Type 24: ระบบอัศวิน
Type 24: ระบบอัศวิน
กฎข้อที่ 21 ของนักต้มตุ๋น การจะลอบเข้าไปในพื้นที่หวงห้าม สิ่งสำคัญคือข้อมูลของสถานที่นั้น วัสดุอุปกรณ์ และทักษะของโจรที่เพียบพร้อม
ถ้าขาดอะไรไป ความผิดพลาดที่ตามมาก็ไม่ต้องคาดเดา
“นายโดดเรียนไปทั้งวันเลยนะ ฉันว่าอีกไม่กี่วินาทีนายก็จะโดนลากคอไปห้องปกครอง” เอมิลีทักพร้อมแล้วให้ศีลให้พรเนือยๆ เมื่อเมฆาเดินกลับเข้ามาในห้องเมื่อถึงคาบสุดท้ายพอดิบพอดี
“รู้น่า ก็ตั้งใจอย่างงั้นอยู่หรอก เดี๋ยวพอครูถามเหตุผล ฉันก็บอกความจริงไปซะก็จบ” เมฆายักไหล่ ก้มลงไปหายูกิ “ผมขออ่านที่คุณจดวันนี้ได้ไหมครับ?” ยูกิพยักหน้ารับ เมฆารับชิพมาเสียบเครื่องตัวเองแล้วอ่านข้อมูลการเรียนวันนี้ไปเรื่อยๆ
“พูดไม่หมดแหงๆ” เอมิลี่ว่า เมฆายิ้ม
“ก็รู้ดีนี่นา” เมฆาหัวเราะร่วนกวาดตาอ่านข้อมูล อีกมือก็ยื่นชิพเล็กๆให้ “เอ้านี่ ของที่อยากได้” เอมิลี่รับชิพที่ภายในบรรจุไฟล์วีดีโอเรื่องที่เกิดขึ้นในป่าทั้งหมดมาเสียบเข้าเครื่องเปิดดู ระหว่างนั้นก็บ่นไปด้วย
“ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ในหัวกันนะนายนี่ นึกยังไงไปท้าทั้งไททันทั้งสกาย? รู้หรือเปล่าว่าพวกนั้นเป็นสองกองกำลังที่ใหญ่ที่สุดในโรงเรียนตอนนี้เลยนะ”
“ไอ้รู้ก็รู้ แล้วไง มันมีอะไรเปลี่ยนแปลงรึไง?” เมฆาพูดแบบไม่ใส่ใจนัก “ยังไงซะฉันก็ได้ผลลัพธ์เป็นความสงบสุข 1 เดือน แค่นี้น่าจะพอใจได้แล้วล่ะมั้ง” เมฆาอ่านข้อความทั้งหมดอย่างรวดเร็วแล้วปิดลง หมุนเก้าอี้มาเท้าคางมองดูเอมิลี่ “งั้นช่วยเล่าเรื่องระบบผู้สูงศักดิ์กับอัศวินให้ผมฟังทีสิ”
เอมิลี่ถอนหายใจ ชักจะรู้สึกว่าตัวเองโดนใช้งานฟรีๆยังไงก็ไม่รู้ แต่เธอก็เริ่มเล่าเรื่องราวที่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติเก่าแก่ของโรงเรียนนี้
ระบบนี้เป็นระบบที่มีต้นกำเนิดจากระบบศักดินาในยุคกลาง ผู้สูงศักดิ์ (Lord) จะมีอำนาจในที่ดินของตนอย่างเต็มที่ โดยเหล่าชาวนาจะต้องเช่าที่ดินของผู้สูงศักดิ์ทำมาหากิน และต้องส่งส่วยทั้งข้าว ไม้ และผลผลิตที่ผลิตได้ในที่น่าให้แก่เจ้าของที่ โดยที่ผู้สูงศักดิ์นั้นจะจ้างอัศวิน (Sir) เพื่อเป็นกองกำลังป้องกันความสงบเรียบร้อยภายในที่ดินของตน
โรงเรียนนี้สืบทอดระบบนั้นมาแต่โบราณ เหล่านักเรียนที่ต้องการแย่งชิงอำนาจ จะตั้งตนเป็นผู้สูงศักดิ์ (Lord) และรับผู้มีความสามารถอื่นๆเป็นบริวารเพื่อช่วงชิงอำนาจ เหล่านักเรียนที่นับถือเลื่อมใสหรือได้รับการว่าจ้างจากผู้สูงศักดิ์ ก็จะปวารณาตัวเข้าอยู่ใต้ร่มธงของผู้สูงศักดิ์นั้นๆ
การชิงดีชิงเด่นของเหล่าผู้สูงศักดิ์นั้นมีมานานมาก ผู้ที่ต้องการช่วงชิงจะเข้าต่อสู้กันเองเพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นหนึ่ง เมื่อถึงเวลา ผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดจะขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์สูงสุดของอาคารปกครองกลาง หรือก็คือ ประธานนักเรียนนั่นเอง
แม้จะมีระบบการเลือกตั้งเข้ามา แต่ที่นี่ ผู้แข็งแกร่งยังคงมีสิทธิ์ขาด แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงแค่ใช้กำลังเข้าว่า หากปกครองได้ไม่ดีจนโรงเรียนย่ำแย่ นักเรียนไม่พอใจ ไม่นาน นักเรียนเหล่านั้นจะรวมตัวเพื่อโค่นล้มประธานลงมาเอง เป็นสัจธรรมของการแย่งชิงอำนาจ
ระบบของกองกำลังนั้นเมื่อผู้นำเรียนจบออกไปจะส่งมอบตำแหน่งต่อให้แก่ทายาทของกลุ่ม เป็นการรักษาตำแหน่งไว้ให้แน่นเหนียว เมื่อสองปีก่อนโรงเรียนนี้เพิ่งจะถูกโลกิพากองกำลังไททัน เข้าล้มล้างกองกำลังดิเฮลที่ปกครองโรงเรียนนี้มาถึง 5 ปี เป็นเรื่องยากที่โรงเรียนนี้จะเปลี่ยนมือ ยิ่งลำบากหากกองกำลังนั้นเป็นกองกำลังที่เพิ่งตั้งใหม่ แต่โลกิกลับยึดโรงเรียนนี้ได้ขณะที่ยังอายุเพียง 15 ปีเท่านั้น
วอนเนอร์เป็นอีกคนที่ต้องการจะยึดกำลังคืน
“แปลว่าโรงเรียนนี้ยังมีกองกำลังอื่นอยู่อีกล่ะสิ” เมฆาเดา
“ใช่ นอกจากดิเฮลแล้ว ยังมีราชวงศ์มังกรที่ปกครองก่อนหน้าดิเฮล และราชวงศ์แห่งแสงที่ก็เก่ากว่าราชวงศ์มังกรอีก ทั้ง 3 กลุ่มนี้ยังสืบต่อฐานอำนาจต่อมาเรื่อยๆ” เอมิลี่บอก “โรงเรียนนี้มีคนที่มีฉายาเทพในปัจจุบันแค่ 12 คนเท่านั้น อ้อ นับนายก็เป็น 13 ลักกี้นัมเบอร์จริงๆ ที่กองกำลังไททันดันมีเทพอยู่ 3 คน เลสออฟไซโคลน (จิตวิญาณแห่งพายุ) ฟูจิน (Less of cyclone Fujin) ไอซ์เอจ (โลกาศูนย์องศา) โพไซดอน นิรมล (Ice age) และตัวหัวหน้า ดอลมาสเตอร์ (ผู้ชักเชิดตุ๊กตา) โลกิ ปิแอร์
“โห ชื่อยศยาวเป็นวา” เมฆาบ่น “แล้วโรงเรียนเรามีเทพคนอื่นๆอีกแค่ไหน?” เมฆาถาม
“ก็... มีอิเล็กโทรมาสเตอร์ (ผู้ควบคุมสายฟ้า) ไรจิน เมทัลดราก้อน (มังกรเหล็ก) เฮอคิวลิส เกรทฟอร์จูนเนอร์ (ดวงตาอนาคต) ธอธ อิลลูซอรี่ เจนัส ฟรอซเซ่นมาสเตอร์ ยูคิฮิเมะ พวกนี้ไม่สังกัดใคร อ้อ เจนัสตั้งกองกำลังของตัวเองถือว่ายกเว้น”
“อ้าว ยูกิไม่ได้เป็นคนของไททันเหรอครับ?” เมฆาหันไปถาม ยูกิส่ายหน้า งั้นเหรอ?
“ที่เหลือเด่นๆก็มีอินเฟอร์โน (เพลิงโลกันต์) ฮาเดส ที่เป็นหัวหน้าของดิเฮล ดราก้อนคิง (ราชันมังกร) ไทฟอน ของราชวงศ์มังกร แล้วก็ซาตานเซนท์ (นักบุญปีศาจ) ของตระกูลแห่งแสง ก็ประมาณนี้แหละ ที่เหลือก็เป็นพวกลมเพลมพัด ไม่ก็ตั้งตัวเป็นกองกำลังย่อยๆกันไป” เอมิลี่ร่าย เมฆาถึงกับมึนไปเลยกับบรรดายศพวกนั้น
“ยุ่งยาก” เมฆาที่เกลียดเรื่องวุ่นบ่นเอาง่ายๆ ส่วนเอมิลี่ส่ายหน้าระอา
“ยุ่งยากก็หนีไม่พ้นหรอก ยังไงนายก็ต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่ๆ นายยังต้องรวบรวมคนอีกเยอะ จะบ่นไปก็เท่านั้นแหละ”
“แล้วใครว่าฉันจะรวบรวมคน” เมฆาพูดออกมาหน้าตาเฉย
“อ้าว?”
เมฆาพลิกตัวลงไปนอนเล่นบนพื้นซะเลย ไหนๆมันก็ปูพรมอย่างนุ่ม แถมคนก็ออกจากห้องไปหมดเกลี้ยงแล้วด้วย เหลือแต่ยูกิกับเอมิลี่คงไม่เป็นไร เด็กหนุ่มนอนเหยียดยาวบนทางเดินโดยไม่กลัวสกปรก (ไม่กลัวอ่ะ ปูพรมด้วย!)
“แล้วไอ้ที่ไปบอกเขาอ่ะ?” เอมิลี่งง
“แหล” สั้นๆได้ใจความ สั้นมาก สั้นจน...
ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่ามันดี...
“รู้ว่ากำลังสรรหาคำด่าอยู่ ก็นะ มันสนุกดีนี่นา เห็นเปล่า ไอ้พวกนั้นอึ้งไปเลย ท่าทางกลัวโคตร ฮ่าๆๆ” เมฆาหัวเราะเยาะเย้ย เอมิลี่หมดแรง ท่าทางหมอนี่จะเลิกนิสัยรักสนุกไม่ได้แน่ชาตินี้ ไม่น่าหลงเชียร์มันเลย
“นั่งนิดก็ดีนะ เห็นชัดเลยนะเนี่ย สีขาวด้วย” เมฆาพูดขึ้นมาลอยๆ เอมิลี่รีบทรุดตัวลงนั่งทันที หน้าแดงขึ้นมาทันมา เมฆาหัวเราะชอบใจ ผลคือยูกิที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆทำท่าอยากจะฝังเขาเข้าหล่มน้ำแข็งเต็มแก่ แต่เด็กหนุ่มก็พาลหลับตาลงซะง่ายๆ
“ไหน คุณผู้สังเกตการณ์ ลองผมซิว่าพอผมพูดแบบนั้นออกไป ทางฝั่ง 2 คนนั้นจะคิดยังไงบ้าง?”
“หือ? เอ่อ... ก็คงจะร้อนใจล่ะมั้ง” เอมิลี่เดา
“ใช่ แต่พอลงมือกับผมไม่ได้ พวกนั้นจะทำยังไงไม่ให้ผมรวบรวมคนได้?”
“ก็คงไปจัดการกับพวกกลุ่มอื่นๆ” เอมิลี่คาด
“อือฮึ ทีนี้ผลงานวันนี้ของผมก็ไม่ใช่น้อย พวกนั้นผมว่าต้องดึงตัวผมแน่ๆ ทีนี้จะเกิดอะไรขึ้น?”
“พวกโลกิกับเจนัสก็จะทำทุกวิถีทางไม่ให้พวกนั้นทำสำเร็จ เพราะว่าไม่อาจมายุ่งกับนายได้อีก เลยต้องโจมตีพวกนั้นกันเอาไว้ ทั้งพวกกลุ่มฐานอำนาจเก่าก็จะพยายามเปิดศึกป้องกันตัว และอาศัยช่วงเวลาที่อ่อนกำลังลงที่นายเล่นซะแรงเริ่มโจมตี กลุ่มฐานอำนาจเล็กๆน้อยๆคนอื่นๆก็จะเข้าร่วมด้วย” เอมิลี่คาดการณ์ได้เหมือนตาเห็น ตาลุกวาวเมื่อรู้ว่าเรื่องสนุกๆกำลังจะมาให้ดูกัน
“ตาลุกเชียวนะยัยแว่น หึหึ” เมฆาพูดล้อเลียน เอมิลี่ค้อนให้ทีหนึ่งก็หันไปยิ้ม ดูท่าคงคิดอะไรสนุกๆเต็มหัวแน่นอน
“แล้วนายทำไปทำไม?” ยูกิถาม เมฆายิ้มรื่นรมย์ และบอกเหตุผลที่ทำให้โรงเรียนวุ่นวายแทบแตก
“เพราะมันน่าสนุกยังไงล่ะ”
เอมิลี่กลอกตา
คิดแล้วเชียว!
เมฆาเดินกลับมาถึงหอพักก็เกือบ 6 โมงเย็น เป็นเวลาที่คนในหอกำลังจะกินข้าวพอดี ความเงียบครอบคลุมไปทั่วทั้งห้องทานอาหารเมื่อเมฆาปรากฏตัวขึ้นที่ช่องประตู ทุกคนในห้องหันมามองเมฆาเป็นตาเดียว ชายหนุ่มมองสายตากึ่งชื่นชมกึ่งไม่อยากจะเชื่อนั้นงงๆ
“มองผมนี่... มีอะไรรึเปล่าครับ?”
ไม่มีใครตอบ เมฆาเกาหัว ก้มลงมองตัวเองก็พบว่าอยู่ในสภาพสะบักสะบอมสุดขีด เสื้อนอกขากเป็นเส้นยาว กระดุมหายไปสามเม็ด กางเกงเปื้อนดินโคลนหลายจุด แต่ก็ไม่น่าจะเป็นเหตุให้คนมองนี่นะ
“มีอะไรหรือเปล่า? หรือว่าผมไปทำอะไรผิดอีก?” เมฆาพูดอย่างไม่เข้าใจ ผู้พักอาศัยทั้งหลายมองหน้ากันแล้วส่ายหน้าวืดๆ
“ไม่ใช่หรอก นายไม่ได้ทำอะไรผิด” เด็กสาวคนหนึ่งบอก เมฆาหันไปมองเอมิลี่กับยูกิที่เดินตามเข้ามา ทั้งสองทำหน้าเรียบเฉยแล้วเดินเนียนไปนั่งเรียบร้อย เมฆางงๆ แต่คิดว่าหิวแล้ว แล้วเสื้อผ้าก็ไม่ได้ขาดวิ่นมากมายจนใส่ไม่ได้ เลยตัดสินใจกินข้าวก่อนค่อยว่ากัน แล้วเดินไปที่โต๊ะที่วางอาหารเอาไว้
เมฆาตักแกงราดข้าวแล้วหันหลังกลับมา กวาดตามองไปรอบๆ ห้องกินข้าวเป็นห้องที่มีโต๊ะยาวเรียงกันหลายโต๊ะ และมีการจับกลุ่มนั่งกินกันแล้วเป็นกลุ่มๆ เขาที่เพิ่งเคยมากินด้วยแบบนี้ครั้งแรกเลยไม่รู้จะไปนั่งตรงไหน เห็นที่เขานั่งๆกันเป็นกลุ่มแล้ว จะไปขอเบียดนั่งก็ไม่กล้า เด็กหนุ่มยักไหล่ไม่ใส่ใจนัก กระโดดขึ้นไปนั่งบนขอบโต๊ะ แล้วตักข้าวเข้าปากกินอย่างง่ายๆ
“มานั่งนี่ก็ได้นะ” เสียงเรียบๆดังขึ้นจากมุมหนึ่งของห้อง เมฆาเงยหน้าขึ้นดูก็พบว่าเป็นโต๊ะของพวกเด็กผู้หญิงในไททัน มีทั้งนิรมล เว่ยหลาน แล้วก็ยังมียูกิ เซี่ยหลาน แล้วก็ฟรองซ์เยอซีด้วย เมฆากระพริบตาปริบๆ แต่ก็เดินไปนั่งกินด้วยโดยไม่คิดอะไรมากมาย
“นายนี่ใจกล้าดีนะ” เว่ยหลานชมขึ้นมาลอยๆ เมฆามองหน้ารุ่นพี่สาวผู้มีใบหน้าจริงจังจนเขาอดคิดไม่ได้ว่าอาจโดนลอบแทงเข้าซักจึ้กด้วยความแค้น
“เก่งใช้ได้นะเนี่ย บังคับให้ไอ้สองเจ้าเล่ห์นั่นยอมสงบศึกได้” เซี่ยหลานชม เมฆาหันไปมองเด็กสาวที่ยิ้มชอบใจแล้วก็เกิดความรู้สึกที่ดีด้วย เซี่ยหลานยิ้มสวย พอยิ้มแล้วน่ารักกว่าตอนหน้านิ่งๆเยอะ เด็กสาวดันแว่นขึ้นบนสันจมูกแล้วก้มลงกินข้าวต่อโดยไม่พูดอะไรต่อ
เมฆามองเว่ยหลานที่จ้องเขาเขม็งแล้วเริ่มเตรียดขึ้นมานิดๆ ก้มลงเขี่ยข้าวในจาน สงสัยว่าอาจโดนวางยาพิษไว้แล้วก็ได้ มองส้อมในมือเธอแล้วก็อดคิดในใจไม่ได้ว่าจะโดนจิ้มเข้าซักจึ้ก ในที่สุดเธอก็ถอนใจ
“ช่างเถอะ ยังไงก็ต้องยอมรับว่านายเก่งน่ะนะ” เว่ยหลานตักข้าวเข้าปากท่าทางหงุดหงิด “อุตส่าห์บังคับให้โลกิสัญญาได้” เซี่ยหลานยิ้ม
“แหมๆ ห่วงแทนแฟนเชียวน้า” เว่ยหลานล้อ
“ปิแอร์ไม่ใช่แฟนพี่!” เว่ยหลานตีมือน้องสาว เซี่ยหลานหัวเราะเสียงใส เมฆามองดูสองพี่น้องหยอกกันแล้วก้มหน้าลงกินข้าวต่อ ส่วนคนรอบตัวก็เริ่มกินข้าวกันอย่างปกติ
ความสงบสุขแบบธรรมดาๆ นี่มันดีกว่าที่จะคาดหวังได้แล้ว
เงาร่างตะคุ่มๆของกลุ่มคน 9 คนอยู่ในชุดทหารพรางกำลังหมอบอยู่หลังพุ่มไม้ สายตาจับจ้องไปยังอาคารเป้าหมายด้วยความเคร่งเครียด แล้วพิจารณาว่าจะปีนข้ามรั้วและหลบหลีกจากสายตายามไปได้อย่างไร
“เข้าใจนะพลทหาร เมื่อถึงเวลาสามทุ่มครึ่ง อาคารจะดับไฟทั้งอาคาร เราจะข้ามรั้วตรงมุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอาคาร แล้วเข้าทางประตูหลัง” ชายที่หมอบอยู่คนหนึ่งพูดเสียงเข้ม เหล่าพลทหารทั้งหลายพยักหน้าแข็งขัน
“เราเข้าใจแผนการทุกอย่างแล้วใช่ไหม?” ผู้บังคับบัญชาถาม ทุกคนพยักหน้ารับ “ดี เราฝึกซ้อมกันมาอย่างหนักนับเดือนเพื่อคืนนี้” ชายผู้พูดมองไปทางอาคารสีขาวหลังใหญ่ด้วยแววตาวาววับ “คืนนี้เราอาจจะไม่รอดกลับไปครบทุกคน แต่ขอให้ทุกคนทำตามความฝันเผื่อพวกเราด้วย”
“รับทราบ!” ทุกคนพยักหน้ารับแข็งขัน ไฟทั้งอาคารดับลง ผู้เป็นหัวหน้าหลั่งน้ำตาแห่งลูกผู้ชายออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“แม้จะรู้จักกันมาไม่นานนัก แต่พวกเราล้วนมีเป้าหมายและอุดมการณ์เดียวกัน ไปเถิดสหายของข้า! ไปสู่จุดหมายที่เราวาดหวัง!”
คนทั้ง 9 ค่อยๆเคลื่อนตัวอย่างเงียบเชียบจากราวป่าไปยังอาคารสีขาวเบื้องหน้าอย่างเงียบงัน เมื่อมาถึงกำแพงตรงมุมที่ยามไม่ค่อยจะเดินมานักก็พากันปีนข้ามไปทีละคน ชายผู้เป็นหัวหน้าขบวนปีนข้ามไปคนแรก พังพาบอยู่บนกำแพงพร้อมสอดส่ายสายตามองไปเบื้องล่าง เมื่อพบว่าทางสะดวกก็กวักมือเรียกคนอื่น แล้วทิ้งตัวลงไปด้านใน
การข้ามกำแพงเป็นไปอย่างเงียบเชียบ ชายคนหนึ่งย่อตัวประสานมือเป็นฐานให้คนที่สอง ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเหลือคนสุดท้าย คนรองสุดท้ายยืดแขนมาจับเพื่อนด้านนอกไว้ ในขณะที่คนด้านในก็ประสานมือรอรับ ชายบนกำแพงดึงตัวคนสุดท้ายเข้ามาท่ามกลางการรอรับของเพื่อนๆได้ในที่สุด
ชายผู้เป็นหัวหน้าพยักหน้าให้ทุกคนในความมืด ลายพรางที่ทาบนหน้ารวมทั้งเสื้อผ้าทำให้คนทั้ง 9 กลมกลืนไปกับความมืดจนมองแทบไม่เห็น ชายหนุ่มพยักหน้า ทุกคนยกมือขึ้นสวมแว่นอินฟาเรดสำหรับมองในที่มืดสวมตา มือขวาวาดลงเป็นสัญญาณ แล้วทุกคนก็เดินตามกันไปเป็นขบวน
เมื่อทุกคนเดินไปได้ซักพัก ชายผู้เดินนำหน้าก็ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้หยุด ทุกคนหมอบนิ่งลงทันที เงียบอยู่ชั่วอึดใจ เงาร่างสีขาวของผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินผ่านหน้าไป ทุกคนหมอบรออยู่จนลับสายตาไป ผู้นำก็ยกมือเป็นสัญญาณให้เดินต่อ
ทุกคนเดินอ้อมมาทางด้านหลังอาคารอย่างเงียบเชียบ โชคดีที่ไม่พบใครอีก เมื่อมาถึงประตูหลัง มีหลอดไฟหนึ่งดวงอยู่ด้านบน ทุกคนมองหน้ากันแล้วพยักหน้า ส่งชายสองคนไปยืนอยู่สองมุมตึกดูลาดเลา แล้วอีกสามคนก็เดินตรงไปที่ประตู ส่วนที่เหลือรอคุมเชิงในพุ่มไม้กันพลาด
เมื่อลองบิดลูกบิดประตูดูก็เห็นว่าล็อกเอาไว้ ชายคนหนึ่งหยิบลวดเส้นยาวๆออกมาจากกระเป๋าแล้วเริ่มดัดจนเป็นรูปร่าง ใช้ลวดสองเส้นสอดเข้าไปในรูกุยแจ หมุนเบาๆไปมาไม่กี่ครั้งก็มีเสียงปลดสลักดังขึ้นมา ผู้สะเดาะกลอนโบกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคน ทุกคนออกจากที่ตรงเข้ามาที่ประตูทันที ชายคนหนึ่งค่อยๆแง้มประตูให้เปิดออกอย่างช้าๆโดยไม่มีเสียง แล้วมองเข้าไปดูอย่างรวดเร็วแวบเดียวแล้วชักกลับมา เมื่อเห็นว่าเป็นทางเดินมืดๆก็เดินเข้าประตูไป ตรวจตราดูแน่แล้วก็โบกมือให้คนที่เหลือ เมื่อทุกคนเข้ามาได้แล้วก็ปิดประตูไว้
ทุกคนค่อยๆย่องเข้ามาภายในตัวอาคารอย่างเงียบกริบ ชายคนหนึ่งหยิบแผนที่ออกมาคลี่ดูผังอาคารอย่างเคร่งขรึม พบว่าห้องเป้าหมายอยู่ทางฟากซ้ายของอาคาร เมื่อทราบแน่ชัดก็เก็บแผนที่ลง แล้วเริ่มเดินต่อ
เมื่อเข้ามาอยู่ในอาคารที่สว่างจนมองเห็นชัด แว่นมองในความมืดก็ไร้ประโยชน์ และชุดดำก็เป็นจุดเด่นมากเกินพอ ดังนั้นไม่มีการซ่อนตัวในความมืดอีกแล้ว
ทุกคนย่องอย่างเงียบกริบไปตามทางเดิน เพราะการคาดคำนวณที่แม่นยำจึงไม่พบใครเลย ทั้งหมดย่องอย่างเงียบกริบไปตามระเบียงทางเดิม หัวใจเต้นถี่เร็วขึ้นทุกขณะตามเป้าหมายที่ใกล้เข้ามา อีกไม่ไกล... อีกไม่ไกลแล้ว!
ความฝันของพวกเขาอยู่ตรงหน้านี้เอง!
“ขอโทษที่ต้องดับความฝันของพวกคุณนะครับ แต่จะกรุณามากถ้าพวกคุณยอมบอกดีๆว่ามาทำอะไรที่นี่” เสียงเรียบที่มาพร้อมกับไฟที่เปิดสว่างขึ้นทำให้ทุกคนสะดุ้งสุดตัว เมื่อมองไปทางซ้ายก็พบว่ามีชายคนหนึ่งกำลังนั่งเท้าคางอยู่บนบันไดมองพวกเขายิ้มๆ
“แก... ทำไมมาอยู่ที่นี่!” ชายคนหนึ่งร้องอย่างเสียขวัญ ชายที่นั่งบนบันไดบิดกายจนชุดนอนสีขาวที่อยู่บนตัวยับยู่ยี่
“ผมเป็นผู้ดูแลที่นี่ พวกคุณต่างหากที่มาทำอะไรอยู่นี่” ชายหนุ่มย้อนถาม “พูดตรงๆว่าพวกคุณคงจะรู้อยู่แล้วว่าความผิดฐานบุกมาที่นี่มันร้ายแรงขนาดไหน”
“เรายอมเสี่ยง!” ชายที่เป็นหัวหน้าพูดลอดไรฟัน มันเป็นสิ่งที่เขาหวังมาตลอด เขายอมเสี่ยงทุกอย่างเพื่อมัน
“งั้นหรือ? ที่นี่มีอะไรให้ต้องการนักหนา?” เด็กหนุ่มมองไปทางห้องที่ทั้งหมดกำลังจะแอบเข้าไปก็ถึงบางอ้อ “อ้อ แบบนี้นี่เอง” เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน “ผมว่ามันไร้สาระมากเลยนะ”
“อย่ามาพูดว่าไร้สาระนะ! มันเป็นความฝันของพวกฉัน!” ชายคนหนึ่งพูดอย่างจริงจัง เด้กหนุ่มกลอกตา
“แอบมาดูผู้หญิงอาบน้ำในห้องน้ำหญิงเนี่ยนะ? ความฝันของพวกนายมันน่าสมเพชไปไหม?” เมฆาพูดเสียงรำคาญ ให้ตาย ไอ้พวกนี้ลงทุนเสี่ยงตายปีนเข้าหอหญิงมาแอบดูสาวๆอาบน้ำ
“หึ มันเป็นความฝันอันสูงสุดของพวกข้า” นักเรียนชายที่ถอดหมวกพลางออกพูดด้วยดวงตาแน่วแน่ ส่วนเมฆาทำหน้าไม่อยากจะเสวนาต่ออีก
“เฮ้อ ช่วยไม่ได้ งั้นก็ต้องขอให้พวกนายไปรายงานตัวแล้วรับโทษแล้วล่ะ”
“หึ มันไม่ง่ายอย่างที่แกคิดหรอกนะ” ชายคนหนึ่งพูด “แกมีแค่คนเดียว แล้วจะมาสู้อะไรพวกฉันได้?”
“ก็อาจจะใช่อ่ะนะ ผมคนเดียวสู้ไม่ได้แน่” เมฆายอมรับ “แต่ขอโทษ ฉายาเทพของผมไม่ใช่พวกบ้าแรงอะไรพวกนั้นหรอกนะ ฉัน...” เด็กหนุ่มมองทุกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“คือทริกกี้โจ๊กเกอร์”
พรึ่บๆๆๆ!!!
สิ้นเสียงประกาศนาม เด็กสาวเกือบร้อยคนก็โผล่ออกมาจากห้องข้างเคียงด้วยใบหน้าถมึงทึง เมฆายิ้มแล้วเฉลยข้อข้องใจท่ามกลางสายตาอึ้งๆของชายทั้ง 9
“คุณพลาดไปสามข้อที่ทำให้ต้องมาอยู่ในสภาพนี้ ข้อแรก” เด็กหนุ่มยกนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว “จะปีนกำแพงน่ะก็ดูให้ดีก่อน ถ้านายมองซักนิดน่าจะเห็นกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่ตามต้นไม้ในกำแพง แต่ก็นะ หาข่าวนี่มาได้ก็ดีมากแล้ว” เมฆายิ้ม เก้าหนุ่มทำหน้าเจ็บใจ “ข้อสอง ประตูหลังนั่นน่ะเป็นที่แรกเลยที่จะติดวงจรปิด ไม่ตรวจให้ดีก็ลำบากนะ” ทั้ง 9 ทำหน้าเจ็บใจ แต่จะว่าก็ไม่ได้ เมื่อเมฆาเป็นคนวางกล้องเอง เรื่องจะเห็นน่ะ ฝันไปเหอะ ทุกคนมองหญิงสาวที่รายล้อมพร้อมด้วยอาวุธครบมืออย่างสยองๆ
“ข้อสุดท้าย และเป็นข้อผิดพลาดที่ร้ายแรงถึงตายที่สุด” เมฆายิ้มพูดเป็นประโยคส่งท้ายก่อน 9 หนุ่มผู้กล้าหาญจะโดนประชาทัณฑ์
“พอดีว่าผมเป็นผู้ดูแลหอนี่พอดี” เมฆานั่งลงเท้าคางมองดูสาวๆที่เหมือนแม่เสือดุรุมเข้าตื้บจนเละในพริบตา
“น่าเสียดายนะ ใจจริงก็ไม่อยากทำอะไรมากหรอก แต่พวกนายทำให้ฉันได้อาบน้ำช้าไปอีกโขเลยล่ะ”
