม้อไฟไร้สามัญสำนึก

กฎข้อที่ 22 ของนักต้มตุ๋น การจะทำอะไรต้องมีความหมาย ทุกถ้อยคำและการกระทำต้องมีการปูทางไปยังสิ่งที่ตนเองต้องการได้อย่างแนบเนียน การต้มตุ๋นที่ดีที่สุด คือหลอกโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ว่าโดนหลอกจนตาย

“ไม่ ไม่ถูก” ชินพูดขึ้นมาขึ้นมาอย่างกะทันหันเหมือนเพิ่งนึกเรื่องสำคัญออก เงยหน้าขึ้นมาจากถ้วยที่มีปลาหมึก หมูสามชั้น วุ้นเส้น ผัก เห็ด และน้ำซุป เด็กหนุ่มเคี้ยวปลาหมึกในปากไปพลาง ขมวดคิ้วครุ่นคิดไปพลาง “แบบนี้มันไม่ถูก”

เบ๊นซ์เงยหน้าขึ้นมองชินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ในปากยังมีวุ้นเส้นยาวลงไปในถ้วย เด็กหนุ่มดูดวืด วุ้นเส้นยาวตวัดขึ้นไปแปะบนหน้าผากเด็กหนุ่มหนึ่งทีแล้วไหลเข้าปากไปพร้อมเสียงซู้ดที่ทำให้ชินรู้สึกอยากอาหารน้อยลง

“เป็นอะไรไปอีก มีแมงสาบในหม้อหรือไง?” เบ๊นซ์ถาม แต่ตะเกียบในมือยังคีบเห็ดหูหนูในหม้อไฟเดือดปุดๆตรงหน้าใส่ชามอยู่

“พูดแบบนั้นแล้วยังจะกินอีกนะ... ไม่ใช่หรอก” ชินพูดหน่ายๆ คีบผักบุ้งในชามเข้าปาก

“อร่อยไหม?” เมฆาถาม คีบเนื้อหมูลวกสีสวนชุ่มน้ำซุปเข้าปาก

“อือ อร่อยดี ขอบใจที่เลี้ยง” ชินพยักหน้าหงึกหงัก

“แก้วเป็นคนทำ” ยูกิพูด ทุกคนพยักหน้า ฝีมือการทำอาหารของแก้วเป็นที่รู้กัน

“ถูก อาหารฝีมือแก้วอร่อยที่สุด” เซี่ยหลานเห็นด้วย

“เอาอีกไหมฟรองซ์? นี่อร่อยนะ” เว่ยหลานคีบเห็ดหอมให้เด็กสาว เธอผงกหัวขอบคุณแล้วคีบเข้าปาก

“อือ อร่อยจริงด้วย พี่เซี่ยคะ นี่อร่อยนะ” ฟรองซ์คีบเห็ดหอมให้พี่สาวของเพื่อนรัก เว่ยหลานชิมดูแล้วต้องพยักหน้า “อือ อร่อยจริงๆด้วย ยูกิ อย่าเป่าแบบนั้นสิ แทนที่จะหายร้อน พี่ว่ามันแข็งจนกินไม่ได้แล้วนะ”

ยูกิก้มลงมองเนื้อในมือที่เผลอเป่าลมจนแข็งเป๊ก แล้วยื่นไปให้นิรมลที่อยู่ด้านข้าง นิรมลมองตารุ่นน้อง ด้วยประสบการณ์ที่รู้จักกันมานานปี จึงจับได้ว่าแววตากลมโตนั้นต้องการอะไร

“คราวหลังระวังหน่อยนะ” เธอบ่นแล้วละลายน้ำแข็งให้ เด็กสาวมองเนื้อที่กลับมานุ่มเหมือนเดิมแต่ยังเย็นอยู่ เธอจุ่มมันลงไปในหม้ออีกครั้ง พอได้ที่แล้วก็ส่งเข้าปาก

“ไอ้นี่มันต้มนานจนเปื่อยแล้วนะ” เอมิลี่คีบๆเต้าหู้

“มีน ขอไอติมหน่อย” เบ๊นซ์ยื่นแก้วใส่โค้กให้ทำตาใสแบ๊ว มีนหรือนิรมลหรี่ตามองคนที่ตัวเองอยากจับยัดห้องดัดสันดานซักร้อยหนใด้ แต่เห็นแก่ที่นั่งกินชาบูหม้อเดียวกัน เลยยื่นมือไปแตะแก้วเบาๆ แล้วโค้กแก้วนั้นก็กลายเป็นไอติมรสโคล่าชวนกิน นิรมลส่ายหน้า แต่พอเห็นทั้งยูกิทั้งเว่ยหลานยื่นแก้วเครื่องดื่มมาให้ตาเป็นประกายก็ต้องเบ้หน้า เครื่องสั่งเครื่องดื่มก็มีไอติมให้เลือกนี่

“ฉันไม่ใช่เครื่องทำไอติมนะ” เด็กสาวบ่น แต่ก็ทำไอติมให้ทุกคนอยู่ดี

“ซู้ดดด” ทุกคนสูดเส้นเข้าปากแล้วเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย ชินก้มลงคีบเนื้อสันวัวเข้าปากแล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย อืม... อร่อย... เฮ้ย!!!

“เดี๋ยวเด้!!!” ชินว้ากลั่นกระแทกชามลง

เบ๊นซ์ชะงัก วุ้นเส้นยังคาปาก เด็กหนุ่มจ้องหน้าชิน สูดวุ้นเส้นเข้าปาก

“มีอะไรอีก?” ถามเสียงเนือยๆขมวดคิ้ว

“มันแปลกเกินไปแล้วนะ!” ชินพูดท่าทางสับสน

“แปลกตรงไหน? รสชาติก็อร่อยถูกปากดีจะตาย” เบ๊นซ์พูดคางก็เคี้ยวหยับๆ

“แปลกตรงไหน? ก็ตรงนี้แหละโว้ย นี่มันอะไรก๊าน!!!” ชินว้ากลั่นวาดมือไปเบื้องหน้า เบ๊นซ์กวาดตามองๆไปรอบๆ ตอนนี้เขา แก้ว นิรมล ยูกิ เซี่ยหลาน เว่ยหลาน ฟรองซ์เยอซี เอมิลี่ ชิน และเมฆา ต่างก็นั่งล้อมวงรอบโต๊ะเตี้ยที่วางหม้อไฟฟ้าใบใหญ่ ภายในใส่น้ำซุปเดือดปุดๆ ลอยด้วยผักนานาชนิดที่สาวๆรักษาหุ่นใส่ และเนื้อชั้นดีมากมายที่หนุ่มๆใส่ ข้างๆหม้อยังมีถาดใส่ผักและจานใส่เนื้ออีกถาดใหญ่ กลิ่นหอมหวนของหม้อไฟร้อนๆลอยอ้อยอิ่งไปทั่วทั้งห้องของเมฆา เบ๊นซ์ขมวดคิ้วหาสิ่งผิดติ แต่ไม่เห็นจะเจอ เลยหันมามองชินด้วยสีหน้าตายด้าน

“ไม่เห็นมีอะไร ทุกคนก็กินหม้อไฟกัน” เบ๊นซ์สรุป คีบเห็ดเข็มทองเข้าปาก

“นั่นแหละที่แปลกล่ะ!!!” ชินตะโกนผุดลุกขึ้นยืน ชี้นิ้วสั่นๆไปยังผู้ร่วมวงทุกคน

“ทำไม... พวกนี้ถึงมาเลี้ยงฉลองให้นายได้วะ!” ชินร้องลั่น เมฆาเลิกคิ้ว เคี้ยวเห็ดหอมหยับๆ ชินจี๊ดกุมขมับ เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าคนอย่างมันไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรหรอก

“แปลกตรงไหน? ก็ผมเพิ่งหนีรอดจากการรุมตื้บของคนสองร้อยกว่ามาได้หวุดหวิด แถมห้องผมก็ซ่อมแล้วด้วย” เมฆาก้มลงคีบเนื้อเข้าปาก

“ส่วนทำไมพวกผู้หญิงมาอยู่นี่ได้ นั่นต้องโทษครูผู้ดูแลหอที่เห่อลูกสาวมากไปหน่อย ลาพักร้อน 1 อาทิตย์ไปเรียบร้อยแล้ว” เมฆาเคี้ยวเนื้อหยับๆๆ “นายน่าจะรู้สัจธรรมนะ หอหญิงห้ามผู้ชายเข้า แต่หอชาย ยินดีต้อนรับผู้หญิงเป็นอย่างยิ่ง” เมฆายักไหล่ “ดังนั้นในบรรดากฎเป็นตั้งๆหนุนหัวนอนได้นั่น ไม่มีซักข้อห้ามผู้หญิงเข้าหอชาย”

ชินอ้าปากค้าง เฮ้ย! จริงง่ะ! แต่นั่นมันไม่ใช่ประเด็นเว้ย!

ชินกุมขมับ นึกอยู่ในใจว่าอุตส่าห์คิดว่าตัวเองเป็นคนที่ปกติที่สุดแล้วในวงหม้อไฟนี้ แต่ท่าทางไอ้เชื้อผิดปกตินี่มันจะติดต่อได้ อยู่ด้วยกันไม่กี่วัน เขาก็ชักรู้สึกจะสูญเสียศักดิ์ศรีของคนปกติไปซะแล้ว

“เว่ยหลาน เธอกับนิรมลอยู่ข้างโลกิไม่ใช่เหรอ? ทำไมมาฉลองให้ไอ้บ้านี่ได้ฟะ?” ชินถาม นิรมลตีหน้าตายตามปกติ ส่วนเว่ยหลานขมวดคิ้ว

“ไม่มีสัมมาคารวะเลย อย่างน้อยฉันก็เป็นรุ่นพี่นายนะ” เธอบ่นท่าทางหัวเสียเล็กน้อย “แล้วจะให้ทำยังไง นายนี่ก็จัดการมัดมือชกเซ็นสัญญาสงบศึกไปแล้ว ตอนนี้ก็ถือว่าเราเป็นพันธมิตรกันชั่วคราว”

“ในทางทฤษฏีน่ะนะ” นิรมลเสริม “เราต่างก็รับรู้กันมานานแล้วว่าคนอย่างหมอนี่ไม่เคยทำตามสามัญสำนึกของคนปกติ” เด็กสาวยกเครื่องดื่มขึ้นจิบอย่างใจเย็น เมฆายิ้มไม่ทุกข์ไม่ร้อน

“ใช่ ไม่รู้ในพจนานุกรมของหมอนี่มีคำว่าสามัญสำนึกอยู่รึเปล่าด้วยซ้ำ” เอมิลี่เติมเข้าให้

“พูดซะเสียเลยนะครับ” เมฆาพูดยิ้มๆ

“คิดไปคิดมาแล้วก็ชักไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องมานั่งอยู่นี่” เซี่ยหลานคีบเนื้อเข้าปาก “ก็ใช่ว่าจะสนิทอะไรกันมากมาย แถมฉันออกจะหมั่นนายอยู่หน่อยๆด้วย”

“อาหารเข้าปากไปแล้วมาพูดแบบนั้นไม่ค่อยดีนะ” เมฆาว่า “เดี๋ยวไม่ได้กินต่อหรอก”

“โอเค นายเป็นคนที่ฉลาด นิสัยดี มีความจริงใจที่สุดเท่าที่ฉันเคยรู้จักมา ขอกินต่อนะ ยังไม่อิ่ม” เซี่ยหลานพูดชมแบบโคตรจะจริงใจเคี้ยวตุ้ยๆ แถมคีบไวเป็นพายุ ท่าทางว่าถ้าเมฆาปฏิเสธ เธอคงจะพาถ้วยหนี เมฆาหัวเราะแล้วพยักหน้า ทุกคนเริ่มกินต่อ

หยับๆๆ ซู้ดๆๆ

เสียงกินอาหารเย็นอย่างเอร็ดอร่อยดังขึ้นต่อไป ทุกคนกินอาหารอย่างมีความสุข แล้วนิยายเรื่องนี้ก็จบลงอย่างสงบสันติ...

“เดี๋ยวเซ่!!!!” ชินว้ากอีกรอบ ชี้หน้าเมฆา “เกือบไปแล้ว อยู่กับพวกนายนี่ฉันต้องติดเชื้อเพี้ยนเข้าซักวันแน่” ชินบ่น แล้วรีบพูดต่อ เพราะเริ่มกลัวว่าขืนเงียบไปแค่ไม่กี่วิอาจจะลืมเรื่องที่อยากจะพูดไป “ทำไมนายถึงรอดจากพวกนั้นมาได้ แถมยังพ่วงสัญญาสงบศึกมาอีกวะ!!!”

ชินกุมขมับเมื่อรู้ข่าวว่ามันรอดมาจากการล้อมกรอบของทั้งไททันและสกาย ทั้งๆที่ความจริงแล้วมันเป็นเป้าหมายเด่นหราอยู่ชื่อแรกของบัญชีหนังหมาของทั้งสองกิลด์นี้ด้วยซ้ำ แล้วทำม้ายยยmew, มันถึงรอดมาได้ แถมได้สัญญาสงบศึกมาอีกเล่า!!!

ชินผู้ที่แม้จะมีหน้าตาชวนหาเรื่องมากที่สุด แต่กลับเป็นผู้ที่มีสามัญสำนึกปกติมากที่สุดในกลุ่มคิดจนสมองแทบแตกก็คิดไม่ออก

“หือ? มันแปลกตรงไหน” เบ๊นซ์ผู้ซึ่งเห็นว่าเมฆาเป็นสิ่งมีชีวิตที่จัดอยู่ในจำพวกเกินความเข้าใจ ไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าเมฆาจะทำอะไร เขาก็ไม่รู้สึกประหลาดใจเลยซักนิดเดียว

“เบ๊นซ์” ชินเรียกเพื่อนเสียงเข้ม “แกลองหันไปมองมันดีๆซิ” ชินจับคอเพื่อนหันไปทางเมฆา “มันหน้าตาเป็นยังไง?” เบ๊นซ์กวาดตาขึ้นลง มีสองตา สองหู หนึ่งจมูก หนึ่งปาก สองแขน สองขา... เบ๊นซ์หันคอกลับมามองชินด้วยดวงตาใสปิ๊ง

“ไม่เห็นมีอะไร ก็ปกติดี” เบ๊นซ์ผู้ไม่เข้าใจในสิ่งที่ชินพยายามบอกพูดพาซื่อ

“นั่นแหละที่อยากจะบอก มันเป็นคนนะว้อย! เป็นสิ่งมีชีวิตสปีชีร์โฮโมเซเปียนแบบเดียวกับฉันแล้วก็แก ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวจากไหนนะเว้ย!” ชินพูดอย่างเหลืออด เบ๊นซ์เบิกตากว้าง ซึ่งหายากมากสำหรับเบ๊นซ์ผู้ไม่เคยลืมตาตื่นเต็มที่ หมายความว่ามันช็อคมาก

“หา! มันเป็นคนเหรอ!” ราวกับเพิ่งรู้แจ้งเห็นจริงตรัสรู้ในพระธนนมอันลึกซึ้ง เบ๊นซ์อ้าปากหวอจนแมงวันบินเข้าไปไข่ได้ เมฆาหมั่นไส้นักเลยยัดไข่ต้มเข้าไปทั้งลูก (ไม่ได้ปอกเปลือก ผลคือเกือบติดคอตาย)

“พวกเราหัดคิดบ้างได้มั๊ยว่ามันผิดธรรมดาน่ะ!” ชินพูดอย่างผู้มีสามัญสำนึกของคนธรรมดาอย่างเต็มเปี่ยมพูด แก้วทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกได้

