Type 26: ชมรม
Type 26: ชมรม
กฎข้อที่ 23 ของนักต้มตุ๋น จงพัฒนาฝีมือในการหลอกคนอื่นของตนเองอยู่เสมอ หากเราหยุดนิ่งเมื่อไหร่ เมื่อนั้นคือจุดจบ
“ที่นี่มีกฎห้ามเลี้ยงสัตว์ไหม?” เมฆาถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยในเช้าวันหนึ่ง เซี่ยหลานขมวดคิ้ว แล้วส่ายหน้า
“จำไม่ได้ว่ามีนะ นายไปลองค้นระเบียบดูดิ” เธอตอบ เมฆาพยักหน้า แล้วหันไปทำงานต่อ เซี่ยหลานเหลือบตาขึ้นมาดู ตอนนี้นับจากวันที่เมฆาเข้ามาเรียนก็ผ่านไป 1 อาทิตย์แล้ว และดูเหมือนเจ้าตัวจะปรับตัวได้ไวเกินคาด แถมดูเหมือนคนในห้องจะรู้ตัวว่าเมฆามันเก่งอีกต่างหาก
“เมฆา ช่วยสรุปนี่ให้ทีได้ไหม?” เสียงของซายอง รองหัวหน้าสายวิชาการเอ่ย เมฆาเงยหน้าขึ้นมารับงานมาดู มันเป็นงานกลุ่มที่ให้สรุปเนื้อหาทำเป็นรายงาน เด็กหนุ่มไม่พูดอะไร แต่รับมาเริ่มทำทันที
ในห้องเรียนของพวกเขามีหัวหน้าห้อง 1 คน และรอง 4 คน ได้แก่รองวิชาการ รับหน้าที่เกี่ยวกับด้านการเรียน และเป็นที่ปรึกษาด้านการเรียนให้คนในห้อง ฝ่ายธุรการ รับหน้าที่เกี่ยวกับการเงินของห้อง คอยเก็บเงินเข้ากองกลาง รับหน้าที่รับผิดชอบการเบิกจ่าย รวมไปถึงการซื้อของต่างๆ เลขานุการ รับหน้าที่ด้านเอกสารจดบันทึก และนัดหมายกำหนดการต่างๆ ติดต่อกับห้องอื่นๆ หรือประสานงานด้านนอก ฝ่ายกิจการนักเรียน ทำหน้าที่ควบคุมดูแลไม่ให้คนในห้องทำผิดกฎ และลงโทษเวลาทำผิด
การเลือกตั้งคณะกรรมการห้องเริ่มขึ้นเมื่อวาน
“เอาล่ะค่ะ ต่อไปนี้จะเป็นการเลือกหัวหน้าห้องและรองทั้ง 4 นะคะ ขอให้พวกเราเสนอชื่อ แล้วจะเริ่มลงคะแนนเสียงกันค่ะ” ซายองยืนอยู่หน้าห้อง เขียนบนกระดานด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่
‘เลือกตั้งคณะกรรมการห้อง 4A’
“เริ่มด้วยแผนกธุการก่อน ใครจะเสนอกันบ้างคะ”
“ซายอง!” เกือบทุกคนประสานเสียงทันที “เธอเรียนเก่งที่สุดแล้ว ไม่ต้องเอาคนอื่นหรอก”
เจ้าตัวเกาแก้มน้อยๆอย่างเขินๆ เพราะเธออยู่ตำแหน่งนี้มาตั้งแต่ ม.1 แล้ว แต่ถ้าทุกคนลงความเห็นก็คงต้องรับ ซายองเลยเขียนชื่อตัวเองลงไปใต้ชื่อ รองวิชาการซายองผู้มีบุคลิกอ่อนหวานเข้ากับคนง่ายและเรียนเก่ง จึงรับหน้าที่นี้ไปโดยมีมติเอกฉันท์
“ธุรการค่ะ” ซายองถามขึ้นอีก
“เซี่ยหลาน!” ทุกคนประสานเสียงอีกแล้ว ด้านธุรการการเงิน เป็นหน้าที่ของเซี่ยหลาน ซึ่งได้รับการกล่าวขวัญว่าหากไม่ยอมจ่ายเงินเธอ ประกาศิตสั่งซวยจะไปทวงเงินด้วยตัวเอง ไม่ปรากฏการเบี้ยวตังค์ขึ้นเลยแม้แต่ครั้งเดียวตั้งแต่เธอรับหน้าที่มาตั้งแต่ ม.1 แน่นอน ไม่มีใครคัดค้าน ชื่อของเธอจึงถูกอัญเชิญไปอยู่ในตำแหน่งธุรการแต่โดยดี
“ต่อไป ฝ่ายกิจการนักเรียนค่ะ” ซายองเอ่ยลำดับต่อไป แทบไม่ต้องคิด ทุกคนประสานเสียงขึ้นมาทันที
“ยูกิ!” พร้อมเพรียงมาก ทุกคนยกให้ยูกิผู้เถรตรงจนน่ารักรับไป เธอท่องจำบทลงโทษได้ทุกอย่างอย่างแม่นยำ และจับไม่เว้นแม้แต่คนในห้องตัวเอง เป็นที่รู้กันว่าเธอทำงานในแผนกคุมกฎของสภานักเรียนด้วย เลยไม่มีใครกล้าหือ แน่นอน เจ้าตัวค้านไม่ได้อยู่แล้ว แล้วก็มาถึงรองตำแหน่งสุดท้าย
“ธุรการค่ะ” ซายองถามขึ้น
“โรซาเลีย” ใครบางคนเสนอ
“แซคส์” อีกคนพูดขึ้นมาอีก ทุกคนถกเถียงกันไปมา ดูเหมือนตำแหน่งนี้จะมีปัญหามากที่สุด เพราะเป็นตำแหน่งที่งานเยอะแถมไม่ค่อยมีใครอยากจะทำ
“เอมิลี่” แต่เสียงหนึ่งดังขึ้นแย้ง ทุกคนหันไปมอง แล้วเห็นเมฆาเอนหลังพิงพนักด้วยท่าทีแสนสบาย ใบหน้ามีรอยยิ้มละไมประดับอยู่อย่างอ่อนโยน “ผมรับรองว่าเธอทำหน้าที่ได้ดีแน่”
เมฆารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงงึมงำๆมาจากด้านหลัง ทุกคนมองหน้ากัน ตำแหน่งนี้ไม่ได้มีใครยึดครองตายตัว แต่ผลัดกันเป็นไปเรื่อยๆ เพราะไม่ค่อยมีใครชอบงานเอกสารมากนัก เลยกระจายๆกันไป
“ไม่เอา” เอมิลี่พูดเรียบๆเมื่อพบว่าตัวเองตกเป็นเป้าสายตา เอมิลี่ผู้ไม่โดดเด่นในด้านใดเลยทำให้ทุกคนเริ่มคิดว่าจะเอายังไงดีแน่ ส่วนคนที่โดนเสนอชื่อก่อนหน้านั้นก็ไม่ได้อยากเป็นนัก ถ้าเอมิลี่ยอมรับเขาก็จะยินดี
เมฆาปากระดาษที่ปั้นเป็นก้อนก้อนหนึ่งใส่หัวเอมิลี่ เด็กสาวถลึงตามองเมฆาแล้วคลี่กระดาษออกดู ขมวดคิ้วอ่านอยู่พักหนึ่งถึงถอนใจ
“ตกลงก็ได้” เธอยอมรับในที่สุด ไม่มีใครคัดค้าน หรือแม้แต่ละลงคะแนนเสียง ชื่อของเธอไปโผล่บนกระดานอย่างงงๆ ดูเหมือนในหัวทุกคนตอนนี้จะสงสัยมากกว่าว่าเมฆาเขียนอะไรลงไปกันแน่ แต่ไม่นานทุกคนก็รู้สึกว่าดีแล้วที่เป็นเธอ ไม่เคยมีใครรู้ว่าเธอจัดการกับเอกสารยังไงหรือทำอะไรได้บ้าง แต่ไม่ว่าต้องการข้อมูลแบบไหนก็บอก จะส่งตรงมาให้อย่างรวดเร็ว แน่นอน ไม่ฟรี ส่วนฝ่ายกิจการ ทุกคนพร้อมใจกันยึดเธอเป็นแหล่งข่าวประจำห้องไปแล้ว
‘จะรวบรวมข่าวสารได้ง่ายกว่านะ แล้วทุกคนจะเอาเรื่องซุบซิบต่างๆมาบอกเธอเป็นคนแรกด้วย ไม่ดีหรือ’
นั่นเป็นข้อความในกระดาษที่ถูกขยำแล้วโยนลงถังขยะมุมห้อง เธอชักเกลียดเมฆาซะแล้ว รู้ทันไปทุกอย่างจริงๆ
“เอาล่ะค่ะ ต่อมาก็ตำแหน่งหัวหน้า” ซายองพูดขึ้น ตำแหน่งหัวหน้าห้องนี่ก็เหมือนกัน ไม่ค่อยมีใครเป็นนาน สลับๆกันไปอยู่ตลอด เพราะรองแต่ละคนก็แบ่งหน้าที่กันชัดเจนแล้ว หัวหน้าห้องเลยไม่จำเป็นอะไรเท่าไหร่ นอกจากจะเป็นตัวประสานเชื่อมกลางแล้วควบคุมอีกที แต่หน้าที่ก็คลุมเครือ เพราะงานในห้องต่างก็ถูกแบ่งไปให้รองจนหัวหน้าไม่มีหน้าที่อะไรให้ทำเลย เหมือนเป็นหน้าที่หลักลอยยังไงไม่รู้ แต่ว่าปีนี้...
“เมฆา!”
ทุกคนประสานเสียงเป็นเสียงเดียวกัน เจ้าตัวสะดุ้ง หน้าม่อย อ้าปากปฏิเสธทันที เรื่องอะไรต้องเอาภาระมาแขวนคอด้วย แน่นอนว่าทุกคนไม่ยอม และจัดการเอาเพื่อนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาได้ไม่ถึงอาทิตย์ขึ้นเป็นหัวหน้าเรียบร้อย
ตอนนั้นทุกคนไม่ได้คิดหรอกว่าเมฆาจะทำอะไรได้บ้าง ในเมื่อหน้าที่ทั้งหมดก็ถูกซอยๆแบ่งไปให้รองทั้ง 4 หมดแล้ว แต่ต่อมา ทุกคนถึงได้รู้ว่าหัวหน้าห้องของพวกเขาไม่ใช่คนที่ทำอะไรตามสามัญสำนึกซักเท่าไหร่
หัวหน้าห้องผู้ไม่ค่อยเรื่องมากก็รับงานทุกอย่างที่ทุกคนโยนมาให้โดยไม่ปริปากบ่นซักคำ ตอนแรกนึกว่าจะลำบากเพราะที่นี่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นครึ่งต่อครึ่งในการทำงานเอกสาร ถึงครูส่วนใหญ่จะเก่งภาษาไทยจนอ่านออกเขียนได้ แต่บางงานก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักด้วยเหมือนกัน จึงกลัวว่าเมฆาจะทำไม่ค่อยได้เพราะเรียนในโรงเรียนธรรมดามา แต่ต่อมาค่อยรู้ว่าคิดผิด เพราะเมฆาทำได้ทุกอย่างจริงๆ ไม่ว่าจะยากเย็นน่าเบื่อหน่ายขนาดไหน แค่จ่ายงานให้ หมอนั่นก็ทำให้ชนิดครูอ่านแล้วต้องชม
อันที่จริงแล้วด้วยนิสัยว่าง่ายแบบนี้น่าจะโดนคนในห้องรุมใช้งานจนโงหัวไม่ขึ้น แต่ไอ้ท่าทางเรื่อยๆเฉื่อยๆนั่น ทุกคนก็รู้ดีว่าไม่กี่วันมานี่ทำอะไรลงไปบ้าง งานเบ็ดเตล็ดๆเล็กๆน้อยๆก็เลยไม่มาถึงมือ นอกจากจะเป็นงานที่ต้องอาศัยความสามารถจริงๆ ปรกติแล้วเวลางานกลุ่ม หัวหน้าห้องหมาดๆของพวกเขาก็โดนแย่งตัวเป็นขี้โดนแมงวันตอมอยู่แล้ว
อยากจะบอกไว้ซักหน่อยว่าที่มันเล่นกีฬาธรรมดาๆอย่างบอลหรือบาสไม่ค่อยได้หรอก เพราะว่ากติกาพวกนี้พอมาอยู่กับพวกที่มีพลังจิตหลุดโลกแล้วมันไร้ความหมายไปเลยน่ะสิ ดังนั้นแต่ละสายเลยชอบไปรวมกลุ่มกัน แล้วเล่นด้วยมากกว่า เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำเวลาสู้
ยกตัวอย่าง คุณลองเตะบอลที่มีลูกบอลเป็นลูกเหล็กหลักเกือบ 10 โลกับพวกสายบอดี้อเวตาร์ไหมล่ะ? นั่นน่าสนุกดีนะ
ดังนั้น คาบพละ สำหรับเมฆาซึ่งยังไม่รู้สายแน่ชัดเลยว่างไปตามระเบียบ และมีเวลาที่จะเอาไปทำอะไรก็ได้ตามใจ แน่นอนอยู่แล้ว สำหรับเมฆา เวลาว่างที่แสนมีค่านี้ถูกใช้ไปกับ
หาเรื่องสนุกๆทำ
บางทีการปล่อยให้เมฆาว่างไปหาเรื่องอะไรทำ มันอาจจะทำให้ทั้งโรงเกิดหายนะได้ง่ายๆนะ
เมฆานั่งยองๆมองดูนักเรียนของสายเบรนคอนโทรลนั่งเล่นหมากรุกกัน มันไม่แปลกหรอก ถ้าในอากาศมีแต่คลื่นลอยเวียนว่อน ทั้งพยายามสะกดจิตให้เดิน การหลอกล่อด้วยภาพลวงตา การอ่านใจ มันคงสมเป็นการต่อสู้ที่ดี ถ้าติดที่ว่า...
ห้ามใช้ไซต์ ใช้ปรับแพ้
ป้ายเบ้อเริ่มแปะอยู่ตรงหน้าห้องนั่นอ่ะนะ
“ฮะๆๆ มันก็โกงกันเห็นๆเลยนี่หว่า” เมฆาหัวเราะก๊ากลั่นกลางห้องหมากกระดานที่มีทั้งหมากรุกไทย หมากรุกฟรั่ง โกธ โอเทลโล่ แม้แต่หมากฮอสก็มี “นี่มันแข่งโกงเนียนรึไงเนี่ย” เมฆายิ้มหัวเราะร่วน ท่าทางถูกใจเอามากๆ
“พูดอะไร? แกว่าใครโกง” ทุกคนในห้องหันมามองตาเขียว ท่าทางไม่ยอมรับสุดชีวิต แต่เมฆาแค่ยักไหล่
“ถามว่าใครไม่โกงยังง่ายกว่าเลย” เมฆาพูดหน้ายิ้ม “อะไรเนี่ย เข้าใจหรอกนะว่ากฎมีไว้แหก แต่ให้มันเนียนกว่านี้หน่อยก็ดีนะ” เมฆาส่ายหน้าท่าทางขำมาก
“แกมีหลักฐานอะไร?” ใครคนหนึ่งพูดท่าทางดุร้าย เมฆายิ้ม
“ไม่มีหรอก เอาน่า ยังไงซะก็เข้าใจ ถ้าไม่โกงก็แพ้งั้นสินะ” เมฆาคลี่ยิ้ม
“แก!!!” ทุกคนร้องเพราะโดนจี้ใจดำ อันที่จริงแล้วไอ้การโกงนี่ไม่ว่าใครก็ทำทั้งนั้น แต่ไม่มีใครพออกมา เพราะว่ามันหาหลักฐานยืนยันเป็นรูปธรรมไม่ได้ เพราะทุกอย่างมันขึ้นในสมอง ดังนั้นถึงโดนโกงก็ว่าใครไม่ได้
“แบบนี้ก็เข้าใจได้ง่ายๆสินะว่าการจับคลื่นแล้วปิดกั้นมันยากกว่าสะกดคนอื่นเยอะ” เมฆาทรุดตังลงนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง หยิบตัวหมากขุนสีดำขึ้นมาพลิกดูอย่างสนใจ “มิน่าอาจารย์โทมัสถึงไม่ค่อยรุ่ง” เมฆาพูด “อย่าพูดประมาณว่า ‘ไหนหลักฐานล่ะ?’ เชียวนะครับ เพราะถ้ามันจับได้ง่ายๆก็ไม่เรียกว่าโกงน่ะสิ” เมฆาวางตัวหมากลง จากนั้นก็ฉีกยิ้ม
“อยู่ต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญด้านการจับจิตสัมผัสนี่ คิดว่าจะยังโกงได้อีกไหม?”
“...”
คนที่อยู่รอบด้านพากันเงียบไป มองดูเด็กหนุ่มผู้ครอบครองฉายาเทพได้ในเวลาน้อยที่สุดตั้งแต่เข้ามาที่โรงเรียน ไม่มีใครเคลือบแคลงว่าเป็นการต้มตุ๋น ต่างคิดว่ามันเป็นไปได้มากทีเดียว
“งั้นจะลองยกตัวอย่างแล้วกัน โต๊ะข้างหลังนั่น” เมฆาชี้ไปยังอีกกระดานที่ยังเล่นกันอยู่ “ฝ่ายขาวพยายามสะกดให้ฝ่ายดำเห็นเบี้ยที่ช่อง A4 เป็นสีดำ ส่วนฝ่ายดำก็พยาบยามทำให้อีกฝ่ายเบลอคิดว่ายังไม่ถึงตาเดินของตัวเองเพื่อเดิน 2 ตารวด”
คนที่ได้ยินสะดุ้งเมื่อโดนเปิดโปง ใบหน้าเปลี่ยนเป็นปั้นยากทันที เมฆาหันไปรอบห้องแล้วเริ่มบอกว่าใครทำอะไรบ้างอย่างจะแจ้งทีละคนๆ คราวนี้เล่นเอาอึ้ง พอไม่มีใครปฏิเสธ ทุกคนก็รู้ได้ว่าเป็นความจริง
“แกโกงฉันนี่หว่า!!!”
“อ๊ากกก!!! มิน่าแพ้ตลอด ไอ้ขี้โกงเอ๊ย!!!”
“แกเองก็โกงเหมือนกันแหละวะ!!!”
เมฆาเดินออกมาจากห้องทิ้งความหายนะไว้เบื้องหลัง หนังสือ เครื่องเขียน โต๊ะเก้าอี้ ตัวหมากและกระดานปลิวว่อนไปมาทั่วห้อง เมฆาปิดประตูลงกันเสียงละข้าวของที่จะออกมานอกห้อง บิดขี้เกียจ แล้วเดินออกไป
สู่หายนะอย่างใหม่
“เราเข้ามาๆ ทางนี้ๆ ชมรมฟุตบอลของเราเปิดรับสมัครรุ่นน้องใหม่!”
“ทางนี้ๆ ชมรมวรรณกรรมของเรารออยู่!”
“ชมรมวิจัยพลังจิตสายเบรนคอนโทรลอยู่ทางนี้!”
ไม่จำเป็นต้องอธิบายก็คงรู้ว่าวันนี้เป็นวันอะไร วันนี้บรรดาชมรมทั้งหลายจะทำการเปิดรับสมาชิกเป็นการใหญ่ ทำเอาอาคารหอประชุมที่ใหญ่ๆพอๆกับสนามฟุตบอลคับแคบลงไปทันตา บูทต่างๆถูกตั้งเอาไว้ในหอประชุมมากมาย มองด้วยสายตาแล้วมีไม่ต่ำกว่าร้อยชมรม บางชมรมมีแค่พนักงานมายืนแจกใบปลิว ในขณะที่บางชมรมตั้งบูทขนาดใหญ่โตสูงเกือบ 5 เมตรก็มี
เมฆาเดินดูไปเรื่อยๆ วันนี้ไม่มีเรียนทั้งวันเพื่อปล่อยให้นักเรียนเลือกชมรม นักเรียนเกือบทั้งโรงเรียนจึงมาโต๋เต๋อยู่ที่นี่
เมฆามองดูรุ่นพี่กลุ่มหนึ่งแต่งชุดนางพยาบาล โบกธงที่เขียนว่า ‘ชมรมพยาบาล’ เอาไว้ โบกไปมารอผู้สนใจ เตรียมตัวพาไปยังห้องชมรมเพื่อศึกษา พอดูดีๆก็มีหลายคณะอยู่เหมือนกันที่ทำแบบนี้ เมฆายิ้มแล้วเดินเข้าไปหา
“ว่าไงแก้ว ใส่ขึ้นดีนะ น่ารักดี หนุ่มๆแถวนี้เห็นคงหลงกันไม่น้อยเลย” เมฆาชม แก้วหันมายิ้มให้อายๆ
“ไม่จริงหรอกค่ะ ไม่เห็นมีใครมาจีบเลย” แก้วบอก เมฆามองดูแก้วที่อยู่ในชุดนางพยาบาลสีขาวอย่างชื่นชม คนน่ารักใส่อะไรก็ดูดีจริงๆนะเนี่ย
“ให้พี่เดาสาเหตุนะว่าทำไม” เมฆาพูด แล้วเอียงหัวกะทันหัน ลูกบอลลูกหนึ่งจึงพุ่งผ่านหัวเขาไปกระแทกกับกำแพงฝั่งตรงข้ามจนแตกดังโพล๊ะ
“โอ๊ะ โทษที พอดีพลาด” เสียงทื่อๆเหมือนท่องบทดังขึ้นด้านหลัง ชินผู้ยังยกเท้าค้างไว้ราวกับจะประกาศว่า ‘ตูนี่แหละเตะ’ ยืนจ้องเขาเขม็ง รังสีอำมหิตแผ่ซ่าน
“ไม่เป็นไรๆ สาเหตุเป็นเพราะว่าแถวๆนี้มีชมรมฟุตบอลอยู่ เลยกลัวโดนลูกหลงน่ะสิ” เมฆาพูดด้วยสีหน้าระรื่น หันไปทางชิน “คิดบ้างไหมว่าลูกบอลลูกนึงมันราคาเท่าไหร่? รองเท้าหลุดสิครับถึงจะดี จะได้เก็บมาใส่ใหม่ได้” เมฆาแนะนำ ชินถึงบางอ้อ พยักหน้าหงึกหงักเหมือนเพิ่งบรรลุสัจธรรม
“พี่ชิน!” แก้วหันไปแหวพี่ “ทำไมทำแบบนี้ล่ะคะ เกิดพี่เมฆาเป็นอะไรไปจะทำยังไง”
“พี่ไม่ผิดนะ มันพลาดเอง” ชินทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อย่างเนียน ไม่ใช่พลาดที่เตะไม่เข้าโกลด์ฟุตบอลนะ พลาดที่ไม่โดนหัวเมฆาต่างหากชินคิดในใจ แต่แก้วไม่ได้โง่
“นี่มันอันตรายนะคะ!” แก้วร้องเสียงแหลม ชินแคะขี้หูทำหูทวนลม พึมพำเบาๆ
“อย่างไอ้เมฆาต่อให้ฟ้าถล่มมันคงเอานิ้วชี้ข้างเดียวยันไว้ได้แน่ๆ แค่นี้ไม่ตายหรอก” ชินคาด
ขอโทษ เห็นตูเป็นตัวอะไรกันฟะ?
“พี่ชิน!” แก้วร้องหน้าแดง “ถึงพี่เขาจะทำได้จริงๆมันก็ไม่ถูกนะ”
“แก้วก็คิดใช่มั๊ยล่ะว่ามันทำได้จริงๆ” ชินถาม
“ค่ะ! เอ๊ย ไม่ใช่ค่ะ!” แก้วเผลอพูดความในใจ เมฆายิ้มเศร้า
ในสายตาไอ้พี่น้องคู่นี้ เขาเป็นตัวอะไรกันเนี่ย
เมฆาปล่อยให้สองพี่น้องทะเลาะกันต่อไปแล้วเดินไปทางซุ้มอื่น เดินตามกลิ่นหอมๆไป สัญชาติญาณบอกว่ามีอะไรอร่อยๆกินแน่นอน
‘ชมรมซูชิ’ ‘ชมรมพิซซ่า’ ‘ชมรมบะหมี่’ ‘ชมรมอาหารอิตาเลี่ยน’ ‘ชมรมไอศกรีม’ ไอ้ชมรมพวกนี้ส่วนใหญ่ให้ชิมฟรีสินะ เมฆาเดินไปชิมของที่วางอยู่ด้านหน้าไปเรื่อยอย่างมีความสุข มุมอาหารนี่มันมันมีที่ประหลาดๆอยู่ด้วยแฮะ ชมรมสาวเสริฟ... ไอ้นี่... นับว่าอยู่หมวดอาหารด้วยเหรอ?
เมฆาหยิบซูชิเข้าปากตุ้ยๆ อีกมือก็กินลูกชิ้นปิ้งอย่างเอร็ดอร่อย แหม ดีจริง อยากให้มีอะไรแบบนี้อีกจัง สังเกตว่าชมรมต่างๆต่างก็ทุ่มทุนสร้างกันจริงๆนะ บางที่ทำเวทีใหญ่โตมากเลย ท่าทางแล้วการเชิญชวนคนนี่สำคัญมากสำหรับชมรมพวกนี้จริงๆนะนี่
เมฆาหยุดลงตรงหน้าชมรมเบเกอร์รี่ หยิบเอแคล์ชิ้นหนึ่งที่วางหน้าร้านเข้าปากแล้วพยักหน้า สั่งขนมที่วางขายหลายชนิด นึกชมเชยฝีมือคนทำในใจ เมฆาเงยหน้าขึ้น แล้วชะงัก
เด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หลังเคาเตอร์ทำหน้าที่คิดเงิน เบื้องหน้ามีจานใส่ขอบขนมปังส่วนเกินที่ตัดออกมาเวลาทำเค้กเสร็จใหม่ๆ ขอบขนมปังโรลที่ตัดออกเพื่อความสวยงาม สรุปแล้วกำลังกิมขนมส่วนเหลือจากวางขายนั่นเอง เด็กหนุ่มยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กินไม่หยุดท่าทางมีความสุขมาก
“ทำไมแกมาอยู่ชมรมนี้ได้ล่ะเนี่ย?” เมฆาถาม เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง
“ทำไม หน้าอย่างฉันมันผิดตรงไหน?” เด็กหนุ่มถาม
“ไรจิน... อยู่ชมรมเบเกอร์รี่...พูดไม่ออกว่ะ” เมฆาส่ายหน้า
“แล้วไง มีให้กินฟรีทุกวันเชียวนะ” เบ๊นซ์หยิบเค้กเข้าปาก “อยู่นี่สบายจะตาย มีทั้งคุกกี้รูปร่างไม่สวย ขอบเค้ก ขนมปัง ถ้าขายไม่หมดก็ลาภปากอีก ดีจะตาย” เบ๊นซ์พูดอย่างมีความสุข
นี่ตกลงนายเป็นคนอย่างนี้เองสินะ
เมฆาส่ายหน้า จ่ายเงินแล้วเดินออกมาจากซุ้ม เดินเรื่อยเปื่อยไปพลาง กินขนมไปพลาง แล้วครุ่นคิดไปพลาง ระหว่างนั้นก็ถือโอกาสมองดูด้วยว่าใครอยู่ชมรมไหน เขาเห็นยูกิอยู่ชมรมวรรณกรรม นั่นคาดเดาได้ไม่ยาก พอเข้ามาแล้วนี่รู้สึกว่าถ้าส่งเสียงแม้แต่นิดเดีวเตรียมโดนเชือดได้ เลยเลี่นยงๆออกมาจะฉลาดกว่า นิรมลอยู่ชมรมพิทักกฎ เป็นชมรมของหน่วยคุ้มกฎ สภานักเรียน เขาไม่รู้ แล้วก็ไม่อยากรู้ด้วยว่าทำอะไรกันบ้าง สำหรับเขา ห่างๆพวกนี้ไว้ดีที่สุด เว่ยหลานอยู่ชมรมสำรวจโลก ไม่เข้าใจมากนักว่าชมรมนี้มีไว้ทำอะไร แต่พอเห็นภาพพี่แกยืนชูสองนิ้วบนเทือกเขาที่หน้าตาคล้ายๆเทือกเขาเอฟเวอร์เรสแล้วก็พอเดาได้
ยิ่งมองดูชมรมพิลึกๆทั้งหลายแล้วยิ่งรู้สึกว่าหาชมรมธรรมดาๆยากซะเหลือเกิน ขนาดชมรมที่น่าจะสามัญที่สุดอย่างฟุตบอลยังเตะลูกเหล็กแทนลูกหนังเลย เมฆามองหาชมรมสนุกๆดู แต่ไม่ค่อยเจอ ส่วนใหญ่จะแวะหาอะไรกินมากกว่า หาชมรมน่าสนใจยากมาก ท่ามกลางคนจ้อกแจ้กแบบนี้ก็ยากจริงๆน่ะนะ ในที่สุดเขาเห็นเซี่ยหลานนั่งวาดรูปอยู่ชมรมวาดการ์ตูนเลยลองเดินเข้าไปหา ป้ายผืนใหญ่ขึงไว้ด้านบนว่า รับวาดรูปการ์ตูน ที่ด้านหลังมีผ้าใบกางเอาไว้ ติดไว้ด้วยรูปการ์ตูนที่น่าจะเป็นของลูกค้าคนก่อนๆ เพราะมีชื่อของเจ้าของรูปเขียนไว้ด้านล่าง ภาพส่วนใหญ่เป็นภาพที่วาดออกมาเป็นการ์ตูน ดูน่ารักดี
“น่ารักดีนี่” เซี่ยหลานเงยหน้าขึ้นมาตามเสียงเรียก เมื่อเห็นว่าเป็นเมฆาก็ก้มลงทำงานต่อ
“ขอบใจ” เธอพูดสั้นๆ เมฆามองดูรูปบนผนังที่มีร้อยกว่ารูป แต่ละรูปน่ารักดี บางรูปวาดล้อเลียนตลกๆก็มี นับๆดูแล้วเกือบๆ 200 รูปได้
“คนอื่นไปไหนหมดล่ะ เธอคงไม่ได้เขียนคนเดียวใช่ไหม?” เมฆาถาม มองไปรอบๆ ไม่มีสมาชิกชมรมคนอื่นอยู่ด้วยเลย
“ผลัดเวรกันน่ะ ลูกค้ามาเรื่อยๆไม่ได้แน่นร้านอะไร เดี๋ยวก็มีคนมาผลัดแล้ว” เซี่ยหลานตอบวาดรูปมือเป็นระวิง เมื่อเสร็จแล้วก็ส่งให้ลูกค้าซึ่งส่งเงินให้ เธอรับมาแล้วกล่าวขอบคุณเบาๆ
“หืม? น่าสนนี่ ลองวาดรูปผมให้หน่อยสิ” เมฆาถือโอกาศที่ลูกค้าไม่มีทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของเซี่ยหลาน “คิดเท่าไหร่เนี่ย?”
“ห้าสิบ” เธอตอบ เมื่อมีลูกค้ามาเธอจึงหยิบกระดาษแผ่นใหม่มาขึงลงบนกระดาน “สีร้อยนึง ขึ้นอยู่กับขนาดและปริมาณ” เซี่ยหลานว่า
“วาดภาพเหมือนได้ไหม?” เมฆาต่อรอง
“กรุณาเงยหน้ามองดูหน่อยนะคะว่าที่นี่ชมรมอะไร” เซี่ยหลานแดกดัน เมฆาหัวเราะ
“ฮะๆ โอเคๆ การ์ตูนก็การ์ตูน ไม่พอใจนี่คืนเงินได้ไหม?” เมฆาถาม เซี่ยหลานที่รู้สึกเหมือนโดนท้าทายก็ยิ้มหวานกลับ
“ได้ ระดับอย่างฉันน่ะไม่มีคืนเงินง่ายๆหรอกนะ อยากได้รูปแบบไหนว่ามา” เซี่ยหลานถามท่าทางจริงจังเต็มที่
“เมฆาสุดหล่อ” เมฆาพูดยิ้มๆท่าทางหลงตัวเอง เซี่ยหลานทำท่าอ้วกแบบไม่ไว้หน้า เมฆาหัวเราะร่วน “วาดไปๆ แค่นี้วาดไม่ได้หรือไง?”
“เชอะ รอดูไปเถอะ” เซี่ยหลานยิ้มแล้วเริ่มลงมือวาด เธอวาดเร็วมากจริงๆ แค่ 5 นาทีเท่านั้นภาพวาดก็ถูกส่งมา เมฆารับภาพมาดู ด้านหน้าเป็นหน้าของเขาเองในสภาพเอียงหน้าน้อยๆ ตาโตเป็นประกายปิ๊งๆแบบการ์ตูนตาหวานสมัย 20 ปีก่อน ฉีกยิ้มโชว์ฟันขาววาววับสะท้อนแสงวิ้งๆดูโง่ๆชอบกล มันดูเหมือนตัวประกอบพวกเจ้าชายหลงตัวเองโง่ๆในการ์ตูนที่เขาเคยเห็นในร้านหนังสือเก่ายังไงชอบกล แต่นั่นมันไม่สำคัญเท่า...
“ทำไมตั้งแต่คอลงไปของฉันเป็นลิงล่ะ?” เมฆาขมวดคิ้ว ไอ้หมอนี่มันหัวใหญ่เท่าโอ่ง แต่มีตัวท่อนล่างเป็นลิงจ๋อผอมๆห้อยกิ่งไม้อยู่
“ก็ฉันว่านายเหมือนลิงออกนี่” เซี่ยหลานหัวเราะคิก
“อย่าเลย วาดใหม่ๆ เอาดีๆสิ ไม่เอาลิงนะ ตัวต้องเป็นคนด้วย” เมฆาสำทับ เซี่ยหลานยิ้มแล้วเริ่มวาดใหม่
“อ้อ ห้ามผิดสัดส่วนด้วยล่ะ” เมฆาเตือน “แล้วอย่าเอาฝีมือวาดสมัยร้อยปีก่อนมาอวดล่ะ...” เมฆายิ้มสดใส “ป้า!”
คำพูดนั้นเล่นเอาเซี่ยหลานอยากฆาตกรรมคนขึ้นมาตงิดๆทันใด แต่ก็ต้องวาดใหม่ คราวนี้เธอวาดไปหัวเราะคิดคักไป เมฆารับภาพที่วาดเสร็จใหม่มาดูอย่างสังหรห์ไม่ดี คราวนี้วาดแบบสมัยใหม่ หน้าเหมือนเขาเปี๊ยบ ท่อนล่างก็เป็นคนแบบไม่ผิดสัดส่วนด้วย
“แล้วทำไมฉันต้องเป็นชุดราตรีล่ะเฮ้ย!” เมฆาว้าก ก็ในรูปเขาผมยาวตาหวาน ใส่ชุดราตรียาวกรอมเท้าดูสง่างามมาก ถ้าไม่ติดว่ามันเป็นหน้าเขาเองล่ะก็
“ทำไมล่ะ สวยดีออก” เซี่ยหลานยิ้มสนุกสนาน “ดูๆไปนายนี่ก็หน้าสวยนะ สนใจจะมาเป็นนายแบบการ์ตูนเกย์ให้ฉันไหม?” เซี่ยหลานยื่นข้อเสนอ
“เอาข้อเสนอของเธอไปไกลๆเลย ไม่รู้ล่ะ วาดไม่ดีไม่จ่าย” เมฆาส่ายหน้าระอาแล้วทรุดตัวลงนั่ง ไปๆมาๆก็ล้งเล้งกันอยู่อย่างนั้นเป็นชั่วโมง ได้รูปชวนขนลุกมาอีก 5 รูป กว่าเมฆาจะลุกออกมาจากร้านพร้อมด้วยม้วนกระดาษที่ผูกริบบิ้นสีฟ้าอย่างดี เมฆาถอนหายใจด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม รู้สึกสนุกไม่น้อยจริงๆ อยู่ที่นี่มีอะไรแก้เบื่อไม่ขาดดีจริงๆ
เมฆาหามุมพักแล้วหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ แล้วเริ่มคิดดูว่าตัวเองจะเข้าชมรมไหนดี
พอมาไล่ดูชมรมที่เขาเคยอยู่มาตั้งแต่ตอนเด็กๆ ส่วนใหญ่จะเป็นชมรมการต่อสู้ ไม่ก็ชมรมหมากรุก หรืออะไรแบบนี้ แต่ที่นี่มันมีชมรมเป็นร้อยๆน่าสนุกจะตาย จะให้เลือกธรรมดาๆคงน่าเสียดายอยู่ แถมตอนนี้เขายังมีเงื่อนไขอีกสองสามอย่างด้วย
หนึ่ง เป็นชมรมที่ไม่เปิดเผยตัวต่อคนหมู่มากมากนัก นั่นหมายถึงยิ่งเล็กยิ่งดี กิจกรรมชมรมเป็นการทำกิจกรรมที่ใกล้ชิด ดังนั้นคนเยอะยิ่งเสี่ยงความแตก
สอง ต้องเป็นชมรมที่ไม่มีการบีบให้แสดงพลังจิต อย่างพวกสายพลังจิตต่างๆน่ะลืมไปเลย
สาม ต้องเป็นชมรมที่มีประโยชน์ไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่งในการเอาตัวรอดในโรงเรียนของเขา อย่างชมรมการแสดงก็ท่าจะไม่เลว ไม่ก็ต้องมีคนที่รู้ความลับของเขาอยู่ด้วย จะได้ช่วยกันปิด
และสี่ ข้อนี้สำคัญที่สุด
ต้องสนุก!
เฮฮฮ!!!
เสียงเฮจากด้านหนึ่งเรียกให้เมฆาหันไปสนใจมอง เขาลองเดินตามเสียงไปเรื่อยๆ ก็พบกับเวทีขนาดย่อมแห่งหนึ่ง บนเวทีมีชายคนหนึ่งอยู่ในชุดสูทสีดำ สวมหมวกทรงสูง ใบหน้าสวมหน้ากากสีขาวครึ่งท่อน ชายหนุ่มขึ้นมาโค้งให้ผู้ชมบนเวทีแล้วดีดนิ้ว เปลวไฟลุกวาบขึ้นบนปลายนิ้วแล้วดับไป กลายเป็นดอกกุหลาบสีแดงสดหนึ่งดอก ชายหนุ่มจรดดอกกุหลาบกับจมูกแล้วโยนลงไปให้ผู้ชมเบื้องล่าง เด็กสาวคนหนึ่งรับดอกไม้ได้งงๆ ชายหนุ่มลอยอย่างช้าๆลงจากเวทีมาเบื้องหน้าเด็กสาว สะบัดผ้าคลุมหนึ่งทีครอบทั้งสองเอาไว้ แล้วผ้าคลุมนั้นก็อ่อนยวบลงไปเป็นผ้าผืนหนึ่งอยู่บนพื้น ในขณะที่คนทั้งสองหายไปแล้ว ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งบนเวทีในสภาพครบถ้วนสมบูรณ์ ทุกคนก้มลงมองผ้าคลุมบนพื้นอย่างงุนงง แต่ก็พบว่ามันหายไปแล้ว
“ยินดีต้อนรับสู่โชว์ของชมรมมายากร มายากลที่ไร้ซึ่งพลังจิต” ชายคนนั้นส่งยิ้มสว่างสดใสไปทั่ว “เราจะทำในสิ่งที่แม้แต่พลังจิตยังทำไม่ได้ให้ทุกคนชม!”
สิ้นเสียงกล่าวทุกคนก็ปรบมือให้เกรียวกราว เห็นได้ชัดว่าชมรมนี้ได้รับความนิยมไม่น้อย โชว์ดำเนินอยู่เกือบ 15 นาทีอย่างน่าทึ่ง การแสดงนั้นยิ่งใหญ่จนน่าจะไปแสดงระดับโลกได้ มีตั้งแต่เบสิกอย่างหั่นคนในโลง เสกกระต่ายหรือนกพิราบ แต่กลับทำให้ทุกคนไม่สามารถจับกลได้ ได้ความว่านี่เป็นความสามารถล้วนๆไม่มีการใช้ไซต์ใดๆช่วยทั้งสิ้น ผู้แสดงอยู่บนเวทีคือมอร์เฟียส นักมายากลเด็กอัจฉริยะที่เขาเคยเห็นออกทีวีด้วย
เมฆามองดูการแสดงที่จบลงอย่างยิ่งใหญ่พร้อมเสียงปรบมืออย่างล้นหลามแล้วยิ้มร่า ในหัวมีเรื่องสนุกๆมากมายผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด หายนะกำลังมาเยือน
ชมรมมายากล... ที่นี่แหละ ที่จะทำให้ฉันกลายเป็นจอมมายาที่สมบูรณ์แบบ!
นับวันความสงบสุขของโรงเรียนนี้ก็น้อยลงทุกทีๆ
