บท
ตั้งค่า

Type 23: ประกาศตัวต่อหน้า

Type 23: ประกาศตัวต่อหน้า

กฎข้อที่ 20 ของนักต้มตุ๋น เมื่อสู้ไม่ได้ก็อย่าใช้กำลัง เมื่อฉลาดไม่พอก็จงหลีกหนี เพิ่มกำลัง สะสมปัญญา ช่วงชิงเวลา รอจังหวะเหมาะสม แล้วล้มล้างให้หมดสิ้นอย่าให้โต้กลับได้

พอมาลองนับๆดูแล้วกองกำลังของวอนเนอร์เหลือ 89 คน กองกำลังของโลกิมีอีก 109 คน นับรวมด้วยวิชาคณิตศาสตร์ชั้นประถม รวมสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ในป่าแห่งนี้ที่ถือเป็นศัตรูทั้งหมด 198 คน ลองนึกๆดูแล้วเหมือนจะเคยมีคำถามที่ว่า คน10 คน ตีกับคน 5 คน จะเหลือคนกี่คน คำตอบคือเหลือ 10 คน 5 คนโดนรุมยำนอนโรงพยาบาล นั่นเป็นเรื่องของคนธรรมดาๆน่ะนะ งั้นคำถามที่ว่าคนไม่มีพลังจิต 1 คน ตีกับพวกเทพๆมีพลังจิตอีก 198 คน แทนที่จะถามว่าเหลือเท่าไหร่ เรามาเดาจำนวนดอกไม้วางหน้าศพจะเวิร์คกว่า

แต่นั่นมันก็เป็นวิธีคิดสำหรับคนทั่วไปอีกนั่นแหละ (ถึงพวกไซคลิกจะไม่ถือว่าเป็นคนธรรมดาซักเท่าไหร่) แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเมฆา ทุกอย่างต้องห้อยหัวคำนวณใหม่หมด

ป่า เป็นสถานที่ที่มนุษย์รู้สึกเล็กกระจ้อยร่อยมากที่สุดในโลก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติทั้งหมด ทุกทิศทางมีแต่ต้นไม้สูงเสียดฟ้า บีบคั้นให้มนุษย์สำเหนียกถึงความเล็กกระจ้อยร่อยของตัวเอง แต่เมื่อสัญชาติญาณการรุมกินโต๊ะทำงานด้วยการรวมพรรคพวกมาหลายๆคน ก็จะปัดเป่าความกลัวส่วนใหญ่ให้ปลิวหายไป ด้วยความคิดที่ว่า มีกันตั้งเยอะ ตูคงไม่ตายคนแรกหรอกวะ ยังไงๆก็รอดอยู่หรอก เมื่อรวมกันมาได้ตั้งร้อยกว่าคน กลุ่มไททันของโลกิจึงไร้ซึ่งความกลัว และล่ากลุ่มสกายซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามต่อไปอย่างเมามัน

ทีนี้มาลองมองดูฝั่งสกายบ้าง คนที่เหลือไม่ถึงร้อยนั้นรับรู้ถึงความน่ากลัวของป่านี้ดี แต่เมื่อเทียบกับกลุ่มคนเป็นร้อยที่มีสภาพร่างกายฟิตปั๋งราวกับเพิ่งโด๊ปเอ็มร้อยมาเต็มสูบ ความกังวลเรื่องของคนคนเดียวก็ดูจะเล็กกระจ้อยร่อยไปทันที จึงวิ่งหน้าตั้งวิ่งหนีศัตรูซึ่งก็คือกลุ่มไททันเข้าไปในป่าแบบลืมตาย

ส่วนเมฆา? เขาไม่ได้มองกลุ่มสกายเป็นศัตรู ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไททัน ทุกคนที่อยู่ในป่านี้...