“จริงด้วยค่ะ แต่แก้วกลับคิดว่าถ้าเป็นพี่เมฆาคงไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ ถ้าพี่เมฆามาบอกว่าพ่นกรดละลายโลหะได้แก้วยังเชื่อเลยนะ”

“เห็นพี่เป็นตัวอะไรน่ะ” เมฆาชักฉุน

“ไม่นะ ถ้าวันนึงนายมีปีกมีหางบวกครีบกับเหงือกโผล่ออกมา ฉันก็ไม่แปลกใจซักนิด” เซี่ยหลานเสริม

“อยากกินอยู่ไหมหม้อไฟน่ะ”

“โทษที นายปกติธรรมดาสามัญสุดๆ” เซี่ยหลานแก้ให้

“มันผิดปกตินะ แบบนี้ไม่ว่าเป็นใครก็ต้องสงสัยไมใช่หรือไง?” ชินจุดประเด็นขึ้นมา ทุกคนชะงักไปแล้วเริ่มคิดจริงจัง อือ จริงด้วย ทุกคนเริ่มรู้สึกว่าห่างจากความปกติมากเข้าไปทุกที

“พูดซะเสียเลยไอ้ชิน แก้ว พี่ขอแมงกะพรุนเพิ่มหน่อยนะ” เมฆาพูดเสียงหวาน

“ได้ค่ะ” เด็กสาวรับคำอย่างว่าง่ายแล้วลุกขึ้นไป แต่ในห้องนี้ถึงจะมีระบบส่งยังไงก็ไม่มีให้หรอกไอ้แมงกะพรุนน่ะ สุดท้ายเธอเลยต้องลงไปซื้อชั้นล่างมาแทน (เฟรชมาร์ชของที่นี่ทุกอย่างจริงๆนะ เนื้อลิงยังมี)

“แต่ไงๆก็เวอร์ไปอยู่ดีนะ คิดยังไงก็เป็นไปไม่ได้ ทำไมแกรอดมาได้เล่า!”

“ก็ได้ดูวีดีโอไปแล้วนี่” เมฆาพูดเนือยๆ กินหม้อไฟต่อไปแบบไม่สนใจอะไร ราวกับว่าสิ่งที่ทำลงไปเมื่อวานไม่ต่างจากการเดินเล่นยามบ่าย

“ดูมันก็ดูอยู่หรอก แต่ยังไงก็ไม่เข้าใจว่ะ คนเป็นร้อยไม่มีใครคิดทันเลยเหรอวะ? แล้วเรื่องอะไรต้องมายอมคนคนเดียวด้วย” ชินถามอย่างไม่เข้าใจอย่างแรง มันแปลกๆ ถึงเมฆาจะเก่งยังไงก็ไม่มีทางสู้คนเป็นร้อยๆอยู่แล้ว ยิ่งพวกสายเบรนซิงโครฉลาดเป็นกรดด้วยแล้ว การจะตกหลุมพรางของเมฆาเป็นเรื่องที่เพ้อฝันเอาชัด แต่แล้วเหตุการณ์กลับกลายเป็นว่ามันได้เปรียบเต็มประตู แถมบังคับให้พวกนั้นเซ็นสัญญาสำเร็จอีกต่างหาก คิดยังไงก็เป็นไปไม่ได้

“เรื่องนั้นแกต้องถามสองสาวนี่แล้วล่ะ อยู่ในเหตุการณ์ด้วยนี่นะ ไหนลองบอกเขาหน่อยซิครับ โพไซดอน ฟูจิน ว่าทำไมถึงได้ยอมทำตามคำพูดของคนคนเดียว” เมฆาล้อสองสาว เว่ยหลานกับนิรมลนิ่วหน้า มองสายตาสงสัยอย่างจริงใจของชินแล้วก็ต้องเอ่ยปาก

“พูดตรงๆพวกเราเองก็ไม่อยากจะเชื่อหรอกว่าเหตุการณ์มันจะออกมาในรูปนี้” นิรมลถอนหายใจ “เรื่องมันเริ่มตั้งแต่ตอนของพวกสกายแล้ว” นิรมลขมวดคิ้วไล่เรียงความทรงจำจากภาพวีดีโอที่เมฆาอุตส่าห์ใจดีเปิดให้ได้ชมกันก่อนอาหาร “ตอนแรกพวกนั้นมาแค่ 12 คน เมฆาฉวยโอกาสบุกจู่โจมไปซะสามคนก่อน โดยที่คนพวกนั้นล้วนแล้วแต่เป็นสายเบรนซิงโคร ซึ่งน่ากลัวมากๆเวลาต่อสู้แบบหมู่ แต่ดูเหมือนว่าเมฆาจะมีความสามารถในการจัดการคนพวกนี้เป็นพิเศษ” เด็กสาวเหล่เมฆาที่ยังยิ้มระรื่นเหมือนปกติ “ดังนั้นพอจัดการได้แล้วก็จับเจนัสเป็นตัวประกัน ประกาศคำขู่ที่ดูแข็งกร้าวที่สุดออกไปข่มขวัญมันเป็นการส่งท้าย สุดท้ายก็ลงมือแบบโหดเหี้ยมเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูแล้วหนีไปแบบง่าย กลายเป็นการสลักความหวาดหวั่นลงไปในจิตใต้สำนึกของคนพวกนั้นอย่างไม่รู้ตัว”นิรมลเล่าด้วยน้ำเสียงโมโนโทน แต่ทุกคนรู้ว่าเธอก็อดชมเมฆาในเรื่องนี้ไม่ได้เหมือนกัน เป็นความรู้สึกแบบเดียวกับทุกคนในหอหญิงตอนที่รู้เรื่องนั่นแหละ

“ต่อมาก็ใช้ประโยชน์จากสภาพพื้นที่ หาทางกลบเกลื่อนร่องรอยแล้วรบแบบกองโจร จงใจไม่ปะทะซึ่งๆหน้า แต่ใช้กับดักที่เล่นงานทางจิตวิทยาได้ดีกว่า ทำให้พวกนั้นตึงเครียดและระแวดระวังตัวอยู่เสมอ เมื่อเจอการโจมตีหนักๆเข้าก็จะขวัญหนีดีฝ่อ แต่พอคนเหลือน้อย การป้องกันแน่นหนาขึ้น การเจอกับกับดักก็รอดมากขึ้น ทำให้เกิดความมั่นใจว่าถ้าป้องกันดีๆก็จะไม่เป็นไร สุดท้ายก็มัวแต่คิดหาวิธีรวมกลุ่มและป้องกันตัวเองอย่างเดียว” เว่ยหลานพูดไปกินไปด้วยท่าทีสบายเหมือนเล่านิทานก่อนนอน แต่เนื้อหาชักไม่ชวนหลับ

“พอถึงจุดหนึ่งที่คนพวกนี้ถึงคราวต้องเลือกว่าจะหาต่อหรือถอย ถ้าเป็นสถานกาณ์ปกติ ด้วยจำนวนคนขนาดนี้ พวกเขาต้องเลือกที่จะหาต่อแน่ แต่นายใช้วิธีการกดดันทางจิตใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตอนแรกก็สร้างสถานการณ์หวาดระแวงจะถูกโจมตีด้วยกับดัก พอพวกมันโดนเยอะก็รวมกลุ่มจนเกือบจะคิดว่าปลอดภัย ท้ายที่สุดนายก็ทิ้งระเบิดด้วยกองไฟและจดหมายเป็นการบอกว่า อย่าชะล่าใจนะ ฉันยังไม่ได้เอาจริง ถ้าคิดว่าปลอดภัยแล้วล่ะก็ ระวังเจอดี ยิ่งบวกกับความสามารถในการจัดการพวก 12 นักษัตรไปสามคนในอึดใจเดียวนั่นด้วยแล้ว พวกนั้นต้องไม่กล้าสู่ต่อในสภาพป่าที่เพื่อนๆโดนเก็บไปมากมายแน่ พวกนั้นแม้จะรู้ว่าถ้ารวมกันก็ชนะ แต่ก็รู้อีกว่าจะต้องมีคนโดนอีกหลายคนกว่าจะจับตัวได้ สัญชาติญาณความหวาดกลัวที่ถูกนายกระตุ้นอย่างหนักมาตั้งแต่ต้นก็เป็นการผลักดันให้พวกนั้นถอยแต่โดยดี” นิรมลแจกแจงแผนสุดจะหยั่งของเมฆาออกมาเป็นฉากๆ เล่นเอาคนฟังตาค้าง

“ไม่พอ ขากลับนายกลับย้ำมันเข้าไปอีกว่าป่านี้มันเป็นป่ากินคน บังคับให้พวกมันต้องฝ่ากับดักแทบตายออกจากป่า ดีที่พวกมันไม่มีใครเทเลพอร์ตพาเพื่อนไปได้ ซึ่งก็คงจะเก็บข้อมูลมาแล้วน่ะนะ บีบบังคับให้พวกมันกลัวป่าถึงขีดสุด แล้วรีบออกจากป่าไปให้ไวที่สุด ในสภาพการณ์ที่นายบีบพวกนั้นแบบสุดๆขนาดๆนี้ พวกนั้นไม่มีทางกล้าฝ่าดงกับดักที่นายตั้งใจทำหลอกๆเอาไว้แน่ ได้แต่ฝ่าไปในเส้นทางกับดักของจริงที่ถูกทำให้ดูเบาบางกว่า ถึงจะไม่สำเร็จ แต่อย่างน้อยก็ขู่มันแทบบ้าได้แน่ๆ” เว่ยหลานเล่าด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้นิดๆ “ลองสภาพว่าคนที่คิดว่าตัวเองกำลังจะรอด โผล่มาก็เจอกับกองกำลังไททันดูสิ มันจะรู้สึกยังไง”

“เรื่องนี้ก็เป็นอีกอย่างที่ต้องขอชมนะ นายเชิญพวกฉันมา ไม่สิ เรียกว่าหลอกมาจะถูกกว่า นายรู้ว่ายังไงพวกเราก็ไม่ปฏิเสธแน่ ลากพวกเราให้มาดักตีหัวสกาย ถ้าจับได้ก็แล้วไป แต่นายก็คงเดาได้ว่ามันต้องหนีกลับเข้าไปทางเดิมแน่ พอจนมุม ก็ได้เวลาเล่นมายากลชุดสุดท้าย” นิรมลพูดเรียบๆ เมฆายังคงยิ้มอย่างสุภาพแล้วฟังโดยไม่รับหรือปฏิเสธ

“นายอาจจะไม่เข้าใจนะว่าทำไมพวกเราถึงต้องตอบตกลงในสถานการณ์ที่มองมุมไหนก็ชนะแน่ แต่ถ้านายได้ไปอยู่ในเหตุกาณณ์เองก็จะรู้” เว่ยหลานกินไอติมรสโคล่าไปพลางอธิบายไปพลาง เธอเองก็ไม่อยากถูกมองว่าไม่เอาไหนเหมือนกัน เลยเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ชินฟัง จะได้ไม่โดนดูถูก แต่มาคิดๆดูอีกที นี่อาจจะเป็นความคิดของเมฆามาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้

น่าหมั่นไส้จริงๆ

“นายลองนึกภาพว่าเราโผล่เข้าไปเจอสภาพของสกายที่ยับเยินอย่างหนัก เราที่ถูกเรียกมาก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเมฆาเรียกพวกเรามาได้ เขาก็เรียกพวกคนอื่นมาได้ ไม่แน่ว่าในป่านี้อาจจะมีพรรคพวกของมฆาซ่อนอยู่อีก แต่เราไม่รู้ว่าเมฆามีพวกอีกที่ไหน ในเมื่อเขาเข้าเรียนมาได้ไม่กี่วัน แถมพวกนั้นยืนยันด้วยว่าเมฆามาคนเดียว แต่แน่นอนว่าพวกนั้นอาจจะอยากให้เราประมาท แล้วลากเราลงน้ำย่อยยับกันไปทั้งคู่ก็ได้ พวกเราเลยเกิดความสับสนและความกลัวทั้งต่อเมฆา และหวาดระแวงต่อกองกำลังที่มองไม่เห็น” นิรมลเสริม ทุกคนนึกภาพในตอนนั้นออกเลยทีเดียว ถ้าเป็นใครก็ต้องระแวงไปต่างๆนาๆอยู่แล้ว

“คำถามคือพวกนั้นเป็นใคร? ใครจะกล้ามาลูบหนวดเสือ? เข้าข่ายก็พวกฐานอำนาจเก่า แต่เมฆาไม่น่าจะไปกล่อมมาได้ แต่ก็ไม่แน่ เพราะแค่ไม่กี่วันก็ตีสนิทกับทั้งไรจินและเฮอคิวลิสที่ขึ้นชื่อคบยากมาได้ตั้ง 2 คน เราเลยหวาดหวั่นอยู่” เว่ยหลานจิบชา “แล้วตอนนั้นเอง พวกเราก็โดนเล่นงาน”

“เมฆาจัดการคนของเราด้วยวิธีที่รุนแรงมาก หนึ่งเพื่อที่จะแบ่งแยกคนที่มี่ความสามารถในการเคลื่อนที่ระดับสูงที่อาจจะเปิดโปงกองกำลังที่ไม่มีอยู่จริงของเขาได้ ให้ออกไปลำเลียงคนเจ็บแทน โดยสังเกตจากปฏิกิริยาของพวกเรา และถ้ามีคนที่มีความสามารถด้านไล่ล่ามากกว่านี้ เราก็คงจะไม่ได้เจอแค่งูสองสามตัวแน่” นิรมลหันไปมองเมฆา

“ใช่ไหม เฮอร์มีส?”

“เอ... ไม่รู้สิครับ” เมฆาแกล้งไขสือ บนมุมปากประดับด้วยรอยยิ้มที่อ่านไม่ออกนั่นอีกแล้ว

“ดังนั้นพวกเราเลยอยู่ในสภาพที่จะรุกก็ไม่ได้ จะถอยก็ใช่ที่ ถ้าบุก พวกเราอาจจะโดนสกายตลบหลังเอา เลวร้ายที่สุดก็อาจจะโดนกลุ่มปริศนาในป่าเล่นเอาทั้งคู่ คล้ายจะได้ไม่คุ้มเสีย พวกเราถูกดดันให้ต้องเลือกด้วยตัวเลือกที่บีบคั้นที่สุด แล้วตอนที่พวกเรากำลังจะตกลงกับสกาย นายก็เข้ามาสอด” เว่ยหลานจ้องเมฆาเขม็ง “นายใช้วาทศิลป์นั่นพูดจนพวกเราหลงประเด็นเดิม แน่นอนว่าถ้าปล่อยให้คิดต่อไปซักหน่อย ไม่ว่าใครก็คงคิดได้ว่ายังไงนายก็หนีไม่รอด แต่นายไม่เปิดโอกาสให้คิด นายอาศัยช่วงเวลาที่กับดักทางจิตวิทยาที่นายวางเอาไว้ทั้งหมดมาถึงจุดสูงสุด บีบคั้นและขู่เข็ญอย่างหนักด้วยการขู่ เน้นย้ำให้เห็นถึงสภาพการณ์อันเลวร้าย และสิ่งที่นายทำได้ ทำให้พวกเราหวาดกลัวไปอย่างน้อยก็วูบ จากนั้นฉวยโอกาสช่วงเวลานั้น ยื่นข้อเสนอที่ดูเป็นการรอมชอมและยุติธรรมดีออกมา” เว่ยหลานทำหน้าหมั่นไส้ “ทั้งที่ถ้ามานั่งคิดดีๆแล้วเราแทบไม่มีความจำเป็นต้องสงบศึกเลยซักนิด ท้ายสุดยังทิ้งระเบิดลูกเบ้อเริ่มว่าจะรวบรวมสมัครพรรคพวก ในช่วงเวลาที่นายเป็นคนควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของทุกคน คำพูดนั้นเป็นการกดดันที่รุนแรงกว่าปกติหลายเท่า” เว่ยหลานหรี่ตา “แน่นอน จุดประสงค์ไม่ได้แค่ขู่แน่ๆ”

“เมื่อนายพูดอย่างนี้ออกมา แน่นอนว่าทุกคนต้องตื่นตัวกันเต็มที่ การประกาศศักดาของนายส่งผลกระทบอย่างมากถึงพวกเรา ถึงยังไงผู้สูงศักดิ์ก็มีอัศวินใต้อาณัติเพราะความดึงดูดใจและความเก่งกาจอยู่แล้ว นายซึ่งมีวีรกรรมที่โดดเด่น รวมไปถึงบุคลิกที่อำนวย นายมี่คุณสมบัติจะเป็นหัวหน้ากองกำลังเต็มที่ทีเดียว” นิรมลเสริม เอนหลังมองดูใบหน้ายิ้มแย้มที่ไม่แปรเปลี่ยนนั่นอย่างพิจารณา

“การจะหยุดนายน่ะมีไม่กี่ทาง การจะวอแวนายน่ะลืมไปได้เลยเพราะติดสัญญา แต่กลุ่มอื่นไม่ติด แน่นอนว่าพวกนั้นแห่กันมาแน่ ทั้งสกายและไททันที่เห็นความสามารถของนายมาเกินพอย่อมไม่อยากให้คนอย่างนายไปอยู่ข้างศัตรูแน่ และจะเป็นฝ่ายจัดการไม่ให้พวกนั้นมาพบนายแทน แน่นอน มันต้องเกิดสงครามย่อมๆแหงอยู่แล้ว” นิรมลพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่เนื้อหาทำเอาคนฟังยิ้มไม่ออก

“กลุ่มก้อนกองกำลังต่างๆจะแย่งชิงตัวนายเป็นบ้าเป็นหลัง โดยมีกันชนตัวเอ้อย่างไททันและสกายคอยคุ้มกันให้เป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม นายก็คงจะถือโอกาสบอกพวกเราไปว่ามีใครจากไหนมาทาบทามบ้าง พวกเราก็จะกลายเป็นหมาบ้าไล่ตะเพิดออกไปทันที ไอ้เรื่องจริงไม่จริงน่ะก็อีกเรื่องเมื่อหมดเวลาหนึ่งเดือนที่ข้อสัญญาบังคับ พวกนั้นก็จะหันมาหานาย แน่นอนว่ากลุ่มอื่นๆที่ระหองระแหงกันมาเป็นเดือน พอเห็นท่าไม่ดีก็ต้องเปิดศึกกับพวกเราอย่างแน่นอนที่สุด” นิรมลหรี่ตาสาดประกายเย็นเยียบ

“มันจะเกิดสงครามที่ทุกกองกำลังทุกผู้มีอำนาจต่อสู้กัน โดยมีนายเป็นผู้กำหนดว่าใครจะต้องเข้าร่วมด้วยการชี้บอกตอนแรก ทุกคนกระโดดลงปลักโคลนนี้กันหมด ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว” นิรมลพูดช้าๆ ทีละคำ “กลายเป็นมหาสงครามที่ใหญ่ที่สุดที่มีมาในประวัติศาสตร์การก่อตั้งโรงเรียน”

“...”

“...”

“...”

ทุกคนนิ่งเงียบไปเมื่อนิรมลพูดจบ เมฆายังคงนั่งยิ้มกินไปเรื่อยๆอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน ท่ามกลางสายตาที่ทุกคนจ้องเขาเป็นตาเดียว เมฆากินเนื้อคำสุดท้ายในชามแล้วเคี้ยวจนหมดถึงพูด

“แล้วไง? มีหลักฐานอะไรว่าผมเป็นวางแผนนี่ บางทีอาจจะแค่บังเอิญก็ได้นะ” เมฆาแก้ตัวตาใส

ถึงจะเพิ่งรู้จักกันไม่นาน แต่ก็มากพอที่จะรู้ว่าคนอย่างนายทำได้แน่ๆ

“แล้วใครมันจะไปเดาเรื่องในอนาคตออกกัน มันคงไม่มีเรื่องตรงตามคาดเป๊ะๆขนาดนั้นหรอก ไม่งั้นเธอก็เป็นหมอดูได้เลยนะนิรมล” เมฆาว่า เด็กสาวหรี่ตา

“แล้วไง นายเดาว่าไงล่ะ?” เธอถาม เมฆายิ้ม แล้วเอ่ยเดาออกมาเหมือนเดาเล่นๆ

“ที่เธอพูดมากมันก็แค่สถานการณ์ตอนนี้ แต่สมมุตินะสมมุติ ถ้าเกิดว่ามีอะไรเพิ่มขึ้นมาจากนี้อีกล่ะ?” เมฆายิ้มยั่วเย้า “มันก็อาจจะเกิดเป็นมหาสงครามที่ดึงคนทั้งโรงเรียนเข้ามาเกี่ยวด้วยก็ได้” นิรมลอ้าปากค้าง

“นี่นายคิดจะทำอะไรกันแน่!” เธอร้องออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ หลุดมาดสาวใจเย็นกระเด็นไปไกล

“ก็บอกแล้วไงว่าแค่สมมุติเฉยๆ” เมฆาพูดไม่ทุกขืไม่ร้อน “จะตกใจอะไรมากมาย มันยังไม่เกิดน่ะ เข้าใจมะ?”

“งั้นนายจะทำให้โรงเรียนวุ่นวายไปทำไม นายจะได้อะไร?” เว่ยหลานถามด้วยความงุนงงสุดขีด

“แหม ก็ขึ้นเป็นราชันท่ามกลางกลียุคน่ะง่ายกว่าต้องโค่นบัลลังก์ที่มั่นคงอยู่แล้วตั้งเยอะ” เมฆาบิดขี้เกียจ “ชิงบัลลังก์ท่ามกลางสงครามน่ะเป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการขึ้นนั่งบัลลังก์นะ”

นิรมลและเว่ยหลานจนคำพูด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่นๆที่พูดไม่ออกกันตั้งแต่กลางๆเรื่องแล้ว มฆาที่สบายอารมณ์จนเอนหลังนอนกับพรมไปแล้วฮัมเพลงหงุงหงิงอย่างมีความสุข ปล่อยให้ทุกคนซึมซับความจริงกันไป

ว่าคนอย่างเมฆา... มันทำได้ทุกอย่างจริง!

ทำให้ทุกคนรอบโต๊ะที่เริ่มมีสามัญสำนึกกลับมาบ้างเล็กน้อย เริ่มกระเด็นหลุดหายไปด้วยความคิดเพ้อเจ้อที่ว่า

บางทีถ้ามันอยากยึดครองโลก มันก็อาจจะทำได้ก็ได้นะ

ทุกคนส่ายหัววืดไล่ความคิดนี้ออกไปพร้อมกัน ภาพเมฆายืนกอดอกหัวเราะอย่างชั่วร้ายนั้นเหมือนจริงจนน่ากลัว ชักรู้สึกว่าตัวเองบ้าขึ้นทุกทีแล้ว อยู่กับเมฆานี่ทำให้ความปกติลดลงจริงๆ มันเป็นโรคติดต่อหรือเปล่าเนี่ย?

“งั้นขอเหตุผลหน่อยว่าทำไมถึงต้องทำขนาดนี้เพื่อให้ได้เป็นประธานนักเรียนด้วย” เซี่ยหลานถาม

“ทุกคนมันก็มีสัญชาติญาณใฝ่สูงกันทั้งนั้นแหละครับ ทุกคนก็อยากจะมีอำนาจสูงสุดเด็ขาดเพื่อสั่งการทุกคนได้มาไว้ในมือกันทั้งนั้น เป็นสามัญสำนึกปกติอยู่แล้วนี่” เมฆาบอก

“ยกเว้นแกแน่” ชินเสริมเนือยๆ

ก่อนที่เมฆาจะทันได้เฉ่งเพื่อน แก้วก็เดินเข้ามาพอดีพร้อมถาดใส่แมงกะพรุนและปลาหมึกมาเต็มถาด

“มาแล้วค่า!” เธอพูดอย่างร่าเริงแล้ววางถาดลง เมฆากระเด้งตัวขึ้นมาทันที

“น่ากินมาก! โห! น่าอร่อยจริงๆ ต้มเลยๆ” เมฆาจัดการลวกทันทีไม่รอช้า แล้วก็เอียงคอมองดู ไปๆมาๆก็เอาผักบุ้ง ปลาหมึก แมงกะพรุน เนื้อวัว และหน่อไม้ฝรั่ง มาจัดเรียงเป็นรูปเป็นร่างในจาน สุดท้ายก็เอาน้าจิ้มมาราดเป็นเส้นๆ แล้วหัวเราะลั่น

“ฮ่าๆๆ ดูดิๆ เดวี่โจนๆ!” เมฆาหัวเราะชอบใจ เมื่อจัดเรียงแล้วมันออกมาเหมือนกัปตันเรือปีศาจในเรื่องไพเรทออฟดิแคริบเบียนไม่มีผิด ทุกคนส่ายหน้าระอา ในขณะที่เมฆาชักสนุก “ทำกัปตันแจ๊ก สแปร์โรว์มั่งดีกว่า เอาแมงกะพรุนนี่มาทำหมวกดีกว่า ก๊ากฮ่าๆๆ น่าสนุกชะมัด!”

ทุกคนส่ายหน้าแล้วก้มลงกินข้าวต่อ ก่อนจะสะดุดกึกเมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ที่เหลือเชื่อขึ้นมา ไม่หรอก มันคงไม่มีใครบ้าทำลงไปเพราะเหตุผลแค่นี้หรอก แต่ คิดอีกที ถ้าเป็นหมอนี่อาจจะใช่ก็ได้... อย่าบอกนะ ว่าที่กะจะทำให้โรงเรียนแทบถล่มทลายเพื่อเป็นประธานน่ะ...

แค่นึกสนุกแบบวาดรูปในจานเนี่ยนะ!

โอ้มายก็อด ไม่อยากนึกเลยว่าถ้าเกิดมันได้เป็นประธานนักเรียนขึ้นมาจริงๆ... โรงเรียนสาธิตเซนท์ปิแอร์จะอยู่ในสภาพไหน?

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel