Type 22: ประธานนักเรียน
Type 22: ประธานนักเรียน
กฎข้อที่ 19 ของนักต้มตุ๋น หากอีกฝ่ายมีความลับของเราอยู่ในมือ จงสังเกตคนผู้นั้นอย่างละเอียดว่าเป็นคนแบบไหน กำจัดได้ให้ปิดปากซะ แต่หากไม่ ก็จงหยิบยื่นผลประโยชน์ให้ แล้วลากลงน้ำมาด้วยกัน
เมื่อถึงเวลาบ่ายโมงตรง สภาพการณ์ภายในป่าก็พลิกกลับเป็นตรงกันข้าม กองกำลังสกายที่ทุ่มคนออกมาครบเซ็ต 157 คน ตอนนี้เหลือเพียง 89 คนเท่านั้น และมีแนวโน้มว่าจะถูกนักเรียนเพียงคนเดียวกักตัวเอาไว้อีกด้วย
“สารภาพตามตรงนะครับว่าตอนแรกที่คุณเรียกระดมประกาศิตชุมนุมดาวเพื่อจัดการกับเขา ผมคิดว่ามันเหมือนเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตน” อัศวินมังกรเอ่ยขยับแว่นในมือให้ขึ้นไปอยู่กับที่ ใบหน้ามีแววเคร่งเครียดอย่างที่ไม่ค่อยเห็นบ่อยนัก “ท่านเองก็มีตำแหน่งเป็นถึงเจนัส (เทพของโรมัน เป็นบุรุษสองหัว เป็นเทพแห่งสงคราม ประตู อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ชอบลวงให้ผู้คนเลือกทางผิด) ไม่เห็นจำเป็นต้องทุ่มทุนมาจัดการกับนักเรียนใหม่ที่เพิ่งได้ฉายาเทพเพียงคนเดียวเลย” อัศวินมังกรผู้ได้ชื่อว่าหลักแหลมที่สุดถอนหายใจ
“แต่ตอนนี้... ผมว่าเราเอาคนมาน้อยไปซะแล้วล่ะ”
วอนเนอร์เงียบไป เขาเองก็ไม่คิดว่าต้องทำแบบนี้เหมือนกัน เด็กหนุ่มก้มหน้าใช้ความคิดว่าควรจะถอนตัวตอนนี้ดีหรือไม่
“คิดว่ายังไงกันบ้าง?” วอนเนอร์ถาม อัศวินหนุ่มถอนหายใจ ตอนแรกเขาคิดว่าเพราะฟลุ๊ค แต่เมื่อเห็นแล้วก็ต้องยอมรับ
ชายคนนี้คู่ควรกับฉายาเฮอร์มีสจริงๆ
“ตามสถานการณ์แล้ว ผมคิดว่าเราควรถอนตัวครับ” วอนเนอร์ตรองดู แต่ก็ไม่เห็นหนทางอื่น ได้แต่ตัดใจสั่งถอยอย่างเสียมิได้
“ถอย!!!”
ทุกคนขานรับอย่างยินดี เพราะรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นทุกวินาทีที่ยังอยู่ภายในป่านี้ ท่ามกลางความรกครึ้มของแมกไม้ และสิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอดทั้งช่วงเช้า ทำบรรยากาศยามบ่ายเย็นยะเยือกขึ้นมาได้
เมฆามองกลุ่มคนที่เริ่มเคลื่อนขบวนออกจากป่าอย่างระมัดระวังแล้วจึงพิจารณา ด้วยสภาพของเขาในตอนนี้ การจะสกัดคนกลุ่มนี้นั้น บอกตรงๆว่าไม่มีทาง ถ้าหนีพอได้ แต่ยังไงคนคนเดียวก็มีข้อจำกัด ที่เก็บไปได้หลายสิบเมื่อเช้าเป็นเพราะคนมันเยอะเกินไป ป่ากว้าง ระมัดระวังกันได้ไม่ทั่วถึง เลยเก็บนิดสอยหน่อยเอาได้ แต่เมื่อคนน้อยลง การระมัดระวังก็มากขึ้น จะให้ออกไปจัดการคนพวกนี้? ฝันเอาง่ายกว่า
เมฆาพิจารณาความเป็นไปได้อย่างเยือกเย็นแล้วสรุปกับตัวเองว่าไม่มีทางรั้งคนกลุ่มนี้เอาไว้ได้ เฮ้อ คิดถูกจริงๆ เด็กหนุ่มผู้หลบหนีเอนกายพิงต้นไม้แล้วยิ้มสดใสที่มีคนเคยนิยามไว้ว่าเป็นยิ้มหายนะ
เรารั้งไว้ไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่าคนอื่นจะทำไม่ได้นี่นา?
กลุ่มคนทั้ง 89 คนเดินตรงออกจากป่าอย่างระมัดระวังเต็มที่ มีแนวหน้าคอยตรวจสอบหยั่งศัตรูอย่างเข้มงวด ชายร่างเล็กใบหน้าเรียว ที่อกมีสัญลักษณ์หัวสัตว์เทพอันเป็นสัญลักษณ์ของอัศวินทั้ง 12 ของสกายติดไว้ มุสะกะอัศวิน ผู้เชี่ยวชาญกลไกกับดักและการจารกรรมมากที่สุด คอยตรวจตรากับดักที่เยอะจนเหลือเชื่อออกไป ไม่มีกับดักประเภทหลุมพรางหรืออะไรเทือกนั้นแล้ว เพราะมันเสียเวลาขุด แต่จะเป็นพวกกับดักหญ้าพิษ แมลงพิษมากกว่า ชนิดถ้าเตะเถาวัลย์เส้นเดียว ใบหญ้าพิษประเภทที่แตะแล้วคันหรือปวดแสบปวดร้อนก็จะโปรยปรายลงมาดุจสายฝน ดังนั้นมันน่าปวดหัวไม่น้อยที่ต้องเงยหน้าสังเกตหาห่อใบไม้บนต้นไม้ทุกต้นที่เดินผ่าน ก้มลงระวังเถาวัลย์ที่เท้าทุกเส้นตลอดเวลา และตรวจพื้นที่ที่จะเดินทุกตารางนิ้ว ตอนนี้ก็ระมัดระวังกันแทบจะเดินตามรอยเท้ากันทุกฝีก้าวอยู่แล้ว
“โธ่เว้ย มันวางกับดักไว้ลวกๆชัดๆ แต่เนียนโคตร!” ชายหนุ่มสบถสาบานอย่างหยาบคายไปจนถึงโคตรเหง้าบรรพบุรุษของเมฆาเลยทีเดียว เพราะกับดักแต่ละอันมันโคตรชุ่ย ไม่มีความประณีตบรรจงอะไรทั้งนั้น ผูกก็ผูกลวกๆ เชือกก็หาเอาแถวๆนั้น แต่มันดันเนียนไปกับสภาพพื้นที่ก็เพราะมันขี้เกียจประดิษฐ์ประดอยนี่แหละ
ที่สำคัญ เยอะโคตร แทบจะเรียกได้ว่าสามก้าวเจอหนึ่งแมลงพิษ ห้าก้าวเจอพืชพิษนั่นแหละ พอมองไปข้างๆก็ต้องถอนใจ เพราะเห็นร่องรอยกับดักที่แรงกว่าเดิมอีก ได้แต่เลือกเส้นทางกับดักที่เบาบางที่สุดออกไป เรื่องจะเลี่ยงโดยไม่เจอกับดักหรือ? ลืมไปได้เลย
กว่าจะเดินมาถึงชายป่าได้ก็เล่นเอาเป็นชั่วโมง ทุกคนที่เหนื่อยแทบไม่เคยคิดถึงถนนปูอิฐธรรมดาๆขนาดนี้มาก่อน เทียบกับป่าที่เดินไปทางไหนก็มีสิทธิ์ม่องได้แล้ว ถนนโรยกรวดธรรมดาๆก็ราวกับถนนเทพสรรสร้างมาเพื่อช่วยให้รอด
“ถนน! พ้นป่าแล้ว!” ทุกคนไชโยโห่ร้องเมื่อมองเห็นถนนปูหินอยู่เบื้องหน้า แทบจะวิ่งกระโจนออกมาแล้ว วิ่งสุดฝีเท้าไปยังชายป่าที่ราวเขตแดนนรกนี้ทันที
“เหนื่อยหน่อยนะ” วอนเนอร์ตบหลังอัศวินปีชวดที่เหงื่อกาฬไหลเต็มหน้า
“ครับ น่ากลัวจริงๆ” ชายหนุ่มปาดเหงื่ออกจากใบหน้า เกิดมาไม่เคยเหนื่อยและหวาดกลัวเท่านี้มาก่อน “เฮอร์มีส...” เด็กหนุ่มหันหลังกลับไปมองป่าหนาทึบด้วยแววตายกย่องปนหวาดหวั่น “เขาไม่มีทางวางกับดักถี่ขนาดนั้นได้ทั่วป่าแน่ แต่เขาเดาได้ว่าเราจะเดินทางออกมาทางไหน เส้นอะไร ไม่แน่ทางที่ผมเห็นว่ากับดักน้อยที่สุดนั่นอาจจะเป็นการจงใจที่ให้เรามาทางนี้โดยสร้างกับดักลวงๆให้ผมนำมาก็ได้” ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือก “แต่ผมไม่กล้าเสี่ยงพาพวกเราฝ่าออกนอกเส้นทาง ผม... กลัวผู้ชายคนนี้จริงๆ”
วอนเนอร์นิ่งเงียบ ตบบ่าลูกน้องคนสนิทอย่างปลอบใจ
“ไม่ต้องเป็นห่วง ยังไงเราก็ออกมาได้แล้ว ไว้เตรียมตัวให้พร้อมแล้วค่อยมาใหม่” ชายผู้เพิ่งฝ่าดงกับดักที่บีบคั้นจิตใจที่สุดออกมาพยักหน้ารับ แล้วรีบเร่งเดินออกจากป่าตามลูกน้องคนอื่นๆออกไป คิดวางแผนถึงการจัดกำลังพลเพื่อมาล้อมจับในครั้งต่อไป...
หากแต่ชายป่านั้นกลับเต็มไปด้วยผู้คนนับร้อยๆคน ทุกคนใส่ชุดนักเรียน ที่ต้นแขนซ้ายสวมปลอกแขนสีน้ำเงินปักตัวอักษรย่อต่างๆ ที่เน็กไทมีเข็มกลัดสีทองรูปสุนัขป่ากลัดอยู่ อันเป็นสัญลักษณ์ของสภานักเรียน... กองทัพของโลกิ
กองกำลังอันแข็งแกร่งผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโรงเรียน
“ไง เจนัส” ปิแอร์ทักขึ้น ชายหนุ่มนั่งไขว่ห้างจิบชาอยู่บนโต๊ะปูผ้าลายลูกไม้ บนโต๊ะยังมีกาน้ำชาควันกรุ่นและจานของว่างวางไว้ บ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังจิบชามบ่ายรออยู่อย่างสบายอารมณ์ ขัดกับภาพนักเรียนผู้อยู่ในท่วงท่ายืนตรง มือไพล่หลังเคร่งขรึมจริงจังทั้ง 108 คนที่เบื้องหลังอย่างบอกไม่ถูก “ช้าจังนะ ทริกกี้โจ๊กเกอร์เคี้ยวยากเกินไปล่ะสิ”
ประธานนักเรียนรุ่นที่ 108 ของสาธิตเซนท์ปิแอร์จรดริมฝีปากบนถ้วยชา ดื่มชาหยดสุดท้ายลงไป “ชาดี” ชายหนุ่มชมแล้ววางถ้วยชาลงบนจานรอง จากนั้นลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยท่วงท่าสง่างาม คลี่รอยยิ้มอันเจิดจ้าราวเทพบุตรให้เหล่ากองกำลังสกายที่ยืนอึ้งอยู่ที่เดิม “ในที่สุดก็ได้โอกาสล้อมปราบกองกำลังสกายทั้งหมด... อืม... เกือบหมด เดาว่าที่เหลือไม่อยู่ในสภาพต่อสู้ได้” โลกิคลี่ยิ้มขัน แต่เหมือนไม่มีใครขำด้วย
“ดูเหมือนนายจะตั้งกองกำลังได้ไม่เลวเลยนี่เจนัส 157 คน กับอัศวินใต้ปฏิญาณระดับสูงกว่า 40 12 คน หนึ่งในนั้นมีฉายาเทพ เลเวลเฉลี่ยของกองทัพอยู่ที่ 45 ไม่เลวจริงๆ” โลกิเอ่ยชมด้วยน้ำเสียงจริงใจ แต่คนที่รู้จักชายผู้นี้ดีคงไม่เป็นปลื้มไปด้วยแน่ “แล้วไง? คิดว่าแค่นี้จะล้มกองกำลังของฉันได้จริงๆน่ะหรือ?”
“แก... มาที่นี่ได้ยังไง...” วอนเนอร์กระซิบลอดไรฟันถาม
“อ้า นั่นเป็นความผิดของนายแล้วล่ะ” โลกิยิ้มละไมเฉลยเรื่องราวราวกับเสียใจด้วย
“ความผิดของฉัน?” วอนเนอร์ถามเสียงงุนงง โลกิพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
“ใช่แล้ว ดูเหมือนนายจะเลือกเหยื่อผิดคนนะวอนเนอร์ ฉันไม่คิดว่าคนอย่างเฮอร์มีสจะยอมอยู่ใต้บังคับบัญชาใครง่ายๆ” โลกิยักใหล่ “บังเอิญว่าข้อเสนอของหมอนั่นก็ดีพอใช้ โอกาสในการล้อมปราบกองกำลังสกาย แลกกับความสงบสุข 1 เดือน และติดหนี้หนึ่งครั้ง” โลกิยิ้มละไม “ก็นะ เดือนเดียวแป๊บๆก็หมด ระหว่างนั้นฉันคงถอนรากถอนโคนพวกนายได้เสร็จพอดี”
วอนเนอร์ตัวเย็นเฉียบ เมื่อนึกตระหนักถึงความจริงที่ว่าเมฆาลากตัวกองกำลังของโลกิมาทั้งก๊กเพื่อถอนรากถอนโคนพวกเขาอย่างถาวร
ทริกกี้โจ๊กเกอร์ (ตัวตลกมายากร)... ตอนนี้เขาชักเข้าใจถึงความหมายของมันแล้ว ตัวตลกผู้เสกสรรทุกสิ่งให้เป็นไปตามความพึงพอใจ เพื่อความสำราญส่วนตัวอย่างอิสรเสรี
“ถอย!!!” จู่ๆวอนเนอร์ก็ตะโกนลั่น แต่ไม่ใช่ตะโกนออกมาจากปาก แต่เป็นการส่งคลื่นเสียงเข้าไปยังสมองของทุกคนในกองกำลังโดยตรง เมื่อได้รับคำสั่ง ทุกคนก็ล่าถอยเข้าไปในป่าอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่รีรอชักช้าแม้แต่วินาทีเดียว
‘ถ้าจะหนี...’ วอนเนอร์คิดในใจขณะพุ่งฝ่าหมู่ไม้ลึกเข้าไปเต็มสปีด ‘ก็มีแต่ต้องหนีเข้ามาในป่าที่เต็มไปด้วยกับดักและสิ่งกีดขวางนี่เท่านั้นถึงจะมีทางรอด!’
ไม่ต้องมีการส่งสัญญาณ ไม่ต้องบอกกล่าว ทุกคนกระจายกันหลบหนีโดยไม่ต้องให้บอกซ้ำ ล่วงลึกเข้าไปในป่าที่เมื่อครู่ไม่อยากอยู่ต่อแม้แต่วินาทีเดียวอย่างเอาเป็นเอาตาย ตอนนี้มันกลับกลายเป็นหนทางรอดเพียงทางเดียวที่ต้องไขว่คว้า
“กระจายกำลังโอบล้อม! อย่าให้มันหลุดออกนอกเส้นทางการควบคุมไปได้!” โลกิร้องตะโกนสั่ง เหล่าสภานักเรียนทั้ง 108 ก็กระจายกำลังออกเป็นรูปพัดอย่างเป็นระเบียบ หากแต่โอบล้อมป้องกันหารหลบหนี ไล่ต้อนกลุ่มคนนั้นให้เหลือเส้นทางหนีที่จำกัดที่สุด!
การไล่ล่า... เปลี่ยนทิศทางแล้ว!
“ถ้าเราไม่มีความสามารถจะทำ ก็ยืมมือคนอื่นมาก็สิ้นเรื่อง” เมฆาเอนหลังมองการไล่ล่าอย่างสนุกสนาน เด็กหนุ่มอยู่บนกิ่งไม้สูงเหนือพื้นหลายเมตร เฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องล่างอย่างรื่นรมย์ คิดถูกจริงๆ ที่นี่ไม่มีเบื่อง่ายๆจริงๆนั่นแหละ
“ขอบใจนะเอมิลี่ ช่วยได้มากเลย” เมฆาพูดอย่างสบายอารมณ์
“ขอโทษทีเถอะ ให้แทรกแซงคลื่นโทรศัพท์ที่ถูกรบกวนในสิบนาทีเนี่ยนะ? นายเห็นฉันเป็นอะไร” เสียงหงุดหงิดเล็กน้อยของเอมิลี่ดังออกมาจากไซปาล์มในกระเป๋าเสื้อ เมฆาหัวเราะร่วน
“ก็ถ้าไม่ใช่เธอใครมันจะไปเอะใจว่าเสียงซ่าๆสั้นๆยาวๆนั่นมันจะเป็นรหัสมอสล่ะ? ถึงรู้ ใครจะแปลออก ไม่มีใครให้ฉันโทรหานี่นา” เมฆาตอบอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน
“ถ้าให้พังไอ้เครื่องนั่นยังจะง่ายกว่าเลย จะให้แฮ็กเฉพาะเบอร์นาย แถมยังในสิบนาที? ฉันไม่ใช่คนส่งพิซซ่านะ!” เอมิลี่แหว เมฆาหัวเราะเสียงใส
“เอาน่า แบบนั้นมันมีประโยชน์กว่าใช่ไหมล่ะ ทีนี้เจ้าพวกอยู่ในป่านี่ก็ติดต่อออกไปไม่ได้แล้ว ฉันลองดูแล้ว โลกิยังไม่ได้ตัดสัญญาณเครื่องรบกวน” เมฆาบอก
“ถ้ามันตัดนายจะให้ฉันทำเองใช่ไหม? ฉันยังอยู่ในคาบเรียนนะ!” เอมิลี่แหว “นายนี่ ฉันไม่ใช่พนักงานเซเว่นนะจะได้มีน้ำอดน้ำทนมากมาย” เอมิลี่บ่นกระปอดกระแปด ตอนนี้เธอนั่งอยู่ในห้องเรียน แต่เพราะใส่เฮดโฟนและหูฟังบลูทูธ และนั่งอยู่หลังสุดริมหน้าต่าง แถมเธอไม่ค่อยสนใจใคร เลยไม่ต้องสนว่าจะมีใครมาสนใจ หน้าจอที่เคยเป็นหน้าต่างจดงานกลายเป็นหน้าต่างหลายอันที่มีข้อมูลวิ่งไปมาไม่หยุด แต่เด็กหนุ่มที่บังอาจส่งรหัสมอสมาใช้งานหน้าตาเฉยกลับหัวเราะเสียงใสโดยไร้ความสำนึกผิด
“ก็ขอโทษไปแล้วไง เอาน่า อย่าเครียดๆ เดี๋ยวโดนเพ่งเล็งนะ” เมฆาพูดเสียงสบายๆ เธอบ่นพึมพำสาปแช่งไม่หยุด
“อย่าลืมที่สัญญาไว้ล่ะ” เธอทวง
“ไม่ลืมน่า ภาพการไล่ล่าภายในป่าทั้งหมดใช่ไหมล่ะ? ไม่ต้องห่วง ชัดทุกเม็ด ได้ยินทุกคำแน่นอน” เมฆาตอบกลับ แต่เธอยังหงุดหงิดอยู่ดี เพราะไม่กี่ชั่วโมง เมฆาดันจับจุดเธอได้เรียบร้อยแล้ว
“เธอเป็นนักสังเกตการณ์สินะ ไหนลองบอกฉันทีว่าทำไมคนพวกนี้ถึงจ้องจะเอาตัวฉันนักหนา” เมฆาถาม เขารู้ว่าเอมิลี่ไม่ใช่คนเลว เธอแค่ไม่ชอบสมาคมกับใคร แต่ชอบเฝ้าดูผู้คนอยู่วงนอก ขอแค่มีเรื่องสนุกๆน่าสนใจไปแลก เธอก็จะทำเรื่องให้โดยไม่เกี่ยงซักคำ อ้อ ยกเว้นคำบ่นพอเป็นพิธี
“โรงเรียนนี้เลือกประธานโดยการเลือกตั้ง นั่นน่ะแค่หน้าฉาก คนที่จะเป็นประธานนักเรียนได้ก็คือคนที่มีคนยอมรับมากที่สุด หรือก็คือมีกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั่นแหละ นักเรียนถึงจะลงคะแนนให้ มันเป็นธรรมเนียมมานานแล้ว นักเรียนจะเลือกประธานนักเรียนคนที่แข็งแกร่งที่สุด และจะมีอำนาจในการควบคุมโรงเรียน” เธอพูดเรียบๆ แววตาหลังแว่นเป็นประกายวาววับเมื่อนึกถึงเรื่องสนุกๆ “ผู้สูงศักดิ์แต่ละคนจะมีอัศวินใต้ปฏิญาณมากน้อยแค่ไหน และเก่งเท่าไหร่ รวมไปถึงมีความสามารถดูแลนักเรียนในโรงเรียนให้เชื่อฟังได้แค่ไหน นั่นแหละคือกฎ”
“เดี๋ยวนะ ผู้สูงศักดิ์? อัศวินใต้ปฏิญาณ? มันอะไรน่ะ?” เมฆาถามกลับมาอย่างงุนงง
“เอาเป็นว่าสิ้นเดือนเดี๋ยวนายก็รู้เอง ตอนนี้ขี้เกียจ” เอมิลี่ตัดบทดื้อๆ “สรุปง่ายๆใครเจ๋งสุดก็ได้ตำแหน่งนี้ไป จบ”
“แล้วไอ้การเลือกตั้งเนี่ย มันมีหนนึงเมื่อไหร่?”
“ก็เป็นปีนะ ปีนึงครั้ง ไอ้พวกนี้ตีกันบ่อยออก แป๊บๆก็เลือกตั้งแล้ว”
“หืม? อย่างงั้นเองเหรอ? น่าสนใจดีนะไอ้ประธานนักเรียนอะไรนั่น” เมฆาพูดขึ้นมา มองดูกลุ่มคนที่เริ่มปะทะกันอยู่เองล่าง “ถ้างั้นการที่ไอ้พวกนี้มาตีกันก็เป็นการลดความสามารถการรบลงน่ะสิ”
“ใช่” เอมิลี่ตอบ แต่แล้วก็สังหรณ์ร้าย ถึงโทรศัพท์มันจะมองไม่เห็นหน้า แต่เธอกลับรู้สึกว่าตอนนี้เมฆาต้องยิ้มกว้างอยู่แน่ๆ
“งั้น... เอาเบาะๆให้เหลือคนซัก 10 เปอร์เซ็นต์ แบบที่โงหัวไมขึ้นไปเป็นเดือนๆเลยดีกว่า” เมฆาพูด
“พูดไปนั่น รวมแล้วก็ 198 คนเลยนะ นายจะมีปัญญาที่ไหนไปลดตั้งเกือบร้อย 180 คน” เอมิลี่แขวะ
“หืม? ใครบอกว่าฉันจะทำคนเดียว? แล้วฉันจะเอาพวกโลกิมาทำไมล่ะ” เมฆาตอบสียงใส เอมิลี่เหงื่อตก นึกถึงสภาพการณ์ที่นั่นในอนาคตได้ในรางๆ
“แล้วนายจะทำไปทำไม?” เอมิลี่ถาม “หึหึหึ ก็ไม่ทำไมหรอก แค่คิดว่า...” เสียงหัวเราะมีเลศนัยดังมาตามสายเล่นเอาเอมิลี่กุมขยับ ไอ้เสียงนี้นี่...
มันต้องมีเรื่องอีกแหง! และก็สมพรปาก
“อยากจะลองเป็นประธานนักเรียนดูซักหนน่ะ” เมฆาพูดเสียงใสราวกับว่ามันง่ายเหมือนไปซื้อของที่เซเว่นหน้าปากซอย ส่วนเอมิลี่กุมขมับ เอือมระอากับความบ้าบิ่นของหมอนี่สุดๆ แต่พอฟังเสียงหัวเราะมั่นใจที่ดังมาตามสายก็อดคิดไม่ได้ว่า
อย่างเมฆาอาจจะเป็นไปได้ก็ได้
“ดังนั้นนะคุณผู้สังเกตการณ์ ช่วยผมให้เป็นประธานทีสิ แล้วจะให้ดูอะไรสนุกๆจนกว่าจะเบื่อเลย” เสียงร่าเริงนั้นทำให้เอมิลี่ยิ้มออก เกิดมาไม่เคยเจอคนแบบนี้เลย ให้ตาย เอาความมั่นใจพวกนั้นมาจากไหนนะ แต่...
มันทำให้เธอไม่อาจละสายตาไปจากชายคนนี้ได้จริงๆ
“เจ้าค่ะ รับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มไหมคะ” เอมิลี่ยิ้มแล้วพูดประชดไปตามสาย เมฆาหัวเราะลั่น
“ฮ่าๆๆ ไม่ต้องครับไม่ต้อง เอาเป็นว่าเสร็จเรื่องแล้วผมเลี้ยงข้าวเย็นแล้วกัน สวัสดีครับ” พูดจบก็วางสายไป เธอยิ้มให้มือถือแล้วพึมพำ
“เป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ นายจะเล่นละครแบบไหนให้ฉันดูนะ”
“ถ้าเป็นเขาคนนั้นล่ะก็ ต้องเป็นเรื่องที่สนุกไม่มีเบื่อแน่” เสียงหวานใสที่ดังขึ้นทำให้เด็กสาวหันไปมอง เด็กสาวผมยาวสีน้ำตาลผู้สง่างามราวเทพธิดาในชุดคลุมสีขาวกำลังมองเธอด้วยรอยยิ้มน้อยๆ เด็กสาวผู้น่ากลัวที่สุดในโรงเรียน
เดอะเกรทฟอร์จูนเนอร์ ธอธ ฟรองซ์เยอซี
เด็กสาวยิ้มให้เธอ
“ถ้าเป็นเมฆาล่ะก็นะ”
เอมิลี่ชะงัก แต่แล้วก็ยิ้มตอบ “ใช่ คงจะเป็นอย่างนั้นแน่ๆ” เธอตอบด้วยรอยยิ้มเมื่อนึกถึงภาพเมฆาที่ยิ้มแย้มอย่างไม่ทุกข์ร้อนราวกับไม่มีอะไรในโลกที่เขาทำไม่ได้
ถ้าเป็นเมฆาล่ะก็นะ