เขานับเป็นเหยื่อ

“ตามจับมันให้ได้!อย่าให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว!” โลกิตะโกนสั่งการ พลางใช้พลังจิตแผ่คลื่นออกค้นหา ซึ่งก็ไม่ได้ผลซักเท่าไหร่เพราะไม่ใช่ความสามารถโดยตรง เด็กหนุ่มหันไปทางนิรมล “นิรมล แถวนี้พอจะมีแหล่งน้ำไหม?” โลกิถาม นิรมลมีไซต์ฟรอซเซ่นมาสเตอร์ ซึ่งสามารถควบคุมการเปลี่ยนสถานะของน้ำได้ จึงไม่แปลกที่จะมีความสามารถในการตรวจหาแหล่งน้ำได้ ถ้าพบแล้วต้อนพวกสกายไปที่นั่น เรื่องก็จะง่ายขึ้นอีกเป็นกอง

นิรมลยืดจมูกขึ้นไปในอากาศสัมผัสอากาศสดชื่นของปาก จากนั้นก็ขมวดคิ้วส่ายหน้า “ไม่ได้ค่ะ ที่นี่มีความชื้นสูงเกินไป ตรวจจับลำบาก” เด็กสาวตอบ โลกิถอนหายใจอย่างเสียดาย น่าเสียดายที่ไม่สามารถใช้ภาพถ่ายทางดาวเทียมได้เพราะต้องปล่อยคลื่นสัญญาณรบกวนที่พวกสกายทำไว้เอาไว้อย่างนั้น เพราะพวกเขาเองก็ไม่ได้อยากให้พวกนั้นเรียกพวกมาเหมือนกัน

“หนีเก่งนักนะ แต่ทำไมเก่งขนาดนี้ยังจับเฮอร์มีสไม่ได้อีก?” โลกิฉงนเมื่อพบว่าขีดความสามารถของกลุ่มสกายที่แม้อยู่ในสภาพย่ำแย่ก็ยังหนีได้อย่างมีประสิทธิภาพ อดคิดไม่ได้ว่าทำไมคนพวกนี้ถึงจับคนคนเดียวไม่ได้ ตอนแรกเขาดูแคลนกลุ่มสกายที่ยกพวกมาเป็นร้อยแต่ไม่สามารถจับคนคนเดียวได้ แต่ตอนนี้เขาเริ่มเห็นเมฆาเป็นตัวอันตรายจริงๆแล้ว

“เขาเป็นคนที่มีประสิทธิภาพสูงมาก แต่คนแบบนี้ถ้าได้มาเป็นพวกก็เสี่ยงพอกัน” เด็กสาวคนหนึ่งพูดเนิบๆ เธอเป็นหญิงสาวชาวจีนใบหน้าใสหมดดงดงาม ผมยาวถึงกลางหลังถูกรวบด้วยเชือกที่เหมือนเก็บๆมาจากข้างทางมัดเอาไว้แบบไม่ใส่ใจนัก ร่างเล็กสูงประมาณ 160 วิ่งผ่านหมู่ไม้อย่างคล่องแคล่วเกินรูปลักษณ์ภายนอกที่ทำให้ผู้ชายอกสามศอกหลายคนได้อาย เธอดันแว่นตากรอบเหลี่ยมขึ้น ในมือมีลมหมุนที่เมื่อสะบัดมือ มันก็พัดผ่านหมู่ไม้ออกตามหาเป้าหมายเป็นวงกว้าง

“ขนาดเว่ยหลานยังชมเลยเหรอเนี่ย?” โลกิหยอกล้อ

“ถ้าใครที่อัดนายกับเบ๊นซ์ได้พร้อมๆกัน ฉันก็ชมมันเหมือนกัน” เว่ยหลานพูดเรียบๆ โลกิหน้าแหย เรื่องนั้นเป็นความทรงจำที่ไม่น่าจดจำเท่าไหร่นัก

“มันเล่นทีเผลอนี่” ประธานนักเรียนรูปงามแห่งเซนท์ปิแอร์พูดแก้เก้อ แต่เว่ยหลานเพียงยิ้มเย้ยหยันมาให้ ประธานหนุ่มหน้าเบ้

“แล้วเราไม่ต้องระวังหมอนั่นมันจะดีหรือ?” นิรมลเตือน

“ไม่ต้องมั้ง หมอนั่นคงอาศัยจังหวะตั้งแต่ตอนก่อนที่พวกเราจะมาถึงหนีออกไปเรียบร้อยแล้วล่ะ คงไม่มีใครโง่ขนาดอยู่รอให้คนเป็นร้อยๆรุมตื้บหรอก แต่ถ้ามันโผล่มาก็จัดการไปด้วยเลย” โลกิออกความเห็น นิรมลพยักหน้ารับ แต่ในห้วงสมองยังปรากฏใบหน้ายิ้มระรื่นของเมฆาขึ้นมา เล่นเอาไม่แน่ใจขึ้นมาตงิดๆ ไอ้บ้านั่นมันเคยทำตามสามัญสำนึกของคนทั่วไปซะที่ไหน

ขบวนการไล่ล่าดำเนินต่อไปเกือบสิบนาที ทั้งหมดก็ถูกต้อนมาจนมุมอยู่ที่ลำธารสายเล็กๆแห่งหนึ่ง กลุ่มคนทั้ง 89 คนคนถูกไล่มารวมกันอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ ด้านหลังเป็นแม่น้ำกว้างเกือบ 3 เมตร แม้จะมีคนที่บินได้หรือเทเลพอร์ตได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าสองเทพที่แววตาเป็นประกายแล้ว การหลบหนีจากแหล่งน้ำก็คือการฆ่าตัวตาย

ไอซ์เอจ กับเลสออฟไซโคลน ฟูจิน หนึ่งนั้นคือหญิงสาวผู้หนาวเย็นดุจยุคน้ำแข็ง อีกหนึ่งคือหญิงสาวผู้ไม่มีใครหลีกหนีพ้น

“อึก” ชายหนุ่มคนหนึ่งเทเลพอร์ตข้ามไปอีกฝั่งอย่างหมายจะหลบหนี แต่เมื่อหันหลังกลับก็ต้องตกใจจนสะดุ้ง

“จะหนีไปไหนน่ะ นายยังต้องกลับไปเขียนรายงานความผิดส่งสภาอยู่นะ” เด็กสาวผู้ไม่มีอะไรโดดเด่นนอกจากความสูงที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานแบบฉิวเฉียดพูดอย่างหน่ายๆ ชายคนนั้นกัดฟันเพราะรู้ตัวว่าการจะเทเลพอร์ตหนีแข่งกับการไล่ล่าของฟูจินที่ครองตำแหน่งสูงสุดของสายเทเลพอร์ตนั้นเท่ากับฝันไป…

เด็กสาวสะบัดมือวูบ ร่างสูงของเด็กหนุ่มผู้คิดหลบหนีก็ลอยละลิ่วกลับหลังหงายลงไปในน้ำอย่างไม่ทันตั้งตัว

...เธอเป็นหนึ่งในผู้ที่ครองไซต์สองสายที่หาได้ยาก เทเลพอร์ต และเทมเพสตา อัศวินข้างกายเดอะเบรนคอนโทรล โลกิ

จอมเทพผู้ปกครองโรงเรียนได้ด้วยอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์การก่อตั้งโรงเรียน

สายน้ำพุ่งขึ้นมาจากลำธารรัดพันร่างของผู้โชคร้ายเอาไว้ เหวี่ยงสูงขึ้นไปในอากาศให้ข้ามมาอีกฝั่ง เด็กหนุ่มขมวดคิ้วตั้งสมาธิจะเทเลพอร์ตหนีอีกครั้ง

“ยืนนิ่งดีๆให้ผม”

เสียงนุ่มแต่ทรงอำนาจสะกดความคิดที่จะหลบหนีเอาไว้ทันควัน ร่างของเด็กหนุ่มปล่อยให้สายน้ำพาลงมาวางลงกับพื้นแต่โดยดี เกือบทุกคนตกอยู่ในอำนาจการสะกดในพริบตา โลกิคลี่ยิ้มไปให้ทุกคน สลายความคิดต้านทานให้หายไปในไม่กี่วินาที

ความสามารถในการควบคุมคนอันน่ากลัว...

“เอาล่ะ สวัสดีอีกครั้งนะวอนเนอร์” โลกิคลี่ยิ้มให้วอนเนอร์ที่เพียงแต่ขมวดคิ้ว เขาเป็นผู้มีความสามารถระดับต้นๆของสายสะกดจิต แน่นอนว่าต้องต่อต้านการควบคุมของโลกิได้

“แต่ฉันไม่ได้ยินดีจะพบกับนายเลยว่ะ พูดตรงๆ” วอนเนอร์ถอนหายใจตอบ โลกิยิ้ม มองสภาพมอมแมมของชายผู้ตั้งปณิธานจะล้มล้างตน

“แต่ฉันคิดไปคิดมายังไงก็ไม่เข้าใจนะ ทำไมคน 157 คนถึงเหลือแค่นี้ได้?” โลกิถือโอกาสถามความสงสัยในใจออกมา วอนเนอร์แสยะยิ้มเย้ยหยันออกมาทันที

“ฮะๆ นี่นายก็ถูกหลอกให้เข้ามาโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรสินะ แต่จะว่านายก็คงไม่ได้ เพราะฉันก็เพิ่งจะรู้จักมันมากขึ้นเช้านี้เอง” วอนเนอร์ยิ้มหดหู่มองสภาพลูกน้องที่หายไปเกือบครึ่ง แถมสภาพแต่ละคนก็เรียกได้ว่าดูไม่ได้ “ฉันว่านะ บ่ายนี้นายก็คงจะรู้ซึ้งเองนั่นแหละว่าทำไม”

ระหว่างที่โลกิกำลังใคร่ครวญอยู่นั้นเอง ห่อผ้าบางอย่างก็ถูกสาดออกมาจากราวป่าเข้าใส่กลุ่มคนที่ยืนอยู่รอบนอกอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว คนที่มีสายตาดีหน่อยก็สะบัดมือฟาดเข้าใส่หอ่นั้นจนแตกกระจาย แต่เป็นการตัดสินใจที่ผิด เมื่อห่อนั้นแตกออกกลายเป็นรังผึ้งขนาดเท่าแตงโม ปรากฏฝูงผึ้งดุร้ายฮือออกมาใส่เป้าหมายอย่างโกรธแค้น โจมตีทุกคนที่อยู่ในรัศมี 3 วาจนวิ่งวุ่นในพริบตา

“อ๊ากกก!!!” เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นอย่างเร้งร้อนเมื่อแต่ละคนถูกผึ้งต่อยเข้าไปเต็มๆ แต่ละคนวิ่งหนีลนลาน แนวป้องกันอันแน่นหนาแตกวูบในพริบตา

“หนีลงน้ำ! รีบลงน้ำเร็ว!” โลกิร้องเตือน คนที่ได้ยินรีบทำตามคำแนะนำทันที แต่ส่วนใหญ่แล้วยุ่งกับการแหกปากและปัดป่ายไปมามากกว่า เว่ยหลายใช้ไซต์สายลมผลักพวกนั้นตกลงไปในน้ำทีละคนแทน

วูบ!

วินาทีถัดมา ถุงผ้าอีกใบที่ขนาดใหญ่กว่าก็ถูกโบนออกมา คราวนี้แต่ละคนไม่กล้าแตะต้อง ปล่อยให้มันตกลงพื้นเอง แต่กลับเป็นผลร้าย เมื่องูพิษหลายตัวพุ่งออกมาจากเสื้อยืดที่ถูกทำเป็นถุง มุดหายเข้าไปในพงหญ้าสูงเท่าเข่าของทุกคน แต่ละคนหน้าเปลี่ยนสีในพริบตา

ฟ่อ!

“โอ๊ย!!!” เพียงไม่กี่วินาทีเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ลงไปนอนกุมแผลที่ข้อเท้าอย่างเจ็บปวด พิษงูเล่นงานจนปวดแสบปวดร้อนที่แผลสุดจะทน

“งูเห่า” เสียงกระซิบอย่างตื่นตะลึงดังขึ้น เงาร่างวูบไหวหลังแมกไม้ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน ไร้อมๆกับกระทงใบไม้ขนาดใหญ่ถูกขว้างออกมา ภายในมีรังต่อแตนเล็กๆที่โกรธแค้นปลิวกระจาย เข้าจู่โจมทุกคนในบริเวณอย่างไร้ปราณี

“โอ๊ยยย!!!! อ๊ากกก!!!” เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นระงม เว่ยหลานหน้าซีด ต้องตัดสินใจระหว่างการไล่ล่าเมฆากับเพื่อนที่นอนเจ็บอยู่ เพราเธอเป็นคนเดียวมีมีพลังจิตมากพอจะเทเลพอร์ตพาพวกนี้ไปส่งอาคารพยาบาลในทีเดียว แต่เธอก็ตระหนักถึงขีดความสามารถของเมฆา ว่าเธอเกือบจะเป็นคนเดียวที่มีความสามารถจะไล่ล่าเมฆาได้เช่นกัน

“เว่ยหลาน พาพวกนี้ไปส่งโรงพยาบาลก่อน บางคนมีอาการแพ้อย่างรุนแรง” โลกิสั่งการ เว่ยหลานพยักหน้าเกาะแขนคนคนหนึ่งเอาไว้ แล้ววูบหายไปในพริบตา โลกิขมวดคิ้วแนบแน่น รู้ขีดจำกัดของการพาคนเทเลพอร์ตของเว่ยหลานดีว่าไม่ได้ใช้ได้ต่อเนื่องกัน หนึ่งนาทีพาไปได้แค่ 2 คนเท่านั้น แต่จากสภาพที่มีคนนอนโอดโอยเกือบ 20 คนแล้ว คงไม่มีทางที่จะรอให้เธอมาช่วยค้นหาตัวได้แน่

“พวกที่มีพลังค้นหา! ออกตามหามันเร็วที่สุด!” โลกิสั่ง นักเรียนหลายคนที่มัวแต่ตะลึงอยู่พุ่งเข้าไปในราวป่าทางทิศที่เมฆาหายไปทันที โลกิหันมาทางพวกสกายที่ยืนไกล้น้ำ ส่วนใหญ่จึงรอดจากการจู่โจมไปได้ วอนเนอร์ยิ้มสมน้ำหน้าแบบไม่ปิดบัง

“ถามใช่ไหมว่าทำไมคนเหลือแค่นี้? นั่นไงคำตอบ” วอนเนอร์ตอบด้วยท่าทีกวนประสาท

ปิแอร์กัดฟันหันหน้ากลับไปมอง เว่ยหลานโผล่ออกมาแล้ว แล้วรีบพาคนที่ท่าทางอาการหนักกลับอาคารพยาบาลทันที มันเป็นการจู่โจมแบบไม่มีความปราณีเลย “คิดๆดูแล้วนะ เราน่าจะละความแค้น หันมาเล่นมันก่อนดีไหม?” วอนเนอร์เสนอ โลกิลังเล ดูเหมือนเป็นข้อเสนอที่ดี

“หวา แค่ไม่ทันไรก็จะหักหลังแล้วงั้นเหรอ? ไอ้ความสงบสุข 1 เดือนนั่นล่ะ?” เสียงเริงรื่นคุ้นหูเรียกให้ทุกคนหันไปมอง เมฆาที่อยู่ในสภาพที่ท่อนบนเหลือเพียงเสื้อกล้ามตัวเดียวเดินออกมาจากราวป่าด้วยใบหน้าเศร้าสร้อยเสแสร้งแบบที่คนเห็นอยากเสยซักหมัด

“นี่มันเป็นการเจรจาสงบศึกตรงไหน?” ปิแอร์พูดอย่างอดทนแล้วผายมือไปทางกลุ่มคนที่รายล้อมอยู่รอบตัว เมฆาส่ายหน้า

“แล้วไอ้คำพูดที่ว่า ถ้าเจอผมก็จัดการไปด้วยเลยล่ะ? นั่นมันผิดข้อตกลงเห็นๆ” เมฆาย้อน โลกิกัดฟันกรอด ไม่อยากคิดว่ามันแหกสามัญสำนึกไม่หนี แต่ย้อนกลับมาในป่าแล้วได้ยินเขาพูด เลยถือโอกาสเล่นงานเขาอย่างเจ็บแสบ “ว่าตรงๆนะ ตั้งแต่คุยโทรศัพท์กันแล้ว การสะกดจิตด้วยเสียงมันก็ไม่แฟร์เห็นๆ” เมฆาพูดแบบตัดพ้อด้วยสีหน้าน่าสงสาร น่าสงสารจนอยากจับยัดลงโลง “ตอนนี้ก็ยังมีคนพยายามอ่านใจ” เมฆาชี้ไปที่นักเรียนคนหนึ่งที่มีสีหน้าปั้นยาก “สร้างภาพหลอน” เมฆาหันหน้าไปหาอีกคน สุดท้ายก็หันมาทางโลกิ “และพยายามสะกดจิตอยู่ตลอดเวลา” เมฆาเสยผม “ยังมีหน้ามาทวงถามสัญญากับผมอีกนะ พวกผู้นำมันเป็นแบบนี้ทุกคนหรือไง?”

เว่ยหลานที่เพิ่งโผล่มามองเมฆาอย่างแปลกใจ เมฆาหันมายิ้มให้รุ่นพี่สาว “สวัสดี คุณคงเป็นฟูจินล่ะสิ ช่วยบอกผมหน่อยว่าถ้าหากผมถูกโกงสัญญาทุกรูปแบบแล้วถูกเรียกร้องให้ทำตามสัญญา ผมควรจะทำยังไง?”

เว่ยหลานมีสีหน้าลังเลในทันที ตอนแรกเธอกะจะชาร์จตัวเมฆาทันที แต่เมื่อถูกพูดจี้ใจดำแบบนี้เธอเลยนิ่งไป รู้เต็มอกว่าตัวเองผิดเต็มประตู เลยได้แต่ยืนอึ้ง โลกิหรี่ตา เมฆาสะกดเว่ยหลานที่มีผลคุกคามมากที่สุดในคำพูดประโยคเดียว

รอยยิ้มรื่นเริงแบบไม่เข้ากับสถานการณ์ยังคงประดับอยู่บนใบหน้าของเมฆา เด็กหนุ่มกวาดตามองทุกคนด้วยดวงตาสีน้ำเงินเข้มลึกล้ำดุจท้องสมุด คนที่ถูกจ้องรู้สึกว่าเด็กหนุ่มหน้าลึกล้ำยากจะหยั่ง มองดวงตาที่แฝงแววรู้ทันนั้นอย่างอึดอัด

“วอนเนอร์” เมฆาเรียกเมื่อประสานสายตา วอนเนอร์ประสานสายตาสู้ “นายก็เหมือนกัน ไอ้ตอนจะสะกดจิตฉันในคาบเรียนน่ะยังพอเข้าใจว่ารับน้องใหม่ พาพวกมาสิบกว่าคนมารุมตีแทบแย่ก็ไม่เอาความ แต่พาคนเป็นร้อยๆมานี่... มันหนักไปหน่อยนะ” เมฆาแกล้งมีสีหน้าลำบากใจ วอนเนอร์ขบฟัน มันแย่ตรงไหน! พวกแรกที่พามาสองคนนอนพักยาว อีกห้าคนต้องเข้าโรงบาลหลายคืน ส่วนตัวเขาแขนหักข้อต่อหลุด พอพามาอีกก็ได้นอนโรงบาลอีกเกือบครึ่ง! คนที่แย่มันฉัน!

“ดังนั้นนะ ถ้าไม่ว่าอะไร เราสงบศึกกันเดือนนึงดีไหม?”

วอนเนอร์ชั่งใจ แม้อารมณ์ตอนนั้นอยากจะอัดมันให้ลงไปนอนกอง แต่เหตุผลบอกว่าไม่ได้เป็นผลดีซักนิด มีแต่จะแย่ลงไปอีก ไม่รู้ในมือมันมีไพ่อะไรอยู่อีก ทางที่ดีไม่ควรเสี่ยงดีที่สุด ในสภาพนั้น วอนเนอร์พยักหน้า

เมฆาหันมาทางโลกิ

“ส่วนคุณ...” เมฆายกโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดปุ่ม เสียงที่ถูกอัดเอาไว้ก็ดังให้ทุกคนได้ยินอย่างชัดเจน

“...ตกลง ในเวลา 1 เดือน เราต่างคนต่างอยู่ กองทัพไททันจะไม่มายุ่งกับนาย...” เสียงดังฟังชัดชนิดไม่มีผิดตัวของโลกิแน่นอน เมฆายิ้มพึงพอใจแล้วเก็บลงกระเป๋า ท่ามกลางสายตาอึ้งๆของโลกิ มันอัดไว้ด้วย!

“ไฟล์นี้ถูกส่งไปยังบุคคลที่สามแล้ว ถ้าผิดสัญญา แน่ล่ะนะ คงไม่อยากให้คนทั้งโรงเรียนคิดว่าประธานผู้สูงส่งเป็นพวกต่ำช้าไม่รักษาคำพูดหรอกใช่ไหม?” เมฆาถามนิ่มๆ แต่มันเท่ากับบีบคอเอาชัดๆ โลกิมีสีหน้ายิ้มฝืนๆ สุดท้ายก็พยักหน้า เมฆาหันมาทางวอนเนอร์

“ส่วนนาย เราไม่ได้มีสัญญาอะไรกัน แต่ว่าอยากถามอีกครั้ง 1 เดือนนี้เราต่างคนต่างอยู่นะ?” เมฆาถามอีกครั้ง วอนเนอร์ฝืนจำใจพยักหน้ารับรู้ แต่เหมือนเมฆาไม่พอใจ “สาบานด้วยเกียร์ติสิ”

วอนเนอร์ทำหน้าเหมือนกินดีขม แต่ก็ยอมยกมือขวาทาบหัวใจ พูดด้วยท่วงท่าหยิ่งทระนงของผู้สูงศักดิ์ อำนาจบารมีแผ่ขยายจนทุกคนระย่นย่อ

“ด้วยนามและเกียร์ติยศของข้า วอนเนอร์ ครอฟอร์ด ผู้นำของกองกำลังสกาย ขอให้คำสัตย์ว่านับจากนี้ไป 1 เดือน จะไม่มีคนของกลุ่มสกายเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับนายเอกนภา ปัญญาวิวัฒน์”

เมฆาผงกหัว “ถึงช่องโหว่จะมีชนิดที่แค่ให้ทุกคนออกจากกลุ่มชั่วคราวก็อัดผมได้แล้วก็ตาม แต่ก็นะ มีปัญญาคิดสัญญาผูกมัดแบบจับได้โจ่งแจ้งว่าจะซิกแซกก็ตามที” เมฆาเปิดโปงช่องโหว่แบบไม่ไว้หน้า วอนเนอร์ทำหน้าอยากจะฆ่าคนขึ้นมาทันที

“ฉันไม่ทำอะไรต่ำๆแบบนั้นหรอก!” วอนเนอร์ร้อง ส่วนเมฆาเลิกคิ้ว กวาดตามองคน 88 คนเบื้องหลังวอนเนอร์แล้วแค่นยิ้มหยัน วอนเนอร์ตัวสั่นระริกพูดตอบโต้ไม่ออก

เมฆาหันมาทางโลกิที่รู้ตัวดี ชายหนุ่มยกมือทาบหัวใจแล้วโค้งลงอย่างสง่างาม

“ในนามของข้า ปิแอร์ ซองดริเยร์ ประธานนักเรียนคนที่ 108 ของสาธิตเซนท์ปิแอร์ ขอรับรองด้วยนามและเกียร์ติของข้า เอกนภา ปัญญาวิวัฒนN จะไม่ได้รับการรบกวนด้วยประการทั้งปวงของผู้ที่เกี่ยวข้องกับไททัน” ปิแอร์พูดให้คำมั่น มั่นใจว่าคงไม่มีช่องว่างอีกแล้วแน่ๆ เมฆายิ้มพอใจ

“นั่นสินะ ขอแค่นายเอาไปประกาศให้รู้ทั่วกัน พวกกลุ่มอื่นๆที่เห็นว่านายไม่ลงมือก็จะแห่มารุมตื้บฉันเป็นเศษเนื้อในพริบตาโดยไม่ต้องลงมือ” เมฆาพูดแบบนิ่มๆ โลกิหุบยิ้มทันที แม้เขาจะไม่ได้คิดไว้ก่อน แต่เมฆากลับคาดการณ์ถึงสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายในพริบตา

“มองโลกในแง่ร้ายไปไหม?” โลกิพูดฝืนยิ้ม เมฆายักไหล่เป็นทำนองว่าช่วยไม่ได้

“อาจจะ แต่อะไรเป็นอะไรนายก็รู้แก่ใจดีนี่นะ” เมฆาพูด ทุกคนคิดตรงกันว่าโลกิก็คิดเบี้ยวสัญญาเหมือนกัน เมฆาล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าแล้วกดปุ่ม คำพูดเมื่อครู่ของทั้งสามคนก็ดังออกมา เมฆาเปิดฟังจนถึงท่อนสุดท้ายแล้วกดติ๊ดๆๆ จากนั้นก็หย่อนลงกระเป๋าไปท่ามกลางสายตาไม่อยากจะเชื่อของทุกคน

มันยังอัดเอาไว้อีก!

“คราวนี้จะเบี้ยวก็ไม่ได้แล้วนะ” เมฆายิ้ม ทุกคนไม่มีอะไรจะพูด เมฆาหันหลังกลับทำท่าจะเดินจากไป

“เดี๋ยวก่อน” วอนเนอร์ร้องเรียก เมฆาหยุดแล้วหันหลังกลับมามองเป็นเชิงถาม “ทำไมต้อง 1 เดือน? เวลาแค่นั้นมันจะมีประโยชน์อะไร ทำไมไม่เอาเป็นตลอดไปซะเลย?” วอนเนอร์ถาม ไม่รู้ว่าทำไมเมฆาถึงได้ทำเรื่องที่เหมือนจะไร้ประโยชน์นี้ด้วย แต่สิ่งที่ได่รับกลับมาคือรอยยิ้มยากจะหยั่งที่เขาไม่ชอบใจเลยแม้แต่น้อย

“ก็เพราะรู้ไงว่ามันเป็นไปไม่ได้ สุดท้ายพวกนายก็ต้องเบี้ยวสัญญา” เมฆาพูดเนิบๆ

“พูดแบบนี้มันดูถูกกันนะ คิดว่าเราจะเป็นคนแบบนั้นหรือไง?” โลกิถามเสียงเข้ม

“คิด” เมฆาพูดตรงๆจนโลกิหน้าทิ่ม ไม่คิดว่ามันจะปากไวใจตรงขนาดนี้ “แต่ไม่ใช่ไม่ไว้ใจหรอกนะ ยังไงพวกนายก็คงทำแบบไม่เสียหน้าอย่างหาเหตุประมาณฉันผิดสัญญาก่อนด้วยการให้พวกนั้นมาวอแวหาเรื่องจนฉันลงมือก่อนอยู่ดี” เมฆาพูดแบบรู้จริง โฏลกิมีสีหน้าปั้นยาก “ดังนั้นถ้าจะต้องรอถึงตอนนนั้น ฉันว่าขอเอา 1 เดือนที่พวกนายจะไม่เบี้ยวชัวร์ๆดีกว่า”

ทุกคนหันไปมองหน้ากัน เมฆายิ้มมีเลศนัยน์ เมฆาโบกมือ “ยังไม่ต้องรู้ตอนนี้ก็ได้ แต่เอาเป็นว่าเวลาหนึ่งเดือนนี้ก็เอาไปรักษาพวกนั้นให้หายก็แล้วกัน น่าจะทันนะ” เมฆาพูดยิ้มๆ

“แล้ว 1 เดือนนี้นายจะทำอะไร?” วอนเนอร์ถาม เมฆาแสยะยิ้ม

“อา... ถ้านายเดาได้ฉันก็ไม่ใช่ทริกกี้โจ๊กเกอร์แล้วน่ะสิ” เมฆาพูดเป็นเชิงล้อๆ วอนเนอร์ขมวดคิ้ว เมฆาหัวเราะเสียงดังสะบัดเสื้อที่เคยใช้ห่องู แก้ปมแล้วสวมทับตัวเอาไว้โดยไม่ติดกระดุม

“แต่บอกนิดนึงก็ได้ เมื่อถึงเวลานั้น คนที่จะช่วงชิงตำแหน่งประธานกับพวกนาย อาจจะมีคนลดลงอีกก็ได้” ทุกคนมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

“หมายความว่านายจะเล่นงานพวกเรา?” โลกิถาม แต่เมฆาส่ายหน้า

“ใช่ที่ไหน ก็เราทำสัญญาพักรบกันอยู่นี่ ฉันไม่ใช่พวกนายนะ” เมฆาย้อนด่านิ่มๆ โลกิกับวอนเนอร์กัดฟัน เมฆาแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มอ่อนแสงลงเมื่อเข้าสู่ยามเย็น “คนอื่นต่างหาก”

“หมายความว่าไง?” วอนเนอร์ถามงุนงง เมฆแย้มยิ้มแล้วหันหลังเดินจากไป โบกมือให้คนข้างหลัง สียงทุ้มหนักแน่นกระทบโสตทุกคนท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเย็น ในขณะที่เงาร่างของเมฆาเลือนลับไปกับความรกครึ้มของเงาไม้

“จำไว้ ทริกกี้โจ๊กเกอร์จะปราบกลุ่มอื่นให้มาปฏิญาณต่อหน้า แล้วจะชูร่มธงเข้าช่วงชิงกับพวกนาย!”

ทุกคนนิ่งอึ้งไป เมื่อตระหนักถึงข้อเท็จจริงที่น่าหวาดหวั่น รู้สึกแปลกใจเมื่อตัวเองหวาดหวั่นกว่าที่เคยคาดคิด คำประกาศนั้นทำให้ทุกคนหวั่นเกรง

ทริกกี้โจ๊กเกอร์ เมอคิวรี่ จะอาศัยเวลา 1 เดือนรวบรวมคน เพื่อช่วงชิงตำแหน่งกับพวกเขา! พวกเขาไม่ไม่อยากก็ต้องยอมรับ

ว่ามันน่ากลัว...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel